“ฮอนด้า อะคาเดมี่ 2022” สนามที่ 2 เกมส์สุดเข้มข้นทั้ง 2 เรซ ดาวรุ่งนักแข่งผลัดกันโชว์ฟอร์มร้อนแรง “น้องไบร์ท” เตชินท์ อินทร์อภัย เฉือนคว้าชัยเรซที่ 1 หลังแบทเทิลตลอดเกมส์กับ “น้องเฟอร์” ปัญจรุจน์ จิตวิรุฬห์ฉัตร ในเรซที่ 2 “น้องเฟอร์” คัมแบ็กขึ้นนำเดี่ยวก่อนคว้าชัย การแข่งขันรายการ ฮอนด้า อะคาเดมี่ เส้นทางสู่นักแข่งมืออาชีพ ภายใต้โครงการ “ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ ดรีม” คัดเลือกนักบิดในระดับเยาวชนของไทยมาทำการฝึกซ้อมและพัฒนาทักษะการขับขี่ในสนาม ด้วยรถแข่ง Honda NSF100 มาตรฐานระดับโลก เดินทางถึงสนามที่ 2 ของฤดูกาล 2022 ซึ่งทำการแข่งขันกันที่สนามไทยแลนด์ เซอร์กิต จังหวัดนครปฐม เมื่อวันที่ 18–19 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ผลการควอลิฟายเพื่อหาอันดับการออกสตาร์ตการแข่งขันเมื่อวันพุธที่ 18 พฤษภาคม โพลโพซิชั่นตกเป็นของ “น้องเฟอร์” ปัญจรุจน์ จิตวิรุฬห์ฉัตร กับรถแข่ง Honda NSF 100 หมายเลข 13 โดยมี “น้องไบร์ท” เตชินท์ อินทร์อภัยเจ้าของรถแข่งหมายเลข 6 อยู่ในกริดสตาร์ตที่ 2 และกริดสตาร์ตที่ 3 ในแถวหน้าตกเป็นของ “น้องออสติน” ธนฉรรต ประทุมทอง ด้วยรถแข่งหมายเลข 8 การแข่งขันเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดี 19 พฤษภาคม ที่ผ่านมา เรซที่ 1 เข้มข้นตลอด 12 รอบสนาม ไทยแลนด์เซอร์กิต จากการแบทเทิลกันแบบไหล่ต่อไหล่ตลอดทั้งเกมส์ของ “น้องไบร์ท” เตชินท์ อินทร์อภัย หมายเลข 6 กับ “น้องเฟอร์” ปัญจรุจน์ จิตวิรุฬห์ฉัตร หมายเลข 13 ก่อนที่ “น้องไบร์ท” จะคว้าชัยชนะไปครอง ก่อนตัดสินกันที่ทางตรงสุดท้าย และผลงานอันดับที่ 3 ตกเป็นของ “น้องออสติน” ธนฉรรต ประทุมทอง ด้วยรถแข่งหมายเลข 8 การแข่งขันเรซที่ 2 เริ่มต้นขึ้นในช่วงบ่ายวันเดียวกัน โดยกริดสตาร์ตนั้นยังยึดผลการควอลิฟายเดิม เริ่มต้นเกมส์กลุ่มนำ 5 คันแรกมีการจัดอันดับอยู่ในช่วงต้น หลังจากนั้นเป็น “น้องเฟอร์” ปัญจรุจน์ จิตวิรุฬห์ฉัตร ที่เตรียมตัวมาดีในเรซที่ 2 ขึ้นมาเป็นผู้นำและเริ่มยืดระยะออกพร้อมกับคุมเกมส์การแข่งขันเอาไว้ตลอดก่อนคว้าชัยชนะไปครองอันดับที่ 2 เป็นผลงานของหมายเลข 2 “น้องไอโฟน” จิรภัทร สมสุขบดี กลับมาทำผลงานได้สำเร็จหลังจากพลาดโพเดี้ยมในเรซแรก และอันดับที่ 3 โดยรถแข่งหมายเลข 6 “น้องไบร์ท” เตชินท์ อินทร์อภัย “ฟิล์ม” รัฐภาคย์ วิไลโรจน์ ยอดนักบิดไทยคนแรกในศึกโมโตทู รับหน้าที่เป็นเฮดโค้ชควบคุมการฝึกสอนและดูแลนักบิดร่วมกับผู้ช่วยโค้ช “ดรีม” สิทธิศักดิ์ อ่อนเฉวียง และทีมนักแข่งของ “ฮอนด้า เรซซิ่ง ไทยแลนด์” ประกอบด้วย“มุกข์” มุกข์ลดา สารพืช, “ชิพ” นครินทร์ อธิรัฐภูวภัทร์, “ฟิล์ม” ปิยวัฒน์ ประทุมยศ, “แชมป์” ภาสวิชญ์ ฐิติวรารักษ์และ “นิว” กฤชพร แก้วสนธิ โดยปีนี้น้องๆ นักแข่งจะถูกแบ่งกลุ่มให้อยู่ภายใต้การดูแลและเทรนนิ่งจากทีมโค้ชของแต่ละกลุ่ม โดยเน้นการฝึกให้สามารถคิดวางแผนรูปแบบการขับขี่ได้ด้วยตัวเอง ศึกบิดล่าฝัน “ฮอนด้า อะคาเดมี่ 2022” สนามที่ 3 เตรียมจัดขึ้นที่สนาม J.S.W. Motorsport จ.นครสวรรค์ ระหว่างวันที่ 18 – 19 มิถุนายนนี้ แฟนมอเตอร์สปอร์ตชาวไทย สามารถติดตามความเคลื่อนไหวและส่งแรงเชียร์เหล่าดาวรุ่งนักบิดไทยได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ เรซ ทู เดอะ ดรีม : https://www.facebook.com/HondaRacingTeamTH #WhatStopsYou #มุ่งไปอย่าให้อะไรมาหยุด #RaceToTheDream #MotorSport #HondaRacingThailand #HondaAcademy2022
Category: Social
“The new EQS”
เมอร์เซเดส-เบนซ์ ย้ำความมุ่งมั่นในการเดินหน้าทำตลาดยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยด้วยการส่งมอบรถยนต์รุ่น “The new EQS” จำนวน 4 คันให้กับผู้จำหน่ายรถยนต์แบรนด์ Mercedes-EQ อย่างเป็นทางการทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ บริษัท เบนซ์บีเคเค กรุ๊ป จำกัด, บริษัท เบนซ์ พระราม 3 จำกัด, บริษัท ไพรม์มัส ออโต้เฮาส์ จำกัด และบริษัท ทีทีซี มอเตอร์ จำกัด ตอบรับกระแสความสนใจของผู้ใช้รถในไทยที่มีต่อยานยนต์ไฟฟ้าระดับลักชัวรีรุ่นใหม่จากเมอร์เซเดส-เบนซ์ พร้อมสนับสนุนการทำการตลาดของผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ มร.โรลันด์ โฟล์เกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส–เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “หลังจากเมอร์เซเดส-เบนซ์ได้เปิดตัว The new EQS ยานยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นแรกในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ และได้รับกระแสตอบรับอย่างล้นหลาม โดยมีลูกค้าแสดงความสนใจผ่านช่องทางดิจิทัล (digital leads) มามากกว่า 500 รายทั้งที่งานมหกรรมยานยนต์และการจัดงานเปิดตัวพิเศษที่เซ็นทรัลเวิลด์และเอ็มโพเรียมในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ในวันนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนการทำการตลาดของผู้จำหน่าย Mercedes-EQ อย่างเป็นทางการในประเทศไทย พร้อมทั้งสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าที่ให้ความสนใจในยานยนต์ไฟฟ้าจากเมอร์เซเดส-เบนซ์ เราจึงประกาศส่งมอบรถยนต์รุ่น EQS จำนวน 4 คัน ซึ่งประกอบด้วย The new EQS 450+ AMG Premium และ The new EQS 450+ Edition 1 และจะมีเข้ามาอีกอย่างต่อเนื่องเพื่อเสริมความแข็งแกร่งกับให้กับผู้จำหน่ายแบรนด์ Mercedes-EQ อย่างเป็นทางการทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ บริษัท เบนซ์บีเคเค กรุ๊ป จำกัด, บริษัท เบนซ์ พระราม 3 จำกัด, บริษัท ไพรม์มัส ออโต้เฮาส์ จำกัด และบริษัท ทีทีซี มอเตอร์ จำกัด เพื่อให้ลูกค้าได้เข้ามาสัมผัสตัวจริงของยนตรกรรมแห่งอนาคตคันนี้ พร้อมทั้งทำความรู้จักนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าระดับลักชัวรีจากแบรนด์ Mercedes-EQ อย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น” ทั้งนี้ ภายใต้นโยบายระดับโลกของเมอร์เซเดส-เบนซ์ กรุ๊ป เอจี แบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์เตรียมพร้อมก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มตัวทั่วโลก โดยปรับกลยุทธ์จาก“รถยนต์ไฟฟ้านำ” (electric-first) เป็น“รถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น” (electric-only) ภายในทศวรรษนี้ โดยสำหรับในประเทศไทย เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้ประกาศเปิดตัว “The new EQS” ยานยนต์ไฟฟ้า 100% คันแรกอย่างเป็นทางการในช่วงปลายที่ผ่านมาและได้รับเสียงตอบรับที่ดีเยี่ยมจากลูกค้าและผู้คนในอุตสาหกรรมยานยนต์ เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังได้ประกาศความพร้อมในการผลิตและจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าคันนี้ภายในประเทศไทย ทั้งหมดนี้คือการสานต่อความมุ่งมั่นระยะยาวของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในการขับเคลื่อนเทรนด์ e-mobility เพื่อร่วมสร้างสภาวะแวดล้อมที่ดีขึ้น ซึ่งเมอร์เซเดส-เบนซ์ได้ริเริ่มไว้ ทั้งการเปิดตัวโครงการ “Charge to Change” ที่เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2563 พร้อมไปกับการนำเสนอ นวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่จะทยอยออกมาให้ผู้บริโภคทั้งในไทยและทั่วโลกได้เห็นนับจากนี้ ต่อยอดจากความเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ PHEV ระดับลักชัวรีด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลายในแต่ละเซกเมนต์สูงสุด The new EQS 450+ AMG Premium วางจำหน่ายในราคา 8,570,000 บาท The new EQS 450+ Edition 1 วางจำหน่ายในราคา 8,870,000 บาท ลูกค้าที่สนใจสามารถเข้าเยี่ยมชมและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ “The new EQS” ได้ที่โชว์รูมของผู้จำหน่าย Mercedes-EQ อย่างเป็นทางการทั้ง 4 แห่ง และสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับรถยนต์รุ่นอื่น ๆ จากเมอร์เซเดส-เบนซ์ที่ผู้จำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์อย่างเป็นทางการทั่วประเทศ
จัดเต็ม!! บริดจสโตนเปิดบูทในงาน BMF2022 พร้อมโปรโดนใจไบค์เกอร์
บริดจสโตน ยางรถจักรยานยนต์มาตรฐานระดับโลก ยกทัพสินค้าครบทุกรุ่น ครอบคลุมทุกการใช้งาน พร้อมเปิดตัวยางรุ่นใหม่เอาใจสายแอดเวนเจอร์ – สายฝุ่น AT41 และ X31 โชว์นวัตกรรมสุดล้ำลิขสทธิ์เฉพาะบริดจสโตนเท่านั้น รวมทั้งรถหายากมาให้ชม ผู้สนใจสามารถเข้าชมและร่วมกิจกรรมตอบคำถามชิงรางวัล พร้อมรับโปรโมชั่นสุดพิเศษเฉพาะภายในเทศกาลคนรักมอเตอร์ไซค์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ “Bangkok Motorbike Festival 2022” ระหว่างวันที่ 27-29 พ.ค.2565 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 1 โซน Beacon (ใกล้กับ Starbucks ฝั่งอิเซตันเก่า) หรือติดตามรายละเอียดได้เพิ่มเติมที่ Facebook: Bridgestone Moto Thailand จัดเต็ม!! บริดจสโตนเปิดบูทในงาน BMF2022 พร้อมโปรโดนใจไบค์เกอร์ คุณตนัยศิริ ชาญวิทยารมณ์ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพซแม็กซ์ มอเตอร์สปอร์ต จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการของยางรถจักรยานยนต์บริดจสโตนในประเทศไทย เปิดเผยว่า บริดจสโตน ยางมาตรฐานระดับโลก ในปีนี้ได้ไปร่วมกิจกรรมในงาน Bangkok Motorbike Festival 2022 โดยยกทัพสินค้าครบทุกรุ่น ครอบคลุมทุกการใช้งาน พร้อมเปิดตัวยางรุ่นใหม่เอาใจสายแอดเวนเจอร์ – สายฝุ่น AT41 และ X31 โชว์นวัตกรรมสุดล้ำลิขสทธิ์เฉพาะบริดจสโตนเท่านั้น ทั้งนี้ ไฮไลท์สำคัญเป็นการเปิดตัวยางรุ่น X31 เป็นยางสำหรับสายลุยที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพให้นักแข่งMotocross หรือ จะใช้ท่องเที่ยวสายลุยป่าในวันหยุด ด้วยการใช้เทคโนโลยีเฉพาะของบริดจสโตน ส่วนยางรุ่นAT41 หรือ BATTLAX ADVENTURE TOURING AT41 เหมาะสำหรับไบค์เกอร์ที่เน้นสมรรถนะเดินทางไกลบนถนนดำ พร้อมลุยไม่กลัวฝน และยังคงความสามารถในการลุยบนเส้นทาง off road มาพร้อมกับดีไซน์ใหม่ ขมเข้ม ดุดันตามสไตล์ Adventure ผู้สนใจสามารถเข้าชมและร่วมกิจกรรมตอบคำถามชิงรางวัล รวมทั้งชมรถหายากมาให้ชมหลายรุ่น พร้อมรับโปรโมชั่นสุดพิเศษเฉพาะภายในเทศกาลคนรักมอเตอร์ไซค์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ “Bangkok Motorbike Festival 2022” ระหว่างวันที่ 27-29 พ.ค.2565 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 1 โซน Beacon (ใกล้กับStarbucks ฝั่งอิเซตันเก่า) หรือติดตามรายละเอียดได้เพิ่มเติมที่ Facebook: Bridgestone Moto Thailand
“ดีพร้อม มอเตอร์ โชว์”
ดีเกินคาด กระตุ้นเศรษฐกิจภูมิภาค จ.ลำปาง เงินสะพัดกว่า 225 ล้านบาท กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) แถลงความสำเร็จในการจัดงาน “ดีพร้อม มอเตอร์โชว์” (DIPROM MOTOR SHOW 2022) ยกระดับศักยภาพอุตสาหกรรมยานยนต์ในระดับภูมิภาค จังหวัดลำปาง ระหว่างวันที่ 9-16 กุมภาพันธ์ 2565 ที่ผ่านมาด้วยยอดจองและซื้อรถภายในงานกว่า 200 คัน พร้อมมอบรางวัลแก่ผู้โชคดีจากกิจกรรม “ซื้อรถ…ลุ้นรถ” เตรียมเดินหน้าส่งเสริมอุตสาหกรรมไมซ์ในพื้นที่ภาคเหนือ สนับสนุนผู้ประกอบการท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง สอดรับกับนโยบาย “ดีพร้อมแคร์” ขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศอย่างแข็งแกร่งและเป็นรูปธรรม ดร.ณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า “ตามนโยบายของท่านนายกรัฐมนตรีในการมอบ”ของขวัญปีใหม่ 2565” ให้กับประชาชน โดยดําเนินการภายใต้นโยบายทั้งหมด 4 ด้าน ได้แก่ 1) อํานวยความสะดวกและลดต้นทุนผู้ประกอบการ 2) เสริมสภาพคล่องทางธุรกิจ 3) ยกระดับผู้ประกอบการ และ 4) ดูแลเกษตรกรและประชาชนนั้น กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม จึงได้จัดมหกรรมแสดงสินค้า DIPROM MOTOR SHOW 2022 จําหน่ายรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และเครื่องจักรกลการเกษตรเพื่อกระตุ้น ฟื้นฟูเศรษฐกิจ และลดภาระให้ผู้บริโภค รองรับการเปิดประเทศหลังปิดประเทศเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 และเป็นของขวัญให้กับประชาชนโดยพัฒนาศูนย์ประชุมและแสดงสินค้าอุตสาหกรรมภาคเหนือของดีพร้อม ที่เรียกว่า DIPROM Meeting Industrial Conference and Exhibition Center (DIPROM MICE CENTER) จังหวัดลำปาง ให้รองรับการจัดประชุมนิทรรศการและจัดแสดงสินค้าอุตสาหกรรม ซึ่งมีบทบาทช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภูมิภาค ทั้งธุรกิจโรงแรม ธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจบริการต่างๆ ให้มียอดการเข้าพักและใช้บริการเพิ่มขึ้น ควบคู่ไปกับการยกระดับการเติบโตของอุตสาหกรรม ทั้งในระดับพื้นที่จังหวัดลำปาง ระดับภูมิภาคในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ และในระดับประเทศ”
Lexus Amazing Showcase
เลกซัสประเทศไทย ขอเชิญทุกท่านสัมผัสมหกรรมยนตรกรรมสุดหรู พร้อมทดลองขับและรับข้อเสนอสุดพิเศษในงาน “Lexus Amazing Showcase” ใน 3 จังหวัด ได้แก่ขอนแก่น ภูเก็ต เชียงใหม่ พบกันครั้งแรก ณ ลานโปรโมชั่น ชั้น 1 เซ็นทรัลขอนแก่น ระหว่างวันที่ 30 พฤษภาคม – 5 มิถุนายน 2565 หลังจากประสบความสำเร็จในงาน “Lexus Amazing Showcase” ที่สยามพารากอน เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ในครั้งนี้เลกซัสประเทศไทยนำสุดยอดยนตกรรมไฟฟ้า 100% สุดหรูจากเลกซัส UX 300e และรถยนต์เลกซัสอีกหลากหลายรุ่นไม่ว่าจะเป็น IS 300h ES 300h UX 250h และ RX 300 ไปให้ลูกค้าในภูมิภาคได้สัมผัสอย่างใกล้ชิด และสามารถทดลองขับได้อย่างเต็มที่ พิเศษสุดภายในงาน รับของที่ระลึกและข้อเสนอสุดพิเศษมากมายที่พลาดไม่ได้ ระหว่างวันที่ 30 พฤษภาคม – 5 มิถุนายน 2565 ณ ลานโปรโมชั่น ชั้น 1 เซ็นทรัลขอนแก่น · รับฟรี Diffuser จาก Jo Malone เมื่อจองรถภายในงาน* · รับฟรี Lexus Care Set (ชุดสเปรย์แอลกอฮอล์และหน้ากากผ้า) เมื่อลงทะเบียนทดลองขับ · ฟรี บริการพ่นฆ่าเชื้อภายในรถยนต์ เมื่อลงทะเบียนรับสิทธิ์ภายในงาน พิเศษ! สำหรับลูกค้าคนพิเศษผู้ครอบครองเลกซัส เพียงเข้าชมงานรับทันที Service Voucher มูลค่า 1,000 บาท พร้อมพบไฮไลท์สุดพิเศษ ในวันที่ 3 มิถุนายน 2565 ตั้งแต่เวลา18.00 น. กับมินิคอนเสิร์ต “บอย พีชเมคเกอร์” ที่เอ็กซ์คลูซีฟสำหรับลูกค้าเลกซัสเท่านั้น! THE ALL-ELECTRIC LEXUS UX 300e ยนตรกรรมรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรก ภายใต้แบรนด์“LEXUS ELECTRIFIED” Lexus UX 300e (100% All-Electric) ยนตรกรรมรถยนต์ไฟฟ้า 100% หรือ PURE-EV ที่ไม่มีเครื่องยนต์และไม่ใช้น้ำมัน ไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มาพร้อมกับสถาปัตยกรรมโครงสร้างตัวถังแบบใหม่ GA-C (Global Architecture-Compact Platform) โดยโครงสร้างตัวถังถูกออกแบบให้แข็งแกร่ง และมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ ให้การทรงตัวดีเยี่ยม และควบคุมรถได้ดั่งใจ UX 300e ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าให้พละกำลังสูงสุดถึง 150 กิโลวัตต์ หรือ 201 แรงม้า ผสานกับแบตเตอรี่แบบลีเทียม อิออน ให้อัตราเร่งได้ดั่งใจ 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายใน 7.5 วินาที ใช้แบตเตอรี่ความจุสูง 54 กิโลวัตต์–ชั่วโมง สามารถขับขี่ได้ไกลถึง 360 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง นอกจากนี้เลกซัส UX ยังมาพร้อมกับเครื่องยนต์ไฮบริดขนาด 2.0 ลิตร ในรุ่น UX 250h ที่ให้ประสิทธิภาพในอัตราการเร่ง และประหยัดน้ำมันได้ดีเยี่ยม Lexus IS 300h…สุดยอดสปอร์ตซีดานระดับหรู Lexus IS (Intelligent Sport) รถสปอร์ต ซีดาน ขับเคลื่อนล้อหลังหรูหราเหนือระดับ ที่ได้รับความนิยมจากลูกค้าทั่วโลก โดดเด่นด้วยดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยว และสปอร์ต สมรรถนะที่ ทรงพลัง เกาะถนนดีเยี่ยม ตอบสนองการควบคุมได้ดั่งใจ อัตราเร่งออกตัวที่ดี ซึ่งเป็นความมุ่งมั่นที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดของสมรรถนะการขับขี่ใน รูปแบบเดิม โครงสร้างตัวถังรถยนต์ที่ออกแบบมาอย่างยอดเยี่ยม โดยคำนึงถึงหลักอากาศพลศาสตร์ มอบประสบการณ์การขับขี่ที่สนุก เร้าใจ ให้กับผู้ขับขี่ได้ ดีไซน์ภายนอกออกแบบ ด้วยเส้นสายที่เฉียบคม โฉบเฉี่ยว ดุดัน กว้างขวาง และยาวขึ้น พร้อมล้อขนาดใหญ่ขึ้น ช่วยการเกาะถนนดีเยี่ยม บ่งบอกถึงความเป็นสปอร์ตซีดานได้เป็นอย่างดี Lexus ES “Refine Your Journey” สุนทรียภาพใหม่แห่งการเดินทาง Lexus ES (Executive Sedan) ยนตรกรรม ซีดานหรูที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง จากความโดดเด่นเรื่องความนุ่มนวลในการขับขี่ และความเงียบภายในห้องโดยสาร ในครั้งนี้ ES มาพร้อมกับ การออกแบบที่ลงตัวมากยิ่งขึ้นด้วย ไฟหน้าดีไซน์ใหม่รับกับกระจังหน้า Spindle Grille ดีไซน์ใหม่ เส้นสายที่ดูสปอร์ตเร้าใจ เสริมความเฉียบคมให้เข้ากับความหรูหราอย่างลงตัว ไฟหน้าแบบ 3-eye LED Headlamps มาพร้อมกับเทคโนโลยีBlade Scan Adaptive High-beam System ที่จะทำหน้าที่ปรับไฟสูง-ต่ำอัจฉริยะ ช่วยกระจายแสงไฟด้านหน้ารถได้อย่างแม่นยำ และละเอียดมากยิ่งขึ้น ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง มาพร้อมกับเบาะหลังปรับเอนได้ด้วยระบบไฟฟ้า และแผงควบคุมเอนกประสงค์บริเวณที่วางแขนกลางเบาะหลัง โดดเด่นด้วยความเงียบภายในห้องโดยสารอันเป็นเอกลักษณ์ของเลกซัส ทำให้ ES เป็นยนตรกรรมหรูสำหรับผู้บริหารอย่างแท้จริง Lexus RX “Unbounded Pleasure…สุนทรียภาพที่ไร้ขีดจำกัด” Lexus RX…
ฟอร์ด ประกาศราคาฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ครบทุกรุ่น
ฟอร์ดเปิดตัวฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ ทุกรุ่นหลักและรุ่นย่อยพร้อมกันอย่างเป็นทางการวันนี้ พร้อมนำเสนอประสบการณ์ลูกค้าแบบพร้อมเสมอ หรือ ‘Always-On’ ด้วยบริการแบบเฉพาะบุคคล ซึ่งประกอบไปด้วยนวัตกรรมบริการใหม่มากมายที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถเชื่อมต่อสื่อสารกับรถฟอร์ดของตนเองได้ตลอดเวลา ฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ ที่วางจำหน่ายในประเทศไทยมีทั้งหมด 20 รุ่น ได้แก่ เรนเจอร์ แร็พเตอร์, ไวลด์แทรค, สปอร์ต, XLT, XL+ และ XL พร้อมตอบโจทย์ทุกความต้องการใช้งานของลูกค้าได้อย่างเหนือชั้น ทั้งการขับขี่บนทางเรียบและออฟโรด รองรับการทำงาน การใช้ชีวิตกับครอบครัว หรือการเดินทางท่องเที่ยวพักผ่อน “เราตั้งใจที่จะพัฒนารถฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ ให้เป็นเพื่อนร่วมทางที่ลูกค้าให้ความไว้วางใจ เป็นรถกระบะที่ชาญฉลาดที่สุด อเนกประสงค์ที่สุด และสมบุกสมบันที่สุดตั้งแต่ที่เคยมีมาในตระกูลฟอร์ด เรนเจอร์ และเป็นรถกระบะที่คนทั่วโลกให้ความไว้วางใจว่าจะพร้อมลุยได้ในทุกสถานการณ์” นายวิชิต ว่องวัฒนาการ กรรมการผู้จัดการ ฟอร์ด ประเทศไทย กล่าว “นอกเหนือจากการเปิดตัวฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ ฟอร์ดยังมาพร้อมประสบการณ์ลูกค้าด้วยบริการแบบ ‘พร้อมเสมอ’ หรือ ‘Always-On’ ให้ลูกค้าสามารถเชื่อมต่อกับนวัตกรรมบริการในรูปแบบดิจิทัลและนวัตกรรมด้านบริการใหม่ๆ จากฟอร์ดอีกมากมาย” รถคู่ใจสำหรับการทำงาน เป็นรถครอบครัว และเดินทางท่องเที่ยว ฟอร์ดพัฒนาฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ ให้มาพร้อมฟีเจอร์ที่ลูกค้าต้องการ เพื่อให้เป็นรถที่พร้อมด้วยความอเนกประสงค์รอบด้านและสมรรถนะดีเยี่ยม ให้ลูกค้าออกไปใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่แบบไม่มีขีดจำกัด ฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ มาพร้อมตัวเลือกเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบเดี่ยว และเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบคู่ขนาด 2.0 ลิตร 4 สูบแถวเรียง ทำงานคู่กับเกียร์ธรรมดา 5 หรือ 6 สปีด และตัวเลือกเกียร์อัตโนมัติ 6 หรือ10 สปีด รุ่นย่อย XL เป็นรถกระบะรุ่นเริ่มต้นที่เหมาะสำหรับการใช้งานอย่างแท้จริง มาพร้อมตัวถัง 4 แบบ ได้แก่สแตนดาร์ดแชสซีส์แค็บ สแตนดาร์ดแค็บ โอเพนแค็บ และดับเบิ้ลแค็บ ในราคาเริ่มต้นที่ 554,000 บาท สำหรับการลุยงานสมบุกสมบัน ฟอร์ด เรนเจอร์ XL ยังมีรุ่นย่อย 4×4 ที่มากับเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบเดี่ยว 2.0 ลิตร ทำงานคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 สปีด มอบพละกำลังสูงสุด 170 PS และแรงบิด 405 นิวตันเมตร ด้วยสมรรถนะอันทรงพลังที่จะช่วยพิชิตงานท้าทายอันหลากหลาย ฐานล้อที่กว้างขึ้นทำให้รถมีพื้นที่กระบะท้ายกว้างขึ้น จึงสามารถวางพาเลทขนาดมาตรฐานได้พอดี ทั้งยังอัดแน่นด้วยฟีเจอร์มากมาย ที่ช่วยในการจัดวางสัมภาระและสิ่งของต่างๆ หรือเปลี่ยนกระบะท้ายให้เป็นพื้นที่ทำงานก็ได้ ฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ รุ่น XL สแตนดาร์ดแค็บ 4×4 ราคา 697,000 บาท อีกหนึ่งรุ่นย่อยสำหรับผู้ประกอบการคนรุ่นใหม่ ฟอร์ด เรนเจอร์ XL+ ตอนครึ่ง มาพร้อมราคาที่เข้าถึงได้699,000 บาท ฟอร์ด เรนเจอร์ XL+ ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบเดี่ยว 2.0 ลิตร ทำงานคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 สปีดอัดแน่นด้วยเทคโนโลยีรอบด้านที่ดีเยี่ยมในเซ็กเมนต์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอทัชสกรีนขนาดใหญ่ 10.1 นิ้ว ซึ่งมาพร้อมระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC4A® รุ่นล่าสุดของฟอร์ด ที่ไม่เพียงช่วยเชื่อมต่อการสื่อสารและความบันเทิงแต่ยังแสดงผลข้อมูลเกี่ยวกับรถได้อย่างชัดเจน โดยมีตัวเลือกสีภายนอก 4 สี ได้แก่ สีเงิน อลูมิเนียม เมทัลลิก สีดำแอบโซลูท แบล็ก สีน้ำเงิน บลู ไลท์นิ่ง และสีขาว อาร์กติก ไวท์ สำหรับรุ่นยอดนิยมอย่างรุ่น XLT ตอบโจทย์ลูกค้าที่มองหารถกระบะสำหรับการใช้งานแบบอเนกประสงค์มาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบเดี่ยว 2.0 ลิตร ทำงานร่วมกับเกียร์ธรรมดา หรือเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดมอบพละกำลัง 170 PS และแรงบิด 405 นิวตันเมตร โดดเด่นด้วยกระจังหน้าโครเมียมหรูหรา พร้อมไฟหน้าแอลอีดีรูปตัว C อันเป็นเอกลักษณ์ และไฟส่องสว่างสำหรับขับขี่เวลากลางวัน ฟอร์ด เรนเจอร์ XLT เป็นรถกระบะอเนกประสงค์ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ผู้ขับขี่ใช้ชีวิตกับครอบครัวและเดินทางท่องเที่ยวได้ลงตัว พร้อมเป็นรถคู่ใจที่พาคุณไปยังทุกจุดหมาย ขณะที่ฟีเจอร์อัจฉริยะเพื่อการเชื่อมต่อ อาทิ แท่นชาร์จไฟไร้สาย กล้องมองหลัง และช่องต่อ USB บนกระจกมองหลัง ยังมอบความสะดวกสบายให้ผู้ขับขี่ไปอีกขั้น ฟอร์ด เรนเจอร์ XLT มาพร้อม 5 รุ่นย่อยและตัวเลือกสีภายนอก 5 สี ได้แก่ สีเงิน อลูมิเนียม เมทัลลิก, สีเทา เมทิออร์ เกรย์ สีดำ แอบโซลูท แบล็กสีน้ำเงิน บลู ไลท์นิ่ง และสีขาว อาร์กติก ไวท์ ในราคาเริ่มต้นที่ 799,000 บาท นอกจากนี้ ฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ ยังมีรุ่นที่เผยโฉมไปแล้วเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ได้แก่ รุ่นไวลด์แทรค และรุ่นสปอร์ต รถกระบะที่มาพร้อมการเชื่อมต่ออันชาญฉลาด สมรรถนะที่เหนือระดับ และความอเนกประสงค์เพื่อใช้ในการทำงาน เป็นรถสำหรับครอบครัว และการท่องเที่ยวผจญภัย และยังมีรถกระบะสมรรถนะสูง ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ เจเนอเรชันใหม่ ที่มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบคู่ 3.0 ลิตร EcoBoost V6 ส่งมอบพละกำลัง 397 PS และแรงบิด 583 นิวตันเมตร เพื่อการขับขี่อย่างเหนือชั้นทั้งบนทางเรียบและออฟโรด ลูกค้าสามารถจองรถฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ ผ่านช่องทางออนไลน์บนเว็บไซต์ฟอร์ดwww.ford.co.th หรือที่ผู้จำหน่ายฟอร์ดทั่วประเทศ พร้อมทดลองขับและสัมผัสรถจริงได้ที่โชว์รูมฟอร์ด โดยฟอร์ดเรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ ทุกรุ่นยังมาพร้อมการรับประกันคุณภาพรถใหม่จากโรงงานนาน 5 ปี หรือ 150,000 กม. และฟรีประกันภัยชั้นหนึ่งในปีแรก ฟอร์ดทราบดีว่าลูกค้าชาวไทยชื่นชอบการแต่งรถด้วยอุปกรณ์เสริมให้ตรงใจตามสไตล์และตอบโจทย์การใช้งานของแต่ละบุคคล ฟอร์ดจึงนำเสนอแพคเกจและอุปกรณ์เสริม เช่น ชุดแผ่นโลหะกันกระแทกใต้ท้องรถเทคโนโลยีช่วยการขับขี่อัจฉริยะ และสติ๊กเกอร์ตกแต่งที่ได้รับการติดตั้งจากโรงงาน ในฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่เฉพาะรุ่น อีกขั้นประสบการณ์การเป็นเจ้าของรถฟอร์ด นอกเหนือจากการเปิดตัวฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ ฟอร์ดยังพร้อมตอกย้ำความมุ่งมั่นในการดูแลลูกค้าด้วยบริการหลังการขายที่ใส่ใจในทุกรายละเอียดแบบ ‘พร้อมเสมอ’ หรือ ‘Always-On’ ด้วยนวัตกรรมบริการมากมาย ด้วยแอปพลิเคชันฟอร์ดพาส ซึ่งมาพร้อมฟีเจอร์อัจฉริยะให้ลูกค้าเชื่อมต่อกับรถของตนได้ทุกที่ ช่วยให้ตรวจสอบข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับรถได้จากระยะไกล ไม่ว่าจะเป็นระดับน้ำมัน จุดที่รถจอดอยู่ การล็อคและปลดล็อค ไปจนถึงการสตาร์ทรถ หรือปรับอุณหภูมิภายในรถล่วงหน้าผ่านสมาร์ทโฟน นอกจากนี้ ลูกค้ายังเชื่อมต่อกับบริการของฟอร์ดผ่านแอปพลิเคชันฟอร์ดพาสได้ ไม่ว่าจะเป็นบริการนัดหมายผ่านช่องทางออนไลน์เพื่อจองเวลาเข้ารับบริการที่ศูนย์ ใช้บริการรับ-ส่งรถนอกสถานที่ หรือหน่วยบริการเคลื่อนที่ ฟอร์ดยังนำเสนอบริการจากผู้เชี่ยวชาญผลิตภัณฑ์ฟอร์ด ที่พร้อมให้คำปรึกษา ในกรณีที่ลูกค้ามีคำถามในการเลือกซื้อรถฟอร์ด เรนเจอร์ ให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตน หรือช่วยให้คำแนะนำแก่เจ้าของรถฟอร์ดเกี่ยวกับการใช้งานและฟีเจอร์ต่างๆ โดยลูกค้ารับบริการจากผู้เชี่ยวชาญผลิตภัณฑ์ฟอร์ดได้ผ่านหลากหลายช่องทาง ทั้งเว็บไซต์ www.ford.co.th หมายเลขคอลเซ็นเตอร์ โทร. 1383 และกล่องข้อความอัตโนมัติบนเฟซบุ๊กฟอร์ด ฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ ผลิตที่โรงงานฟอร์ด ไทยแลนด์ แมนูแฟคเจอร์ริ่ง (เอฟทีเอ็ม) และโรงงานออโต้ อัลลายแอนซ์ ประเทศไทย (เอเอที) ในจังหวัดระยอง เพื่อจำหน่ายในประเทศ และส่งออกไปยังตลาดสำคัญทั่วโลกกว่า 100 ประเทศ ประสบการณ์การขับขี่แบบไร้ขีดจำกัด ฟอร์ดเชิญชวนผู้ที่สนใจสัมผัสประสบการณ์การขับขี่แบบไร้ขีดจำกัดUnlimit Driving Experience ที่ ‘Ranger Camp’ ณ จังหวัดนครนายก ระหว่างวันที่ 3-5 และ 10-12 มิถุนายน 2565 ทดลองขับฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ ครบทุกรุ่น ในสนามออฟโรดจำลองสุดท้าทาย และใช้ชีวิตกลางแจ้งตามแบบเรนเจอร์ พร้อมสัมผัสสมรรถนะดีเยี่ยมและความอเนกประสงค์รอบด้านของฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ ที่พร้อมตอบโจทย์ทุกการใช้งาน ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.nextgenfordcamp.com
มินิ เปิดตัว 2 รุ่น
มินิ ประเทศไทย เดินหน้ารุกตลาดเซกเมนต์พรีเมียมคอมแพ็ค เปิดตัวมินิ 2 รุ่นล่าสุด มินิ คูเปอร์ เอส คลับแมน Untold Edition และ มินิ คูเปอร์ เอส คอนเวิร์ตทิเบิล Resolute Edition โดดเด่นด้วยการออกแบบภายในห้องโดยสารที่สวยงาม รูปลักษณ์ภายนอกสุดหรูที่ยังคงไว้ซึ่งความคลาสสิค และเครื่องยนต์ทรงพลัง ทั้ง 2 รุ่นยังพร้อมมอบประสบการณ์ใหม่ที่จะยกระดับการขับขี่สนุกสไตล์มินิ รวมถึงฟังก์ชั่นการใช้งานที่สามารถปรับแต่งได้ตามสไตล์เฉพาะตัวของผู้ขับขี่ พร้อมให้เป็นเจ้าของแล้ววันนี้ ณ ผู้จำหน่ายมินิอย่างเป็นทางการ มินิ คูเปอร์ เอส คลับแมน Untold Editionราคาจำหน่าย : 3,299,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมโปรแกรมบำรุงรักษา MSI Standard) มินิ คูเปอร์ เอส คลับแมน Untold Edition เป็นรถยนต์พรีเมียมคอมแพ็คที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วยแนวหลังคาที่ทอดยาวสะท้อนถึงความสะดวกสบายในห้องโดยสาร ภายนอกโดดเด่นและสะกดทุกสายตาบนท้องถนนกับชุดแต่งแอโรไดนามิกส์ในสไตล์จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ สะท้อนภาพลักษณ์สุดโฉบเฉี่ยวและปราดเปรียว ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร มอบพละกำลังที่ 141 กิโลวัตต์ / 192 แรงม้า ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ได้ใน 7.2 วินาที และทำความเร็วได้สูงสุดถึง 228 กม./ชม. ภายนอกมาในสีเขียว Sage Green metallic พร้อมดีไซน์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ ตกแต่งด้วยลวดลาย Untold Edition ตั้งแต่ฝากระโปรงหน้ารถจรดหลังคา ซุ้มล้อและสเกิร์ตด้านล่างรอบคันมาในสีเขียวเข้มเสริมความโดดเด่นล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้วลาย Untold Spoke ในสีดำ Jet Black ตัดกับสี Refined Brass โดยสี Refined Brass นี้ยังเสริมเอกลักษณ์โดดเด่นรอบคัน ไม่ว่าจะเป็นบริเวณกระจังหน้าและตัวอักษร “Clubman” ที่ประตูท้าย ซึ่งการออกแบบรูปลักษณ์ของรถรุ่นนี้นั้นนอกจากจะสะท้อนถึงความสะดวกสบายในห้องโดยสารแล้ว ยังมาพร้อมกับประตูด้านท้ายรถที่สามารถเปิดปิดแยกซ้าย-ขวาได้ อุปกรณ์ภายในห้องโดยสารยังได้รับการตกแต่งพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นลวดลาย Untold Edition ที่บริเวณด้านล่างของก้านพวงมาลัยและพรมปูพื้นรถ ในขณะที่แถบไฟบริเวณแผงประตูและเบาะนั่งทรงสปอร์ต MINI Yours Leather Lounge ก็มาในสี Sage Green สุดเอ็กซ์คลูซีฟตัดกับเส้นด้ายสีฟ้าอ่อน และเพิ่มความสง่างามด้วยกรอบช่องแอร์สี Refined Brass ทำให้มินิ คูเปอร์ เอส คลับแมน Untold Edition โดดเด่นไม่เหมือนใคร นอกเหนือจากการออกแบบสุดพิเศษแล้ว มินิ คูเปอร์ เอส คลับแมน Untold Edition ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีล้ำสมัยเพิ่มความสะดวกสบายในการขับขี่ไม่ว่าจะเป็น ไฟหน้า Adaptive LED ระบบปรับโหมดการขับขี่ ระบบเครื่องเสียง Harman Kardon, MINI Head-Up-Display, ระบบ Wireless charging พร้อมกับแพ็คเกจConnected Navigation Plus แสดงผลผ่านจอคอนโซลกลาง ระบบสัมผัสแบบดิจิทัล 8.8 นิ้ว มีฟังก์ชั่นบริการMINI Connected บริการ Remote Services สามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน เพื่อใช้ Apple CarPlay ระบบนำทางและแอปพลิเคชันอื่น ๆ ได้อย่างง่ายดาย มินิ คูเปอร์ เอส คอนเวิร์ตทิเบิล Resolute Edition ราคาจำหน่าย : 3,090,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มพร้อมโปรแกรมบำรุงรักษา MSI Standard) รถยนต์เปิดประทุน 4 ที่นั่ง จากมินิถือเป็นรถเปิดประทุนระดับพรีเมียมที่มีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใครในเซกเมนต์รถยนต์ขนาดเล็ก โดยมินิ คูเปอร์ เอส คอนเวิร์ตทิเบิล Resolute Edition สะดุดตาด้วยรูปลักษณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟโดดเด่นเหนือใครทั้งตัวถังภายนอก ล้ออัลลอยน้ำหนักเบา การออกแบบภายในและชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ถ่ายทอดคาแร็คเตอร์ความเป็นมินิแบบดั้งเดิมไว้ได้อย่างเต็มเปี่ยม พร้อมให้อารมณ์ขับสนุกในสไตล์เปิดประทุนที่เป็นเสน่ห์เฉพาะตัวของมินิ สมรรถนะทรงพลังที่พร้อมเผชิญทุกเส้นทางท่ามกลางสายลมและแสงแดด ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร ให้พละกำลังที่ 141 กิโลวัตต์ / 192 แรงม้า เสริมด้วยเทคโนโลยี MINI TwinPower Turbo ที่ทำให้สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 7.1 วินาที ให้อารมณ์ขับสนุกเหมือนโลดแล่นอยู่ในสนามแข่ง ภายนอกของมินิ คูเปอร์ เอส คอนเวิร์ตทิเบิล Resolute Edition ตกแต่งด้วยลวดลายบนฝากระโปรงหน้าและที่กาบบันได ซึ่งมาในเส้นสายที่มีการไล่เฉดสีทองอ่อนไปจนถึงทองเข้มได้อย่างสวยงาม พร้อมสลักชื่อรุ่น“RESOLUTE” ไว้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เข้ากันได้ดีกับตัวถังภายนอกสีเขียว Rebel Green ที่ตัดกันกับสีดำและสีทอง ส่วนประกอบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกรอบไฟหน้า กระจังหน้า ช่องดักอากาศ กรอบไฟเลี้ยว มือจับประตู ฝาถังน้ำมัน มาในสี Resolute Bronze ที่ตัดกับฝาครอบกระจกมองข้างและหลังคาผ้าสีดำได้เป็นอย่างดี โดยในรุ่นResolute Edition ได้เสริมความสปอร์ตดุดันด้วยล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ลาย Pulse Spoke สีดำ การออกแบบด้วยลายเส้นสุดเอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะรุ่น Resolute Edition นี้ ยังถ่ายทอดมาสู่ภายในห้องโดยสาร รับกับเบาะนั่งโดยสารทรงสปอร์ต MINI Yours Leather Lounge ในสีดำ Carbon Black ผสมผสานกับไฟ Ambient Light สร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสาร ซึ่งมาเป็นมาตรฐานในมินิ คูเปอร์ เอส คอนเวิร์ตทิเบิลResolute…
เกรท วอลล์ มอเตอร์ ถอดรหัสความสำเร็จการดำเนินธุรกิจแนวใหม่
เกรท วอลล์ มอเตอร์ ร่วมแสดงวิสัยทัศน์การเป็นหนึ่งในองค์กรชั้นนำ ฝ่ากระแสความท้าทายยุค Disruption เข้าร่วมบรรยายใต้โครงการพัฒนาเสริมสร้างศักยภาพด้านการบริหารจัดการ หลักสูตร The Prospect : New World of Higher Education สำหรับผู้บริหารมหาวิทยาลัยสายวิชาการ (หัวหน้าภาค) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภายใต้หัวข้อ “Leadership in Disruptive Era” ซึ่งจัดขึ้นโดย คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี เพื่อร่วมถ่ายทอดประสบการณ์เพื่อนำไปพัฒนา ต่อยอดองค์ความรู้ และส่งมอบให้กับนิสิตผู้เปรียบเสมือนฟันเฟืองสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติ ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้า (xEV Leader) ของประเทศไทย การบรรยายภายใต้หัวข้อ Leadership in Disruptive Era โดย นายณรงค์ สีตลายน ปัจจุบันดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) ผู้คร่ำหวอดในวงการรถยนต์มากกว่า 25 ปี และมีประสบการณ์ทั้งด้านการขาย การตลาด บริการหลังการขาย การขยายเครือข่าย ตลอดจนการบริหารตัวแทนผู้จำหน่าย การบริหารแบรนด์ และการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้า ได้ถ่ายทอดถึงความสำเร็จในการสร้างให้เกรท วอลล์ มอเตอร์ เป็นที่รู้จักและก้าวขึ้นสู่การเป็นบริษัทยานยนต์ไฟฟ้าชั้นนำที่เข้ามาปลุกกระแสยานยนต์พลังงานไฟฟ้า (xEV) ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย หลังจากเปิดดำเนินการในประเทศไทยเพียง 1 ปีเท่านั้น คุณณรงค์ สีตลายน กรรมการผู้จัดการ เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า “ในฐานะตัวแทนจากเกรท วอลล์ มอเตอร์ รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับเกียรติจากทางคณะคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณาจารย์จากหลากหลายคณะกว่า 58 ท่าน ให้มีโอกาสได้เข้ามาพบปะ พูดคุย แลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำงานในการนำพาองค์กรฝ่ากระแสความท้าทายยุค Disruption เกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้เข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทยในปี 2564 ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งความท้าทาย และไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะก่อตั้งธุรกิจและสร้างแบรนด์ให้ประสบความสำเร็จ การเข้ามาของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการผลักดันสังคมยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทยไปอีกขั้น รวมถึงการปฏิวัติอุตสาหกรรมรถยนต์จากกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจที่เน้นการขึ้นสู่การเป็นผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้า (xEV Leader) การรับฟังเสียงของผู้บริโภค (Consumer Voice Focus) และการสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ (New User Experience) เกรท วอลล์ มอเตอร์ มีความพร้อมและยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้พูดคุยและแบ่งปันข้อมูลในหลากหลายมิติ อันจะเป็นประโยชน์ต่อทางมหาวิทยาลัยในการนำไปต่อยอดองค์ความรู้ และติดอาวุธทางความคิดให้กับนิสิตผู้ซึ่งจะก้าวเข้ามาเป็นฟันเฟืองสำคัญในการสร้างสรรค์เป็นระบบนิเวศของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในอนาคต ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานไฟฟ้าไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน” สำหรับเนื้อหาของการบรรยายภายใต้หัวข้อ “Leadership in Disruptive Era” นั้น ตอกย้ำถึงความสำเร็จของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ทั้งในประเทศไทย และในฐานะองค์กรชั้นนำระดับโลกที่สามารถฝ่ายุค Disruption ได้อย่างสง่างามนับตั้งแต่เริ่มต้นธุรกิจในประเทศจีนเมื่อปี 1984 โดยตลอดระยะเวลาเกือบ 40 ปีที่ผ่านมา เกรท วอลล์มอเตอร์ ได้มุ่งมั่นส่งมอบผลิตภัณฑ์ บริการ ตลอดจนเทคโนโลยี และนวัตกรรมอันล้ำสมัยให้กับลูกค้าอยู่เสมอ ด้วยจำนวนเครือข่ายศูนย์วิจัยและพัฒนากว่า 10 แห่ง ใน 7 ประเทศทั่วโลก ที่มุ่งเฟ้นหาและพัฒนาเทคโนโลยีด้านยานยนต์ใหม่ ๆ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับการผลิตรถยนต์ให้ทันสมัย ปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีแบตเตอรี่ เทคโนโลยีรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ ตลอดจนเทคโนโลยีแห่งอนาคตอย่างเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน การบรรยายยังได้เน้นย้ำถึงเทรนด์การเดินทางยุคใหม่ หรือ Smart Mobility ทั้ง 4 รูปแบบที่แบรนด์รถยนต์ต่างหันมาให้ความสำคัญอย่าง 1) ผลิตภัณฑ์อัจฉริยะ (Connected Product) 2) รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ(Autonomous Vehicles) 3) การแชร์การเดินทางและบริการเช่ารถรูปแบบต่างๆ (Car/Ride Sharing) และ 4) ยานยนต์พลังงานไฟฟ้าอัจฉริยะ (Electrification) เพื่อตอบรับกับความต้องการของผู้บริโภค อีกทั้งยังได้มีการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ในการผลักดันองค์กรให้สามารถฝ่ากระแสความท้าทายในยุค Disruption ในอีกหลากหลายมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทุกภาคส่วนต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับวิถีปกติใหม่ (New Normal) และเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นด้านการเดินทาง การขนส่งการบริการด้านการเงิน การบริการด้านสารสนเทศ รวมถึงความท้าทายด้านการศึกษาที่ข้อมูลและความรู้สามารถเข้าถึงได้ผ่านทางอินเทอร์เน็ต การเข้ามาดำเนินธุรกิจของเกรท วอลล์ มอเตอร์ ในช่วงปีที่ผ่านมาถือว่ามีความท้าทายเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการปรับตัวในฐานะผู้นำองค์กรในยุค Disruption ความท้าทายในฐานะผู้เล่นใหม่ในตลาด และกลยุทธ์ในการสร้างแบรนด์ รวมถึงการสร้างปรากฏการณ์ด้านยานยนต์ไฟฟ้าให้เกิดขึ้นในประเทศไทย โดยใช้ผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง (User-Centric) ของการดำเนินธุรกิจ รวมถึงการแนะนำรูปแบบการดำเนินธุรกิจแบบใหม่เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้บริโภค ผ่านกลยุทธ์หลัก 4 ด้านได้แก่ 1) ด้านผลิตภัณฑ์ 2) ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย3) ด้านสถานีชาร์จประจุไฟฟ้า และ 4) ด้านประสบการณ์ลูกค้า การพลิกโฉมโมเดลตัวแทนจำหน่ายจากรูปแบบเดิมๆ ให้เป็นพาร์ทเนอร์ที่เน้นการให้บริการ (Service Provider) ให้สามารถตอบสนองความต้องการลูกค้าได้อย่างครอบคลุม ผ่านการดำเนินงานรูปแบบ Online-to-Offline (O2O) ภายใต้นโยบายราคาเดียว (One Price Policy) รวมถึงถ่ายทอดคุณสมบัติการเป็นผู้นำที่จะพาองค์กรไปสู่ความเปลี่ยนแปลง ตลอดจนถอดบทเรียนปัจจัยสำคัญที่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับองค์กรได้อย่างประสบความสำเร็จ เพื่อตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในการผลักดันเกรท วอลล์ มอเตอร์ให้สามารถก้าวสู่การเป็นผู้นำยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศ โดยเพียง 1 ปีที่เข้ามาดำเนินงานในไทย เกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้สร้างแรงกระเพื่อมให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ยอดขายรถยนต์เกือบกว่า 4,000 คัน การขยายช่องทางการจัดจำหน่ายถึง 30 แห่ง การเพิ่มจำนวนผู้ดาวน์โหลดและใช้งาน GWM แอปพลิเคชันกว่า 50,000 ราย รวมถึงการเปิดโรงงานอัจฉริยะ (Smart Factory) แห่งแรกของภูมิภาคอาเซียนในไทยที่จังหวัดระยอง นอกจากนี้ ยังได้มีการกล่าวถึงปัจจัยความสำเร็จในการผลักดันให้เกิดการใช้ยานยนต์พลังงานไฟฟ้าของสาธารณรัฐประชาชนจีนในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นนโยบายสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าจากทางภาครัฐ สิทธิประโยชน์และแรงจูงใจต่าง ๆ รวมถึงการเดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศให้รองรับการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า โดยเกรท วอลล์ มอเตอร์ เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนนโยบายการขับเคลื่อนยานยนต์ไฟฟ้าของไทยอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการจับมือกับ 3 หน่วยงานการไฟฟ้าของไทยเพื่อการขยายและพัฒนาสถานีอัดประจุไฟฟ้า รวมถึงการเดินหน้าขยายสถานีอัดประจุไฟฟ้าทั้ง 3 รูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น G-Charge Supercharging Station สถานีชาร์จที่Partner Store รวมถึงการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจในการตั้งสถานีชาร์จ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการขยายสถานีอัดประจุไฟฟ้าทั้งสิ้น 55 แห่งภายในปีนี้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ในฐานะ “บริษัทที่ให้บริการเทคโนโลยีอัจฉริยะระดับโลก” (Global Intelligent Technology Company) ไม่เพียงจะมุ่งมั่นขับเคลื่อนเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของไทย แต่ยังให้ความสำคัญกับการถ่ายถอดองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่ในทุกมิติ พร้อมร่วมมือกับพันธมิตรภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อมอบความรู้ให้กับหลากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึงอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อพัฒนาระบบนิเวศของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานไฟฟ้าไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนตามแนวทางการยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยได้อย่างเป็นรูปธรรม
ส่งมอบ “The new EQS” ให้ ไพรม์มัส ออโต้เฮาส์ 1 ใน 4 แห่ง มาตรฐานของ เบนซ์
เมอร์เซเดส-เบนซ์ ย้ำความมุ่งมั่นในการเดินหน้าทำตลาดยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยด้วยการส่งมอบรถยนต์รุ่น “The new EQS” จำนวน 4 คันให้กับผู้จำหน่ายรถยนต์แบรนด์ Mercedes-EQ อย่างเป็นทางการทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ บริษัท เบนซ์บีเคเค กรุ๊ป จำกัด, บริษัท เบนซ์ พระราม 3 จำกัด, บริษัท ไพรม์มัส ออโต้เฮาส์ จำกัด และบริษัท ทีทีซี มอเตอร์ จำกัด ตอบรับกระแสความสนใจของผู้ใช้รถในไทยที่มีต่อยานยนต์ไฟฟ้าระดับลักชัวรีรุ่นใหม่จากเมอร์เซเดส-เบนซ์ พร้อมสนับสนุนการทำการตลาดของผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ มร.โรลันด์ โฟล์เกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส–เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “หลังจากเมอร์เซเดส-เบนซ์ได้เปิดตัว The new EQS ยานยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นแรกในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ และได้รับกระแสตอบรับอย่างล้นหลาม โดยมีลูกค้าแสดงความสนใจผ่านช่องทางดิจิทัล (digital leads) มามากกว่า 500 รายทั้งที่งานมหกรรมยานยนต์และการจัดงานเปิดตัวพิเศษที่เซ็นทรัลเวิลด์และเอ็มโพเรียมในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ในวันนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนการทำการตลาดของผู้จำหน่าย Mercedes-EQ อย่างเป็นทางการในประเทศไทย พร้อมทั้งสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าที่ให้ความสนใจในยานยนต์ไฟฟ้าจากเมอร์เซเดส-เบนซ์ เราจึงประกาศส่งมอบรถยนต์รุ่น EQS จำนวน 4 คัน ซึ่งประกอบด้วย The new EQS 450+ AMG Premium และ The new EQS 450+ Edition 1 และจะมีเข้ามาอีกอย่างต่อเนื่องเพื่อเสริมความแข็งแกร่งกับให้กับผู้จำหน่ายแบรนด์ Mercedes-EQ อย่างเป็นทางการทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ บริษัท เบนซ์บีเคเค กรุ๊ป จำกัด, บริษัท เบนซ์ พระราม 3 จำกัด, บริษัท ไพรม์มัส ออโต้เฮาส์ จำกัด และบริษัท ทีทีซี มอเตอร์ จำกัด เพื่อให้ลูกค้าได้เข้ามาสัมผัสตัวจริงของยนตรกรรมแห่งอนาคตคันนี้ พร้อมทั้งทำความรู้จักนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าระดับลักชัวรีจากแบรนด์ Mercedes-EQ อย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น” ทั้งนี้ ภายใต้นโยบายระดับโลกของเมอร์เซเดส-เบนซ์ กรุ๊ป เอจี แบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์เตรียมพร้อมก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มตัวทั่วโลก โดยปรับกลยุทธ์จาก“รถยนต์ไฟฟ้านำ” (electric-first) เป็น“รถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น” (electric-only) ภายในทศวรรษนี้ โดยสำหรับในประเทศไทย เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้ประกาศเปิดตัว “The new EQS” ยานยนต์ไฟฟ้า 100% คันแรกอย่างเป็นทางการในช่วงปลายที่ผ่านมาและได้รับเสียงตอบรับที่ดีเยี่ยมจากลูกค้าและผู้คนในอุตสาหกรรมยานยนต์ เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังได้ประกาศความพร้อมในการผลิตและจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าคันนี้ภายในประเทศไทย ทั้งหมดนี้คือการสานต่อความมุ่งมั่นระยะยาวของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในการขับเคลื่อนเทรนด์ e-mobility เพื่อร่วมสร้างสภาวะแวดล้อมที่ดีขึ้น ซึ่งเมอร์เซเดส-เบนซ์ได้ริเริ่มไว้ ทั้งการเปิดตัวโครงการ “Charge to Change” ที่เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2563 พร้อมไปกับการนำเสนอ นวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่จะทยอยออกมาให้ผู้บริโภคทั้งในไทยและทั่วโลกได้เห็นนับจากนี้ ต่อยอดจากความเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์PHEV ระดับลักชัวรีด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลายในแต่ละเซกเมนต์สูงสุด -The new EQS 450+ AMG Premium วางจำหน่ายในราคา 8,570,000 บาท และ -The new EQS 450+ Edition 1 วางจำหน่ายในราคา 8,870,000 บาท ลูกค้าที่สนใจสามารถเข้าเยี่ยมชมและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ “The new EQS” ได้ที่โชว์รูมของผู้จำหน่าย Mercedes-EQ อย่างเป็นทางการทั้ง 4 แห่ง และสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับรถยนต์รุ่นอื่น ๆ จากเมอร์เซเดส-เบนซ์ที่ผู้จำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์อย่างเป็นทางการทั่วประเทศ
บีเอ็มดับเบิลยู คว้า 2 รางวัลใหญ่
จากเวที “สุดยอดนวัตกรรมสินค้าและบริการแห่งปี 2565” BMW ตอกย้ำตำแหน่งผู้นำตลาดรถยนต์พรีเมียมไทย มร.เอริค รูเก้ กรรมการผู้จัดการ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย รับมอบรางวัล “สุดยอดนวัตกรรมสินค้าและบริการแห่งปี 2565” ซึ่งจัดขึ้นโดยนิตยสาร Business+ และวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล โดยมี ฯพณฯ นุรักษ์ มาประณีต องคมนตรี เป็นประธานมอบรางวัล บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ตอกย้ำตำแหน่งผู้นำตลาดรถยนต์พรีเมียมไทยอย่างต่อเนื่อง จากการคว้ารางวัลใหญ่ล่าสุดจากเวที “สุดยอดนวัตกรรมสินค้าและบริการแห่งปี 2565” (Product Innovation Awards 2022) ประเภทผลิตภัณฑ์กลุ่มยานยนต์ โดยในปีนี้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย คว้ารางวัลมาครองได้ทั้งหมด 2 รางวัล ด้วยบีเอ็มดับเบิลยู X1 sDrive20d M Sport กับรางวัลรถยนต์อเนกประสงค์หรูหราระดับต้น และมินิ คูเปอร์เอสอี กับรางวัลรถยนต์ไฟฟ้าพรีเมียมระดับต้น รางวัลดังกล่าวสะท้อนแนวทางการดำเนินงานของบริษัทในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ดีที่สุด พร้อมการส่งมอบนวัตกรรมยานยนต์ล้ำสมัยเพื่อผู้บริโภคอย่างแท้จริง นอกจากนี้ รางวัล “สุดยอดนวัตกรรมสินค้าและบริการแห่งปี 2565” ยังเป็นสิ่งที่ยืนยันให้เห็นถึงความเชื่อมั่นจากผู้บริโภคซึ่งรวมถึงตัววัดผลด้านความพึงพอใจของลูกค้า หรือ NPS Score ที่เพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยบีเอ็มดับเบิลยูยังคงยึดหลักการให้ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง พร้อมนำเสนอยนตรกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่องรวมถึงการผสานนวัตกรรมทางดิจิทัลในการให้บริการ เพื่อเป็นทางเลือกที่เหมาะสมและหลากหลายให้แก่ลูกค้า ที่สำคัญ ยังคงมุ่งมั่นในการเป็นองค์กรที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนและรับผิดชอบต่อสังคม รางวัล “สุดยอดนวัตกรรมสินค้าและบริการแห่งปี 2565” เป็นรางวัลซึ่งจัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างนิตยสาร Business+ ในเครือบริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) และวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อมอบรางวัลแห่งความสำเร็จให้กับแบรนด์ที่สามารถพัฒนาสินค้าหรือบริการจนเกิดเป็นนวัตกรรม สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้ โดยมีการคัดเลือกทั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิและการโหวตจากผู้บริโภครวม 28 รางวัล ใน 10 ประเภทสินค้าและบริการ โดยรางวัลที่บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ได้รับนั้นพิสูจน์ให้ถึงความนิยมของลูกค้าชาวไทยที่มีต่อรถยนต์ทั้งสองรุ่นเป็นอย่างดี สำหรับรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู X1 sDrive20d M Sport เป็นรถยนต์อเนกประสงค์ SAV มาพร้อมกับดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ ผสานกับประสิทธิภาพและความอเนกประสงค์ที่ดีที่สุด โดยรถยนต์รุ่นดังกล่าวได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากกลุ่มลูกค้าที่วัยรุ่นที่มีความทันสมัยและกระตือรือร้น เพียบพร้อมด้วยด้วยประสิทธิภาพเหนือระดับกว่ารถยนต์ทุกคันในประเภทเดียวกัน ผสานความพึงพอใจในการขับขี่จากบีเอ็มดับเบิลยูซึ่งขึ้นชื่อด้านฟังก์ชันการใช้งานที่โดดเด่นและเทคโนโลยีล้ำสมัย ด้วยลักษณะเฉพาะของการขับขี่ที่แตกต่าง ระบบสาระบันเทิงที่ครบครัน และการเชื่อมต่ออย่างไร้ขีดจำกัดกับ BMW ConnectedDrive ซึ่งได้รับการอัปเดตล่าสุด จึงทำให้บีเอ็มดับเบิลยู X1sDrive20d M Sport ครองความเป็นผู้นำในตลาดมาได้อย่างต่อเนื่อง บีเอ็มดับเบิลยู X1 sDrive20d M Sport ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังดีเซล 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร ส่งกำลังสูงสุด140 กิโลวัตต์/190 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,500 รอบต่อนาทีโดดเด่นด้วยพื้นที่ภายในห้องโดยสารที่กว้างขวางและที่เก็บสัมภาระความจุ 505 ลิตรซึ่งสามารถขยายได้มากถึง1,550 ลิตร จอแสดงผล Control Display ขนาด 10.25 นิ้ว สามารถควบคุมผ่านปุ่ม BMW iDrive ระบบสั่งงานด้วยเสียงหรือจอระบบสัมผัส ส่วน มินิ คูเปอร์ เอสอี ได้ผสมผสานความรู้สึกโกคาร์ทในตำนานเข้ากับการออกแบบที่โดดเด่น มอบคุณภาพระดับพรีเมียมที่มาพร้อมกับการขับขี่แบบไร้มลพิษ จากแนวคิดผลิตภัณฑ์ดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่าผู้ขับขี่รถยนต์มินิทั้งชายและหญิงส่วนใหญ่มีความเป็นตัวของตัวเอง แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของชุมชนใหญ่ของผู้ขับขี่ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมด้วย นอกเหนือจากการขับขี่ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์แล้ว ประสบการณ์ของผู้ขับขี่ในการใช้จอแสดงผลและระบบควบคุมนวัตกรรมในรถยนต์มินิ ยังเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเพิ่มความสนุกในการขับขี่ตามแบบฉบับของแบรนด์ได้เป็นอย่างดี ยิ่งไปกว่านั้น การเชื่อมต่ออย่างราบรื่นกับสมาร์ทโฟนยังช่วยให้ลูกค้ามินิสามารถใช้ชีวิตแบบดิจิทัลได้อย่างเต็มรูปแบบในระหว่างการขับรถ ส่งผลให้รถยนต์ไฟฟ้า มินิ คูเปอร์ เอสอี เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ครองแชมป์ในตลาดยานยนต์ไฟฟ้ากลุ่มพรีเมียม PHEV และ BEV ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดรวมกว่า 32.9% ในปีที่ผ่านมา มินิ คูเปอร์ เอสอี เป็นรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 100% จากมินิรุ่นแรก ส่งพละกำลังสูงสุด 135 กิโลวัตต์ / 184 แรงม้า ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าจึงสามารถส่งแรงบิดสูงสุด 270 นิวตันเมตรได้ทันทีที่เท้าแตะคันเร่งแม้จากรถหยุดนิ่ง ส่งความเร็วจาก 0 ถึง 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 3.9 วินาที และสามารถเร่งความเร็วจากหยุดนิ่งได้ถึง100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 7.3 วินาที มินิ คูเปอร์ เอสอี ทำความเร็วสูงสุดได้ 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนในการวิ่งได้ระยะทางสูงสุดราว 203 – 234 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน WLTP)