การสัมภาษณ์บุคคลที่มีส่วนสำคัญ ในการประชาสัมพันธ์ต่อสื่อมวลชน ถึงเรื่องราวของ เมอร์เซเดส เบนซ์ ณ วันนี้ ต้องยกให้กับบุคคลผู้นี้ คุณอัชฌ์ บุณยประสิทธิ์ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการตลาดและสื่อสารองค์กร บริษัท เมอร์เซเดส เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด โดยท่านผู้นี้กล่าวในรายการมอเตอร์สเรดิโอ ในคลื่น FM101 เมื่อเร็วๆ นี้
“ถ้าพูดถึงตลาดรถยนต์หรู ทั้งหมดอาจจะสวนกระแสเศรษฐกิจบ้านเรา เพราะการเติบโตขึ้นในระดับที่น่าพึงพอใจ ส่วนทางด้าน เมอร์เซเดส เบนซ์ ถือว่ามียอดขายเพิ่มขึ้นแบบ ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ตั้งแต่เราทำตลาดมาแต่ต้นปี 60 เปิดอีคลาส กับอีคลาส ไฮบริด รวมไปถึง GLC คูเป้ ก็ได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดี”
แล้วกลุ่มรถเอสยูวี ของ เบนซ์ ขายดีหรือไม่?
“ต้องบอกอย่างนี้ครับ รถที่ขายดีที่สุดไม่ใช่ เอสยูวี แต่เป็นรถในกลุ่มไฮบริดปลั๊กอินมากกว่า คือ เกินครึ่งที่เราขาย เป็นรถยนต์ในกลุ่มพลังงานทางเลือก ไฮบริด ปลั๊กอิน เป็นหลัก”
มองกันกว่ารถกลุ่มญี่ปุ่นมากกว่าที่น่าจะทำไฮบริด และไฮบริดปลั๊กอินก่อน เบนซ์
“คงต้องบอกว่า ปลั๊กอิน ไฮบริด ไม่ได้หวังว่าจะเป็นรถประหยัดน้ำมันอย่างเดียว แต่มันแรงด้วย ต้องวางแผนการใช้ของรถ เพราะต้องชาร์จไฟฟ้า เพื่อนำพลังงานนั้นมาใช้ วางแผนการใช้งานที่ดี รถเบนซ์ ที่มีสมรรถนะสูงๆ เมื่อก่อนนี้ ราคาค่อนข้างจะสูงมาก ตั้งแต่ราคา 14-20 ล้านบาท ซึ่งเดี๋ยวนี้ รถสมรรถนะสูง แรงม้าร่วม 400 แรงม้า แต่ราคาไม่ได้สูงอย่างนั้น เพราะใช้พลังงานไฟฟ้ามาร่วมเพิ่มกำลัง จึงแรงและมีราคาประหยัดลงไปได้เยอะ”
ความประหยัดหรือสมรรถนะมาก่อนกัน
“มีคนขับรถเบนซ์ ไฮบริด ปลั๊กอิน ในเมือง แล้วไม่เคยชาร์จไฟเลย ก็จะถือว่าไม่ประหยัด เพราะไม่มีไฟฟ้ามาช่วยเป็นพลังงานทดแทน หรือเสริมกำลังเข้าไป เค้าใช้งานรถที่ชาร์จไฟได้แต่ไม่ชาร์จก็ไม่มีผลกับการประหยัด แต่สมรรถนะยังดีเหมือนเดิม แต่ถ้าบางคนรู้จักวางแผนการใช้รถ เช่น ที่ทำงานกับบ้านห่างกันไม่เกิน 20 กิโลเมตร เค้าก็ซื้อที่ชาร์จเพิ่มอีกอัน คือ ชาร์จที่บ้านเสร็จแล้วขับไปทำงาน แล้วตอนทำงาน ก็ชาร์จไฟฟ้าในรถ ไฮบริด ปลั๊กอิน เข้าไป แล้วก็ขับกลับบ้าน อย่างนี้ประหยัดแน่นอน เพราะเคยมีลูกค้า เบนซ์ ถ่ายรูปลงในเฟสบุ๊ค ว่าใช้งานรถมาหมื่นกว่ากิโลเมตร สามพันกิโลเมตร เป็นส่วนที่ใช้น้ำมัน ส่วนอีกเจ็ดพันกิโลเมตร เป็นการใช้งานมอเตอร์ไฟฟ้า ฉะนั้น มันย่อมประหยัดแน่นอน แต่ความแรงก็เพิ่มขึ้นด้วย ต้องจัดโหมดชีวิตดีๆ อย่างไรก็ดี เบนซ์ มีเอสคลาสที่เป็นเครื่อง วี6 สูบ 3000 ซีซี เครื่องยนต์ใหญ่ ไฮบริด ปลั๊กอิน แต่ไม่ต้องชาร์จเลยก็ได้ เพราะใช้งานในเมืองก็สิ้นเปลืองอยู่ที่ 15-16 กิโลเมตรต่อลิตรเอง”
เมอร์เซเดส เบนซ์ ประเทศไทย แบ่งรถออกเป็นประเภทอย่างไร?
“เบนซ์ แบ่งรถเป็นประเภท รถเครื่องยนต์ธรรมดา กับเครื่องยนต์ ไฮบริด ปลั๊กอิน แน่นอนว่าสัดส่วนการขาย ตอนนี้ ถือว่ากินส่วนแบ่งทางการตลาด ครึ่งต่อครึ่ง แต่อย่างไรก็ดี คนส่วนใหญ่ที่เข้าใจเทคโนโลยี และตื่นเต้นกับรถไฟฟ้า เข้าใจว่าระบบใหม่จะมาแทนระบบเก่า รถแบบเดิมจะไม่มีแล้ว ต้องขอบอกว่า เบนซ์ ยังคงขายรถแบบเดิม ที่เป็นเครื่องยนต์ล้วนๆ อยู่เหมือนเดิม ส่วนไฮบริดปลั๊กอินก็ขายกันไป คือ ทำตลาดทั้งสองแบบ หรือแบบไฮเพอร์ฟอร์แมนซ์ อย่างกลุ่มพวก เอเอ็มจี ก็ทำตลาดเดินตามๆ กันไป”
สำหรับ GLA ตัวใหม่เป็นอย่างไรบ้าง
“อย่างแรกเลย GLA เป็นรถปรับโฉมใหม่เนื่องจากมีอายุอานามครบ 4 ปี จึงต้องมีการปรับโฉมใหม่ เพราะถ้าจะเอานิวโมเดลเลยก็ต้องว่ากันที่ 7 ปี แต่การแต่งหน้าทาปากครั้งนี้ ไฟหน้าแบบใหม่ กระจังใหม่ ไฟท้ายใหม่ เพิ่มออฟชั่น เทคโลโลยีก็มาก เพื่อความทันสมัยมากขึ้น เครื่องยนต์แบ่งได้เป็น 3 เครื่องยนต์ เริ่มต้นจากรุ่น GLA 200 เป็นเครื่องยนต์ 1.6 เทอร์โบ ให้กำลังแรงม้า 156 แรงม้า กำลังเพียงพอ แต่ราคา 2,090,000 บาท หลายคนบอกว่าเบนซ์ มีราคานี้ด้วยหรือ? มีสิครับเริ่มต้นกันด้วยตัวนี้ ส่วนตัวต่อมา คือ GLA 250 แรงขึ้นมาอีกนิด ใช้เครื่องยนต์ 2.0 เทอร์โบ ให้กำลัง 251 แรงม้า ราคา 2,390,000 บาท เป็นราคาที่ขายอยู่เดิม ปรับโฉมแล้ว เทคโนโลยีเพิ่มขึ้นด้วย ก็ยังคงราคาเดิมไว้ ส่วนตัวท็อป ตัวแรงเลย คือ รุ่น AMG GLA45 เป็นรถยนต์เครื่อง 2.0 เทอร์โบ 4 สูบแถวเรียงที่แรงสุดในโลก เพราะมีกำลังถึง 381 แรงม้า ระบบขับเคลื่อนโฟร์เมติก คือ ขับเคลื่อน 4 ล้อ ราคาอยู่ที่ 4,840,000 บาท คือ เราทำตลาดทั้งรุ่นเล็กราคาประหยัด รุ่นกลาง และรุ่นใหญ่ที่มีกำลังสูงๆ สมรรถนะมากๆ ครบครัน คือ ตัวท็อปนี้ถ้าติดปีก ก็บินได้เลยล่ะครับ(พูดด้วยอารมณ์ขันพร้อมหัวเราะไปด้วย)”
สุดท้าย ในช่วงขณะที่สัมภาษณ์ คุณอัชฌ์ บุณยประสิทธิ์ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการตลาดและสื่อสารองค์กร บริษัท เมอร์เซเดส เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ทาง เมอร์เซเดส เบนซ์ เองก็มีการจัดรายการ สตาร์เฟส เป็นกิจกรรมโรดโชว์ เพื่อนำรถทุกรุ่นของ เมอร์เซเดส เบนซ์ ไปโชว์ตามเมืองใหญ่ๆ ทั่วประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น กรุงเทพฯ ขอนแก่น สุรินทร์ ภูเก็ต เชียงใหม่ เป็นต้น