บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด หนึ่งในผู้นำด้านพลังงานและน้ำมันระดับโลก สานต่อเจตนารมณ์การอยู่เคียงข้างคนไทยผสานกำลังกับพันธมิตรทุกภาคส่วน เปิดตัวโครงการ “ขับรถบรรทุกปลอดภัย สร้างทักษะใหม่กับเชลล์” หรือ “ Shell Road Safety Skills Training” เป็นโครงการอบรมการขับรถบรรทุกปลอดภัยเพื่อพัฒนาและยกระดับทักษะผู้ขับรถบรรทุกตามมาตรฐานสากลสอดรับกับความต้องการของอุตสาหกรรมบริการขนส่งสินค้าทางถนน และส่งเสริมให้สังคมไทยเป็นสังคมแห่งความปลอดภัยอย่างยั่งยืน เปิดการอบรมฟรีให้กับผู้สนใจเข้าร่วมโครงการจำนวน 500 คน ซึ่งจะได้รับการฝึกอบรมทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ตามหลักสูตรการสอนขับรถเพื่อการขนส่งจาก “โรงเรียนสอนขับรถทักษะพิพัฒน์” ภายใต้การดูแลของบริษัท เอสซีจีโลจิสติกส์ แมนเนจเม้นท์ จำกัด ซึ่งอยู่ภายใต้การรับรองจากกรมการขนส่งทางบกโครงการ “ขับรถบรรทุกปลอดภัย สร้างทักษะใหม่กับเชลล์” จะเริ่มเปิดรับสมัครในวันที่ 15 ตุลาคม 2564 –31 ธันวาคม2564 หรือจนกว่าจะมีผู้สมัครครบจำนวน คุณปนันท์ ประจวบเหมาะ ประธานกรรมการ บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า “เชลล์ตระหนักดีถึงความสำคัญของผู้ขับรถบรรทุกผู้เปรียบเสมือนฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ จึงได้จัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมศักยภาพของผู้ขับรถบรรทุก และตอกย้ำความมุ่งมั่นในการส่งเสริมความปลอดภัยบนท้องถนนซึ่งมีกิจกรรมหลายอย่างอย่างต่อเนื่องมาหลายปี อย่างไรก็ตามในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 นี้ เชลล์นอกจากจะให้ความช่วยเหลือด้านสุขภาพกับหลายๆ หน่วยงานแล้ว เรายังตระหนักดีถึงความเดือดร้อนของภาคสังคมจากผลกระทบทางเศรษฐกิจ จึงได้ริ่เริ่มจัดโครงการ “ขับรถบรรทุกปลอดภัย สร้างทักษะใหม่กับเชลล์” ซึ่งเกิดขึ้นจากความร่วมมือกับกรมการขนส่งทางบก และ เอสซีจี กรุ๊ป เป็นการเดินหน้าตามยุทธศาสตร์ “Powering Progress” ด้วยการผนึกความร่วมมือและสร้างคุณค่าให้กับพันธมิตรทุกภาคส่วน โดยมีเป้าหมายสำคัญคืออบรมและพัฒนาศักยภาพด้านทักษะการขับรถบรรทุกเพื่อการขนส่งในระดับต่างๆ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมให้สังคมไทยปลอดภัยและพัฒนาศักยภาพของผู้ขับรถบรรทุกตามมาตรฐานสากล เพื่อสร้างอาชีพ เพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ให้กับครอบครัว โครงการนี้จะช่วยยกระดับทักษะให้กับผู้ที่มีพื้นฐานขับรถบรรทุกตั้งแต่รถขนาดเล็กไปจนถึงรถบรรทุกขนาดใหญ่ รวมถึงเปิดโอกาสให้กับบุคคลทั่วไปซึ่งมีใบขับขี่รถยนต์และได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ก็สามารถสมัครเข้าร่วมการอบรม เพื่อสร้างโอกาสทางอาชีพให้กับตนเองในอนาคตได้อีกด้วย” รายละเอียดการฝึกอบรมมี 2 หลักสูตร คือ 1.หลักสูตรสอนขับรถขนส่งสำหรับผู้ขอรับใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถขนส่งชนิดที่ 2 ผู้สมัครต้องเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตขับรถยนต์ชนิดที่ 1 มาแล้ว เพื่อให้สามารถขับรถเพื่อขนส่งทางการค้า และใช้ขนส่งเพื่อรับจ้างหรือประกอบธุรกิจการขนส่งได้รวมเวลาเรียน 30 ชั่วโมง และ 2.หลักสูตรการสอนขับรถขนส่งสำหรับผู้ขอรับใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถขนส่งชนิดที่ 3 ซึ่งต้องเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตขับรถขนส่งชนิดที่ 2 มาแล้ว รวมเวลาเรียน 26 ชั่วโมง ผู้เข้าอบรมจะได้รับการอบรมและสอบใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถขนส่งทั้งภาคปฏิบัติและภาคทฤษฎีรวมเวลา 4 วันพร้อมที่พักและอาหารฟรี ที่โรงเรียนสอนขับรถทักษะพิพัฒน์ จังหวัดสระบุรี เริ่มฝึกอบรมตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 เป็นต้นไป ผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดและสมัครได้ที่ โทร. 098-8321525 หรือ line add @shellroadsafety ตั้งแต่วันที่15 ตุลาคม ถึง 31 ธันวาคม 2564 หรือ จนกว่าจะมีผู้สมัครครบจำนวน
Author: GIANT Autosawasdee
“อีซูซุ” มอบความห่วงใย
อีซูซุ จัดแคมเพจ์นบริการหลังการขายช่วยเหลือลูกค้าผู้ประสบภัยน้ำท่วมทั่วประเทศ กลุ่มตรีเพชรโดย คุณวิชัย สินอนันต์พัฒน์ กรรมการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด เปิดเผยว่า “จากสถานการณ์น้ำท่วมในปัจจุบัน เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อน และช่วยเหลือลูกค้าอีซูซุที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย อีซูซุจึงขอมอบส่วนลดค่าแรงและค่าอะไหล่ 30% (ยกเว้น อุปกรณ์ประดับยนต์ แบตเตอรี่รถยนต์ และยางรถยนต์) พร้อมบริการตรวจเช็กสภาพรถฟรี ให้กับรถอีซูซุที่ได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วม ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 – 30 พฤศจิกายน 2564 ที่ศูนย์บริการมาตรฐานอีซูซุทั่วประเทศ” ลูกค้าอีซูซุสามารถนัดหมายล่วงหน้าก่อนเข้ารับบริการได้ที่ศูนย์บริการอีซูซุทั่วประเทศ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนลูกค้าสัมพันธ์ 0-2118-0777 ติดตามข่าวสารของอีซูซุเพิ่มเติมได้ที่ www.isuzu-tis.com หรือ LINE: @isuzuthai
ออลนิว อีซูซุมิว-เอ็กซ์
อีซูซุเดินหน้าลุยตลาดรถช่วงปลายปี โชว์ศักยภาพ “ใหม่! พลานุภาพ…ไร้ขีดจำกัด” เผยโฉมรถรุ่นใหม่ครบทุกรุ่นเข้มขึ้น ดุขึ้น นำโดย “ใหม่! อีซูซุดีแมคซ์” ตอกย้ำตัวตนใหม่ภายใต้แนวคิด “MY NEW ID..MY NEW ISUZU D-MAX” ขับเคลื่อนความสมบูรณ์แบบในทุกองศา มาพร้อมเอกลักษณ์ สีเทาโอเพคใหม่! (Islay Gray Opaque) เทรนด์สีใหม่ของวงการยานยนต์โลก “ใหม่! อีซูซุเอ็กซ์-ซีรี่ส์” แรงทะลุไมล์…เร้าใจสไตล์เอ็กซ์ ปรับเพิ่มลุคสปอร์ตยิ่งขึ้น และรถอเนกประสงค์สุดหรู “ออลนิว อีซูซุมิว-เอ็กซ์” ที่เติมเต็มฟังก์ชั่นความปลอดภัยใหม่ในระบบ ADAS โดย “ใหม่! อีซูซุดีแมคซ์” และ “ใหม่! อีซูซุเอ็กซ์-ซีรี่ส์” มีกำหนดเปิดตัวตนใหม่ครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคมศกนี้ และ “ออลนิว อีซูซุมิว-เอ็กซ์” ตั้งแต่วันที่ 18 ตุลาคมศกนี้ เป็นต้นไป ณ โชว์รูมอีซูซุทั่วประเทศ กลุ่มตรีเพชร โดย มร.โทชิอากิ มาเอคาวะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด เผยว่า “รถใหม่ในปลายปีนี้ของอีซูซุเป็นรุ่นไมเนอร์เชนจ์ที่มีการปรับโฉมใหม่ให้เข้มขึ้น ดุขึ้น เริ่มจากอีซูซุดีแมคซ์ ยอดยนตรกรรมปิกอัพระดับ Top Class ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากมายทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ เนื่องจากเป็นรถที่มีการพัฒนาแบบไร้ขีดจำกัด สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นในทุกครั้งที่มีการแนะนำรถรุ่นใหม่ และยังคงกระแส “ดีแมคซ์ฟีเวอร์” นับตั้งแต่การเปิดตัวครั้งแรกในโลกที่เมืองไทย ต่อเนื่องถึงการเปิดตัว “ออลนิว อีซูซุดีแมคซ์ พลานุภาพ…พลิกโลก” เมื่อปลายปี พ.ศ. 2562 หรือแม้แต่ปัจจุบันที่ตลาดรถยนต์หดตัวลงจากสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 ส่งผลให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อรถยากขึ้น อีซูซุดีแมคซ์ก็ยังคงเป็นที่ต้องการของผู้ใช้รถในเมืองไทยเนื่องจากความโดดเด่นในเรื่องของสมรรถนะ ความคุ้มค่าเงินสูงสุดและภาพลักษณ์ใหม่ซึ่งดูทันสมัย สำหรับรถปิกอัพรุ่นล่าสุด “ใหม่! อีซูซุดีแมคซ์ พลานุภาพ…ไร้ขีดจำกัด” สร้างสรรค์ภายใต้แนวคิด “MY NEW ID..MY NEW ISUZU D-MAX” ตัวตนใหม่ที่เป็นคุณ ด้วยการเลือกรถคู่ใจที่ช่วยค้นหาตัวตนใหม่ที่ไร้ขีดจำกัด พร้อมสนุกไปกับการใช้ชีวิตที่มีความหลากหลายควบคู่ไปกับการใช้งานได้อเนกประสงค์ โดยมาพร้อมสีเทาโอเพคใหม่! (Islay Gray Opaque) เทรนด์สีใหม่ของวงการยานยนต์โลก ที่มีคุณสมบัติพิเศษให้มุมมองสีหลากหลายมิติ ไล่ระดับจากเทาประกายมุกจรดเทาเข้ม แตกต่างตามมุมตกกระทบของแสง น่าค้นหา ท้าทายทุกสายตา ซึ่งสีพิเศษนี้มีให้เลือกใน “ใหม่! อีซูซุดีแมคซ์” ทุกรุ่น นอกจากนี้ยังมี “ใหม่! อีซูซุเอ็กซ์–ซีรี่ส์” ปิกอัพสไตล์สปอร์ตเท่ที่มาพร้อมชุดแต่งจัดเต็ม ซึ่งครั้งนี้ได้เพิ่มความสปอร์ตให้โดดเด่นยิ่งขึ้นอีก ทั้งในรุ่น SPEED ให้อารมณ์เรซซิ่งสุดร้อนแรง และรุ่น HI-LANDER สปอร์ตพรีเมี่ยม แฝงเรซซิ่งสปิริตภายใต้ความเรียบหรู สะดวกสบาย และ “ออลนิว อีซูซุมิว–เอ็กซ์” ที่เปิดตัวเมื่อปลายปีที่แล้ว โดยมาพร้อมระบบความปลอดภัยที่เหนือชั้น ตลอดจนระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ADAS (Advanced Driver Assistance Systems) โดยเพิ่มเติมฟังก์ชั่นความปลอดภัย ใหม่! Turn Assist with AEB ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติเมื่อมีรถสวนทางขณะเลี้ยวขวา อีกขั้นของความมั่นใจในทุกการเดินทาง โดยรถแต่ละรุ่นจะเปิดตัวต่อเนื่องตลอดเดือนตุลาคม” “ใหม่! อีซูซุดีแมคซ์ พลานุภาพ…ไร้ขีดจำกัด” ได้รับการปรับแต่งให้มีเอกลักษณ์โดดเด่นและแตกต่างกันในแต่ละรุ่น สะท้อนภาพลักษณ์ใหม่แห่งความสปอร์ตหรู ยกระดับความพรีเมี่ยม สู่มาตรฐานใหม่ของรถปิกอัพระดับ TOP CLASS สีเทาโอเพคใหม่! (Islay Gray Opaque) เทรนด์สีใหม่ของวงการยานยนต์โลก นอกจากนี้ยังมีจุดปรับเปลี่ยนพิเศษในแต่ละรุ่น ได้แก่ รถธงรุ่นล่าสุด ใหม่! อีซูซุวี-ครอส 4×4 (NEW! ISUZU V-CROSS 4×4) พรีเมี่ยมสปอร์ตออฟโรดที่มาพร้อมความแรงจัด ขับสนุกเร้าใจของเครื่องยนต์ 3.0 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์ เติมเต็มความเข้มดุสไตล์สปอร์ตทรงพลังในทุกมิติของรถด้วย ใหม่! กระจังหน้าแบบ Double Dimensions ดีไซน์แบบทูโทน สีเทาดำ และ Black Chrome พร้อมไฟท้าย ดีไซน์โทนสีเข้ม ใหม่! Front Bumper Guard สีทูโทน พร้อมชุดแต่งสีเทาดำรอบคันที่กระจกมองข้าง ราวหลังคา มือจับประตู บันไดข้าง Fender Lip, Robust Extender เพิ่มความดุดัน ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ดีไซน์ใหม่! แบบ Robust Radius สี Matte Black ห้องโดยสารอารมณ์ใหม่ ผสานความเท่ สปอร์ต และหรูหรา ด้วยดีไซน์ High-Class & Sporty เน้นสีแบบทูโทน ดำ-น้ำตาลคอนโซลหน้าสีดำ เบาะคู่หน้าดีไซน์ใหม่ เดินด้ายสีน้ำตาลอย่างพิถีพิถัน และพวงมาลัยสัมผัสใหม่ สีทูโทน พร้อมออกแบบให้มิติห้องโดยสารกว้างขวาง โอ่อ่า แบบ Sharp Horizontal Layers คมเข้ม เล่นระดับกับแผงข้างประตู ที่เติมเต็มอารมณ์ด้วยวัสดุตกแต่งพรีเมี่ยม สี Brown Cafe และ Satin Silver เพิ่มความสปอร์ตหรู เหนือระดับไปอีกขั้น และจัดวางสิ่งอำนวยสะดวกสบายตามหลัก Usability Design เน้นการใช้งานที่หลากหลาย พร้อมระบบความบันเทิงสมบูรณ์แบบของ ISUZU Ultimate Entertainment ใหม่! อีซูซุดีแมคซ์ (NEW! ISUZU D-MAX) รุ่น CAB 4, HI-LANDER และ SPACECAB เอกลักษณ์แห่งดีไซน์ที่หรูหรา สะดวกสบาย ตอบรับทุกเป้าหมาย ทุกการใช้งานในทุกด้านของการใช้ชีวิต เท่ เต็มอารมณ์สปอร์ต ด้วย ใหม่! กระจังหน้าแบบ Double Dimensions ดีไซน์แบบทูโทน สี Chrome และ Dark…
BMW รุ่นพิเศษ R nineT Urban G/S “40 Years GS Edition”
หลังจากเปิดตัวตระกูลบีเอ็มดับเบิลยู R nineT ใหม่ไปได้ไม่นาน บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ประเทศไทย เอาใจแฟน ๆ บิ๊กไบค์ในไทย เพื่อร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 40 ปีของบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ในตระกูล GS กับตำนานแห่งการทัวร์ริ่งในแบบเอ็นดูโร ด้วยการเผยโฉมบีเอ็มดับเบิลยู R nineT Urban G/S รุ่น “40 Years GS Edition” มอเตอร์ไซค์รุ่นพิเศษในดีไซน์เฉพาะที่ผสานสีดำและสีเหลืองได้อย่างโดดเด่น ซึ่งนำมาสู่ตลาดไทยเพียง 9 คันเท่านั้นพร้อมให้จับจองได้แล้วที่ผู้จำหน่ายบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด อย่างเป็นทางการทั่วประเทศ มร.มิเกล ญาเบรส-โปห์ล ผู้อำนวยการ บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และผู้นำเข้าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า “มอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ตระกูล GS เป็นรุ่นที่สร้างชื่อเสียงไปทั่วโลก จากแอฟริกาสู่เอเชียกลาง ในฐานะผู้บุกเบิกรถมอเตอร์ไซค์แบบดูอัลสปอร์ต ทั้งยังเปี่ยมด้วยความแข็งแกร่ง รูปลักษณ์อันทรงพลังและโดดเด่น เหมาะกับการขับขี่ในทุกเส้นทางไม่ว่าจะเป็นออฟโรดและบนท้องถนน ตลอดระยะเวลา 40 ปีที่ผ่านมา บีเอ็มดับเบิลยูตระกูล GS เป็นที่รู้จักในฐานะมอเตอร์ไซค์ที่ให้ประสบการณ์แห่งความท้าทายและค้นหาการผจญภัยครั้งใหม่ ๆถือเป็นมอเตอร์ไซค์สำหรับนักแสวงหาตัวจริง และยังครองใจนักบิดชาวไทยสายแอดเวนเจอร์อีกด้วย เพื่อเฉลิมฉลองการผจญภัยตลอดสี่ทศวรรษซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เราได้ชื่นชมกับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของบีเอ็มดับเบิลยูตระกูล GS ที่นำไปสู่การเดินทางอันน่าจดจำ และสร้างแรงบันดาลใจในการผจญภัยอย่างต่อเนื่อง จนขับเคลื่อนสู่การขับขี่ที่เปี่ยมด้วยนวัตกรรม บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ประเทศไทย จึงนำตำนานแห่ง GS กลับมาอีกครั้งด้วยรุ่นพิเศษ บีเอ็มดับเบิลยู R nineT Urban G/S รุ่น “40 Years GS Edition” กับโฉม “Bumblebee” ของบีเอ็มดับเบิลรุ่น R 100 GS พร้อมยกระดับขุมพลังและเสริมการขับขี่ที่สนุกสนานยิ่งขึ้น ” บีเอ็มดับเบิลยู R nineT G/S รุ่น “40 Years GS Edition” ยังคงการออกแบบอันเป็นตำนานไว้ด้วยชุดแต่ง Option 719 ทั้งฝาครอบกระบอกสูบ เบาะหนังสีดำและเหลือง แฮนด์การ์ดสีเหลือง และท่อร่วมชุบโครเมียม สะท้อนถึงความใส่ใจในรายละเอียด พร้อมด้วยสมรรถนะของการเป็นมอเตอร์ไซค์ออฟโรดที่สมบูรณ์ทั้งรูปลักษณ์และการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นล้อซี่ลวดลาย Cross Spoke II ยางออฟโรด และท่อไอเสียยกสูงในแบบScrambler เติมเต็มรูปลักษณ์และสื่อถึงความเป็นมาของ GS ตลอด 40 ปีที่ผ่านมา บีเอ็มดับเบิลยู R nineT G/S “40 Years GS Edition” สืบทอดเอกลักษณ์ในตระกูล GS ด้วยเครื่องยนต์บ็อกเซอร์ระบายความร้อนด้วยอากาศ/น้ำมัน ที่ได้รับการพัฒนาให้มีคุณสมบัติที่สอดคล้องตามมาตรฐานมลพิษ EU-5 ส่งพละกำลังสูงสุด 80 กิโลวัตต์ (109 แรงม้า) ที่ 7,250 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 116 นิวตันเมตรที่ 6,000 รอบต่อนาที หัวฉีดแบบใหม่ทำงานเข้าจังหวะกับระบบระบายความร้อนยิ่งขึ้น วาล์วปีกผีเสื้อและฝาครอบหัวฉีดได้รับการออกแบบใหม่ ปรับโฉมให้โดดเด่นกว่าเดิม บีเอ็มดับเบิลยู R nineT G/S “40 Years GS Edition” ยกระดับความสมดุลแห่งการขับขี่ด้วยโหมด Pro ซึ่งติดตั้งมาเป็นมาตรฐานใน R nineT Urban G/S ทุกรุ่น นอกจากนี้ โหมด Dirt ยังช่วยให้ผู้ขับขี่ใช้ระบบควบคุมการยึดเกาะถนน(Dynamic Traction Control) และระบบป้องกันการลื่นไถลของล้อหลัง (MSR) ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น มอบประสบการณ์การขับขี่แบบสปอร์ตในทุกสภาวะพื้นถนน เช่นเดียวกับใน R nineT รุ่นใหม่ ๆ นอกจากเครื่องยนต์จะถูกปรับแต่งมาให้ตอบสนองได้ฉับไวเต็มพิกัดแล้ว ระบบ DTC จะทำงานร่วมกับเบรก ABS Pro เพื่อให้สามารถเร่งความเร็วบนท้องถนนได้อย่างมั่นใจ ด้วยแรงเสียดทานที่เพิ่มการยึดเกาะถนน ส่วนจังหวะที่เบรกพร้อมกับลดเกียร์ บีเอ็มดับเบิลยู R nineT G/S “40 Years GS Edition” ก็ยังเสริมความปลอดภัยด้วยระบบป้องกันการลื่นไถลของล้อหลัง (MSR) ซึ่งทำงานด้วยการควบคุมแรงบิดของเครื่องยนต์ ส่วนระบบกันสะเทือนใหม่ มาพร้อมกับสปริงที่มีอัตราการยุบตัวแตกต่างกันไปตามแรงกดที่ได้รับ (WAD) จึงทำให้ทรงตัวได้มั่นคงและเพิ่มความสบายในการขับขี่ไปพร้อมกัน นอกจากนี้ ตัวรถยังรองรับการตั้งค่าสปริงด้วยตัวเองอย่างง่ายดายด้วยปุ่มหมุนที่เพิ่มเข้ามา เพื่อลุคที่ทันสมัยยิ่งขึ้น R nineT Urban G/S “40 Years GS” ยังเติมความโฉบเฉี่ยวด้วยไฟเลี้ยวที่กลมกลืนไปกับตัวรถ จะมองเห็นเฉพาะเมื่อเปิดไฟเท่านั้น ขณะที่ชุดไฟหน้า LED มาพร้อมไฟส่องสว่างตอนกลางวันและไฟเลี้ยวสีขาวในตัว พร้อมเพิ่มความสะดวกสบายขณะเดินทางด้วยช่องเสียบสายชาร์จ USB ที่ติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน บีเอ็มดับเบิลยู R nineT G/S “40 Years GS Edition” พร้อมให้เป็นเจ้าของแล้วในราคา 899,000 บาท สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.bmw-motorrad.co.th หรือติดต่อผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการของบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ทั่วประเทศ
อีซูซุรับรางวัล “แบรนด์น่าเชื่อถือสูงสุดแห่งปี”
รางวัล Thailand’s Most Admired Brand พร้อมรางวัลพิเศษ “Greenovation Brand Award” ที่รถยนต์ อีซูซุ ได้รับ นับเป็นรางวัลแห่งความสำเร็จ ที่เป็น “แบรนด์น่าเชื่อถือสูงสุดแห่งปี” คุณวิชัย สินอนันต์พัฒน์ กรรมการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด รับมอบรางวัลเกียรติยศ “แบรนด์รถปิกอัพที่น่าเชื่อถือสูงสุดประจำปี 2564” (Thailand’s Most Admired Brand 2021) ซึ่งเป็นผลจากการทำวิจัย “2021 Thailand’s Most Admired Brand & Why We Buy?” โดยนิตยสาร BrandAge ซึ่งเป็นผลจากการสำรวจและวิจัยความน่าเชื่อถือของแบรนด์ รวมถึงปัจจัยที่ทำให้เกิดการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคทั่วประเทศ โดย “แบรนด์อีซูซุ” ได้รับคะแนนความน่าเชื่อถือเป็นอันดับ 1 ในหมวดยานยนต์ กลุ่มประเภทรถปิกอัพ นอกจากนี้ยังได้รับรางวัล “Greenovation Brand Award” ซึ่งเป็นการคัดเลือกแบรนด์ที่มีความโดดเด่นมากเป็นพิเศษซึ่งมีนวัตกรรมด้านสิ่งแวดล้อมสู่สังคมเสมอ และมีบทบาทสำคัญในกิจกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมต่างๆอีกด้วย
Idemitsu Super Turbo Thailand 2021
เจอกันอีกครั้งปีหน้า ปลายปียังคงสนุกสนานเช่นเดิมกับการแข่งมาราธอน 12 ชั่วโมง ปิดฉากความยิ่งใหญ่ ศึกรถยนต์ทางเรียบชั้นนำของเมืองไทย รายการ Idemitsu Super Turbo Thailand 2021 ผ่านการแข่งขันสนามที่ 3 , 4 และ 5 ซึ่งเป็น 3 สนามสุดท้ายของปีอย่างยิ่งใหญ่ที่ พีระ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต พัทยา จังหวัดชลบุรี วันที่1-3 ตุลาคม 2564 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ในการผ่อนปรนให้มีการรายการแข่งขัน แบบมีผู้ชมครั้งนี้ ก็อยู่ภายใต้มาตรการเข้มข้นของกระทรวงสาธารณสุขด้านการควบคุมโรคโควิด-19 ต้องมีการตรวจเช็คอุณหภูมิของร่างกาย และทดสอบเชื้อในสารคัดหลั่งของผู้เข้าชม ผู้จัดงาน นักแข่ง นักข่าว ทีมช่าง ผู้ติดตาม ทุกวันที่ทำการแข่งขัน ทำให้การแข่งขันเป็นไปด้วยดี อีกทั้ง ฟ้าฝน ยังเป็นใจ หยุดตก 3 วันรวด ทำให้ไม่ต้องการมีการหยุดการแข่งขันเนื่องจากแทรคแข่งขันลื่น Super Turbo Tha และ Super Turbo D1 รุ่นแข่งขันใหญ่เบิ้มสุด ก็ต้องเป็นไฮไลต์รุ่นนี้ ทั้ง Super Turbo Tha และ Super Turbo D1เป็นการแข่งขันในรุ่นที่มีคลาสสูงสุดของไทยอย่าง Super Turbo Tha ก็จะแรงสุด ตามมาด้วยรุ่น Super Turbo D1 ในสองรุ่นนี้ มีการออกสตาร์ตพร้อมกัน นอกจากการแข่งขันในรุ่น แล้วยังเป็นการวัดกันที่อันดับในโอเวอร์ออลอีกด้วย ที่ต้องเดินทางมาตัดสินแชมป์กันในช่วง 3 สนามสุดท้ายเพราะคะแนนไม่ทิ้งห่างกันมากนัก โดยสนาม 3 มีขึ้นช่วงสายวันเสาร์ ที่ผ่านมา วีระกาจ ดอกจันทร์ จาก WORLD PUMPS RACING TEAM อาศัยช่วง 5 รอบสุดท้าย ไล่แซงขึ้นเป็นผู้นำ และเข้าป้ายเป็นคันแรก ด้วยเวลา 15 นาที 49.258 วินาที เหนือ ชัญญบุศย์ ธนะพาสุข จาก CFON RACING TEAM อันดับ 2 เพียง 1.525 วินาที ส่วน มาวิ่น บุญอิต ดาวรุ่งจาก IDEMITSU STAR PERFORMANCE จบเรซในอันดับ 3 ตามหลังแชมป์ 5.995 วินาที ส่วนสนาม 4 ผู้ชนะเป็นของ มาวิ่น ด้วยเวลา 15 นาที 52.395 วินาที เฉือน ชัญญบุศย์ อันดับ 2 เพียง 0.840 วินาทีเท่านั้น ตามด้วยแชมป์รุ่นใหญ่อย่าง วีระกาจ ตามหลัง 4.450 วินาที ขณะที่เกมในเรซที่ 5 ปรากฏว่า ชัญญบุศย์ ที่เข้าป้ายคันแรกด้วยเวลา 17 นาที 54.095 วินาทีเหนือ มาวิ่น อันดับ 2 อยู่ 3.122 วินาที ส่วน วีระกาจ จบเรซอันดับ 3 ตามหลัง 19.810 วินาที ผ่านการแข่งขันสนามสุดท้ายของปี แชมป์ประจำฤดูกาลนี้ในคลาส Super Turbo Tha เป็นของ วีระกาจ ที่เก็บแต้มมากถึง 109 คะแนน ส่วนอันดับ 2 เป็นของ สิทธิโชค ขอนยาง จาก TT…
นิสสัน มั่นใจ อี-พาวเวอร์ รับประกันแบตเตอรี่ 10 ปี
นิสสัน ประเทศไทย มั่นใจในเทคโนโลยีอี-พาวเวอร์ ที่สามารถมอบประสบการณ์การขับขี่ของรถยนต์ไฟฟ้าให้ลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ ส่งแคมเปญ Worry-Free ด้วยความมั่นใจในคุณภาพจากประสบการณ์ และความเป็นผู้นำเทคโนโลยียานยนต์พลังงานไฟฟ้ามานานกว่า 74 ปี ยืนยันด้วยรางวัลเทคโนโลยียอดเยี่ยมแห่งปี นิสสัน มั่นใจมอบแคมเปญ Worry-Free รับประกันรับประกันแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน10 ปี ไม่จำกัดระยะทาง เพราะผู้สนใจรถยนต์พลังงานไฟฟ้ามักจะกังวลเกี่ยวกับราคาของแบตเตอรี่ แต่สำหรับนิสสันที่มีความเชี่ยวชาญในรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ยังมอบการรับประกันระบบ e-POWER 5 ปี หรือ 100,000 กม. (แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน) นอกจากนี้ลูกค้ายังสามารถคืนรถได้ภายใน 30 วัน นับจากวันที่ลูกค้ารับรถ ตามเงื่อนไขที่กำหนดของบริษัทฯ นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอพิเศษอื่นๆ อีกมากมายภายใต้แคมเปญ Worry-Free เช่น บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนนตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง และเช็กระยะ 10 ครั้ง ตั้งแต่ 10,000-100,000 กิโลเมตร ฟรีกับแพ็คเกจSAVESAFE แพลตตินั่ม
ฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชั่นใหม่ ‘ไว้ลาย’
หนึ่งในกระบวนการพัฒนารถของฟอร์ด คือการนำรถออกวิ่งทดสอบบนถนนจริงเพื่อให้มั่นใจว่ารถกระบะคันนี้จะตอบโจทย์การใช้งานจริงของลูกค้า ฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชั่นใหม่ ที่กำลังจะเข้าสู่ขั้นตอนการวิ่งทดสอบบนถนนจริงจึงได้รับการตกแต่งพิเศษเพื่อโอกาสนี้โดยเฉพาะ มร.ลี อิมรี และทีมงานผู้ออกแบบลายพรางทรงสี่เหลี่ยมได้แรงบันดาลใจมาจากรถต้นแบบ ฟอร์ด บรองโก อาร์ โดยใช้เทคนิคลวงสายตาเพื่อปกปิดรายละเอียดการออกแบบภายนอกที่ยังเป็นความลับขั้นสุด จนกว่ารถจะเผยโฉมครั้งแรกในช่วงปลายปีนี้ ขณะเดียวกัน ผู้สัญจรจะสามารถสังเกตเห็นรถกระบะคันนี้บนท้องถนนได้อย่างเด่นชัดแม้กระทั่งในเวลากลางคืนด้วยสีและลวดลายสะท้อนแสง แม้จะยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดของการออกแบบทั้งหมด แต่เราก็ไม่ได้ปิดบังว่านี่คือ ฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชั่นใหม่ อย่างที่คุณเห็นได้จากแฮชแท็ก #NextGenRanger และคิวอาร์โค้ดที่อยู่บนลายพรางนี้ และโปรดติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมจากฟอร์ด เร็วๆ นี้
‘มิชลิน’ ขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืน
มิชลิน ด้วยจุดยืนองค์กรในเรื่อง “เศรษฐกิจหมุนเวียน” (Circular Economy) ซึ่งเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าสูงสุดและลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมให้อยู่ในระดับต่ำที่สุด อันเป็นหนึ่งในแนวทางเพื่อขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ “ความยั่งยืนทุกด้าน” (All Sustainable) ให้เป็นจริง ล่าสุด ‘มิชลิน’ ได้จับมือเครือข่ายสังคมลดขยะ Less Plastic Thailand สนับสนุนโครงการ “แยกขวด ช่วยหมอ” รณรงค์ให้พนักงานร่วมบริจาคขวดพลาสติก PET เพื่อใช้ผลิตเป็นชุด PPE มอบให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ในพื้นที่สีแดงเข้ม ภายใต้โครงการดังกล่าวซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2563 จนถึงปัจจุบัน มิชลินได้ร่วมสมทบทุนในการผลิตชุด PPE จากเส้นใยพลาสติกเป็นเงินกว่า 300,000 บาท และบริจาคขวดพลาสติก PPE รวม 192 กิโลกรัม ซึ่งสามารถนำไปผลิตเป็นชุด PPE ได้ทั้งสิ้น 1,300 ชุด อนึ่ง กลุ่มมิชลินชูแนวคิด “เศรษฐกิจหมุนเวียน” เป็นกลไกขับเคลื่อนกลยุทธ์การเติบโตอย่างยั่งยืนขององค์กร โดยมุ่งทำตลาดสินค้าและบริการที่ทุกขั้นตอน…ตั้งแต่ออกแบบจนสิ้นสุดวงจรชีวิต…ช่วยลดการใช้ทรัพยากร รวมทั้งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมน้อยที่สุด ตามแนวทาง “4R” ซึ่งประกอบด้วย Reduce (การลด), Reuse (การใช้ซ้ำ), Recycle (การแปรรูปกลับมาใช้ใหม่) และ Renew (การใช้วัตถุดิบหมุนเวียน) นอกจากนี้ ที่ผ่านมามิชลินในประเทศไทยยังได้สนับสนุนโครงการด้านสิ่งแวดล้อมร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ตลอดจนริเริ่มโครงการต่าง ๆ และจัดกิจกรรมรณรงค์ในหมู่พนักงานอย่างต่อเนื่องภายใต้แนวคิด “เศรษฐกิจหมุนเวียน” อาทิ โครงการติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาโรงงานมิชลิน (Solar Roof) เพื่อลดการใช้พลังงานไฟฟ้า, โครงการรณรงค์ลดการใช้พลังงานไฟฟ้าและการใช้กระดาษในสำนักงานของมิชลิน, โครงการบริจาคกล่องกระดาษใช้แล้วเพื่อนำไปรีไซเคิลผลิตเป็นเตียงสำหรับโรงพยาบาลสนามที่รองรับผู้ป่วยโควิด-19 เป็นต้น
เกรท วอลล์ มอเตอร์ รุกตลาดอาเซียนเต็มสูบ
เกรท วอลล์ มอเตอร์ เปิดเกมรุกตลาดยานยนต์อาเซียนอย่างต่อเนื่องด้วยการเปิดตัวแบรนด์อย่างเป็นทางการในประเทศบรูไน นับเป็นประเทศที่ 2 ในภูมิภาคอาเซียน ต่อจากการเริ่มเข้ามาดำเนินธุรกิจในตลาดประเทศไทย ซึ่งในงานแถลงข่าวการเปิดตัวแบรนด์ที่ประเทศบรูไนนั้น ได้มีการประกาศนำรถยนต์ 2 รุ่นเรือธง ได้แก่ HAVAL H6 3rd Generationและ HAVAL JOLION มาเป็นทัพหน้าทำตลาด พร้อมเปิดพรีเซลรถยนต์ทั้ง 2 รุ่น ไปเมื่อวันที่ 6 – 7 สิงหาคม ที่ผ่านมาท่ามกลางสื่อมวลชนและพันธมิตรธุรกิจร่วมแสดงความยินดี มร.เอลเลียต จาง ประธาน เกรท วอลล์ มอเตอร์ ภูมิภาคอาเซียนและประเทศไทย กล่าวว่า “ประเทศบรูไนเป็นผู้ผลิตรวมถึงผู้ส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ของโลก เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้อุตสาหกรรมยานยนต์มีทิศทางการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วโลก ซึ่งส่งผลกระทบต่อยอดขายในเกือบทุกอุตสาหกรรม บรูไนเป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่มียอดขายรถยนต์เพิ่มขึ้น ตามการระบุของสหพันธ์ยานยนต์อาเซียน (AAF) โดยตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา (2563) มียอดขายรถยนต์เพิ่มขึ้น 14.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2562 หลังจากเกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยและวางแผนธุรกิจและสายการผลิตในประเทศไทยอย่างชัดเจน ขณะนี้เราพร้อมแล้วที่จะขยายตลาดสู่ ประเทศในอาเซียน ซึ่งเรามองว่าบรูไนเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีศักยภาพและความพร้อมในทุกด้าน การเปิดตัวของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ในบรูไนจึงนับเป็นการเปิดประตูสู่เส้นทางใหม่ในตลาดอาเซียนหลังจากได้มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทยไปเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และเราจะยังคงเดินหน้าพัฒนาและขยายฐานลูกค้าใหม่ในตลาดรถยนต์ทั่วโลกภายใต้กลยุทธ์โลกาภิวัฒน์ (Globalization) ด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและสร้างประสบการณ์ การบริการรูปแบบใหม่ โดยมีประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกรถยนต์พวงมาลัยขวาในภูมิภาคอาเซียน” การเปิดตัวแบรนด์ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ในประเทศบรูไน พร้อมรุกตลาดด้วยการพรีเซลรถยนต์ 2 รุ่น ได้แก่HAVAL H6 3rd Generation และ HAVAL JOLION ในคราวเดียวกันนั้น ถือเป็นกลยุทธ์การรุกตลาดอาเซียนที่น่าจับตา เป็นอย่างยิ่ง โดย HAVAL H6 3rd Generation เป็นรถเอสยูวีผลิตภัณฑ์รุ่นแรกที่พัฒนาขึ้นจาก GWM LEMON แพลตฟอร์มเทคโนโลยีแบบโมดูลอันชาญฉลาดและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ยกระดับสมรรถนะการขับขี่ด้วยเครื่องยนต์รุ่นใหม่ที่ให้พละกำลังสูงสุด 155 กิโลวัตต์ แรงบิดสูงสุด 325 นิวตันเมตร พร้อมด้วยระบบขับเคลื่อนอัจฉริยะที่ตอบโจทย์ความประหยัดและปลอดภัย เต็มเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพที่จะสร้างประสบการณ์การขับขี่ อันน่าหลงใหลในทุกเส้นทาง ในขณะที่ HAVAL JOLION ถือเป็นรถยนต์ SUV ที่เปิดตัวในฐานะ “รถยนต์คันแรกของคนรุ่นใหม่” ซึ่งสื่อถึงจิตวิญญาณอันอิสระในการเลือกสิ่งที่ดีที่สุด ด้วยความโดดเด่นของมิติตัวรถที่มีระยะฐานล้อยาวถึง 2,700 มิลลิเมตร และมีพื้นที่จัดเก็บเทียบเท่ากับรถเอสยูวีขนาดกลาง มีคุณสมบัติที่ตอบสนองการขับขี่ ในหลากหลายสภาพถนน และสามารถลดการใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มาพร้อมกับฟังก์ชั่น จอดรถอัตโนมัติ 360 องศา (360° automatic parking function) ที่ช่วยเพิ่มขีดความปลอดภัยในการขับขี่ รวมถึงสัมผัสประสบการณ์การขับขี่ที่ “หรูหรา สะดวกสบาย และชาญฉลาด” การเปิดตัวแบรนด์ เกรท วอลล์ มอเตอร์ อย่างเป็นทางการในประเทศบรูไน นับเป็นอีกก้าวสำคัญและเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายในการรุกตลาดอาเซียน ด้วยเป้าหมายในการก้าวสู่การเป็น ‘บริษัทที่ให้บริการการขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีระดับโลก’ (Global Mobility Technology Company) เกรท วอลล์ มอเตอร์ พร้อมที่จะสร้างสรรค์และนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพพร้อมการบริการที่ดีขึ้น ตลอดจนส่งมอบประสบการณ์การขับขี่อันยอดเยี่ยมให้แก่ผู้บริโภคทั้งในภูมิภาคอาเซียนและผู้บริโภคทั่วโลกต่อไป