เกรท วอลล์ มอเตอร์ ร่วมมือ ททท.

เกรท วอลล์ มอเตอร์ ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เปิดตัวโครงการ     เกรท วอลล์ มอเตอร์ ไลฟ์โรด ทรูเปอร์ “ขับสนุกสุดใจ เที่ยวไปให้สุดทาง” พร้อมประเดิมทริปแรกด้วยการจัดคาราวานรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อท่องเที่ยวไป-กลับกรุงเทพฯ และหัวหินแบบรักษ์โลกระหว่างวันที่ 23 – 24 เมษายนที่ผ่านมา เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง กระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่น และสนับสนุนการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเกรทวอลล์ มอเตอร์ ได้สนับสนุนรถยนต์ All New HAVAL JOLION Hybrid SUV จำนวน 7 คัน เพื่อใช้ในการเดินทางตอกย้ำความมุ่งมั่นของของเกรท วอลล์ มอเตอร์ ในการเป็นผู้นำด้านรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่รับฟังเสียงผู้บริโภคและสร้างสรรค์ประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้า มร.ไมเคิล จาง ผู้อำนวยการฝ่ายการสื่อสารแบรนด์ เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า “เกรท วอลล์มอเตอร์ รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองให้กลับมามีสีสันอีกครั้ง ด้วยการนำเสนอประสบการณ์แปลกใหม่ให้กับนักท่องเที่ยว ไปพร้อมกับการมีปฎิสัมพันธ์กับชุมชนในพื้นที่และการรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับความตั้งใจของเราในการดำเนินธุรกิจให้เติบโตเคียงคู่ไปกับสังคมไทยอย่างมั่นคงและยั่งยืน สำหรับทริปเปิดตัวโครงการ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ไลฟ์ โรด ทรูเปอร์ “ขับสนุกสุดใจ เที่ยวไปให้สุดทาง” เราเดินทางไปยังอำเภอหัวหินและอำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของไทย พร้อมจัดกิจกรรมสุดสนุกมากมายเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวอย่างสร้างสรรค์ปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เราหวังว่าโครงการนี้จะช่วยจุดประกายผู้คนให้รู้สึกสนุกกับการท่องเที่ยวในมุมมองใหม่ เข้าถึงธรรมชาติ และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศได้ต่อไป” นอกจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย โครงการเกรท วอลล์ มอเตอร์ ไลฟ์ โรด ทรูเปอร์ ยังมีพันธมิตรอีก 6 หน่วยงานที่ให้การสนับสนุนโครงการนี้ ได้แก่ มูลนิธิส่งเสริมการลดก๊าซเรือนกระจก การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยการไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เที่ยวไทย ฯลฯ และชมรมสื่อสร้างสรรค์เพื่อการท่องเที่ยว โดยกิจกรรมนี้จะจัดขึ้นตลอดทั้งปี 2565 เพื่อเชิญชวนลูกค้าและพาร์ทเนอร์มาร่วมเปิดเส้นทางใหม่กับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าทุกรุ่นของ GWM โดยเน้นการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมภายใต้แนวคิด Bio-Circular-Green Economic หรือ BCG Model ที่เป็นการนำจุดแข็งด้านความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรมของประเทศไทยมาต่อยอดและยกระดับเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและบริการ โดยมีเป้าหมายมุ่งเน้นให้เกิดการพัฒนาทั้งในด้านสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมควบคู่กันไปอย่างยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมภายใต้โครงการ “GWM Initiative” ที่ให้ความสำคัญกับการปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางสังคม การสืบสานความหลากหลายทางวัฒนธรรมรวมถึงการสร้างและพัฒนาชุมชน สำหรับทริปแรกของโครงการ ขบวนคาราวานได้เดินทางไปจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ด้วยสิงโตอารมณ์ดี All New HAVAL JOLION Hybrid SUV รถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบไฮบริด โดยออกเดินทางจาก GWM ATT U PARK บางนา ระหว่างทางมีการพักรับประทานอาหารเติมพลังในบรรยากาศริมทะเลกันอย่างเต็มอิ่ม ก่อนที่จะเดินทางไปทำกิจกรรมที่อุทยานแห่งชาติกุยบุรี ภายใต้การประสานความร่วมมือจากมูลนิธิส่งเสริมลดก๊าซเรือนกระจกและหน่วยทหารพัฒนา โดยนาวาอากาศเอก ณรงค์ ขำเขียว หัวหน้าชุด ร่วมกับนางสาวสุพร พลพันธ์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติกุยบุรี นำทีมพาชมธรรมชาติ ส่องสัตว์ป่า พร้อมกับร่วมกิจกรรมปลูกป่ากันอย่างสนุกสนาน ที่บริเวณหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ กร.1 ป่ายาง อุทยานแห่งชาติกุยบุรี จากนั้นจึงเดินทางเข้าพักและร่วมกิจกรรมในตอนกลางคืนสำหรับวันต่อมา คณะคาราวานได้ปั่นจักรยานไปหาดเขากะโหลกเพื่อร่วมกิจกรรมรักษ์โลก ลดขยะ พร้อมทำความสะอาดบริเวณชายหาดท่ามกลางลมเย็นสบาย โดยมีนายปรีดา สุขใจ นายอำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์พร้อมคณะให้เกียรติเข้าร่วมกิจกรรม ก่อนจะไปรับประทานอาหารออร์แกนิค และเดินทางกลับกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ ซึ่งตลอดทั้งทริปและการทำกิจกรรม เกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากนายอิศรา สถาปนเศรษฐ์ ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานประจวบคีรีขันธ์ นางสาวจุฑาทิพย์ เจริญลาภ ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคกลาง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวเสริมว่า “การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นพันธมิตรหลักของโครงการเกรท วอลล์ มอเตอร์ ไลฟ์ โรดทรูเปอร์ “ขับสนุกสุดใจ เที่ยวไปให้สุดทาง” ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายและพันธกิจของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองด้วยความร่วมมือกับภาคเอกชน และส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมภายใต้แนวคิด BCG Model รวมถึงการกระตุ้นความถี่ในการเดินทางท่องเที่ยว และเพิ่มความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย ด้านสุขอนามัยให้แก่นักท่องเที่ยวภายใต้แนวคิด “Amazing วิถีใหม่ เที่ยวไทยไม่ตก Trend” พร้อมสร้างความตระหนักถึงการท่องเที่ยวที่ต้องรับผิดชอบต่อสังคม (Responsible Tourism) และลดมลพิษให้มากที่สุด(Zero Waste) ดิฉันเชื่อมั่นว่าโครงการนี้จะช่วยส่งเสริมธุรกิจการท่องเที่ยวของประเทศ รวมทั้งกระตุ้นผู้บริโภคชาวไทยให้ใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเกิดความยั่งยืนได้เป็นอย่างดี” สำหรับกิจกรรมครั้งนี้ มีโปรโมชั่นสุดพิเศษให้กับลูกค้าเกรท วอลล์ มอเตอร์ รับส่วนลดพิเศษจากผู้ประกอบการ ร้านอาหาร โรงแรมที่พัก ที่เข้าร่วมกิจกรรม สังเกตสัญลักษณ์กิจกรรม GWM ROAD LIFE TROOPER ตามสถานที่ไลฟ์สไตล์ชั้นนำ อาทิ ร้านอาหาร อยู่เย็น บัลโคนี หัวหิน โรงแรม Blue Lotus ปราณบุรี และร้านอาหาร Chicken & Bee สามร้อยยอด เพียงแสดงกุญแจรถยนต์ GWM รุ่นใดก็ได้ หรือแสดง GWM Application ก็สามารถรับส่วนลดพิเศษได้ทันที ตั้งแต่วันที่ 23 เมษายน 2565 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2565 นี้ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เฟซบุ๊ก GWM Thailand   นอกจากนี้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยังต่อยอดความร่วมมือด้วยการสนับสนุน ททท. ในการจัดกิจกรรม “TAT YEC Green Road Trip” ร่วมกับหอการค้าจังหวัดสมุทรสงคราม (Young Entrepreneur Chamber of Commerce) ด้วยการสนับสนุนรถยนต์ All New HAVAL JOLION Hybrid SUV จำนวน 7 คัน เพื่อใช้ในการจัดคาราวานรถยนต์ไฟฟ้าท่องเที่ยวภาคกลาง ภาคตะวันออก ระหว่างจังหวัดสระแก้ว ปราจีนบุรี นครนายก ระหว่างวันที่ 27 – 29 เมษายน2565 ตอกย้ำความตั้งใจของของเกรท วอลล์ มอเตอร์ ที่จะสนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ภายใต้ BCG Model โดยร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ ในการสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับคนไทยพร้อมช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อเติบโตเคียงคู่ไปกับสังคมไทยอย่างยั่งยืน  

 
Read More

เกรท วอลล์ มอเตอร์ ผนึกกำลัง 3 การไฟฟ้า

เกรท วอลล์ มอเตอร์ จับมือ 3 หน่วยงานการไฟฟ้า ประกอบไปด้วย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการส่งเสริมและสนับสนุนการขับเคลื่อนยานยนต์ไฟฟ้าและพัฒนาสถานีอัดประจุไฟฟ้า เพื่อมุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานไฟฟ้า โดยนำความเชี่ยวชาญของเกรท วอลล์ มอเตอร์ ในฐานะผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทย ผสานกับความเชี่ยวชาญด้านพลังงานไฟฟ้าของทั้ง 3 หน่วยงาน เพื่อร่วมสร้างระบบนิเวศของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น พร้อมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือจัดขึ้นเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2565 ซึ่งนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ให้เกียรติเป็นประธานในพิธี โดยมี มร. ไมเคิล ฉง รองประธาน เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) นายบุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย นายวิลาศ เฉลยสัตย์ ผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง และนายศุภชัย เอกอุ่น ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เป็นผู้ลงนาม ณ GWM Experience Center ไอคอนสยาม พร้อมด้วยทีมผู้บริหารระดับสูงจาก เกรท วอลล์มอเตอร์ ได้แก่ นายณรงค์ สีตลายน กรรมการผู้จัดการ และนายครรชิต ไชยสุโพธิ์ รองประธาน ฝ่ายกิจการองค์กรและรัฐกิจสัมพันธ์ เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธี คุณสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า “การลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือในการส่งเสริมสนับสนุนขับเคลื่อนยานยนต์ไฟฟ้าและพัฒนาสถานีอัดประจุไฟฟ้า ระหว่าง เกรท วอลล์ มอเตอร์ กับ กฟผ. กฟน. และ กฟภ. แสดงให้เห็นถึงบทบาทสําคัญของภาครัฐและภาคเอกชนในการร่วมมือกันขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงพลังงาน พร้อมผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ (Low-carbon Society) ส่งเสริมสภาพแวดล้อมทางธุรกิจในไทยให้เอื้อต่อการจําหน่ายและผลิตรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงการสร้างสถานีอัดประจุไฟฟ้าที่ครอบคลุม เพื่อมุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าในไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงต่อไป” มร.ไมเคิล ฉง รองประธาน เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า “หลังจากที่ภาครัฐได้มีนโยบายในการสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ทำให้หลายภาคส่วนพร้อมผนึกกำลังร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่สังคมยนตรกรรมแห่งอนาคต เกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้เป็นแบรนด์รถยนต์กลุ่มแรกที่ลงนามในบันทึกความเข้าใจกับรัฐบาลไทยเพื่อผลักดันนโยบายสนับสนุนรถยนต์พลังงานไฟฟ้า โดยความร่วมมือระหว่างเกรท วอลล์ มอเตอร์ กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคในครั้งนี้ จะช่วยเสริมสร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ทั้งในแง่การดำเนินการสำรวจเชิงลึกเกี่ยวกับสถานีอัดประจุไฟฟ้า การแบ่งปันทักษะและความรู้ความชำนาญในการติดตั้ง รวมถึงการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม และรูปแบบการบริการ ซึ่งในปี 2565 เกรท วอลล์ มอเตอร์มีแผนที่จะสร้างสถานีอัดประจุไฟฟ้าให้เพิ่มขึ้นเป็น 55 แห่ง การร่วมมือกับการไฟฟ้าทั้ง 3 หน่วยงานนี้ จะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยสนับสนุนให้เราบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้อย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยังได้เสริมความแข็งแกร่งให้กับกลยุทธ์ระดับภูมิภาค โดยตั้งเป้าให้ “ประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง และขยายตลาดเข้าสู่อาเซียน” ส่งเสริมและสนับสนุนนโยบายประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์พลังงานไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียน ในอนาคตเราจะทำงานร่วมกับพันธมิตรของเรา โดยอำนวยความสะดวกให้กับผู้บริโภคชาวไทยในการเดินทางด้วยยานพาหนะไฟฟ้า สำรวจรูปแบบ และโอกาสทางอุตสาหกรรมใหม่เพิ่มเติม เพื่อส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานใหม่ของประเทศไทย รวมถึงการยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ในภูมิภาคอาเซียน” คุณบุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “ในฐานะหน่วยงานรัฐวิสาหกิจภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงพลังงาน กฟผ. มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาระบบไฟฟ้ามาตลอด52 ปี และมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนการสร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าของไทยมาอย่างต่อเนื่องให้กับผู้ประกอบการและผู้ผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ สะดวก ปลอดภัย และรวดเร็ว ทั้งด้านรถยนต์ไฟฟ้าและด้านเครือข่ายการติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้า การพัฒนาแอปพลิเคชันให้สามารถแบ่งปันข้อมูลกันได้ เพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมและธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า โดย กฟผ. มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำ เช่น เกรทวอลล์ มอเตอร์ เพื่อร่วมสนับสนุนให้ประเทศไทยมุ่งสู่เป้าหมายที่จะผลิตยานยนต์ไฟฟ้าให้มีจำนวน 30% ของการผลิตทั้งหมดในปี 2573 ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหามลภาวะทางอากาศและปัญหาภาวะโลกร้อน พร้อมช่วยสร้างสังคมสีเขียวให้กับประเทศไทยต่อไป ซึ่งในปัจจุบัน กฟผ. ได้เปิดให้บริการสถานี EleX by EGAT พร้อมสถานีพันธมิตรในเครือข่าย EleXA แล้วจำนวน 49 สถานีทั่วประเทศ โดยตั้งเป้าขยายสถานีชาร์จ EleX by EGAT ให้มีจำนวนรวมกว่า 120 สถานีให้ได้ภายในสิ้นปี 2565 นี้ เพื่อครอบคลุมการเดินทางทั่วประเทศมากยิ่งขึ้น” คุณวิลาศ เฉลยสัตย์ ผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง กล่าวว่า “การไฟฟ้านครหลวงเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่มุ่งมั่นขับเคลื่อนส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศมาตลอด 10 ปีที่ผ่านมา กฟน. มีความยินดีที่ได้ร่วมมือกับเกรท วอลล์ มอเตอร์ สนับสนุนและผลักดันตามแนวทางการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า นโยบาย 30@30 ของคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ โดยกระทรวงพลังงาน เพื่อเตรียมความพร้อมในการรองรับการเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ด้วยการสร้างระบบนิเวศของรถยนต์ไฟฟ้าให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยปัจจุบัน กฟน. ได้วางแผนปรับปรุงโครงข่ายระบบไฟฟ้าในพื้นที่จำหน่ายให้เป็นโครงข่ายอัจฉริยะ (Smart Metro Grid) และมีแผนขยายสถานีอัดประจุไฟฟ้าให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ของกรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ พร้อมอำนวยความสะดวกในการให้บริการหัวชาร์จ MEA EV ที่ได้มาตรฐานและปลอดภัยแก่ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าผ่าน MEA EV Application ที่ได้มีพัฒนาการใช้งานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างประสบการณ์ที่ดีต่อผู้ใช้งานมากขึ้น เชื่อมต่อบนแพลตฟอร์มระบบบริหารจัดการเครื่องอัดประจุไฟฟ้าอัจฉริยะ ที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเชิงสถิติที่เกี่ยวข้องกับการชาร์จ สำหรับวางแผนการพัฒนาระบบไฟฟ้าและการให้บริการ เป็นการส่งเสริมสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย พร้อมยินดีให้ความร่วมมือเอกชนทุกภาคส่วนส่งเสริมดำเนินตามนโยบายภาครัฐต่อไป” คุณศุภชัย เอกอุ่น ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กล่าวปิดท้ายว่า “จากความตั้งใจของ เกรท วอลล์มอเตอร์ ในการยกระดับระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าไทยให้ทัดเทียมในระดับสากล การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจึงพร้อมสนับสนุนบริษัทฯ ในการขยายเขตไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานให้ดียิ่งขึ้น เพื่อรองรับปริมาณรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย กฟภ. ในฐานะหน่วยงานรัฐวิสาหกิจด้านพลังงานไฟฟ้าของไทยที่ให้บริการครอบคลุมทั้ง 75 จังหวัด ได้ขยายสถานีอัดประจุไฟฟ้าไปแล้ว 73 สถานี และมีแผนขยายจำนวนสถานีอัดประจุไฟฟ้าเพิ่มอีก 190 สถานี รวมเป็น 263 สถานี ภายในปี 2566 รวมถึงพัฒนาการใช้แอปพลิเคชัน PEA VOLTA Application ที่จะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถค้นหาตำแหน่ง นำทาง สั่งชาร์จ ชำระค่าบริการ และตรวจสอบประวัติการใช้งาน ได้สะดวกยิ่งขึ้น เราเชื่อมั่นว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่จะผลักดันประเทศไทยให้มีการใช้ยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น ทำให้เกิดสังคมสีเขียว สร้างงานสร้างอาชีพ ไปพร้อมกับการพัฒนาเศรษฐกิจให้กับคนไทยต่อไป”  สำหรับความร่วมมือระหว่างเกรท วอลล์ มอเตอร์ กับ 3 หน่วยงานการไฟฟ้าในครั้งนี้จะครอบคลุมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานไฟฟ้าเพื่อรองรับการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ทั้งการติดตั้งและการพัฒนาสถานีประจุไฟฟ้า การแบ่งปันองค์ความรู้ที่สำคัญในการดำเนินการ พร้อมยกระดับแอปพลิเคชันและแพลตฟอร์มที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงกิจกรรมส่งเสริมการตลาดในอนาคต โดยมีรายละเอียดดังนี้ ·      การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.): ร่วมมือในการขยายเครือข่ายสถานีอัดประจุไฟฟ้าในรูปแบบ Fast-charge พร้อมพัฒนา Charging Mobile Application ที่สามารถใช้งานร่วมกันได้ ทั้งการแลกคะแนนสะสมระหว่างแพลตฟอร์ม และการระบุเครือข่ายสถานีอัดประจุไฟฟ้า เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้งาน นอกจากนี้ ยังร่วมมือกันทางด้านการส่งเสริมการตลาด การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางด้านยานยนต์ไฟฟ้า การศึกษาวิจัยแนวโน้มของแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งการศึกษาความเป็นไปได้และโอกาสในรูปแบบธุรกิจอื่น ๆ ·    การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.): แลกเปลี่ยนข้อมูลทางเทคนิค และการศึกษาวิจัยความเป็นไปได้ในการนำแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้ามาใช้ซ้ำและการรีไซเคิล รวมถึงการฝึกอบรมในด้านสถานีอัดประจุไฟฟ้า โดยเป็นพันธมิตรหลักในการติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าให้กับสถานีชาร์จเร็ว (G-Charge) สถานีพาร์ทเนอร์ สโตร์ (Partner store) และสถานีอัดประจุไฟฟ้าแบบปลายทาง (Destination) พร้อมเชื่อมต่อการให้บริการในการจองสถานีและชำระเงินผ่านทั้งแอปพลิเคชันของ กฟน. และ GWM Application นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้เกิดผลิตภัณฑ์และบริการทางด้านยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อขับเคลื่อนสังคมไทยไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน ·    การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.): แลกเปลี่ยนข้อมูลทางเทคนิคของระบบการทำงานของยานยนต์ไฟฟ้า และระบบของสถานีอัดประจุไฟฟ้าเพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน รวมถึงเป็นพันธมิตรหลักในการขยายเขตไฟฟ้า การติดตั้งหม้อแปลงให้กับสถานีพาร์ทเนอร์ สโตร์ (Partner store) และสถานีอัดประจุไฟฟ้าแบบปลายทาง (Destination) เพื่อสร้างความมั่นใจ ความปลอดภัยในการใช้ไฟฟ้า พร้อมสนับสนุนกิจกรรมทางการตลาด และการพัฒนาแอปพลิเคชันให้สามารถเชื่อมโยงข้อมูลของสถานีอัดประจุไฟฟ้าและอำนวยความสะดวกในการจองสถานีชาร์จและชำระเงินผ่านแอปพลิเคชันได้อีกด้วย ความร่วมมือครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งความมุ่งมั่นของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ในฐานะ “บริษัทที่ให้บริการเทคโนโลยีอัจฉริยะระดับโลก” (Global Intelligent Technology Company) ที่เห็นความสำคัญของการสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางในการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทย ผ่านการทำงานร่วมกับพันธมิตรในภาคส่วนต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อร่วมผลักดันไทยให้ก้าวสู่สังคมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างยั่งยืนตามแผนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในระยะยาว  

 
Read More

มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ใหม่ เริ่มต้นที่ 799,000 บาท

บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศราคาจำหน่ายสำหรับ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ใหม่ 2 รุ่น ได้แก่ รุ่น GLS-LTD มีราคาจำหน่ายที่ 799,000 บาท และ รุ่นท็อป GT มีราคาจำหน่ายที่ 895,000 บาท มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ใหม่ ประสบความสำเร็จจากการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 43 และได้รับเสียงตอบรับอย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับ การยกระดับดีไซน์ภายนอกที่มอบความรู้สึก SUV มากขึ้น ความประณีตเหนือระดับของดีไซน์ภายในโฉมใหม่ และ สมรรถนะการขับขี่ที่นุ่มนวลและสะดวกสบาย โดยผลสำรวจความคิดเห็น1 เผยว่า 83% ของผู้เข้าร่วมการสำรวจต่างชื่นชอบ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ใหม่ นี้ รถครอสโอเวอร์ 7 ที่นั่งรุ่นใหม่ล่าสุดจาก มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ยังคงคอนเซป ‘Expand Your Advanced Life’ ถือเป็นรถยนต์ที่เหมาะสำหรับไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของครอบครัวยุคใหม่ที่ต้องการรถยนต์ที่มีห้องโดยสารกว้างขวาง ความอเนกประสงค์ครบครัน และสามารถขับขี่ไปทุกจุดหมายได้อย่างง่ายดาย พร้อมด้วยสมรรถนะการใช้งานในแบบรถเอสยูวีที่ช่วยสร้างทุกความเป็นไปได้ในชีวิตให้แก่ลูกค้าทุกท่าน ด้าน มร.เออิอิชิ โคอิโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ยอดจองรถยนต์ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ใหม่ ภายในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 43 ถือว่าเหนือความคาดหมายไม่ใช่เฉพาะแค่งานนี้เท่านั้น เรายังได้รับเสียงชื่นชมจากทั่วประเทศ ที่ต่างประทับใจกับ มิตซูบิชิเอ็กซ์แพนเดอร์ ใหม่ นี้ หลังการเปิดตัวอย่างเป็นทางการสู่ตลาดรถยนต์ไทยเพียงหนึ่งเดือน มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ใหม่ มียอดจองรวมมากกว่า 2,500 คัน เรายังมีความยินดีที่จะแจ้งว่า ทางบริษัทฯ จะเริ่มดำเนินการส่งมอบ มิตซูบิชิเอ็กซ์แพนเดอร์ ใหม่ ให้แก่ลูกค้าได้ ตั้งแต่สิ้นเดือนเมษายนนี้ เป็นต้นไป”   

 
Read More

รองนายกรัฐมนตรี เยือนสำนักงานใหญ่ของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น

มร.ทาคาโอะ คาโตะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น พร้อมด้วยคณะผู้บริหารระดับสูง และ มร. เออิอิชิ โคอิโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ให้การต้อนรับ คุณสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หม่อมหลวงชโยทิตกฤดากร ผู้แทนการค้าไทยและที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี และ คุณดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ในโอกาสเดินทางเยือนสำนักงานใหญ่ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับแผนแม่บทยานยนต์ไฟฟ้าของไทย การลงทุนเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต รวมถึงมาตรการของรัฐบาลไทยในการสนับสนุนการเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า คุณสุพัฒนพงษ์ และผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ได้เยี่ยมชมโชว์รูมของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ซึ่งมีการจัดแสดงรถยนต์ไฟฟ้าหลากหลายรุ่นของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ไว้ รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) และรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ ด้าน มร. เออิอิชิ โคอิโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “เรามีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับคณะผู้แทนจากประเทศไทย ซึ่งเปิดโอกาสให้คณะผู้บริหารระดับสูงของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ได้พบปะหารือ พร้อมให้ข้อมูลทิศทางและเทคโนโลยีเกี่ยวกับระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าของเราในอนาคต ตลอดการพูดคุยด้วยเนื้อหาสาระที่เกี่ยวกับแผนแม่บทและกลยุทธ์ยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทย เราชื่นชมที่รัฐบาลไทยให้การสนับสนุนในเรื่องดังกล่าวอย่างเต็มที่ ทำให้เกิดการปรับตัวสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นแรงผลักดันการขับเคลื่อนตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของเรา การเดินทางเยือนของคณะผู้แทนรัฐบาลไทย ช่วยตอกย้ำถึงทิศทางกลยุทธ์และความมุ่งมั่นของเราที่จะส่งเสริมให้ลูกค้าชาวไทยใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น มิตซูบิชิ มอเตอร์ส เป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของโลกที่ผลิตเพื่อการจำหน่าย ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าเป็นเทคโนโลยีหลักในการดำเนินธุรกิจของเรา  เรากำหนดยุทธศาสตร์สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย โดยเริ่มผลิตและจัดจำหน่าย มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี ที่มีระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าที่ตอบโจทย์การใช้งานและมีความเหมาะสมที่สุดสำหรับตลาดเมืองไทยในปัจจุบัน”  

 
Read More

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย จับมืออีโวลท์ เทคโนโลยี

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ประกาศความร่วมมือครั้งล่าสุดกับ บริษัท อีโวลท์ เทคโนโลยี จำกัด (Evolt Technology) ผู้ให้บริการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของประเทศไทย เพื่อขยายเครือข่ายการให้บริการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าสำหรับเจ้าของรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูและมินิระบบปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) และรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ (BEV) ทั่วประเทศ โดยลูกค้าจะสามารถเข้าถึงเครือข่ายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ควบคุมการชาร์จ และชำระเงินค่าชาร์จผ่านแอปพลิเคชั่น EVolt พร้อมรับสิทธิพิเศษเฉพาะสำหรับลูกค้าบีเอ็มดับเบิลยูได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2565 และสำหรับลูกค้ามินิ ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2565 เป็นต้นไป ซึ่งจะทำให้เจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าบีเอ็มดับเบิลยูและมินิ สามารถเข้าถึงเครือข่ายสถานีชาร์จไฟฟ้าสาธารณะได้ราว 600 หัวจ่าย ในกว่า 295 แห่งทั่วประเทศ มร.อเล็กซานเดอร์ บารากา ประธานและซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า “บีเอ็มดับเบิลยูกรุ๊ป ประเทศไทย ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนพลังงานสะอาดอย่างยั่งยืนในประเทศไทยมาโดยตลอด เราร่วมมือกับพันธมิตรในการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 และเนื่องจากผู้ขับขี่ชาวไทยมีความต้องการด้านพลังงานยั่งยืนและการใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น เราจึงมองเห็นโอกาสสำคัญในการทำงานร่วมกับพันธมิตรรายใหม่ ๆ เพื่อขยายเครือข่ายสถานีชาร์จไฟฟ้าสาธารณะ ให้ลูกค้าบีเอ็มดับเบิลยูและมินิได้รับความสะดวกสบายในการใช้งานมากขึ้น อีกทั้งเป็นการส่งเสริมการใช้งานสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าสาธารณะ เพื่อปูทางการเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำในประเทศไทยอีกด้วย” คุณพูนพัฒน์ โลหารชุน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อีโวลท์ เทคโนโลยี จำกัด กล่าวว่า “ความร่วมมือครั้งนี้กับบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย จะเป็นการผนวกความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการสถานีชาร์จไฟฟ้าและแพลตฟอร์มต่าง ๆ ของเรา และเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าอันล้ำสมัยของบีเอ็มดับเบิลยูและมินิ เพื่อนำเสนอบริการที่เหนือกว่าสำหรับลูกค้าเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าด้วยแอปพลิเคชั่นที่ใช้งานง่าย เราเชื่อมั่นว่าความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยตอกย้ำศักยภาพและจุดแข็งของเราในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสร้างสรรค์โซลูชั่นการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า และช่วยผลักดันเป้าหมายแห่งการเติบโตให้กับบริษัทของเราในฐานะผู้ให้บริการระบบชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของประเทศไทย”  จากความร่วมมือกันของทั้งสองฝ่ายในครั้งนี้ จะทำให้เจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าบีเอ็มดับเบิลยูและมินิสามารถเข้าถึงเครือข่ายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าสาธารณะมากถึง 600 หัวจ่าย ในกว่า 295 แห่งทั่วประเทศ ประกอบไปด้วยสถานีชาร์จไฟฟ้าของอีโวลท์ เทคโนโลยี และสถานีชาร์จของพันธมิตรต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น สถานีชาร์จไฟฟ้า EleX by EGAT โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) สถานี ChargeNow และสถานีอัดประจุไฟฟ้าที่ผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการของบีเอ็มดับเบิลยูและมินิ ทั้งนี้ เฉพาะลูกค้าบีเอ็มดับเบิลยูและมินิที่เป็นเจ้าของรถยนต์ระบบปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) และ รถยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ (BEV) จากผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ จะได้รับความสะดวกสบายยิ่งขึ้นกับบริการสุดพิเศษเมื่อใช้บริการสถานีชาร์จไฟฟ้าของอีโวลท์ เทคโนโลยี อาทิ เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลงานบริการลูกค้าของบีเอ็มดับเบิลยู ซึ่งลูกค้าสามารถสอบถามข้อมูลสำคัญ เช่น ที่ตั้งสถานีชาร์จไฟฟ้าและการวางแผนเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็นผู้ให้บริการสถานีชาร์จไฟฟ้ารายใดก็ตาม ได้ที่เบอร์ 02-114-7343 หรือติดต่อศูนย์บริการลูกค้าบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ปประเทศไทย 1397 ทั้งนี้ ลูกค้าที่ติดต่อไปยังอีโวลท์ เทคโนโลยีโดยตรง จะต้องยืนยันความเป็นเจ้าของรถยนต์โดยการแจ้งหมายเลขประจำยานพาหนะ (VIN) กับเจ้าหน้าที่ที่ให้บริการ นอกจากนั้น ลูกค้าบีเอ็มดับเบิลยูและมินิที่เป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ (BEV) จะได้รับส่วนลดถึง 20% เมื่อเติมเงินสำหรับเครดิตการชาร์จผ่านแอปพลิเคชั่น EVolt ลูกค้าสามารถลงทะเบียนเพื่อรับข้อเสนอพิเศษดังกล่าว ด้วยการดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น EVolt บน Google Play หรือ Apple Store พร้อมกรอกข้อมูลส่วนบุคคล ยี่ห้อรถ และหมายเลขประจำยานพาหนะ (VIN) หลังจากนั้นจะสามารถใช้สิทธิพิเศษดังกล่าวได้ทันทีกับหมายเลขประจำยานพาหนะที่ลงทะเบียนไว้ ซึ่งทั้งสองสิทธิพิเศษดังกล่าวจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคมสำหรับลูกค้าบีเอ็มดับเบิลยู และ 1 มิถุนายน 2565 สำหรับลูกค้ามินิ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการดังกล่าว สามารถสอบถามได้ที่บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เบอร์โทรศัพท์ 1397 และติดตามข่าวสารได้ทาง https://www.bmw.co.th หรือhttps://www.facebook.com/bmwthailand/  

 
Read More

แอทต้า ออโต้เฮ้าส์

แอทต้า ออโต้เฮ้าส์ ( ATTA Autohaus) โชว์รูมและศูนย์บริการเมอร์เซเดส–เบนซ์ ครบวงจร ใหม่ล่าสุด บนถนนราชพฤกษ์ ในรูปแบบ Thailand’s first automotive digital space’ แห่งแรกในประเทศไทย กับพื้นที่การบริการที่นำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ สร้างสรรค์นวัตกรรมการบริการ Service Innovation  บนที่พื้นที่กว่า 5 ไร่ ด้วยงบประมาณกว่า 1,000 ล้านบาท ที่เกิดขึ้นจากวิสัยทัศน์ที่ว่า  เทคโนโลยีสามารถตอบสนองความต้องการ ที่หลากหลายของแต่ละบุคคลได้ทุกที่ ทุกเวลา โดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ดังนั้นจึงเกิดการริเริ่มนำเสนอ รูปแบบการจัดการที่มีประสิทธิภาพสร้างสรรค์และยั่งยืน ผ่านสินค้าและการบริการอันล้ำสมัยของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ควบคู่ไปกับการนำเสนอนวัตกรรมการบริการรูปแบบใหม่ ที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของแต่ละบุคคล เป็น องค์กรที่ขับเคลื่อนโดยจุดมุ่งหมาย (Purpose Driven Organizatioin) โดยมีคุณค่าหลักขององค์กรในเรื่อง Innovation – Sustainability – Leadership สะท้อนออกมาเป็นองค์ประกอบสำคัญ 3 อย่างในการคิดค้นนวัตกรรมการบริการได้แก่ *   High-Tech คือการเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมและทันสมัย *   High-Touch คือการเชื่อมต่อประสบการณ์แบบไร้รอยต่อ *   High-Value คือการสร้างคุณค่าต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกทั้งด้านเศรฐกิจ สังคม และ สิ่งแวดล้อม (Profit Planet People) ต่อไป ผู้บริหารแอทต้า ออโต้เฮ้าส์ คุณโอ จิตติรัตน์ ตันตสิรินทร์ (CEO)  และ คุณโอ๋ เบญจรัตน์ ตันตสิรินทร์(CFO)ทายาทรุ่นที่ 2 เบนซ์ตลิ่งชัน ที่ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ามามากว่า 40 ปี มีเป้าหมายที่จะเพิ่มประสิทธิภาพ การให้บริการลูกค้าของเมอร์เซเดส-เบนซ์ด้วยเทคโนโลยี ซึ่งทั้ง 2 ผู้บริหาร ตั้งใจให้ แอทต้า ออโต้เฮ้าส์ เป็น “องค์กรที่ยอมรับความแตกต่างและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้คน (Diversity & Inclusion Workplace)” เปิดโอกาสให้คนทุกเพศ ทุกวัย ได้เข้ามาเรียนรู้และแบ่งปันทรัพยากรให้เป็นองค์กรที่สร้าง คุณค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศได้ในระดับโลก มุ่งเน้นการพัฒนาคน (Digital Generation) ที่พร้อมและสามารถรับฟังความต้องการและนำเสนอสินค้าและบริการให้ได้ตรงใจลูกค้า พนักงานทุกคนจะผ่านการอบรมและกระบวนการพัฒนาเพื่อให้เข้าใจตนเองและเรียนรู้ที่จะอยู่กับความต้องการที่หลากหลายได้อย่างสร้างสรรค์ สามารถรับฟังลูกค้า และเป็นที่ปรึกษาการเลือกซื้อรถยนต์และเข้ารับบริการเกี่ยวกับรถยนต์ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้อย่างเข้าใจและเป็นมืออาชีพ ควบคู่ไปกับพัฒนาเครื่องมือดิจิทัลเพื่อให้เกิด ประสบการณ์แบบไร้รอยต่อ (Digital Experience & Digital Solution) นอกจากนี้แอทต้า ออโต้เฮ้า ยังได้จัดตั้งแผนก business innovation และ immersive experience division ขึ้นเพื่อพัฒนางานบริการอย่างต่อเนื่อง แอทต้า ออโต้เฮ้าส์ ได้รับรางวัลระดับโลก ชนะเลิศในการเป็นองค์กรต้นแบบ Winner of Gender-Inclusive Workplace 2020, WEPs Award จาก UN Women ตั้งแต่ปีแรกที่เปิดทำการ และ รางวัล Winner Leadership Commitment 2021, WEPs Award จาก UN Women เป็นปีที่สองติดต่อกัน รวมถึงรางวัลการันตีด้านความพึงพอใจ ลูกค้าและยอดขาย ชนะเลิศ Winner of The Best  CSI 5 Star Rater 2020 & 2021 –Bangkok และ Winner of Sell Out Competition Award 2020 & 2021 จาก Mercedes-Benz (Thailand) 2 ปีติดต่อกัน รวมถึงรางวัลชนะเลิศด้านคุณภาพงานบริการ Winner of Top Service Quality Score 2020…

 
Read More

วอลโว่ บัส เพิ่มทางเลือกให้ลูกค้า

บริษัท วอลโว่ บัส (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายรถบัสสายพันธุ์แกร่งจากประเทศสวีเดนอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ประกาศแต่งตั้งผู้ประกอบตัวถังรถวอลโว่ บัส จำนวน 3 ราย ได้แก่บริษัท เชิดชัยมอเตอร์เซลส์ จำกัด บริษัท เชิดชัย คอร์ปอเรชั่น จำกัด และบริษัท พานทอง กลการ จำกัด ให้เป็นโรงงานประกอบตัวถังวอลโว่ บัส อย่างเป็นทางการในประเทศไทย คุณเดชชัย กุลกรินีธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท วอลโว่ บัส (ประเทศไทย) เปิดเผยว่าการแต่งตั้งครั้งนี้เป็นไปตามแผนดำเนินการของการจัดตั้งบริษท วอลโว่ บัส (ประเทศไทย) จำกัด ที่เป็นบริษัทที่ก่อตั้งโดยวอลโว่กรุ๊ป แห่งประเทศสวีเดน โดยภายหลังการจัดตั้งบริษัทฯ ในประเทศไทยแล้ว ทางวอลโว่ กรุ๊ป มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตลาดรถบัสในประเทศไทยของวอลโว่ บัส ให้เติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งการเพิ่มผู้ประกอบตัวถังรถวอลโว่ บัสจากเดิมที่มีเพียงบริษัท เชิดชัย มอเตอร์เซลส์ จำกัด โดยการเพิ่มเติมผู้ประกอบตัวถังวอลโว่ บัส เพิ่มเติมอีก 2 รายนั้น เพื่อเป็นการยกระดับคุณภาพการประกอบตัวถังวอลโว่ บัส ให้ได้มาตรฐานสากล อีกทั้งยังเป็นเพิ่มทางเลือกในการสรรหาผู้ประกอบตัวถังวอลโว่ บัส เพื่อให้ลูกค้ามีทางเลือกที่เหมาะกับธุรกิจของลูกค้า “ในธุรกิจหลักของวอลโว่บัส เรานั้น เราจะขายเพียงแชสซีส์ให้กับลูกค้าเราโดยตรง แต่การประกอบตัวถังรถนั้น จะเป็นความอิสระของลูกค้าที่จะเลือกผู้ประกอบตัวถัง แต่ต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของเราเพื่อให้คุณภาพตัวถังสอดคล้องกับแชสซีส์คุณภาพระดับโลกของวอลโว่ บัส แต่ที่ผ่านมา เราไม่มีทางเลือกให้ลูกค้าของเราเลย ดังนั้น เราจึงถือโอกาสที่เราก่อตั้งบริษัทสาขาในประเทศไทยในครั้งนี้ ทำการเพิ่มผู้ประกอบตัวถังวอลโว่ บัส เพิ่มเติมเพื่อให้ลูกค้ามีอิสระในการเลือกสรรผู้ประกอบตัวถังที่เหมาะสมกับธุรกิจของลูกค้าแต่ละราย”  ปัจจุบัน ลูกค้าวอลโว่ บัส ประกอบไปด้วยกลุ่มธุรกิจหลัก 4  กลุ่มได้แก่ผู้ประกอบการโดยสารท่องเที่ยว ผู้ประกอบการรถโดยสารประจำทาง ผู้ให้บริการรถรับส่งพนักงานตามโรงงานอุตสาหกรรมและรถโดยสารขององค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน บริษัท เชิดชัย มอเตอร์เซลส์ จำกัด ถือเป็นพันธมิตรของวอลโว่ บัส มาอย่างยาวนานกว่า 20 ปี ในขณะที่บริษัท เชิดชัย คอร์ปอเรชั่น จำกัด เป็นผู้ประกอบตัวถังรถบัสที่มีคุณภาพสูง ผ่านการคัดเลือกของวอลโว่ บัส และบริษัท พานทองกลการ จำกัด เป็นผู้ประกอบรถโดยสารมาอย่างยาวนานจนเป็นที่ยอมรับของธุรกิจรถโดยสาร ซึ่งผู้ประกอบตัวถังรถทั้ง 3 รายนี้ วอลโว่ บัส จะให้คำปรึกษาและแนะนำขั้นตอนและกระบวนการประกอบรถวอลโว่ บัสตามมาตรฐานสากลภายใต้เครื่องหมายการค้าของวอลโว่ บัส นายเดชชัย กล่าวว่าผู้ประกอบตัวถังวอลโว่ บัส ทั้ง 3 ราย จะมีส่วนสำคัญในการยกระดับการให้บริการแก่ลูกค้าวอลโว่ บัส ให้ได้ตามมาตรฐานสากล อีกทั้งจะเป็นด่านแรกในการสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าวอลโว่ บัส ซึ่งมีส่วนสำคัญในการผลักดันตลาดรถวอลโว่ บัส ให้ได้ตามเป้าหมาย  

 
Read More

All New LEAD125

รถจักรยานยนต์ฮอนด้า เปิดตัวรถ All New LEAD125 รถเอ.ที. รุ่นใหม่ล่าสุด สร้างเทรนด์ใหม่สำหรับการใช้ชีวิตของคนเมืองที่เน้นความเรียบหรู ในสไตล์มินิมอล แต่เปี่ยมไปด้วยความล้ำสมัยด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ และฟังก์ชันการใช้งานที่รองรับไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ อย่างลงตัว มร.ชิเกโตะ คิมูระ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยฮอนด้า แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้าในประเทศไทย เปิดเผยว่า “LEAD125 คือโมเดลที่สร้างเทรนด์ใหม่ให้กับวงการรถเอ.ที. มาตั้งแต่การวางจำหน่ายในประเทศไทยเป็นครั้งแรกเมื่อช่วงต้นปี 2021 ด้วยดีไซน์ที่เรียบหรูพร้อมด้วยฟังก์ชันที่ทันสมัยจนได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ในปีนี้ เราได้ยกระดับมาตรฐานของรถรุ่นนี้ขึ้นไปอีกระดับด้วยการเปิดตัว All New LEAD125 ที่หรูหราทันสมัยยิ่งกว่าเดิม มาพร้อมเทคโนโลยีที่รองรับการใช้งานของคนรุ่นใหม่อย่างครบครัน และติดตั้งเครื่องยนต์ eSP+ ขนาด 125 ซีซี 4 วาล์ว ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรถคลาสนี้ ทั้งยังใช้งานสะดวกด้วยกุญแจรีโมทอัจฉริยะที่สตาร์ทรถได้โดยไม่ต้องใช้กุญแจ พร้อมดึง นนท์ ธนนท์ นักร้องดังขวัญใจวัยรุ่นมาเป็นพรีเซนเตอร์ผู้ถ่ายทอดภาพลักษณ์ของความทันสมัย ตอกย้ำความลงตัวของ All New LEAD125 และไลฟ์สไตล์คนเมือง” All New LEAD125 มาพร้อมคอนเซปต์ “LIVE A MINIMAL LIFE มินิมอลในแบบที่เป็นคุณ” ตัวรถได้รับการออกแบบให้มีความเรียบหรู ด้านหน้าดีไซน์ใหม่ โดดเด่นด้วยเส้นสายโครเมียม หน้าปัดเรือนไมล์รูปทรงตัว V แสดงผลครบทุกฟังก์ชันการใช้งาน All New LEAD125 ตอบโจทย์ด้วยฟังก์ชันการใช้งานที่ให้ความสะดวกสบายรอบคัน นำโดยกุญแจรีโมทอัจฉริยะ Honda SMART Key สตาร์ทเครื่องยนต์โดยไม่ต้องใช้กุญแจ พร้อมช่วยระบุตำแหน่งตัวรถและป้องกันการโจรกรรม ช่องเก็บของด้านหน้าทรงสูง 12 ซม. มาพร้อมช่องชาร์จไฟสำรองแบบ USB Type A รองรับไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัล ถังน้ำมันด้านหน้าขนาดใหญ่ 6 ลิตร เติมน้ำมันง่ายโดยไม่ต้องเปิดเบาะและไม่ต้องลงจากรถ…

 
Read More

Saving The World From Wherever You Are

เมอร์เซเดส-เบนซ์ ผู้นำในตลาดรถยนต์ลักชัวรี ร่วมกับ กฟผ. จัดทริปรักษ์โลกสุดพิเศษส่งขบวนรถยนต์ไฟฟ้า 100% และปลั๊กอินไฮบริด เยี่ยมชมโรงไฟฟ้าโซลาเซลล์ลอยน้ำไฮบริดที่ใหญ่ที่สุดในโลกจ.อุบลราชธานี แสดงเจตนารมณ์ส่งเสริมคนไทยหันมาใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น ขับเคลื่อนประเทศสู่สังคมคาร์บอนต่ำ มร. โรลันด์ โฟล์เกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส–เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และ เมอร์เซเดส-เบนซ์ มีวิสัยทัศน์เดียวกันในการก้าวสู่ความเป็นผู้นำด้านการใช้พลังงานสะอาด (clean energy) และพลังงานหมุนเวียน (renewable energy) โดยให้ความสำคัญกับนวัตกรรมและความยั่งยืน ภายใต้นโยบายระดับโลกของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่จะปรับกลยุทธ์จาก “รถไฟฟ้านำ” (electric-first) เป็น“รถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น” (electric only) ตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป หากสภาวะตลาดเอื้ออำนวย เพื่อก้าวสู่โลกที่ปลอดมลพิษได้อย่างแท้จริง ในประเทศไทยเรายังจัดโครงการ “Charge to Change” เป็นปีที่ 2 เพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าหันมาชาร์จเพื่อเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้นร่วมกัน และเป็นที่มาให้เรามองหาพันธมิตรที่มีความแข็งแกร่งในด้านพลังงานไฟฟ้า เพื่อร่วมผลักดันประเทศไทยมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน โดยขณะนี้ กฟผ. และ เมอร์เซเดส-เบนซ์ อยู่ระหว่างการศึกษา ความร่วมมือสนับสนุนการติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าและการบริหารจัดการพลังงานร่วมกัน เช่นการจัดการแบตเตอรี่ที่หมดอายุการใช้งานจากยานยนต์ไฟฟ้าแล้ว อาจนำมาใช้ต่อในภาคการจัดการพลังงาน โดยใช้เป็นแบตเตอรี่สำหรับระบบ กักเก็บพลังงานแบบตั้งอยู่กับที่ (Stationary energy storage system) เป็นต้น ด้าน คุณบุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวเสริมว่า กฟผ. มีความยินดีที่ได้ร่วมมือกับ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ในการผลักดันให้คนไทยได้มีโอกาสใช้พลังงานสะอาดและลดการปล่อยมลพิษ ด้วยประสบการณ์ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าของ กฟผ. ที่ได้ดำเนินงานวิจัยและพัฒนาเพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าให้เป็นทางเลือกใหม่ของผู้เดินทาง ภายใต้ธุรกิจใหม่ของ กฟผ. “EGAT EV Business Solutions” โดยได้เปิดให้บริการสถานีอัดประจุไฟฟ้า EleX by EGAT ที่มุ่งสร้างความสะดวกสบายแก่ผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ด้วยความรวดเร็วในการชาร์จไฟแบบ DC Fast Charge ที่สามารถจ่ายไฟได้ถึง 120kW ภายในเวลาเพียง 30 นาที และยังมีการชาร์จแบบ AC Normal Charge ที่สามารถชาร์จและรองรับรถยนต์ไฟฟ้าด้วยความปลอดภัยให้กับผู้ที่เข้ามาใช้บริการผ่านการใช้เครื่องชาร์จคุณภาพสูง ได้มาตรฐานระดับสากล ทำให้ผู้ใช้บริการมั่นใจได้ตลอดการเดินทาง โดยเปิดให้บริการสถานี EleX by EGAT พร้อมสถานีพันธมิตรในเครือข่ายEleXA แล้วจำนวน 49 สถานีทั่วประเทศ ซึ่งในเร็ว ๆ นี้ยังเตรียมขยายสถานีชาร์จให้ครอบคลุมพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากยิ่งขึ้น เช่น จ.อุดรธานี จ.สกลนคร จ.ร้อยเอ็ด จ.นครพนม จ.ศรีสะเกษ จ.มุกดาหาร และ จ.เลย เป็นต้น โดยตั้งเป้าขยายสถานีชาร์จ EleX by EGAT รวมกว่า 120 สถานี ให้ได้ภายในสิ้นปี 2565 สำหรับที่โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทุ่นลอยน้ำร่วมกับโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนสิรินธร หรือโรงไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ลอยน้ำไฮบริดเขื่อนสิรินธร จ.อุบลราชธานี มีการติดตั้งสถานีสถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าไว้ด้วยเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมโซลาเซลล์ลอยน้ำไฮบริดที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งเป็นอีกหนึ่งผลงานนวัตกรรมพลังงานที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งของ กฟผ. ที่มีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนประเทศสู่ Carbon Neutrality อีกทั้งยังเป็นการต่อยอดการใช้ประโยชน์จากเขื่อนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยเป็นการผลิตไฟฟ้าแบบ Hybrid สามารถผลิตไฟฟ้าจากทั้งพลังงานแสงอาทิตย์ในช่วงกลางวัน และพลังน้ำจากเขื่อนที่มีอยู่เดิมมาผลิตไฟฟ้าในช่วงที่ไม่มีแสงแดด หรือเสริมความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดในช่วงค่ำ ช่วยเพิ่มเสถียรภาพพลังงานหมุนเวียน และเสริมความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ โดยมีขนาดกำลังผลิต 45 เมกะวัตต์ ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 47,000 ตัน/ปี ตอบโจทย์พลังงานสะอาดช่วยลดภาวะโลกร้อน และยังช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนผ่านการท่องเที่ยวรอบพื้นที่นี้อีกด้วย ความร่วมมือในครั้งนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ และ กฟผ. ได้จัดทริปทดสอบการขับขี่รถยนต์ไฟฟ้า 100% และปลั๊กอินไฮบริด บนเส้นทางกรุงเทพ-อุบลราชธานี ซึ่งเมอร์เซเดส-เบนซ์มีรถยนต์ไฟฟ้าให้เลือกหลากหลายรุ่นในหลายเซกเมนต์ รวมทั้งระหว่างการเดินทางผู้ใช้รถจะได้สัมผัสประสบการณ์การแวะเติมพลังงานไฟฟ้าที่สถานีชาร์จ EleX by EGAT ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่สำคัญของการคมนาคมขนส่งตามเส้นทางที่เชื่อมต่อระหว่างภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น สถานี EleX by EGAT สาขา PT วังน้อย 5 จ.พระนครศรีอยุธยา สถานีชาร์จที่โรงไฟฟ้าลำตะคองชลภาวัฒนา จ.นครราชสีมา รวมถึงที่สถานีชาร์จที่เขื่อนสิรินธร จ.อุบลราชธานี ก่อนนำทั้งคณะเยี่ยมชมโซลาเซลล์ลอยน้ำไฮบริดที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่เขื่อนสิรินธร จ.อุบลราชธานี กิจกรรมทั้งหมดนี้นับเป็นปัจจัยสำคัญช่วยเติมเต็มความมั่นใจของผู้เดินทางด้วยรถยนต์ไฟฟ้า และยกระดับความมั่นคงทางด้านพลังงานไฟฟ้าให้กับประเทศด้วย  

 
Read More

“เบนซ์ไพรม์มัส” เผยความสำเร็จ คว้าที่ 2 ยอดจองสูงสุดใน Motor Show 2022 เลยตอบแทนลูกค้าที่รักในเสียงเพลง

“เบนซ์ไพรม์มัส” ดันยอดขาย Mercedes-AMG ไตรมาสแรก ทะลุเป้า 50% ด้านงานบริการ เติบโต 26% เร่งเดินหน้าชูกลยุทธ์มัดใจลูกค้ารับซัมเมอร์ชมคอนเสิร์ต Kenny G พร้อมที่พักสุดหรู  รับโปรพิเศษ ฟรี! ดอกเบี้ย, MB Oil และร่วมลุ้นรับทองหนัก 10 บาท คุณณัฏฐวุฒิ ตั้งคารวคุณ ประธาน บริษัท ไพรม์มัส ออโต้เฮาส์ จำกัด ผู้จำหน่ายรถยนต์ Mercedes-Benz, Mercedes-AMG, Mercedes-Maybach และ Mercedes-EQ อย่างเป็นทางการ เปิดเผยถึงความสำเร็จของ“เบนซ์ไพรม์มัส” ในงาน Bangkok International Motor Show 2022 โดยมียอดจองสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของผู้จำหน่าย “เมอร์เซเดส-เบนซ์” ทั่วประเทศ ด้วยตัวเลข 206 คัน ส่งผลให้ไตรมาสแรกของปีนี้ ทำยอดขายรถMercedes-AMG ได้สูงกว่าเป้าหมายที่บริษัทแม่ “เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย)” กำหนดไว้ถึง 50% ขณะที่ยอดขาย รถ Mercedes-Benz ขยายตัวเพิ่มขึ้น 10.9%  ด้านงานบริการหลังการขาย มีรถเข้ารับบริการรวมทั้งสิ้น2,315 คัน หรือคิดเป็นรายได้โดยประมาณกว่า 66 ล้านบาท เติบโตกว่า 26% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว “ในช่วงไตรมาสแรก ตลาดรถหรูมีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง และยังต้องเผชิญกับปัจจัยลบ อาทิ ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน และการขนส่ง ที่ส่งผลกระทบต่อยอดขายรถยนต์โดยรวมอย่างต่อเนื่องหาก “เบนซ์ไพรม์มัส” ยังคงเดินหน้ายกระดับมาตรฐานการบริการที่มอบความคุ้มค่า และความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้าเป็นหลัก ควบคู่กับการสร้างภาพลักษณ์ให้รับรู้ในวงกว้าง ทำให้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และส่งผลให้ยอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่อง หลังจากนี้ “เบนซ์ไพรม์มัส” จะเพิ่มความเข้มข้นในการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้ามากขึ้น ด้วยการมอบสิทธิประโยชน์แบบครบวงจร เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่และตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้าในทุกๆ ด้าน”  คุณจิระพล รุจิวิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไพรม์มัส ออโต้เฮาส์ จำกัด เปิดเผยว่า “เบนซ์ไพรม์มัส” ยังคงตอกย้ำแนวคิดลูกค้าทุกคนเป็นศูนย์กลาง (Customer Centric) จึงให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้ามากขึ้นและต่อเนื่อง โดยรวบรวมความต้องการของลูกค้ามาจัดสรรกิจกรรม หรือสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่ตรงกับไลฟ์สไตล์เฉพาะบุคคล เพื่อได้สัมผัสประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีพที่แตกต่างและเหนือระดับตลอดทั้งปี ล่าสุด “เบนซ์ไพรม์มัส” ได้ร่วมสนับสนุนการจัดงานคอนเสิร์ตของศิลปินแจ๊สระดับโลก “KENNY G” งานINTERNATIONAL JAZZ & BLUES FESTIVAL 2022 ที่จัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 7 พ.ค.65 ณ ทรูอารีน่าหัวหิน ของบริษัท หนีกรุง คอนเน็ค จำกัด  โดยสนับสนุนรถยนต์ Mercedes-Benz สำหรับเป็นพาหนะในการเดินทางของทีมงานและศิลปินแจ๊สระดับโลก “KENNY G” และนำรถยนต์รุ่นล่าสุดอวดโฉมในงานดังกล่าว เพื่อสร้างกระแสการรับรู้ของแบรนด์สินค้า และเปิดโอกาสให้ผู้สนใจได้สัมผัสรถยนต์อย่างใกล้ชิด ทั้งเชิญชวนลูกค้า “เบนซ์ไพรม์มัส” ร่วมเปิดประสบการณ์ใหม่ที่เหนือระดับกับการชมงานคอนเสิร์ตในครั้งนี้อย่างใกล้ชิด พร้อมมอบที่พักสุดหรู Holiday Inn Resort Vana Nava Hua Hin จำนวน 2 วัน 1 คืน คุณจิระพล กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงไตรมาส 2  “เบนซ์ไพรม์มัส” ได้เพิ่มสีสันด้วยการจัดกิจกรรมต้อนรับซัมเมอร์ ภายใต้ชื่อ  “ENJOY SUMMER” โดยตกแต่งโชว์รูมในธีมสดใสกับบรรยากาศชายทะเล ที่ให้ความรู้สึกสบายและเป็นกันเองในการเลือกชมรถยนต์ พร้อมมอบสิทธิพิเศษสำหรับผู้ที่ต้องการเป็นเจ้าของรถยนต์Mercedes-Benz และ Mercedes-AMG เลือกรับข้อเสนอ ฟรี! ดอกเบี้ย นานสูงสุด 5 ปี หรือเลือกรับ ประกันภัยชั้น1  MB Protection นานสูงสุด 4 ปี หรือเลือกรับ MBSP โปรแกรม Extra Guarantee นาน 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง สำหรับลูกค้า เมอร์เซเดส-เบนซ์ ลีสซิ่ง รับเพิ่มบัตรเติมน้ำมัน มูลค่า 5,000 บาท พร้อมรับสิทธิ์ลุ้นรับทองคำ หนัก10 บาท จำนวน 1 รางวัล ทองคำ หนัก 5 บาท 5 รางวัล รวมมูลค่า 1 ล้านบาท เฉพาะรถยนต์ที่ร่วมรายการและเริ่มต้นสัญญาทางการเงิน ด้านบริการหลังการขาย “เบนซ์ไพรม์มัส” ได้ให้ความสำคัญกับการดูแลรถยนต์ของลูกค้า เพื่อมอบความห่วงใยและความปลอดภัยในการขับขี่ ด้วยโปรโมชั่นสุดพิเศษ “Enjoy a trip ahead”  รับสิทธิประโยชน์ดังนี้ 1.รับฟรี! MB Oil 1 ลิตร สำหรับลูกค้าที่นำรถเข้ารับบริการ Maintenance Service และรับฟรี! MB Oil เพิ่มอีก 1 ลิตร เมื่อทำการนัดหมายรับบริการล่วงหน้า 2.รับส่วนลดพิเศษสูงสุด 20% เฉพาะอะไหล่ในการบำรุงรักษาและอะไหล่สึกหรอที่ร่วมรายการ 3.รับฟรี! ค่าแรงเปลี่ยนยาง, บริการสลับยาง 1 ครั้ง และชุดฝาปิดที่เติมลมยาง Mercedes-Benz มูลค่า1,016 บาท เมื่อเปลี่ยนยางรถยนต์ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ครบทั้ง 4 เส้น 4.รับ MB Car Care Set ชุดน้ำยาดูแลรถยนต์สำหรับภายนอกและภายใน มูลค่า 3,712 บาท เมื่อมียอดค่าใช้จ่าย 30,000 บาทขึ้นไป หรือเลือกรับเก้าอี้ Director มูลค่า 5,157 บาท เมื่อมียอดค่าใช้จ่าย 50,000 บาทขึ้นไป พิเศษ! เฉพาะผู้ถือบัตรเครดิต Citi Mercedes เลือกแบ่งชำระ ฟรี! ดอกเบี้ย นานสูงสุด 10 เดือน เมื่อมียอดค่าใช้จ่ายตั้งแต่ 20,000 บาท ขึ้นไป เริ่มวันนี้ ถึง 31 พ.ค.65 ผู้ใดสนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือทำการนัดหมายรับบริการล่วงหน้า ได้ที่ 02 095 5555, www.benzprimus.com , FB : Benz Primus และ LINE @benzprimus   

 
Read More
Visit Us On FacebookVisit Us On TwitterVisit Us On YoutubeCheck Our Feed