ฟอร์ด ประเทศไทย ร่วมมือกับสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน (พีดีเอ) สานต่อโครงการ ‘Water Go Green – การจัดการน้ำพลังงานแสงอาทิตย์’ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 มุ่งสร้างต้นแบบการจัดสรรทรัพยากรน้ำที่มีประสิทธิภาพเพื่อใช้ในการเกษตรด้วยการติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์จำนวน 10 แผงให้แก่โรงเรียนวัดเกาะ (กริ่มกำพล) ต.หนองตะพานอ.บ้านค่าย จ.ระยอง เพื่อใช้สูบน้ำสำหรับแปลงเกษตรอินทรีย์ เป็นไฟส่องสว่างตามจุดต่างๆ ของโรงเรียนเพื่อลดค่าใช้จ่ายพร้อมทั้งส่งมอบชั้นปลูกผักจำนวน 6 จุด เพื่อเป็นสถานีเรียนรู้การทำเกษตรให้กับนักเรียน ผู้ปกครอง และคนในชุมชนใกล้เคียง คุณกมลชนก ประเสริฐสม ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร ฟอร์ด ประเทศไทย และตลาดอาเซียน กล่าวว่า “ฟอร์ดตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการดำรงชีวิตของมนุษย์ เราเล็งเห็นความสำคัญของการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับชุมชนที่ฟอร์ดเข้าไปดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน จึงได้ดำเนินโครงการ Water Go Green มาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 โดยได้เน้นย้ำที่การสร้างต้นแบบเพื่อให้ชุมชนโดยรอบเข้ามาเรียนรู้ และนำไปประยุกต์ใช้เพื่ออนุรักษ์สภาพแวดล้อมและยกระดับคุณภาพชีวิต” การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์จำนวน 10 แผงให้แก่โรงเรียนวัดเกาะ (กริ่มกำพล) จะช่วยให้โรงเรียนสามารถสูบน้ำและจัดการน้ำเพื่อการอุปโภคและการเกษตรในปริมาณมากถึง 4,000 ลิตรต่อชั่วโมง มีเครื่องอินเวอร์เตอร์แปลงไฟขนาด 2,500 วัตต์เพื่อแปลงกระแสไฟฟ้า พร้อมเชื่อมต่อเข้ากับระบบไฟส่องสว่างตามจุดต่างๆ ของโรงเรียนซึ่งจะช่วยลดค่าไฟฟ้า การมอบชั้นปลูกผักตามวิถีเกษตรอินทรีย์จำนวน 6 จุด เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้การทำเกษตร เอื้อประโยชน์ให้กับครูและนักเรียนราว 200 คนในโรงเรียน โดยแปลงผักตามวิถีเกษตรอินทรีย์นี้ จะใช้จุนเจือการบริโภคภายในโรงเรียน อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางการฝึกทักษะอาชีพเกษตรให้กับนักเรียน ผู้ปกครอง และคนในชุมชนใกล้เคียง นอกจากนี้ ฟอร์ด และพีดีเอยังได้มอบรถเข็นพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับใช้งานในพื้นที่ห่างไกลและไฟฟ้าเข้าไม่ถึง โดยรถเข็นนี้จะสามารถใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าได้ทุกชนิด เช่น พัดลม หรือหม้อหุงข้าว ทั้งนี้ โรงเรียนวัดเกาะ (กริ่มกำพล) นับเป็นโรงเรียนที่มีศักยภาพในการนำโครงการไปพัฒนาต่อยอดให้กับชุมชน เนื่องจากทางโรงเรียนได้เข้าร่วมโครงการ ‘โรงเรียนร่วมพัฒนา’ ซึ่งเป็นโครงการที่มุ่งส่งเสริมให้โรงเรียนเป็นศูนย์กลางและแบบอย่างในการกระจายองค์ความรู้และเทคโนโลยีต่างๆ ไปสู่ชุมชน โครงการ Water Go Green ได้รับการสนับสนุนงบประมาณการดำเนินโครงการจากกองทุน ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนีซึ่งเป็นหน่วยงานเพื่อสังคมของฟอร์ด ที่มีการจัดกิจกรรม Ford Global Caring Month ในเดือนกันยายนของทุกปี เพื่อให้อาสาสมัครฟอร์ดทั่วโลกร่วมทำกิจกรรมเพื่อสังคม แต่เนื่องด้วยมาตรการการรักษาความปลอดภัยในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จึงทำให้ในปีนี้โครงการ Water Go Green จัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งทางฟอร์ด ประเทศไทย และพีดีเอได้ทำงานร่วมกับส่วนราชการและชาวบ้านในชุมชนอำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง เพื่อนำเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์มาช่วยจัดการทรัพยากรน้ำ ตอกย้ำการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน และห่วงใย ใส่ใจสังคม
Year: 2021
Honda TRIO Challenge 500 Series
เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ฮอนด้ารวมพลไบเกอร์ร่วมกิจกรรมประชันฝีมือบนรถ 500 Series พิสูจน์สมรรถนะและออปชันระดับท็อปคลาส ฮอนด้าบิ๊กไบค์จัดกิจกรรม Honda TRIO Challenge 500 Series รวมพลสาวกนักบิดตัวจริงจากศูนย์ฮอนด้า บิ๊กวิง พระราม 3, พระราม 5, ธนบุรี และรามอินทรา ร่วมเปิดประสบการณ์ความมันส์ พิสูจน์สมรรถนะบิ๊กไบค์โมเดลใหม่ในตระกูล 500 Series ครบทั้ง 3 รุ่น 3 สไตล์ ภายใต้การแข่งขันแบบ “จิมคาน่า” ค้นหาผู้ขับขี่ที่สามารถทำเวลาเร็วที่สุด ทั้งสายสปอร์ต เน็กเก็ต และแอดเวนเจอร์ กิจกรรม Honda TRIO Challenge 500 Series จัดขึ้นที่ศูนย์ฝึกขับขี่ปลอดภัย Honda Safety Riding Park Bangkok เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยเหล่าไบค์เกอร์จากศูนย์ ฮอนด้า บิ๊กไบค์ ทั้ง 4 แห่ง จำนวน 52 คน ได้เข้าร่วมสัมผัสบิ๊กไบค์โมเดลใหม่ล่าสุดในตระกูล 500…
บริดจสโตน EMIA ผนึกกำลังกับ EVBox Group
บริดจสโตน ผู้นำระดับโลกด้านการนำเสนอโซลูชั่นสำหรับยางรถยนต์และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับยางเพื่อการเดินทางที่ปลอดภัยและยั่งยืน และ EVBox ผู้ให้บริการชั้นนำด้านโซลูชั่นการชาร์จรถพลังงานไฟฟ้า ประกาศเป็นพันธมิตรใหม่ร่วมกันในระยะยาว เพื่อขยายสถานีสำหรับการชาร์จรถพลังงานไฟฟ้าในยุโรป โดยจะติดตั้งสถานีชาร์จรถพลังงานไฟฟ้าจำนวนถึง 3,500 สถานี ในร้านค้าปลีกและเครือข่ายการให้บริการของบริดจสโตนทั่วทั้งยุโรป ซึ่งรวมถึงแบรนด์ชั้นนำอย่างแบรนด์ Speedy และ First Stop โดยโครงการในระยะเวลา 5 ปีนี้ เป็นโครงการล่าสุดที่ บริดจสโตนสนับสนุนการใช้รถพลังงานไฟฟ้าซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเจตนารมณ์ที่จะช่วยสร้างอนาคตแห่งการเดินทางที่ยั่งยืนโดยจะเริ่มต้นในประเทศฝรั่งเศสและอิตาลี และจะขยายไปยังสหราชอาณาจักร เยอรมนี โปแลนด์ สเปน และประเทศอื่นๆ ในยุโรป เครือข่ายการให้บริการชาร์จรถพลังงานไฟฟ้าแห่งใหม่ของบริดจสโตน จะประกอบไปด้วยสถานีชาร์จแบบธรรมดาและแบบรวดเร็ว โดยจะตั้งอยู่ในจุดต่างๆ ที่เป็นทำเลยุทธศาสตร์และสามารถเข้าถึงได้สำหรับผู้ขับรถพลังงานไฟฟ้าทุกคนทั้งรถยนต์ส่วนบุคคลและรถขนส่ง สำหรับสถานีชาร์จแบบรวดเร็วจะติดตั้งตามเส้นทางที่มีการสัญจรหนาแน่นเพื่อให้ผู้ที่สัญจรไปมาสามารถชาร์จไฟฟ้าได้อย่างรวดเร็ว การอำนวยความสะดวกต่างๆ จะดำเนินการโดยพันธมิตรของ EVBox คือบริษัท TSG ซึ่งเป็นผู้นำของยุโรปในด้านการให้บริการทางเทคนิคสำหรับโซลูชั่นการเดินทาง โดยจะมีบทบาทหลักในด้านการออกแบบ ติดตั้ง และบำรุงรักษาสถานีการชาร์จรถพลังงานไฟฟ้าในร้านค้าปลีกและเครือข่ายการให้บริการของ บริดจสโตนทั่วทั้งยุโรป ด้วยการเป็นพันธมิตรร่วมกันระหว่างบริดจสโตนและ EVBox จะทำให้ผู้ขับรถยนต์และรถขนส่งพลังงานไฟฟ้าสามารถใช้บริการจากหนึ่งในเครือข่ายชาร์จรถพลังงานไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ซึ่งประกอบด้วยเครือข่ายชาร์จรถพลังงานไฟฟ้า แบบสาธารณะมากกว่า 130,000 สถานี และสถานีชาร์จรถพลังงานไฟฟ้าแห่งใหม่ 3,500 สถานี โดยผ่านโซลูชั่น การให้บริการที่ครบในหนึ่งเดียว ด้วยการใช้การ์ดที่ออกแบบมาโดยเฉพาะหรือแอปพลิเคชันบนมือถือซึ่งควบคุมโดยซอฟต์แวร์บริหารจัดการชาร์จรถพลังงานไฟฟ้าของ EVBox จากการที่สามารถเข้าถึงสถานีและเครือข่ายชาร์จรถพลังงานไฟฟ้าได้ทั่วทั้งยุโรป แอปพลิเคชัน (หรือการ์ด) นี้จะช่วยให้ผู้ใช้งานได้รับความสะดวกและยังเกิดประสิทธิภาพในการใช้งานเป็นอย่างมาก โดยผ่านแพลตฟอร์มกลางสำหรับการชำระเงินและออกใบเสร็จในที่เดียว โดยสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมในการชาร์จรถพลังงานไฟฟ้า และยังช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเดินทางจากมาดริดไปยังเฮลซิงกิโดยใช้โซลูชั่นเดียวกันนี้ได้ การเป็นพันธมิตรร่วมกับ EVBox เครือข่ายร้านค้าปลีกของบริดจสโตนยังเปิดโอกาสให้กับผู้ขับขี่รถพลังงานไฟฟ้าได้ซื้อและติดตั้งสถานีชาร์จรถพลังงานไฟฟ้าไว้ที่บ้านได้ ซึ่งเป็นการตอกย้ำความแข็งแกร่งของเจตนารมณ์บริษัทในการส่งเสริมให้สามารถเข้าถึงรถพลังงานไฟฟ้าเพื่อเป็นทางเลือกสำหรับการเดินทางที่มีความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น
Pure & Crafted Space Bangkok
บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ประเทศไทย สานต่อความสำเร็จของ Pure & Crafted Festival ในกรุงเบอร์ลิน พร้อมเนรมิตพื้นที่แห่งความสนุกให้คนไทยได้สัมผัสใน “Pure & Crafted Space Bangkok” เอาใจทั้งสายนักบิด สายคาเฟ่ และผู้ที่ต้องการประสบการณ์ไลฟ์สไตล์แบบไม่ซ้ำใคร พร้อมเอาใจคนรักมอเตอร์ไซค์สาย Heritage ตั้งแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน 2564– 31 มกราคม 2565 ณ Warehouse 30 ซอยเจริญกรุง 30
มินิ ประเทศไทย ร่วมกับฮ้อปคาร์
มินิ ประเทศไทย ร่วมกับฮ้อปคาร์ ผู้ให้บริการคาร์แชร์ริ่งผ่านแอปพลิเคชั่น นำเสนอบริการทดลองขับรถยนต์มินิ คูเปอร์ เอสอี รถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ารุ่นแรกจากมินิ สู่แฟน ๆ ในพื้นที่กรุงเทพฯ ผ่านแอปพลิเคชั่นฮ้อป (HAUP) ความร่วมมือดังกล่าวตอกย้ำความมุ่งมั่นของมินิ ประเทศไทย และฮ้อปคาร์ ด้านการขับเคลื่อนยานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งบริการนี้จะช่วยให้ผู้ขับขี่รถยนต์ในพื้นที่กรุงเทพฯ ได้ทดลองสัมผัสรถยนต์มินิ คูเปอร์ เอสอีได้ยาวนานและเป็นส่วนตัวยิ่งขึ้นผ่านบริการคาร์แชร์ริ่งไร้สัมผัส โดยผู้ที่สนใจทดลองขับรถยนต์มินิ คูเปอร์ เอสอี ขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้าล้วนสามารถจองบริการทดลองขับได้ที่แอปพลิเคชั่น HAUP ระหว่างวันที่ 15 พฤศจิกายน – 15 ธันวาคม 2564 ณ จุดรับบริการต่างๆ ในกรุงเทพฯ ไม่ว่าจะเป็นบ้านดุสิตธานี สีลม, ฮักส์ หลังสวน, Ari Hills พหลโยธิน, และสินธร ทาวเวอร์ ถนนวิทยุ
Mercedes-Maybach แห่งที่ 4 ของประเทศไทย
ด้วยระยะเวลาเกือบ 2 ปี บนเส้นทางการเป็นผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการยนตรกรรมหรู Mercedes-Benz ชื่อของ ไพรม์มัส ออโต้เฮาส์ (Primus Autohaus Co.,Ltd.) 1 ใน 18 บริษัท เครือ บริษัท ทีโอเอ เวนเจอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (TOA Venture Holding Co.,Ltd) เป็นที่รู้จักและได้รับความเชื่อมั่นอย่างรวดเร็ว ด้วยบริการที่ดีมีคุณภาพ ทำให้ลูกค้าบอกต่อและขยายวงกว้างขึ้นอย่างต่อเนื่อง คุณณัฏฐวุฒิ ตั้งคารวคุณ ประธาน บริษัท ทีโอเอ เวนเจอร์ โฮลดิ้ง จำกัด และ บริษัท ไพรม์มัส ออโต้เฮาส์ จำกัด ได้เผยถึงกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจในการเป็น Top of Mind แบรนด์อันดับ 1 ในใจ ของลูกค้ารถยนต์ Mercedes-Benz ได้สำเร็จ ว่า “เราวางนโยบายด้านบริการแบบครบวงจร ทั้งการขายและบริการหลังการขาย บริหารงานโดยมืออาชีพ และดำเนินธุรกิจโดยให้ความสำคัญกับ ‘ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง’ (Customer Centric) ผสานแนวคิดการเปิดประสบการณ์ใหม่ที่มอบคุณค่าความประทับใจในทุกบริการ โดยพัฒนาการตลาดรูปแบบใหม่ “Online to Offline” เพื่อเกื้อหนุนการจำหน่ายรถยนต์ที่มีให้เลือกครบทุกเซกเมนต์ และสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า ส่วนการบริการหลังการขาย เรามีช่องซ่อมสำหรับให้บริการมากถึง 40 ช่องซ่อม พร้อมบริการเต็มรูปแบบ อาทิ บริการ Express Service บริการซ่อมสีและตัวถังมาตรฐาน รองรับรถยนต์ Mercedes-Benz, Mercedes-AMG โดยใช้เทคโนโลยีเครื่องมือที่ทันสมัย ดูแลทั้งงานซ่อมหนักและซ่อมเบาได้ครบทุกความต้องการ ด้วยศักยภาพเหล่านี้ ทำให้ลูกค้าบอกต่อถึงการบริการที่ดีและมีคุณภาพของเราอย่างต่อเนื่อง นำมาสู่การเติบโตอย่างก้าวกระโดด ท่ามกลางความท้าทายของสถานการณ์โควิด-19 ทั้งยอดขายที่เติบโตขึ้น15.92% และยอดรายได้ด้านบริการหลังการขาย ในช่วง 9 เดือน…
YAMALUBE BLUE CORE
ลื่นไหล ไม่มีสะดุด! ต้อง “YAMALUBE BLUE CORE ออโต้หัวฉีด” ยามาลู้ปบลูคอร์ น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ระดับพรีเมียม มาตรฐาน JASO MB สำหรับรถจักรยานยนต์ออโต้หัวฉีด มีสารเพิ่มคุณภาพชนิดพิเศษ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการหล่อลื่นทำให้มีความหนืดที่เหมาะสม ลดแรงเสียดทาน ช่วยประหยัดน้ำมันอีกด้วย ? ขนาด 1 ลิตร ราคา 196 บาท รหัสสินค้า : 90793-AT418-00 ? ขนาด 0.8 ลิตร ราคา 158 บาท รหัสสินค้า : 90793-AT417-00 สำหรับรถจักรยานยนต์ FINO125, Grand Filano, GT125 ,TRICITY125 ,QBIX, LEXI, XMAX, FINO115i, Grand Filano Hybrid #สนใจสินค้าติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ร้านผู้จำหน่ายรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า #YamahaSquare #YamahaPremiumService #YamahaPartsAndAccessories #YAMALUBEคือน้ำมันเครื่องแท้ยามาฮ่า
เอ็มจี เดินหน้าหนุนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ
บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย ในฐานะผู้บุกเบิกรถยนต์พลังงานทางเลือก (NEV) ในประเทศไทยอย่างจริงจัง ร่วมผลักดันประเทศไทยเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Society) ตามแนวทางของรัฐที่มุ่งเดินหน้าวางรากฐานการใช้งานรถยนต์พลังงานทางเลือกอย่างยั่งยืน เพื่อกระตุ้นคนไทยให้เห็นความสำคัญและผลลัพธ์ของการใช้พลังงานสะอาด เผยปีหน้าเตรียมเปิดตัวรถยนต์พลังงานทางเลือกสู่ตลาดเมืองไทยอีกอย่างน้อย 3 รุ่น พร้อมเดินหน้าแผนการขยายเครือข่ายสถานีชาร์จให้ครอบคลุมทั่วประเทศ สะท้อนความมุ่งมั่นและความเอาจริงเอาจังในการสร้างสังคมยานยนต์ไฟฟ้าที่แข็งแกร่งในประเทศไทย เผยทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนต้องร่วมมือกันอย่างเต็มที่ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมในการหยุดยั้งวิกฤตโลกร้อนร่วมกับประชาคมโลก การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศกำลังเป็นประเด็นที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ โดยล่าสุดในการประชุม COP26 ประเทศไทยได้มีการวางเป้าหมายหลักในการบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Carbon neutrality) ภายในปี พ.ศ. 2593 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net zero greenhouse gas emission) ภายในหรือก่อนปี พ.ศ. 2608 เอ็มจี ในฐานะผู้ริเริ่มการสร้างสังคมรถยนต์พลังงานทางเลือก (NEV) และครองส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุดกว่า90% ของกลุ่มรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ได้สะท้อนแนวทางร่วมผลักดันประเทศสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Society) โดยให้ความสำคัญ และเอาจริงเอาจังด้วยการสนับสนุนให้คนไทยรู้จักและเข้าใจในประโยชน์ระยะยาวของการใช้พลังงานสะอาด เพื่อเป็นการช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Carbon Footprint) ได้อย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% หรือ รถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริด ที่ปัจจุบันเอ็มจีมีอยู่ด้วยกัน 3 รุ่น คือ MG ZS EV, MG HS PHEV และ MG EP โดยนอกจากจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์แล้ว เอ็มจีได้ดำเนินการกำหนดมาตรฐานของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า และสถานีชาร์จไฟฟ้า รวมถึงมีแผนที่ชัดเจนในการขยายสถานีชาร์จ เพื่อเพิ่มความพร้อมและผลักดันให้เกิดผู้ใช้งานรถยนต์พลังงานทางเลือกเพิ่มมากขึ้น คุณพงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “รถยนต์พลังงานทางเลือก หรือ NEV ถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมดีขึ้นอย่างรวดเร็วทั้งระดับประเทศและระดับโลก เอ็มจีในฐานะผู้นำในตลาดรถยนต์พลังงานทางเลือกในประเทศไทย เราได้ให้ความสำคัญและเดินหน้าผลักดันการใช้รถยนต์พลังงานทางเลือกอย่างจริงจังมาโดยตลอด ทั้งการแนะนำรถยนต์พลังงานทางเลือกรุ่นใหม่ๆ เข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภค และทำให้ตลาดรถยนต์พลังงานทางเลือกเติบโตอย่างก้าวกระโดด พร้อมทั้งลงทุนขยายสถานีชาร์จ ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ทำให้วันนี้แบรนด์เอ็มจีมีความพร้อมทุกด้านในการรองรับและอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งานรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ในประเทศไทยอย่างเต็มประสิทธิภาพ และจะเป็นกำลังหลักในการยกระดับระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า และทำให้สังคมยานยนต์ไฟฟ้าเกิดขึ้นจริงในประเทศไทย อย่างไรก็ตามการเกิดขึ้นของสังคมยานยนต์ไฟฟ้าจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะความชัดเจนของภาครัฐที่จะเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้ประเทศไทยขับเคลื่อนสู่เป้าหมายได้เร็วยิ่งขึ้น” ทั้งนี้ เอ็มจี ถือเป็นแบรนด์รถยนต์พลังงานทางเลือกที่ได้รับความนิยมในสหราชอาณาจักร รวมถึงประเทศอื่นๆในภูมิภาคยุโรปด้วยยอดขายกว่า 20,000 คัน ในช่วงครึ่งปีแรกของ ปี พ.ศ. 2564 สำหรับประเทศไทย เรามีแผนจะแนะนำรถยนต์พลังงานทางเลือกสู่ตลาดอีกอย่างน้อย 3 รุ่น ภายในปีหน้า”
มาสด้าผนึกกำลังทุบตลาดรถอเนกประสงค์
MAZDA FAMILY SUV เสริมทัพรับเปิดประเทศ กดปุ่มสตาร์ทตลาดรถยนต์ไทยผนึกกำลัง 2 รถอเนกประสงค์เอสยูวีลุยตลาดสองเดือนสุดท้าย ยกทัพ MAZDA FAMILY SUV ให้เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพื่อทุกความสุขของสมาชิกในครอบครัวกับมาสด้า CX-5 พลังแห่งความสุขที่เร้าใจทุกเส้นทาง ครอสโอเวอร์ที่อัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีสกายแอคทีฟที่ใส่มาจนล้นคัน เปิดราคาเริ่มต้นเพียง 1.3 ล้าน และมาสด้า CX-8 ให้ทุกช่วงเวลามีค่าไม่สิ้นสุด กับรถอเนกประสงค์แบบที่นั่ง 3 แถว 7 ที่นั่ง และเพิ่มรุ่น Exclusive เบนซิน 6 ที่นั่ง ครอสโอเวอร์เอสยูวีสุดหรู เทคโนโลยีจัดเต็มสุดคุ้มค่ากับราคา 1.4 ล้าน ประกาศเปิดแนวรุกธุรกิจมุ่งสู่การเติบโตเต็มรูปแบบ เตรียมส่งอีกหลายรุ่นทั้งเอสยูวีและรถยนต์นั่งลุยตลาด เสริมแกร่งทั้งด้านการขาย การบริการ และอัดโปรโมชั่นรับกำลังซื้อ คาดครองส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 5% คุณธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารอาวุโส บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “วันนี้สถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศไทยมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น อันเนื่องจากปัจจัยบวกหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการผ่อนคลายล็อกดาวน์ ประชาชนได้รับการฉีดวัคซีน จำนวนผู้ติดเชื้อลดลง การประกาศเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนสู่ระบบมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดรถยนต์ที่กำลังปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับ ที่สำคัญปลายปีถือเป็นช่วงไฮท์ซีซั่น ประชาชนจะออกมาจับจ่ายใช้สอยกันมากขึ้น รวมถึงแรงหนุนจากมาตรการของภาครัฐที่เข้ามาช่วยส่งเสริมด้านการใช้จ่ายให้คึกคัก และส่งเสริมการท่องเที่ยว อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อรถยนต์อยู่ในระดับต่ำรวมถึงโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย ซึ่งคาดว่าภาพรวมทั้งอุตสาหกรรมรถยนต์อยู่ที่ประมาณ 720,000 – 750,000 คัน แม้ว่าจะเป็นตัวเลขต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้เมื่อต้นปี แต่เชื่อว่าตลาดรถยนต์ไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว ผนวกกับบรรยากาศและกำลังซื้อของผู้บริโภคกำลังกลับมาด้วยเช่นกัน” สำหรับมาสด้า ในช่วงที่ผ่านมาเรียกได้ว่าเป็นช่วงที่ต้องปรับโหมดการบริหารจัดการ ทั้งเรื่องของการจัดการภายในองค์กรและปรับกลยุทธ์เพื่อผู้จำหน่ายทั่วประเทศ ที่ต้องอาศัยความยืดหยุ่นและการจัดการที่รวดเร็วให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกการสื่อสาร โดยเฉพาะการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคดิจิทัล หรือ Digital Transformation ที่สำคัญคือมาตรการรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจในวงกว้าง ผลจากการปรับตัวอย่างรวดเร็วในครั้งนี้ ส่งผลทำให้มาสด้าสามารถสร้างธุรกิจให้เดินหน้าสู่การเติบโตต่อไป และดำเนินกิจกรรมตามแผนงานที่วางไว้ตั้งแต่ช่วงต้นปี และคาดว่าจะสามารถรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดได้มากกว่า 5% หรือใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาที่ 38,000 คัน ภายในสิ้นปีนี้ อนึ่ง ผลประกอบการของมาสด้าที่ผ่านมาระหว่างเดือนมกราคม – ตุลาคม 2564 มียอดขายสะสมรวมทั้งสิ้น28,327 คัน ลดลงเล็กน้อยประมาณ 6% (จากปี 2563 จำนวน 29,979 คัน) แบ่งออกเป็นรถยนต์นั่ง 16,636 คัน ลดลง 11% ได้แก่ มาสด้า2 จำนวน 14,901 คัน มาสด้า3 จำนวน 1,732 คัน มาสด้า MX-5 จำนวน 3 คัน ในขณะที่ยอดขายรถอเนกประสงค์เอสยูวียังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 10,659 คัน เติบโตเพิ่มขึ้น 19% แบ่งออกเป็น มาสด้า CX-30 จำนวน 5,757 คัน มาสด้า CX-3 จำนวน 3,493 คัน มาสด้า CX-8 จำนวน 717 คัน และมาสด้า CX-5 จำนวน 692 คัน ส่วนปิกอัพมาสด้า บีที-50 เริ่มกลับมาได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะช่วงที่ผลผลิตทางการเกษตรเริ่มเก็บเกี่ยว โดยมียอดขายรวม 1,032 คัน
NEW MAZDA CX-3 สีใหม่ “แพลตทินั่ม ควอตซ์”
มาสด้า ประเทศไทย เปิดเกมส์บุกหนักตลาดครอสโอเวอร์เอสยูวี เปิดตัวแนะนำ NEW MAZDA CX-3 มาพร้อมแนวคิด “Leap Forward” ให้ชีวิตไปอีกขั้น กับเอสยูวีใหม่ที่คุ้มค่ากว่า ทุกรุ่นย่อยมาพร้อมเทคโนโลยีสกายแอคทีฟ เชื่อมต่อคนรุ่นใหม่กับโลกยานยนต์ด้วยการสื่อสารแบบไร้ขีดจำกัด มาพร้อมอุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สายตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์อิสระสังคมแห่งโลกยุคดิจิตอล พบกับ มาสด้า ซีเอ็กซ์-3 อีกระดับ ด้วยสีภายนอกเทรนด์ใหม่ สีบรอนซ์ แพลตทินั่ม ควอตซ์ มอบความสปอร์ตพรีเมี่ยมในทุกมุมมอง สะท้อนเอกลักษณ์ความมีสไตล์ของผู้ขับขี่ที่ชัดเจน ตั้งเป้าเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่กลุ่ม B-SUV และ B-Car Upper ที่มองหารถเอสยูวีคันแรก ที่ตอบครบทั้งไลฟ์สไตล์และภาพลักษณ์ตลอดจนฟังก์ชั่นการใช้งานบนพื้นฐานความคุ้มค่า ตั้งราคาขายเริ่มต้นเพียง 769,000 บาท พร้อมข้อเสนอพิเศษช่วงเปิดตัวกับดอกเบี้ย 1.33%1 ฟรีประกันภัยชั้น 1 Mazda Premium Insurance 1 ปี คุณชาญชัย ตระการอุดมสุข ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “MAZDA CX-3 ถือเป็นหนึ่งในรถครอสโอเวอร์เอสยูวีรุ่นเริ่มต้นที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจากลูกค้าทั่วโลกรวมทั้งลูกค้าชาวไทย เปิดตัวแนะนำครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2558 สามารถสร้างยอดขายให้กับมาสด้าได้อย่างต่อเนื่องกลายเป็นโมเดลที่ทำสถิติเติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และล่าสุดในปีนี้ (เดือนมกราคม-ตุลาคม 2564) ก็สร้างสถิติใหม่ด้วยอัตราการเติบโตสูงสุดถึง 104% ท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 โดยมียอดขายสะสมสูงถึง 3,500 คัน ซึ่งการเปิดตัว NEW MAZDA CX-3 ครั้งนี้ นับเป็นการวางกลยุทธ์ใหม่ของมาสด้า ในการสร้างความแข็งแกร่งด้านผลิตภัณฑ์ให้กับรถเอสยูวีในตระกูล CX-Series ในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ ต่อเนื่องจากที่ได้เปิดตัวแนะนำรถครอสโอเวอร์เอสยูวีรุ่นพี่ NEW MAZDA CX-5 และ NEW MAZDA CX-8 พร้อมคอนเซปต์ที่เด่นชัดด้วยภาพลักษณ์ของ MAZDA FAMILY SUV ไปเมื่อช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา และกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในเวลานี้ เนื่องจากการวางกลยุทธ์ด้านราคา การขยายฐานลูกค้า การเติมเทคโนโลยี และเพิ่มอุปกรณ์มาตรฐาน ที่ลูกค้าสัมผัสและเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น สำหรับการเปิดตัว NEW MAZDA CX-3 ครั้งนี้ เป็นการพัฒนาปรับโฉมเป็นครั้งที่สี่ ซึ่งทำให้ CX-3 เป็นเอสยูวีที่ล้ำสมัยและทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของเทคโนโลยีในยุคดิจิตอลอยู่เสมอ ทั้งยังเป็นการกลับมาเพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับตลาดรถยนต์ในกลุ่ม B-SUV ด้วยการเป็นรถที่ให้มากกว่าความคุ้มค่า กับราคาที่จับต้องได้และเป็นเจ้าของได้ง่าย ครบครันด้วยเทคโนโลยี ที่ตอบรับและเข้าใจความต้องการของลูกค้าในยุคดิจิตอลได้อย่างแท้จริง ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งนี้ CX-3 ยังมาพร้อมกับการเปิดตัวสีใหม่ล่าสุด เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ซึ่งดีไซน์เนอร์เจาะจงใช้เทรนด์สีใหม่แห่งอนาคต สี บรอนซ์ แพลตทินั่ม ควอตซ์เพื่อก้าวสู่เทรนด์แฟชั่นใหม่ก่อนใคร และเชื่อว่าสีดังกล่าวจะมาสร้างกระแสนิยมใหม่ให้กับวงการรถยนต์ เช่นเดียวกับกระแสตอบรับจากตลาดเป็นอย่างดี กับสีซิกเนเจอร์ของมาสด้าต่างๆ ที่ผ่านมา ทั้ง สีแดง โซล เรด คริสตัล, สีเทา แมชชีนเกรย์ และสีเทา โพลีเมทัล เกรย์ พร้อมยกระดับความพรีเมี่ยม ล้ำสมัยในทุกด้านของผลิตภัณฑ์รถครอสโอเวอร์ของมาสด้าที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และแสดงออกถึงตัวตนของลูกค้าในยุคดิจิตอลได้อย่างแท้จริง ซึ่งมาสด้ามั่นใจว่า รถรุ่นนี้จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าในประเทศไทยเช่นที่ผ่านมา” อนึ่ง ทางด้าน คุณธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารอาวุโส บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “การเปิดตัวแนะนำ NEW MAZDA CX-3 ถือเป็นการวางกลยุทธ์ครั้งสำคัญในการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับรถประเภทครอสโอเวอร์เอสยูวีของประเทศไทย การปรับโฉม NEW MAZDA CX-3 ให้มีความล้ำสมัยมากขึ้นอีกขั้น และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในยุคดิจิตอลมากยิ่งขึ้น ซึ่งการกลับมาครั้งนี้มาพร้อมแนวคิด “Leap Forward” ให้ชีวิตไปอีกขั้น กับเอสยูวีใหม่ที่คุ้มค่ากว่า โดยมุ่งเจาะกลุ่มเป้าหมายไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีคาแรกเตอร์และมีสไตล์ อัพเดททุกเทรนด์ พัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ไม่หยุดอยู่กับที่ มองทุกจังหวะเป็นโอกาส เลือกที่จะแข่งและเอาชนะตัวเอง เพื่อให้พร้อมก้าวสู่ความสำเร็จอีกขั้น ได้ใช้ชีวิตและเติมเต็มประสบการณ์ของตัวเองและกลุ่มเพื่อนอย่างเต็มที่และคุ้มค่า และกำลังมองหารถครอสโอเวอร์เอสยูวีคันแรกในกลุ่ม B-SUV ที่พร้อมด้วยเทคโนโลยี และมาพร้อมความคุ้มค่าครอบคลุมและตอบโจทย์ความต้องการ ทั้งในเชิงภาพลักษณ์ ประสบการณ์และการใช้งานอย่างครบถ้วน เพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายอีกขั้นของชีวิตในแบบฉบับของตัวเอง” ดังนั้น NEW MAZDA CX-3 จึงเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ความต้องการและตัวตนของกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริงครบครันด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยในรุ่นย่อยทั้ง 3 รุ่น รองรับการเชื่อมต่อแบบไร้ขีดจำกัด ตอบรับทุกประสบการณ์ที่ทำให้ชีวิตก้าวไปสู่อีกระดับ ด้วยความอเนกประสงค์ของการใช้งานที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร ในทุกรุ่นย่อย ที่ให้พละกำลังแรงมากที่สุดในกลุ่มเซกเมนต์ถึง 156 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 204 นิวตัน-เมตร ประหยัดน้ำมันถึง 16.4 กม.* และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยความเหนือชั้นของเทคโนโลยีสกายแอคทีฟ ที่ผสานและควบคุมการทำงานของรถทั้งคันให้ทำงานประสานกันอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อส่งมอบประสบการณ์ความสนุกคล่องตัวในการขับขี่ตามแนวคิด จินบะ อิไต(Jinba Ittai) พร้อมด้วยระบบควบคุมสมรรถนะการขับขี่อัจฉริยะ G-Vectoring Control (GVC) ที่ให้ผู้ขับขี่และรถเป็นหนึ่งเดียวกัน พบกับอีกขั้นของสไตล์ที่พรีเมี่ยมโดดเด่นพร้อมความสง่างามเป็นครั้งแรกกับสีภายนอกใหม่ล่าสุด Platinum Quartz สีบรอนซ์ แพลตทินั่ม ควอตซ์ ที่จะมาเสริมให้มาสด้ากลายเป็นผู้นำเทรนด์ของวัยรุ่นยุคสมัยใหม่ โดยเป็นสีที่แสดงออกถึงความมีคุณภาพสูง ด้วยผลึกกึ่งโปร่งแสงจากควอตซ์ที่ขาวละเอียด นวลเนียน และมีคุณภาพ สะท้อนตัวตนอันมีเอกลักษณ์ของผู้ขับขี่ มีความแตกต่างไม่ซ้ำใคร ให้ความรู้สึกหรูหรา ทรงพลัง และสง่างามมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากแนวคิด Kodo design – Soul of Motion ด้วยเส้นสายที่เรียบง่ายแต่แฝงด้วยความโฉบเฉี่ยวที่เปรียบประดุจการเติมจิตวิญญาณให้ยนตรกรรมมีชีวิต เพื่อสะท้อนความเรียบหรูทรงพลังในสไตล์เอสยูวี และสร้างความตราตรึงใจให้กับผู้พบเห็น สำหรับภายในห้องโดยสารก็ยังคงโดดเด่นด้วยความประณีตพิถีพิถันใส่ใจในทุกรายละเอียด คัดสรรเลือกใช้เฉพาะวัสดุเกรดพรีเมี่ยมในทุกจุดสัมผัส พร้อมเพิ่มความโดดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์ด้วยคอนโซลหน้าแบบ Grand Luxe Suede® สีเทา ที่ผสานอย่างลงตัวกับเบาะหนังสีดำตัดด้วยด้ายสีเทา เพื่อให้ตอบรับกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายในยุคดิจิตอล NEW MAZDA CX-3 จึงมาพร้อมกับอุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย Wireless Charger ในทุกรุ่นย่อย เพื่อมอบความสะดวกสบายขึ้นอีกขั้น รวมถึงช่วยให้ไม่พลาดทุกการติดต่อสื่อสารบนโลกโซเชียล และอัพเดทเทรนด์ได้ทุกที่ทุกเวลากับเทคโนโลยีเชื่อมต่อแบบไร้ขีดจำกัด ที่สามารถใช้งานผ่านแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน ด้วยระบบ Mazda Connect ที่มาพร้อม Wireless Apple CarPlay® และรองรับ Android AutoTM* ที่สามารถใช้งานฟังก์ชั่นสำคัญได้โดยแสดงข้อมูลผ่านหน้าจอสี Center Display แบบทัชสกรีน ขนาด 7 นิ้วควบคุมด้วยปุ่มควบคุมอัจฉริยะ Center Commander มอบความสะดวกสบายได้อย่างแท้จริง การพัฒนาภายใต้ปรัชญา HMI…