เกรท วอลล์ มอเตอร์ ประกาศราคา ORA Good Cat รุ่น 400 TECH ที่ 989,000 บาท รุ่น 400 PRO ราคา 1,059,000บาท และรุ่น 500 ULTRA ที่ 1,199,000 บาท ย้ำนโยบาย “ONE PRICE” ราคาเดียวกันในทุกช่องทางการขาย พร้อมส่งมอบรถล็อตแรกในเดือนพฤศจิกายนนี้ หลังการประกาศราคา ORA Good Cat ทุกรุ่น มาพร้อมกับแคมเปญสุดพิเศษ ORA Good Cat PREMIERE DEAL ด้วยดอกเบี้ยพิเศษ 1.79% นาน 48 เดือน ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง 1 ปีเต็ม ฟรี GWM โฮมชาร์จเจอร์พร้อมติดตั้ง แพ็กเกจบำรุงรักษา GWM PRO Service Inclusive (GPSI) 5 ครั้ง ภายใน 5 ปี หรือ 75,000 กิโลเมตร บริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง และสิทธิพิเศษอื่นๆ อีกมากมาย รวมมูลค่ากว่า 125,000 บาท เตรียมเปิดสถานีชาร์จ แห่งแรกในประเทศไทยต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ พร้อมขยายสาขา GWM Store หลังเปิดให้บริการแล้วกว่า 21 แห่ง ทั่วประเทศ ยืนยันเปิดครบ 30 แห่ง ภายในปีนี้ และเพิ่มเป็น 50 แห่งภายในไตรมาสแรกปีหน้า ย้ำภาพลักษณ์ผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้า (xEV Leader) ในไทยอย่างเต็มรูปแบบ เดินหน้าสร้าง EV Ecosystem พร้อมยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ให้เกิดขึ้นในไทยอย่างเป็นรูปธรรม เกรท วอลล์ มอเตอร์ เปิดตัว ORA Good Cat รถยนต์ไฟฟ้า 100% จาก แบรนด์ ORA ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ภายใต้แนวคิด “Future Ready, Enable Your Life with ORA Good Cat” โดยประกาศราคารุ่น 400 TECH ที่989,000 บาท รุ่น 400 PRO ราคา 1,059,000 บาท และรุ่น 500 ULTRA ที่ 1,199,000 บาท การันตีส่งมอบรถล็อตแรกเดือนพฤศจิกายนนี้เป็นต้นไป พร้อมจัดแคมเปญ ORA Good Cat PREMIERE DEAL ที่อัดแน่นด้วยสิทธิประโยชน์มากมายรวมมูลค่ากว่า 125,000 บาท ให้ลูกค้าคนพิเศษในช่วงการเปิดตัว และเตรียมเปิดสถานีชาร์จจาก เกรท วอลล์ มอเตอร์ แห่งแรกในประเทศไทย พร้อมขยาย GWM Store กว่า 30 แห่งทั่วประเทศภายในสิ้นปี ตอกย้ำความมั่นใจให้ผู้บริโภคในการใช้และการดูแลรักษารถยนต์ในระยะยาว เกรท วอลล์ มอเตอร์ เปิดตัวและประกาศราคาจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า 100% ORA Good Cat จากแบรนด์ ORA ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ พร้อมกันทั้ง 3 รุ่น ได้แก่ รุ่น 400 TECH รุ่น 400 PRO และรุ่น 500 ULTRA โดยมี มร. สตีเว่นหวัง รองประธาน เกรท วอลล์ มอเตอร์ ภูมิภาคอาเซียนและประเทศไทย และนายณรงค์ สีตลายน กรรมการผู้จัดการ เกรทวอลล์ มอเตอร์ ประเทศไทย ร่วมให้ข้อมูลและเผยราคา พร้อมตอกย้ำกลยุทธ์การเป็นผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้า (xEV Leader) ในประเทศไทย ควบคู่ไปกับการส่งมอบประสบการณ์ใหม่ในด้านการขับขี่อัจฉริยะที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และการดำเนินธุรกิจเพื่อช่วยยกระดับมาตรฐานการขายและบริการหลังการขายแบบ Online-To-Offline (O2O) รูปแบบใหม่อย่างครบวงจรให้กับผู้บริโภค พร้อมร่วมขับเคลื่อน EV Ecosystem ให้กับประเทศไทย มร.สตีเว่น หวัง รองประธาน เกรท วอลล์ มอเตอร์ ภูมิภาคอาเซียนและประเทศไทย กล่าวว่า “เกรท วอลล์ มอเตอร์พร้อมก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านยานยนต์ระดับโลก ด้วยเป้าหมายยอดขายรถยนต์ทั่วโลก 4 ล้านคัน ในปี พ.ศ.2568 ซึ่งมุ่งหวังให้เป็นสัดส่วนรถยนต์พลังงานใหม่กว่า 80% ดังนั้น การเปิดตัว ORA Good Cat ในประเทศไทยในวันนี้ จึงเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่ช่วยให้เราเข้าใกล้เป้าหมายนี้มากยิ่งขึ้น ประเทศไทยนับเป็นประเทศที่มีศักยภาพและความพร้อมทั้งในด้านบุคลากรและกำลังการผลิตรถยนต์ที่สำคัญในภูมิภาคอาเซียน และเหนือสิ่งอื่นใด คือ ผู้บริโภคชาวไทยที่เปิดใจและให้การต้อนรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า โดยเฉพาะ ORA Good Cat อย่างล้นหลาม เราขอขอบคุณทุกๆ การสนับสนุนจากทุกๆ ท่านที่ให้ความไว้วางใจและเชื่อมั่นใน เกรท วอลล์ มอเตอร์ เสมอมา ทั้งนี้ ORA Good Cat ได้รับการออกแบบและสร้างสรรค์จากทีมงานและผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายประเทศทั่วโลก ทั้งเยอรมนี ออสเตรีย สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ จนกลายมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์สไตล์ Retro Futuristic ที่ผสานกับเทคโนโลยีการขับขี่อัจฉริยะอย่างลงตัว ซึ่งเราเชื่อว่า ORA Good Cat จะเป็นที่ชื่นชอบและสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยได้เป็นอย่างดี และเราเชื่อมั่นว่า การเปิดตัวของ ORA Good Cat ในวันนี้ จะเป็นอีกหนึ่งประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยที่พร้อมจะเติบโตและก้าวไปสู่ตลาดรถยนต์ในระดับโลกในอนาคตได้อย่างแน่นอน” หลังประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามในประเทศจีนในช่วงหลายปีที่ผ่าน ประเทศไทยนับเป็นประเทศแรกที่ เกรทวอลล์ มอเตอร์ ได้นำรถยนต์ ORA Good…
Month: October 2021
Lamborghini ไขข้อสงสัย! เพราะอะไร Aventador จึงเป็นซูเปอร์สปอร์ตคาร์
Aventador รหัสสุดท้ายของ Lamborghini คือความลับที่ส่งให้ซูเปอร์สปอร์ตคาร์อย่าง Aventador กลายเป็นไอคอนนิคความแรงที่เป็นกระแสชั่วพริบตา ทั้งยังสร้างปรากฏการณ์น่าจดจำให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา วันนี้ Lamborghini พามาย้อนดูหน้าประวัติศาสตร์ของ Aventador กับเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่คุณอาจไม่รู้เกี่ยวกับเครื่องยนต์ V12 รุ่นนี้ 1.อะเวนทาดอร์เปิดตัวครั้งแรกในปี 2011 ได้สร้างประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ให้กับแบรนด์ลัมโบร์กินีได้อย่างสมศักดิ์ศรี ด้วยยอดขายกว่า 10,000 คันในเวลาเพียง 9 ปี โดย Aventador ใช้เวลาเพียง 5 ปี ก็มียอดจองมากกว่าจำนวนรถยนต์ V12 ที่ลัมโบร์กินีเคยผลิตรวมกันทั้งหมดเสียอีก และนี่คือ Aventador คันไฮไลต์ในรอบทศวรรษที่คุณไม่ควรพลาด ในปี 2011 Aventador LP 700-4 ถือกำเนิดขึ้น ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยอย่างโครงสร้างตัวถังแบบโมโนค๊อกที่ผลิตขึ้นจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ทั้งหมด เครื่องยนต์ V12 เจเนเรชั่นใหม่ถูกพัฒนาขึ้นมาสำหรับอะเวนทาดอร์โดยเฉพาะด้วยกำลัง 700 แรงม้า และคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์สำคัญอย่างประตูแบบเปิดปีกนก ในปี 2012 ลัมโบร์กินีได้เปิดตัว Aventador Roadster ซึ่งเป็นอะเวนทาดอร์เปิดประทุนรุ่นแรก โดยที่หลังคารถแต่ละฝั่งถูกออกแบบมาให้มีน้ำหนักเบาน้อยกว่า 6 กก. ด้วยการใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์เพื่อการถอดเข้าออกที่สะดวก และในปีเดียวกันนี้เพื่อเป็นการตอกย้ำความโดดเด่นของอะเวนทาดอร์ ลัมโบร์กินีได้รังสรรค์อะเวนทาดอร์รุ่นพิเศษอย่างAventador J อะเวนทาดอร์ที่ถูกผลิตมาคันเดียวในโลก ถูกออกแบบตกแต่งภายนอกและภายในให้เข้ากัน โดยเน้นให้เห็นถึงเทคโนโลยีคาร์บอนไฟเบอร์ที่ลัมโบร์กินีเชี่ยวชาญ และสามารถทำความเร็วได้มากกว่า 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เรียกได้ว่ารวมความเป็นที่สุดแห่งประสบการณ์ไว้ในรถคันนี้ ปี 2016 Aventador Miura Homage ซีรีส์พิเศษที่ผลิตเพื่อเป็นเกียรติให้กับซูเปอร์สปอร์ตคาร์ในตำนานอย่างMiura ในโอกาสฉลองครบรอบ 50 ปี โดยสะท้อนจิตวิญญาณของ Miura ต้นแบบ ทั้งในแง่สีสันและฟีเจอร์ไว้อย่างครบครัน ผลิตจำกัดเพียง 50 คันเท่านั้น ในปีเดียวกันนี้ ลัมโบร์กินีได้ทำการปรับโฉมให้กับอะเวนทาดอร์ โดยใช้ชื่อ Aventador S ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนทั้งในเรื่องของรูปลักษณ์ สมรรถนะการขับขี่ และความสะดวกสบายในการใช้งานทุกวัน ปี 2018 Aventador SVJ กับตำแหน่งราชันแห่ง Nürburgring – ถือเป็นสถิติใหม่ที่สร้างชื่อเสียงให้กับ SVJ ในฐานะรถยนต์แบบโปรดักชั่นที่ทำเวลาได้เร็วที่สุดในสนามแข่งระดับโลกด้วยเวลาเพียง 6:44.97 นาที โดยผลิตออกมาเพียง 900 คัน ขณะที่สเปเชี่ยล อิดิชั่น อย่าง SVJ 63 ผลิตจำกัดเพียง 63 คันเท่านั้น เพื่อระลึกถึงการก่อตั้ง Lamborghini ในปี 1963 นั่นเอง โดยทั้ง 2 รุ่น ถูกออกแบบให้ใช้หลักอากาศพลศาสตร์ขั้นสูงอย่าง ระบบ ALA ที่ได้รับการจดสิทธิบัตรโดยLamborghini อีกด้วย ปี 2019 Aventador S by Skyler Grey ถือเป็น one-off ที่สร้างสีสันให้กับงาน Monterey Car Week เลยก็ว่าได้ ผลงานคอลลาบอเรชั่นกับศิลปินดาวรุ่ง Skyler Grey ที่หลอมรวมศิลปะแห่งโลกยนตรกรรมและศิลปะแนวสตรีทอาร์ต ภายใต้คอนเซปต์ “splash-effect” ไว้ได้อย่างมีสไตล์ ที่สำคัญยังเป็น Lamborghini คันแรกที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในการรับรองและปกป้องในฐานะงานศิลปะอีกด้วย 2.Lamborghini Aventador กลายเป็นซูเปอร์สปอร์ตคาร์อันยอดเยี่ยมในโลกแห่งจินตนาการ จะเห็นได้ว่าเป็นรถที่มาพร้อมกับฮีโร่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในภาพยนตร์ฮอลลีวูด รถเครื่องยนต์ V12 นี้ร่วมแสดงในภาพยนตร์ที่สร้างประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ระดับโลกหลากหลายเรื่องด้วยกัน ซึ่งคู่หูของอัศวินรัตติกาล อย่าง Aventador ที่เป็น BatMobile ให้กับ Bruce Wayne ในภาพยนตร์ “The Dark Knight Rises” (2012) โดยรถที่นำมาเข้าฉากคือ Aventador LP 700-4 ที่มาพร้อมป้ายทะเบียนเมืองสุดเท่ห์อย่าง “Gotham – 649 8227″ อีกด้วย 3.Aventador ถือเป็นซูเปอร์สปอร์ตคาร์คันแรกของ Lamborghini ที่ส่งมอบประสบการณ์การขับขี่ที่สนุกเร้าใจด้วยโหมดการขับขี่ที่สามารถปรับแต่งได้อย่างอิสระ มีให้เลือกถึง 4 แบบ – STRADA, SPORT, CORSA และ EGO ซึ่งในโหมดEGO นี้เองที่ผู้ขับขี่สามารถตั้งค่าโปรไฟล์ต่าง ๆ เพื่อให้เข้ากับไลฟ์สไตล์การขับขี่ ณ ขณะนั้นมากที่สุด อาทิ ระบบส่งกำลัง(เครื่องยนต์, 4WD), การบังคับเลี้ยว และชุดควบคุมระบบช่วงล่าง Magneride adaptive ที่สามารถปรับระดับตามโหมดการขับขี่ในทุกสถานการณ์ 4.แม้จะเดินทางมาถึงรหัสสุดท้ายของ Aventador แต่เชื่อเถอะว่า Aventador LP 780-4 Ultimae (แอลพี 780-4 อูลติเม) คือ Aventador ที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์การผลิตรถของ Lamborghini โดยคอนเซปต์หลักของรุ่นนี้คือการหลอมรวมสุดยอดสมรรถนะของ Aventador SVJ กับสไตล์ที่สง่างามเหนือกาลเวลาของ Aventador S ไว้ในหนึ่งเดียว มร.สเตฟาน วิงเคิลแมน ประธานบริหาร Automobili Lamborghini ได้กล่าวไว้ว่า “Aventador LP 780-4 Ultimae เป็นตัวแทนของความสำเร็จสำหรับเครื่องยนต์ V12 ของ Lamborghini ตัวรถสามารถส่งต่อประสบการณ์การขับขี่สูงสุดและตอบโจทย์ในการเป็นตัวแทนส่งท้ายของรุ่นทั้งในเรื่องของสมรรถนะและดีไซน์อันเป็นตำนาน Aventador นั้นถูกออกแบบมาให้เป็นรถที่จะเป็นตำนานไว้อยู่แล้วตั้งแต่เปิดตัว และ Aventador LP 780-4 คือการส่งต่อตำนานที่เหมาะสมที่สุด” พละกำลังและสมรรถนะ Aventador LP 780-4 Ultimae มาพร้อมกับเครื่องยนต์ V12 6.5 ลิตร สร้างพละกำลังสูงสุด 780 แรงม้า โดยเพิ่มขึ้นมากถึง 40 แรงม้าเมื่อเทียบกับ Aventador S และ 10 แรงม้าเมื่อเทียบกับ SVJ จุดเด่นของ Ultimae คือการรวบรวมสิ่งที่ดีที่สุดจากการพัฒนากว่า 10 ปี ไม่ว่าจะเป็นความรู้ที่ได้รับจากการทำสถิติในสนามอย่าง Nürburgring-Nordschleife บนSVJ ในเดือนกรกฎาคม ปี 2018 ระบบการขับขี่ที่ก้าวหน้าและเพิ่มความสะดวกสบายใน Aventador S หรือความดิบของตัวรถที่มีมาตั้งแต่ Aventador โฉมแรก…
BMW ยอดเติบโตอย่างต่อเนื่องในไตรมาสที่สาม
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังคงครองตำแหน่งผู้นำตลาดรถยนต์พรีเมียมด้วยผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในไตรมาสที่สามของปี 2564 โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ยอดจดทะเบียนรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูและมินิ อยู่ที่ 8,600 คันโดยบีเอ็มดับเบิลยูมียอดการจดทะเบียนรถยนต์ที่ 7,759 คัน ในขณะที่มินิก็ประสบความสำเร็จเช่นเดียวกันกับยอดจดทะเบียนถึง 841 คัน บีเอ็มดับเบิลยูจึงยังครองตำแหน่งผู้นำในตลาดรถยนต์นั่งระดับพรีเมียมด้วยส่วนแบ่งการตลาดที่41.3% ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ มร.อเล็กซานเดอร์ บารากา ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า “ความสำเร็จของเราในไตรมาสที่ผ่านมายังคงสะท้อนให้เห็นถึงความไว้วางใจของลูกค้าชาวไทยทั่วประเทศที่มีต่อแบรนด์ ของเรา ซึ่งเป็นผลจากความมุ่งมั่นที่เรามีให้กับตลาดในประเทศไทยมาโดยตลอด ภารกิจหลักของเราคือการส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าอย่างเช่นที่ทำมา และเราก็มีความภาคภูมิใจในคุณภาพและการบริการ ซึ่งมอบความสุขบนทุกเส้นทางให้กับลูกค้าของเรามาโดยตลอด ด้วยการสรรค์สร้างประสบการณ์การขับขี่ระดับโลก นอกจากนั้น เรายังได้นำโซลูชันต่าง ๆ มาใช้เพื่อยกระดับความพึงพอใจของลูกค้า ในขณะที่ยังสามารถตอบสนองต่อมาตรฐานและความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นด้านสุขอนามัยและความปลอดภัยของลูกค้าไปพร้อมกัน ผลลัพธ์เหล่านี้ตอกย้ำให้เห็นอีกครั้งถึงความสามารถของเราในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ และนำพาเรามาอยู่ในจุดที่แข็งแกร่ง พร้อมที่จะสร้างสีสันต่อไปในช่วงที่เหลือของ ปี 2564 แนวคิด The Power of Choice ยังคงเป็นรากฐานสำคัญสำหรับกลยุทธ์ของเรา และนี่คือเหตุผลว่าทำไมเรายังคงมอบโอกาสพิเศษสุดมากมายให้ลูกค้าได้เป็นเจ้าของรถยนต์ในฝัน นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยูยังเข้าสู่ยุคใหม่ของเทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้า ด้วยบีเอ็มดับเบิลยู iX และบีเอ็มดับเบิลยู iX3 รถยนต์ SAV พลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นแรก ที่จะสร้างนิยามใหม่ของประสบการณ์การขับขี่แห่งอนาคตของตลาดยานยนต์ในไทย บีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive50 Sport จะมาถึงประเทศไทยเป็นครั้งแรกในไตรมาสที่ 4 นี้ พร้อมนำความสุขในการขับขี่ ความปราดเปรียวแบบสปอร์ต และการออกแบบที่ล้ำสมัยโดยไม่ปล่อยมลพิษได้สูงสุด 630 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTP ในขณะที่บีเอ็มดับเบิลยู iX3 M Sport รุ่นใหม่ ยังผสานสองสิ่งที่ดีที่สุดคือ พลังแห่งการขับขี่และคุณภาพระดับพรีเมียมในแบบฉบับของบีเอ็มดับเบิลยู X3 และประสิทธิภาพของเทคโนโลยี eDrive เจนเนอเรชั่นที่ 5 ซึ่งมีระยะทางขับขี่ได้สูงสุด 460 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTP เรายังคงมีไฮไลท์ความตื่นเต้นใหม่ ๆ ที่จะมาพร้อมกับข้อเสนอสุดพิเศษที่มากขึ้นช่วงเดือนพฤศจิกายน ในงาน BMW Premium Selection Festival ก่อนที่จะปิดท้ายปีอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการเปิดตัวรถยนต์รุ่นล่าสุดในงาน Motor Expo” ในด้านการผลิต บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย สามารถสร้างสถิติใหม่ด้วยยอดการประกอบรถยนต์และมอเตอร์ไซค์รวมกว่า 200,000 คันจากการดำเนินงานกว่า 21 ปี ขณะที่ยอดการผลิตรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ในปี 2564 ก็เพิ่มสูงขึ้นถึง 10.4% โดยหลังจากที่บรรลุเป้าหมายในการผลิตรถยนต์ 100,000 คันในปี 2561 บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ปแมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ยังคงเพิ่มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่องและสามารถทำยอดการผลิตรวมให้เพิ่มขึ้นถึงเท่าตัวความสำเร็จนี้สะท้อนให้เห็นถึงความยืดหยุ่นในการปรับตัวและความมุ่งมั่นในการพัฒนา ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่นำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนและโมเมนตัมที่แข็งแกร่งสำหรับธุรกิจของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ในประเทศไทย ด้วยศักยภาพการผลิตที่โดดเด่นในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ในขณะที่ประเทศไทยค่อย ๆ ปรับตัวเข้ากับวิถีชีวิตแบบใหม่ หรือ New Normal บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทยได้เร่งดำเนินงานด้านบริการเพื่อสร้างความอุ่นใจให้กับลูกค้าและพนักงานทุกคน ด้วยมาตรฐานด้านสุขภาพและความปลอดภัยที่ยอดเยี่ยม โดยปัจจุบันนี้ มีผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการรวม 8 รายที่ได้ผ่านการรับรองอย่างเต็มรูปแบบภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย (Safety and Health Administration (SHA)) ที่เข้มงวด และยังมีอีก 4 รายที่อยู่ในระหว่างการประเมินดังกล่าว นอกจากนั้น บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย ยังพร้อมเดินหน้าฉลองครบรอบ 20 ปีด้วยแคมเปญพิเศษแห่งปีสำหรับทุกแบรนด์ในเครือบีเอ็มดับเบิลยู นำเสนอรางวัลที่น่าตื่นเต้นและข้อเสนอสุดพิเศษสำหรับลูกค้าทุกท่านที่ซื้อรถยนต์ภายใต้สัญญา BMW Financial Services ในปีที่ 20 ซึ่งเป็นก้าวย่างที่สำคัญนี้ BMW Financial Services จัดกิจกรรมชิงรางวัลใหญ่ ซึ่งผู้โชคดีจะได้มีโอกาสสัมผัสกับสุดยอดประสบการณ์ในทุก ๆ เดือนกับบีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด พร้อมลุ้นรับรางวัลใหญ่จากทั้งสามแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ บีเอ็มดับเบิลยู 2 Series Gran Coupe และ MINI Cooper SE รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% หรือมอเตอร์ไซค์ บีเอ็มดับเบิลยู C 400 GT ข้อเสนอที่น่าตื่นเต้นเหล่านี้จะเพิ่มอัตราการเติบโตของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ในไตรมาสสุดท้ายของปี2564 โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ได้ปิดฉากความสำเร็จอย่างท่วมท้นจากงาน BMW Xpo 2021 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 7-10 ตุลาคมที่ผ่านมา ทั้งนี้ ลูกค้ายังสามารถเพลิดเพลินกับข้อเสนอจากงาน BMW Xpo ทั้งอัตราดอกเบี้ยสุดพิเศษและโปรแกรมการบำรุงรักษา BSI ที่ยกระดับให้เป็นพิเศษถึง 10 ปี หรือ 100,000 กม. สำหรับ BMW X1 และอื่น ๆ อีกมากมายตลอดเดือนตุลาคมนี้
ฮอนด้า ซีวิค ใหม่ เจเนอเรชันที่ 11 คว้ามาตรฐานความปลอดภัย
รางวัล ASEAN NCAP 2021 ระดับ 5 ดาว ในด้านสมรรถนะการขับขี่ที่มาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยอันล้ำสมัยตอกย้ำอีกหนึ่งความสำเร็จเกินกว่าใครจะตามทัน ทุกรุ่นย่อย มาพร้อมเครื่องยนต์ VTEC TURBO 1.5 ลิตร และเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ Honda SENSING ครบครันด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยล้ำสมัย สำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร เพื่อความมั่นใจในทุกการเดินทาง บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศความสำเร็จของ ฮอนด้า ซีวิค ใหม่ เจเนอเรชันที่ 11 ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับ 5 ดาวจากการทดสอบการชนของ ASEAN NCAP 2021 ครั้งล่าสุด ซึ่งเป็นการทดสอบเพื่อวัดสมรรถนะด้านความปลอดภัยของยานยนต์รุ่นใหม่ที่วางจำหน่ายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (New Car Assessment Program for Southeast Asia) หลังจากการเปิดตัวอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ประเทศไทย เมื่อเดือนสิงหาคม 2564 พร้อมกระแสตอบรับที่ดีเกินคาดด้วยยอดจองกว่า 6,200 คัน ภายในระยะเวลาเกือบ 3 เดือนหลังเปิดตัว ฮอนด้า ซีวิค ใหม่ เจเนอเรชันที่ 11 ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับ 5 ดาว ด้วยคะแนนรวม 83.47 คะแนน จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน จากหลักเกณฑ์การประเมินที่ประกอบด้วยการทดสอบการชนจากด้านหน้า การชนจากด้านข้าง และการประเมินเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัย โดยได้รับคะแนนในส่วนการปกป้องผู้โดยสารที่เป็นผู้ใหญ่ (Adult Occupant Protection: AOP) สูงถึง 29.28 คะแนน จากคะแนนเต็ม 32 คะแนน การปกป้องผู้โดยสารที่เป็นเด็ก (Child Occupant Protection: COP) 46.72 คะแนน จากคะแนนเต็ม 51 คะแนน เทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัย (Safety Assist Technologies: SATs) 19.07 คะแนน จากคะแนนเต็ม 21 คะแนน และความปลอดภัยต่อผู้ขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ (Motorcyclist Safety: MS) 8.32 คะแนน จากคะแนนเต็ม 16 คะแนน โดยฮอนด้า ซีวิค ใหม่ ที่ใช้ในการทดสอบครั้งนี้ ได้แก่ รุ่น EL+ และรุ่น RS ที่ผลิตและจำหน่ายในประเทศไทย ฮอนด้า ซีวิค ใหม่ เจเนอเรชันที่ 11 ไอคอนของยนตรกรรมสปอร์ตพรีเมียมซีดาน ครอบคลุมทุกมิติความ สปอร์ตพรีเมียม สมรรถนะทรงพลัง และเทคโนโลยีความปลอดภัยล้ำสมัยเหนือระดับ โดยในทุกรุ่นย่อยขับเคลื่อนด้วยขุมพลังเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร DOHC VTEC TURBO ใหม่ 4 สูบ 16 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 178 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที ตอบสนองได้ทันใจด้วยแรงบิดสูงสุด 240 นิวตัน–เมตร ที่ 1,700 – 4,500 รอบต่อนาที ผสานการทำงานกับระบบเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง CVT ให้อัตราเร่งและอัตราการประหยัดน้ำมันที่ดีเยี่ยมสูงถึง 17.2 กิโลเมตร/ลิตร และรองรับพลังงานทางเลือก E85 อีกทั้งยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ Honda SENSING ใหม่ ที่ทำงานผ่านกล้องมุมมองกว้างด้านหน้า ช่วยตรวจจับรถยนต์และคนเดินถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยมีฟังก์ชันการทำงานประกอบไปด้วย ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS) ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้า ที่ความเร็วต่ำ (Adaptive Cruise Control with Low-Speed Follow: ACC with LSF) ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS) ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning: RDM with…
ฮอนด้าแสดงความยินดีกับแอนชิลี สาวงามผู้คว้ามงกุฎเวที Miss Universe Thailand 2021
เตรียมส่งมอบ ฮอนด้า ซีวิค ใหม่ เจเนอเรชันที่ 11 รุ่น RS ให้แก่ผู้ชนะ ก่อนเดินหน้าลุ้นมงกุฎที่ 3 ให้ประเทศไทย ซึ่ง ในฐานะหนึ่งในผู้สนับสนุนหลักเวทีการประกวด มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ (Miss Universe Thailand 2021) บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด นำโดยนายโนริยุกิ ทาคาคุระ ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอร่วมแสดงความยินดีกับแอนชิลี สก๊อต–เคมมิส สาวงามหมายเลข 27 ผู้ชนะเวทีการประกวด Miss Universe Thailand 2021 และรองชนะเลิศทั้ง 4 คน พร้อมมอบรางวัลพิเศษรถยนต์ ฮอนด้า ซีวิค ใหม่ เจเนอเรชันที่ 11 รุ่น RS สีขาวแพลทินัม (มุก) มูลค่า 1,209,900 บาท ให้แก่ผู้ชนะเลิศ ในเวทีการประกวดรอบสุดท้าย ณ โรงละครนงนุชเธียร์เตอร์ สวนนงนุชพัทยา จ.ชลบุรี สำหรับรางวัลรถยนต์ ฮอนด้า ซีวิค ใหม่ เจเนอเรชันที่ 11 รุ่น RS เป็นไอคอนยนตรกรรมสปอร์ต พรีเมียมซีดาน ที่สามารถสะท้อนตัวตนคนรุ่นใหม่อย่างแอนชิลี ที่มีความมุ่งมั่นและเต็มเปี่ยมไปด้วย แรงบันดาลใจในการเดินหน้าทำตามความฝัน จนสามารถคว้ามงกุฎ Miss Universe Thailand 2021 ไปครองได้สำเร็จ ก่อนที่จะเดินทางไปแสดงศักยภาพและ“Power of Passion” อันทรงพลังของสาวไทย บนเวทีระดับโลก เพื่อคว้ามงกุฎที่ 3 กลับมาให้ประเทศไทยในการประกวดMiss Universe 2021 ณ เมืองเอลัต ประเทศอิสราเอล ในเดือนธันวาคม 2564 #HondaThailand #AllnewHondaCivic #DrivetheUnrivaled #MissUniverseThailand2021
โตโยต้า ถนนสีขาว ประกวดแผนรณรงค์สร้างความปลอดภัย
“Toyota Campus Challenge 2020” โดย คุณนันทวัฒน์ ศรีวรัตน์อัชกุล รักษาการผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ร่วมเป็นประธานในการประกาศผลรางวัลรอบชิงชนะเลิศกิจกรรม “Campus Challenge ครั้งที่ 7 ประจำปี 2020” ภายใต้โครงการโตโยต้าถนนสีขาว เพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนได้แสดงออกถึงความรู้ความสามารถและศักยภาพของตนเองอย่างสร้างสรรค์ รวมถึงการก่อให้เกิดการรับรู้และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้รถใช้ถนนของคนรุ่นใหม่ ร่วมสร้างรอยยิ้มและลดการสูญเสียแก่สังคมไทย โดยได้จัดกิจกรรม ผ่านช่องทางออนไลน์ (Zoom Meeting) โครงการโตโยต้าถนนสีขาว ได้ดำเนินกิจกรรม Campus Challenge มาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านพฤติกรรมการใช้รถใช้ถนนของกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งเป็น ช่วงอายุที่มีสถิติการเกิดอุบัติเหตุสูงโดยสนับบสนุนให้นิสิตนักศึกษาได้มีโอกาส และประสบการณ์ ในการวางแผนรณรงค์ความปลอดภัยบนท้องถนนภายในมหาวิทยาลัยของตน ซึ่งโตโยต้าเล็งเห็นว่า การแสดงออกและความคิดสร้างสรรค์ของกลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งจะกลายมาเป็นผู้ขับรถบนท้องถนนในอนาคตข้างหน้า จะเป็นพลังขับเคลื่อนในการสร้างสังคมคนขับรถดี อันจะนำไปสู่ถนนสีขาวหรือถนนปลอดอุบัติเหตุ ได้อย่างแท้จริง โดยกิจกรรม Campus Challenge 2020 ได้เริ่มดำเนินการมา ตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยมีโจทย์การวางแผนประชาสัมพันธ์สร้างความปลอดภัยทางถนนในสถานศึกษา ภายใต้แนวคิด ”จุดประกายไอเดียที่ใช่ เพื่อการใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัยในสถานศึกษาของคุณ” ซึ่งมุ่งเน้นการจัดกิจกรรม ในรูปแบบออนไลน์ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน นอกเหนือจากการประกวดแผนประชาสัมพันธ์ดังกล่าวแล้ว ทีมที่สมัครเข้าร่วมโครงการ มีโอกาสในการเรียนรู้เทคนิคและวิธีการนำเสนอผลงาน โดยผู้เชี่ยวชาญ และผู้ทรงคุณวุฒิในด้านต่างๆ เพื่อให้การรณรงค์ขับขี่ปลอดภัยในครั้งนี้เป็นไป อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด อาทิ ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาบุคลิกภาพและทักษะการนำเสนอสมัยใหม่ อย่าง”ครูลูกกอล์ฟ คณาธิป สุนทรรักษ์” ที่มาช่วยจุดประกายไอเดียสร้างสรรค์แก่ทุกทีมที่เข้าประกวด และสำหรับทีมที่ได้รับการคัดเลือก จำนวน 20 ทีม ได้เข้าร่วมอบรมเทคนิคการตลาดและการประชาสัมพันธ์ โดย ดร.ธีรพันธ์ โล่ห์ทองคำ ที่ปรึกษาและนักกลยุทธ์การตลาดชื่อดัง รวมถึงบริษัทชั้นนำต่างๆ อาทิ Infographic Thailand, Tencent Thailand, Happenn และDentsu X นอกจากนี้ ยังได้เข้าอบรมความรู้เรื่องอุบัติเหตุบนท้องถนน โดย รศ.ดร.กัณวีร์ กนิษฐ์พงศ์ ผู้จัดการศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทย ผู้เชี่ยวชาญด้านอุบัติเหตุบนท้องถนน ที่จะมาให้ความรู้ เพื่อพัฒนาต่อยอดในด้านการขับขี่ปลอดภัย กิจกรรม Campus Challenge 2020 มีนิสิตและนักศึกษาสนใจส่งผลงานเข้าร่วมประกวดทั้งสิ้น กว่า 700 ทีม ซึ่งหลังจากที่ได้นำเสนอแผนในการรณรงค์ขับขี่ปลอดภัยทางท้องถนนในสถานศึกษา แก่คณะกรรมการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงได้ทำการคัดเลือก 10 ทีมสุดท้าย ไปเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ที่ผ่านมา ซึ่งแต่ละทีมได้รับทุนสนับสนุนมูลค่า 21,050 บาท ไปใช้ในการจัดทำโครงการประชาสัมพันธ์ความปลอดภัยทางถนนในสถานศึกษาผ่านช่องทางออนไลน์ และจัดทำวีดีโอรณรงค์ขับขี่ปลอดภัย เป็นระยะเวลา 2 เดือน (18 สิงหาคม – 18 ตุลาคม 2564) และในรอบชิงชนะเลิศ ทั้ง 10 ทีมได้นำเสนอผลงานต่อคณะกรรมการ ผ่านช่องทางการประชุมออนไลน์ (Zoom Meeting) เพื่อคัดเลือกผู้ชนะเลิศ โดยได้รับเกียรติจากคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ดังนี้ 1) ดร.ธีรพันธ์ โล่ห์ทองคำ ที่ปรึกษาและนักกลยุทธ์ชื่อดังด้านการสื่อสาร 2) รศ.ดร.กัณวีร์ กนิษฐ์พงศ์ ผู้จัดการศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทย 3) คุณพรหมมินทร์ กัณธิยะ ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ 4) คุณคมสันต์ ทรัพย์เอนกนันต์ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายบริหารงานกลาง บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด 6) คุณวุฒิชัย เชาว์เมธีวุฒิ Creative Director บริษัท dentsu MCGARRYBOWEN 7) คุณภาณุพงศ์ เลิศรัศมีจิต ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวางแผนสื่อโฆษณา บริษัท เด็นท์สุ เอ็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด โดยทีมที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ จะได้รับทุนการศึกษาจำนวน 100,000 บาท และโล่รางวัล พร้อมทั้งได้เปิดประสบการณ์ทัศนศึกษา อบรมด้านการขับขี่ปลอดภัยภายในประเทศ เป็นเวลา 4 วัน พร้อมได้รับอุปกรณ์การศึกษา สำหรับทีมนิสิตนักศึกษาและอาจารย์ที่ปรึกษา มูลค่ารวมทั้งสิ้นกว่า 500,000 บาท รวมถึงโอกาสสัมภาษณ์ฝึกงานที่ บริษัท โตโยต้ามอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด หรือพันธมิตร ผลการตัดสิน Campus Challenge 2020 ภายใต้โครงการโตโยต้าถนนสีขาว มีดังนี้ รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ ทีม “คอร์กี้หยุดโลก” มหาวิทยาลัยขอนแก่น – นางสาว ธณัฐยาภรณ์ เพียรชนะ – นาย ธีระพันธ์ สุทธิประภา – นาย อัษฎายุธ ใสภิรมย์ – นาย ศุภชัย ศรีคำ รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ ทีม “Focus Group” จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย – นาย ภูรี ปรียปวัตน์ – นาย สารินทร์ ตงศิริ – นางสาว รติมาส จิรพงศานานุรักษ์ รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ ทีม “ราตรีปลอดภัย” มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ – นาย วีรพล ขนานเภา – นางสาว พิชญ์นรี มนจริง – นางสาว ศุภนิดา เกติยะ รางวัลวีดีโอยอดเยี่ยม (จำนวน 3 รางวัล)ได้แก่ ทีม “งามผี้หลี้ CMRU” มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ – นาย เอกชัย พุทธยศ – นาย ศราวุธ รัตนวงศ์ – นาย ชนที เงินดี – นาย ธวัชชัย คนสนิท ทีม “วงเวียนจ๋า พี่มาแล้ว” มหาวิทยาลัยบูรพา – นาย วาริส สำมะเนี๊ยะ – นาย รัฐศาสตร์ ธรรมบัวชา – นาย ศิวาพัชร์ วัชรภินันท์พล – นางสาว ภัณฑิลา กองศรี ทีม “Banana…
“โอมาคาเสะ คาร์”
โดยกลุ่มตรีเพชร เดินหน้าผุดสาขาใหม่ “โอมาคาเสะ คาร์” พร้อมฉลอง 1,000 คัน คุณวิชัย สินอนันต์พัฒน์ กรรมการบริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด เผยว่า “จากกระแสตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เราได้ก้าวสู่ธุรกิจซื้อขายรถยนต์มือสองภายใต้ชื่อ “โอมาคาเสะ คาร์” เมื่อปลายปี 2562 ที่ผ่านมา “โอมาคาเสะ คาร์” ได้จำหน่ายรถมือสองคุณภาพสูงผ่านช่องทางออนไลน์ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่เป็นปัจจัยสำคัญของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการซื้อ–ขายของผู้บริโภคที่เปิดรับและเข้าสู่โลกดิจิตัลอย่างไม่มีทางเลี่ยง ส่งผลให้เกิดความต้องการรถมือสองคุณภาพสูงในราคาคุ้มค่าผ่านช่องทางออนไลน์ ทำให้ภายในระยะเวลาเพียง 1 ปีกว่า “โอมาคาเสะ คาร์” ส่งมอบรถให้กับลูกค้าแล้วมากกว่า 1,000 คัน โดยมีสาขาทั้งสิ้น 4 สาขา ได้แก่ 3 สาขาในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล นั่นคือ สาขารัตนาธิเบศร์ สาขาเกษตร–นวมินทร์สาขางามวงศ์วาน และต่างจังหวัด 1 สาขา ที่ ต. กลางดง อ. ปากช่อง จ. นครราชสีมา เราขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่ไว้วางใจเลือกใช้บริการ “โอมาคาเสะ คาร์” ล่าสุดเพื่อเพิ่มช่องทางและสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้าที่ต้องการเห็นรถจริงและทดลองขับจริง เราจึงได้ขยายสาขาใหม่เพิ่มอีก 1 สาขา โดยเริ่มเปิดให้บริการไปตั้งแต่ช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา คือ สาขาบางใหญ่ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในพื้นที่ทางตะวันตกของกรุงเทพฯ และยังเป็นการเพิ่มจุดส่งมอบรถแห่งใหม่เพื่อเพิ่มความสะดวกให้แก่ลูกค้าที่อาศัยอยู่ในบริเวณดังกล่าวด้วย เรายังคงยึดมั่นในการนำเสนอรถยนต์มือสองคุณภาพดีเกรดพรีเมี่ยมเท่านั้น อายุน้อย เลขไมล์น้อย เลขไมล์แท้ มีประวัติการซ่อมบำรุงย้อนหลังที่สามารถตรวจสอบประวัติได้ รถทุกคันต้องผ่านการตรวจสอบคุณภาพด้วยเครื่องมือที่ทันสมัยโดยช่างผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ รวมทั้งมีข้อเสนอสินเชื่อสุดพิเศษจากสถาบันการเงินชั้นนำต่าง ๆ และการรับประกันหลังการขาย 6 เดือน หรือ 10,000 กิโลเมตร (ตามเงื่อนไขการรับประกัน) พิเศษสุด!เพื่อฉลองการเปิดสาขาบางใหญ่ จึงได้จัดทำข้อเสนอพิเศษดอกเบี้ย 0% นาน 12 เดือน พร้อมฟรีประกันภัย2+ อีกด้วย สำหรับลูกค้าที่สนใจสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.omakasecar.com”
เคล็ดลับดูแลรถเงาฉ่ำ เข้ม ทั้งคันแบบ Extreme
การล้างรถ เชื่อว่าหลายคนต้องเคยเจอปัญหารถเริ่มดูเก่าไม่ฉ่ำเงาเหมือนก่อน จะล้างเองทุกวันมันก็เหนื่อย ทำเคลือบแก้วเงินในกระเป๋าไม่เอื้อเท่าไหร่ ยิ่งหน้าฝนรถยิ่งดูโทรมง่ายเข้าไปอีก วันนี้เราเลยมีเคล็ดลับให้รถดูใหม่ ฉ่ำวาวแบบมืออาชีพแถมประหยัดค่าใช้จ่าย ไม่ง้อคาร์แคร์ไปอีกนาน ไม่ยุ่งยากเพียง 3 ขั้นตอน!! ทำเองง่าย ๆ ได้ที่บ้าน แถมประหยัดเวลาอีกต่างหาก 1.ล้างรถให้สะอาด เป็นพื้นฐานสำคัญ ขั้นตอนการ “ล้าง” เป็นสิ่งแรกที่ต้องทำในการทำความสะอาดรถยนต์ ยิ่งโดนฝนมา ยิ่งต้องรีบล้างเพื่อป้องกันคราบฝังเข้าไปในสีรถยนต์ และถึงแม้ว่ารถคุณจะไม่ได้บุกตะลุยอะไรมาเยอะ แต่ก็ต้องล้างเพื่อให้สิ่งสกปรก คราบฝุ่น ที่เกาะอยู่บนสีผิวรถยนต์หลุดออกไป และยังเป็นการเตรียมพื้นผิวในขั้นต่อไปด้วยโดยเคล็ดลับง่ายๆ ในการล้าง คือฉีดไล่ตั้งแต่ด้านบนลงมาด้านข้างและด้านล่าง และโดยเลือกใช้แชมพูล้างรถที่ออกแบบมาสำหรับรถยนต์ที่มีค่า pH Balance โดยเริ่มลงแชมพูขัดที่ล้อ ทั้ง 4 ล้อ ก่อนอันดับแรก เพื่อไม่ให้คราบสกปรกจากล้อกระเด็นไปเปรอะตัวรถ จากนั้นให้ล้างตั้งแต่บนหลังคาลงมาด้านข้างตัวรถ ไปจนถึงฝากระโปรง และด้านหลัง โดยใช้ฟองน้ำขัดเน้นไปที่สิ่งสกปรกตามจุดต่างๆ 2.ลงแว็กซ์ ให้รถเอี่ยม ล้างรถอย่างเดียวอาจจะไม่ได้ช่วยทำให้รถฉ่ำวาวได้ ยิ่งออกไปเจอฝุ่น ควัน สภาพอากาศที่แปรปรวน ฝนตก แดดออก รถที่ล้างมาไม่กี่วันก็หมอง ฉะนั้น การลงแว็กซ์เคลือบสี จะเป็นการเพิ่มเสน่ห์ความเงางามรถได้ดี อย่าง 3M Extreme Spray Wax ผลิตภัณฑ์เคลือบเงาสีรถยนต์ ที่มีส่วนผสมของคานูบาให้ความเงาฉ่ำลึก ผิวสัมผัสลื่นช่วยลดการจับเกาะของฝุ่น พร้อมนวัตกรรมที่เหนือชั้น อย่าง Water Beading Performance รีดน้ำได้ดี ทำให้เม็ดน้ำกลม ไม่ว่าจะฝุ่นหนา ฝนตกหนักแค่ไหน รถก็ยังเงางาม แถมยังใช้งานง่ายเพียงแค่เขย่าขวด ฉีดสเปรย์ลงบนผิวรถ และเช็ดให้ขึ้นเงา เพียงแค่นี้รถคุณไม่หมองอีกต่อไป สนใจสั่งซื้อสินค้าได้ที่ Lazada 3.อย่าลืมล้อรถ!! การเคลือบล้อดำ ที่คนมักจะมองข้ามไป เพราะเข้าใจว่าทำให้รถดูดีเท่านั้น แต่จริง ๆ แล้วการเคลือบล้อรถดำช่วยรักษาการเสื่อมสภาพของล้อรถ โดยเฉพาะรักษาแก้มยางรถไม่ให้แตกลาย แถมยืดอายุการใช้งานของล้อรถอีกด้วย 3M Extreme Spray Tire ผลิตภัณฑ์เคลือบเงายางรถยนต์ มาในสูตรเสริมความเงาพิเศษ อัปเกรดความเงางามให้ยางรถยนต์ดำ เข้ม เหมือนใหม่ ติดทนนาน หมดปัญหาล้อรถยนต์ซีดจาง ไม่กัดกร่อนยางของรถ และไม่ทิ้งรอยคราบด่าง วิธีใช้หลังจากที่ล้างล้อรถแล้ว ก็ฉีดสเปรย์บริเวณแก้มยาง ระวังอย่าให้น้ำยาเคลือบไปโดนล้อแม็ก หรือจานเบรก แล้วใช้ฟองน้ำเช็ดลูบให้ทั่ว แค่นี้ก็ได้ล้อรถดำเข้มแล้ว สามารถหาซื้อได้ง่ายได้ที่ Lazada การดูแลรถให้ฉ่ำเงาเหมือนใหม่ทำเองได้ง่าย ๆ ที่บ้าน อีกทั้งยังไม่ต้องเสียเวลาล้างบ่อยอีกด้วย ประหยัดทั้งเงิน ทั้งเวลา และถ้าอยากได้ความคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น สามารถสั่งซื้อ 3M Extreme Spray Wax หรือ 3M Extreme Spray Tire ได้ที่Lazada มีโปรโมชันแถมฟรี!! ชามัวร์ซับน้ำ Chamois ขนาด 66x43cm 1 ผืน ในทุกการสั่งซื้อ ห้ามพลาด!
Subaru The All-New Outback คว้ารางวัล
ซูบารุ ตอกย้ำความมั่นใจด้านเทคโนโลยีความปลอดภัยอีกครั้ง เมื่อ Subaru The All-New Outback (รุ่นจำหน่ายในทวีปยุโรป) ได้รับรางวัลความปลอดภัยสูงสุดระดับ 5 ดาวประจำปีพ.ศ.2564 จาก องค์กรทดสอบมาตรฐานความปลอดภัยของยานยนต์ Euro NCAP (European New Car Assessment Programme—Euro NCAP) การทดสอบความปลอดภัยโดย Euro NCAP เป็นการทดสอบระบบความปลอดภัยต่างๆ ในรถยนต์แต่ละรุ่น ได้แก่“ระบบการปกป้องผู้โดยสารผู้ใหญ่” “ระบบการปกป้องผู้โดยสารเด็ก”n “ระบบการปกป้องกลุ่มผู้สัญจรบนถนน” “ระบบช่วยเหลือเพื่อเพิ่มความปลอดภัยโดยรวม” โดย The All-New Outback ได้คะแนนในการประเมินทั้ง 4 ด้านสูงกว่าคะแนนมาตรฐานความปลอดภัยระดับ 5 ดาว อีกทั้งยังได้รับรางวัลสูงสุดด้านระบบช่วยเหลือเพื่อเพิ่มความปลอดภัยโดยรวม*2 และระบบการปกป้องกลุ่มผู้สัญจรบนถนน*3 ในการทดสอบความปลอดภัยของยานยนต์ทุกกลุ่ม รางวัลระดับ 5 ดาวจาก Euro NCAP ที่มอบ The All-New Outback ครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จจากความพยายามอย่างไม่หยุดยั้งของซูบารุที่มุ่งให้ทุกการขับขี่คือความปลอดภัย ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที่ 9 ของซูบารุที่ได้รับรางวัลความปลอดภัยสูงสุดในการทดสอบจากสถาบันแห่งนี้ The All-New Outback ในประเทศไทย ที่เปิดตัวในเดือนมีนาคม ปีพ.ศ.2564 มาพร้อมกับเทคโนโลยีความปลอดภัยอายไซต์รุ่นใหม่ (EyeSight Driver Assist) ที่เพิ่มประสิทธิภาพการตรวจจับด้วยการขยายมุมรับภาพให้กว้างขึ้นกว่า 2 เท่า พร้อมเพิ่มฟังก์ชั่นการใช้งานหลากหลาย อีกทั้งยังเพิ่มสมรรถนะของระบบความปลอดภัยเมื่อเกิดการชน ซึ่งไม่เพียงมุ่งลดความเสียหายเฉพาะต่อผู้โดยสารเท่านั้น แต่ยังลดความเสียหายของคู่กรณี ด้วยโครงสร้างตัวถัง ซูบารุโกลบอล แพลตฟอร์ม ที่ช่วยกระจายแรงกระแทก The All-New Outback ได้ติดตั้งระบบควบคุมเบรกหลังเกิดการชน (Post Collision Brake Control) เป็นครั้งแรกในรถยนต์ซูบารุ โดยระบบจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อนด้วยการเบรกและลดความเร็วของรถอัตโนมัติเมื่อเกิดการชน The All-New Outback (รุ่นจำหน่ายในไทย) ที่ได้นำเอาเทคโนโลยีความปลอดภัยโครงสร้างตัวถังแบบกระจายแรงกระแทก (ซูบารุ โกลบอล แพลตฟอร์ม) พร้อมระบบควบคุมเบรกหลังเกิดการชนเช่นเดียวกับรุ่น ที่จำหน่ายในทวีปยุโรปและได้รับเสียงตอบรับที่ดีเกินคาดจากแฟนซูบารุ โดยโควต้าการนำเข้าครั้งแรกกว่า 50 คัน อยู่ในกระบวนการการส่งมอบสำหรับลูกค้าที่จองไว้ตั้งแต่ช่วงเปิดตัว นอกจากนี้เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องซูบารุได้มีการขอโควตาเพื่อนำเข้า The All-New Outback จากญีปุ่นเพิ่มเติมอีก 50 คันภายในปีนี้ ด้วยความมุ่งมั่นในจุดยืน “ความปลอดภัยของลูกค้าคือหัวใจของเรา” ซูบารุยังคงพัฒนาระบบความปลอดภัยอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งระบบความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน ระบบขับขี่ ระบบความปลอดภัยเชิงแก้ไข (passive safety) ระบบความปลอดภัยเชิงป้องกัน ตลอดจนเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้นภายใต้หลักการ All-around safety ที่เน้นสุนทรียภาพในการขับขี่ไปพร้อมกับความมั่นใจของผู้ขับและผู้โดยสารทุกคน
New HONDA CB500X
แอดเวนเจอร์ไบค์ของนักบิดสายลุยตัวจริง ไลฟ์สไตล์ของผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่หรือบิ๊กไบค์ในปัจจุบันล้วนมีความแตกต่างที่ชัดเจนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสายสปอร์ตที่ชื่นชอบความเร็ว แรง แบบรถแข่งในสนาม สายเน็กเก็ตที่เน้นความคล่องตัวกับการขับขี่ในเมือง และสายแอดเวนเจอร์ที่ชื่นชอบการผจญภัย โดยเฉพาะในกลุ่มนี้กำลังได้รับความนิยมและขยายตัวอย่างต่อเนื่อง สำหรับรถคู่ใจของนักเดินทางรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง New CB500X หลังการเปิดตัวได้สร้างความตื่นเต้นให้กับนักบิดสายลุยเป็นอย่างมาก เพราะด้วยออปชันที่เติมเต็มเข้ามาใหม่ ทั้งโช้กอัพหน้าแบบหัวกลับขนาดใหญ่ 41 มม. และดิสก์เบรกหน้าคู่พร้อมคาลิปเปอร์แบบ Twin Piston 2 Pots ถือว่าเป็นการยกระดับให้แอดเวนเจอร์ไบค์รุ่นนี้โดดเด่นและเหนือชั้นที่สุดในคลาสเดียวกัน ด้วยฟิลลิ่งการขับขี่ในสไตล์แอดเวนเจอร์ของ New CB500X จากตำแหน่งท่านั่งที่ถูกออกแบบมาอย่างเหมาะสมการวางองศาของแฮนด์ยกสูงและมีความกว้างกำลังพอดี ทำให้ควบคุมรถได้ง่าย ขับขี่สบาย ไม่เมื่อยล้า แม้ขับขี่ในระยะทางไกล และพร้อมลุยทุกอุปสรรคกับการออกแบบความสูงของตัวรถจากพื้นดิน สูงถึง 181 มม. รวมกับการใช้ล้อแม็กหน้าดีไซน์ใหม่ ขนาดใหญ่ 19 นิ้ว และมีน้ำหนักเบา เช่นเดียวกับสวิงอาร์มที่พัฒนาขึ้นใหม่ มีน้ำหนักที่เบากว่าเดิม ส่งผลให้การใช้งานพร้อมลุยทั้งแบบออนโรดและออฟโรดได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ ระบบส่องสว่างของไฟหน้าแบบ Full LED ก็ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพความสว่างได้มากขึ้นถึง 25% ช่วยให้ทัศนวิสัยการขับขี่ในเวลากลางคืนทำได้ดียิ่งขึ้น ขณะที่ในด้านสมรรถนะของ New CB500X เป็นที่ยอมรับของเหล่าไบค์เกอร์สายลุยอยู่แล้ว จากขุมพลังเครื่องยนต์2 สูบ แบบ Parallel Twin DOHC ขนาด 500 ซีซี ระบายความร้อนด้วยน้ำ ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์ 6 สปีด โดดเด่นในเรื่องการตอบสนองแรงบิดในรอบต่ำ ขับขี่ท่องเที่ยวเดินทางขึ้นเขาได้อย่างคล่องตัว ประสานการทำงานกับ Assist Slipper Clutch ที่ช่วยลดแรงกระชากของล้อหลัง เพิ่มความนุ่มนวลขณะเปลี่ยนเกียร์ สำหรับนักบิดสายแอดแวนเจอร์ที่ชื่นชอบการขับขี่ผจญภัยในสไตล์ทัวริ่ง New CB500X คือ คำตอบที่ใช่และพร้อมลุยในทุกเส้นทาง ด้วยออปชันจัดเต็มระดับท็อปคลาส แต่ราคาเท่าเดิม หรือ 224,900 บาท สนใจ New CB500X สามารถไปพบกับรถคันจริงได้ที่ Honda Big Wing ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ : www.hondabigbike.comเฟซบุ๊กรถจักรยานยนต์ฮอนด้า : fb.com/hondabigbiketh #New500Series #NewCB500X #HondaBigBike #WhatStopsYou #มุ่งไปอย่าให้อะไรมาหยุด #รถจักรยานยนต์ฮอนด้า #ThaiHonda #HondaThailand