นิสสัน ช.เอราวัณมอเตอร์ ศาลายา โชว์รูมแห่งแรกในประเทศไทย

ภายใต้ “Nissan Retail Concept – NEXT” ดีลเลอร์อย่าง ช.เอราวัณ เปิดโชว์รูมแห่งแรกที่นำเสนอแนวคิดนวัตกรรมระดับโลก NRC-NEXT ตอกย้ำความมุ่งมั่นเพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง นิสสัน ช.เอราวัณมอเตอร์ ผู้จำหน่ายรถยนต์นิสสัน ขยายสาขาใหม่ โดยเป็นแห่งแรกในประเทศไทยที่ออกแบบภายใต้มาตรฐานโชว์รูม และศูนย์บริการ Nissan Retail Concept – NEXT (NRC-NEXT) ตั้งอยู่ ณ อำเภอศาลายา จังหวัดนครปฐม เพื่อมอบบริการคุณภาพและมาตรฐานระดับโลกให้แก่ลูกค้านิสสัน และตอกย้ำความมุ่งมั่นที่จะนำนวัตกรรมการดูแลลูกค้าที่ทันสมัยและการนำเสนอดิจิทัลในประเทศอย่างต่อเนื่อง การเปิดตัวโชว์รูมโฉมใหม่ในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของแผนระดับโลกของนิสสัน ในการสร้างสรรค์โชว์รูมโฉมใหม่มาตรฐาน NRC-NEXT เพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า หรือ customer journey โดดเด่นด้วยการออกแบบที่ปรับเปลี่ยนใหม่และการจัดวางสิ่งอำนวยความสะดวกใหม่เพื่อสร้างพื้นที่ที่สะดวกสบายและอบอุ่น เช่น ภายนอกใหม่พร้อมสัญลักษณ์แบรนด์โลโก้ใหม่ของนิสสันที่โดดเด่นเมื่อลูกค้ามาถึงโชว์รูม ภายในโซน ‘Nissan Drive’ พื้นที่ขายและให้คำปรึกษาให้การต้อนรับลูกค้าอย่างอบอุ่น พร้อมทั้งจัดแสดงผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีล่าสุดของนิสสัน พื้นที่ส่งมอบรถสร้างความประทับใจโดยเฉพาะเมื่อลูกค้าออกรถใหม่ อีกทั้งภายนอกศูนย์บริการที่ได้รับการออกแบบภูมิสถาปัตย์อย่างมีสไตล์เพื่อให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุดตามมาตรฐานนิสสัน และเพื่อตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้า มร.อิซาโอะ เซคิกุจิ ประธาน นิสสัน ประเทศไทย กล่าวย้ำบทบาทสำคัญของผู้จำหน่ายของนิสสันมีต่อการพัฒนาบริการเพื่อสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่องว่า “โชว์รูมใหม่ และเป็นแห่งแรกของประเทศไทยที่ได้รับการออกแบบมาตรฐาน NRC-NEXT เป็นแผนของนิสสันในการมอบประสบการณ์ และสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าของเราเพื่อตอบสนองทุกความต้องการของพวกเขา โดยตลอดระยะเวลา 21 ปีที่ผ่านมา ช.เอราวัณมอเตอร์ และนิสสัน มีเป้าหมายร่วมกันในการส่งมอบผลิตภัณฑ์ และการให้บริการที่เกินความคาดหมายให้แก่ลูกค้าของเรามาอย่างต่อเนื่อง โชว์รูมและศูนย์บริการแห่งใหม่ที่น่าตื่นเต้นนี้คือตัวอย่างล่าสุดของเรื่องนี้ นอกจากนี้ นิสสัน ยังมีการนำเทคโนโลยี และระบบดิจิทัลเข้ามาใช้ในการจำหน่ายและให้บริการรถยนต์นิสสัน ในการให้ข้อมูลผลิตภัณฑ์ ไปจนถึงบริการหลังการขาย ระบบอัปเดตสถานะการซ่อมเรียลไทม์และการสั่งซื้ออะไหล่ เพื่อเพิ่มความอุ่นใจ ตลอดอายุการใช้งานรถยนต์นิสสัน” โชว์รูมนิสสันแห่งใหม่ ช.เอราวัณมอเตอร์ ศาลายา จ.นครปฐม ตั้งอยู่ในโซนพื้นที่ของเมืองที่กำลังขยาย มีทั้ง ที่อยู่อาศัย สถานศึกษา แหล่งการค้า แหล่งท่องเที่ยว รวมถึงกลุ่มธุรกิจและอุตสาหกรรมต่าง ๆ รองรับความต้องการและการเจริญเติบโตของกลุ่มลูกค้าปัจจุบันและในอนาคต รวมถึงเป็นเส้นทางสู่ภาคตะวันตกของประเทศไทย สามารถให้บริการรถยนต์สูงสุดกว่า 380 คันต่อเดือน พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น ห้องรับรองลูกค้าที่ทันสมัยและให้ความรู้สึกผ่อนคลาย พร้อมต้อนรับทุกกลุ่มลูกค้าที่สนใจรถยนต์นิสสัน โดยมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายที่ได้รับการฝึกอบรม และมีความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เป็นอย่างดี ทั้งนี้สาขาศาลายาเป็นโชว์รูมและศูนย์บริการนิสสันแห่งที่ 4 ของกลุ่ม ช.เอราวัณมอเตอร์ ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ ช.เอราวัณมอเตอร์ ในการนำเสนอบริการที่เป็นเลิศ เพื่อยกระดับประสบการณ์ลูกค้า นอกจากนี้ช.เอราวัณมอเตอร์ ยังได้รับรางวัลต่าง ๆ ของนิสสัน อาทิ Best Dealer Award สำหรับผู้จำหน่ายยอดเยี่ยมของภาคกลางและภาคตะวันออก คุณวิวัฒน์ จันทร์วาววาม ประธานกรรมการ บริษัท ช.เอราวัณมอเตอร์ จำกัด กล่าวเสริมเพื่อยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับนิสสัน เพื่อยกระดับประสบการณ์ลูกค้าว่า “เรามีความมั่นใจในผลิตภัณฑ์และการทำงานร่วมกันกับนิสสัน จึงได้ลงทุนเพื่อสร้างโชว์รูมใหม่ตามแนวคิดในระดับโลกของนิสสัน เพื่อมอบความสะดวกสบายและบริการที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าของเราทุกคน ไม่ว่าจะซื้อรถใหม่ หรือนำรถเข้ารับบริการ  สำหรับกลุ่มบริษัท ช.เอราวัณมอเตอร์ จำกัด เรามุ่งมั่นในนโยบาย “Happiness Guaranteed” ซึ่งหมายความว่าลูกค้าจะได้รับความสะดวกสบาย ความมั่นใจ และความสุขทุกครั้งเมื่อเลือกซื้อผลิตภัณฑ์และบริการนิสสันจากเรา” ในช่วงที่สถานการณ์ของโรคโควิด-19 มาตรการเพื่อช่วยเหลือป้องกันการแพร่ระบาดและอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้านิสสัน ภายใต้โครงการ “Care for You”  พร้อมเดินหน้ายกระดับประสบการณ์ของลูกค้านับตั้งแต่เลือกซื้อรถ ขับรถยนต์ออกไปจากโชว์รูมจนถึงการนำรถยนต์กลับมารับบริการ ทั้งหมดจะต้องได้รับการดูแลและปรนนิบัติด้วยความใส่ใจอย่างสูงสุดตลอดช่วงเวลาที่เป็นเจ้าของรถยนต์นิสสัน ปัจจุบัน นิสสัน มีเครือข่ายโชว์รูมและศูนย์บริการ 178 แห่งครอบคลุมทั่วประเทศ โดยตั้งเป้าหมายการพัฒนาโชว์รูมทั้งหมดภายใต้แนวคิด NRC-NEXT ใหม่นี้ให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566  

 
Read More

BMW R 18 Transcontinental และ R 18 B ใหม่

บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ประเทศไทย เผยโฉมมอเตอร์ไซค์ครูสเซอร์รุ่นใหม่ล่าสุดที่พร้อมออกโลดแล่นบนท้องถนน กับการเปิดตัวบีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental และบีเอ็มดับเบิลยู R 18 B “Bagger” ที่ผสมผสานความหรูหราความมีสไตล์ และสมรรถนะเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว โดยมอเตอร์ไซค์ทั้งสองรุ่นมาพร้อมกับพลังเต็มเปี่ยมจากเครื่องยนต์”บิ๊กบ็อกเซอร์” ที่ใจกลางแชสซีสุดคลาสสิก ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากประวัติศาสตร์อันยาวนานของบีเอ็มดับเบิลยูมอเตอร์ราด มอเตอร์ไซค์ BMW R 18 Transcontinental ได้รับการออกแบบและวางโครงสร้างทางวิศวกรรมเพื่อรองรับการขับขี่ทางไกล เพียบพร้อมด้วยความสบาย ปราดเปรียว และลุคที่โดดเด่นที่จะยกระดับทุกการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางเพียงลำพัง หรือพร้อมผู้โดยสารซ้อนท้ายและกระเป๋าสัมภาระก็ตาม ส่วนบีเอ็มดับเบิลยู R 18 B ได้รับการออกแบบให้เป็นมอเตอร์ไซค์สำหรับผู้รักการขับขี่ มอบประสบการณ์ความพึงพอใจที่เหนือกว่าสำหรับแฟนมอเตอร์ไซค์พันธุ์แท้ เติมเต็มที่สุดแห่งการขับขี่บนท้องถนน มร.มิเกล ญาเบรส-โปห์ล ผู้อำนวยการ บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และผู้นำเข้าประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า “บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental และบีเอ็มดับเบิลยู R 18 B นับว่าเป็นดาวดวงใหม่ในในครอบครัวมอเตอร์ไซค์ทัวริ่งของเรา ด้วยการดีไซน์ที่สมบูรณ์แบบสำหรับการขับขี่อย่างเพลิดเพลินทั้งทางใกล้และทางไกล บีเอ็มดับเบิลยู R 18 ทั้งสองรุ่นใหม่นี้ จึงสะท้อนจิตวิญญาณเสรีของบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ได้เป็นอย่างดี ด้านการออกแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากระบบสรีรศาสตร์ ช่วยให้มอเตอร์ไซค์ทั้งสองรุ่นเหมาะแก่การขับขี่แบบครูสซิ่งและทัวริ่งอย่างสะดวกสบายได้ในทุกสภาพอากาศ  และเช่นเดียวกับมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู R 18 รุ่นก่อนหน้านี้ บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental และบีเอ็มดับเบิลยู R 18 B ยังคงมาพร้อมกับสมรรถนะที่โดดเด่น ด้วยขุมกำลังเครื่องยนต์บ็อกเซอร์ของบีเอ็มดับเบิลยูขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาส่งพลังสู่สองล้อ และด้วยทรวดทรงของตัวรถที่มาในมาดเข้มดุดัน ผมจึงมั่นใจว่ามอเตอร์ไซค์ทั้งสองรุ่นนี้จะสามารถสะกดทุกสายตาบนท้องถนนทั้งการขับขี่ในตัวเมืองและต่างจังหวัดได้อย่างแน่นอน”  บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental “First Edition” ใหม่: 
ราคาจำหน่าย 1,640,000 บาท บีเอ็มดับเบิลยู R 18 B “First Edition” ใหม่: ราคาจำหน่าย 1,500,000 บาท มอเตอร์ไซค์ BMW R 18 Transcontinental ใหม่ โดดเด่นด้วยความเป็นมอเตอร์ไซค์ทัวริ่งหรูหรา ขณะที่บีเอ็มดับเบิลยู R 18 B ใหม่ มาพร้อมความเป็นมอเตอร์ไซค์สไตล์แบกเกอร์เต็มตัวด้วยรูปลักษณ์ที่ดูทั้งเรียบง่ายและปราดเปรียว พร้อมด้วยกระเป๋าสัมภาระข้างรถที่เข้ากันได้เป็นอย่างดีกับฝาครอบไฟหน้ารถ และสำหรับรุ่น R 18Transcontinental จะมีกล่องสัมภาระท้ายรถ (top case) อีกด้วย  ส่วนประกอบเพื่อการใช้งานและดีไซน์ต่างๆ อาทิเช่นโครงสร้างเหล็กกล้าสองชั้น ถังน้ำมันทรงหยดน้ำขนาด 24 ลิตร เพลาแบบเปิดเปลือย พร้อมลูกเล่นการทำสีแบบลายเส้นคู่ล้วนสะท้อนถึงเอกลักษณ์เฉพาะตัวของมอเตอร์ไซค์แบบทัวริ่งและครูสเซอร์ยอดนิยม และด้วยระบบสวิงอาร์มคู่ขนาบข้างและคานรับน้ำหนักแบบยื่น โครงสร้างตัวรถอันแข็งแกร่งจากมอเตอร์ไซค์ระดับตำนานอย่างบีเอ็มดับเบิลยู R 5 จึงถูกถ่ายทอดสู่ยุคปัจจุบันได้อย่างดีเยี่ยม หัวใจหลักของมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental และ R 18 B ใหม่ คือเครื่องยนต์บ็อกเซอร์ 2 สูบที่เรียกว่า “บิ๊กบ็อกเซอร์” ซึ่งนับเป็นเครื่องยนต์แบบ 2 สูบวางเรียงที่มีสมรรถนะสูงสุดในรถมอเตอร์ไซค์ที่ผลิตออกจำหน่ายในตลาดทั่วไป ด้วยความจุ 1,802 ซีซี ส่งพละกำลังสูงสุด 67 กิโลวัตต์ (91 แรงม้า) ที่ 4,750 รอบต่อนาที ส่งแรงบิดมากกว่า150 นิวตันเมตรตลอดในช่วง 2,000 ถึง 4,000 รอบต่อนาที พร้อมพลังขับเคลื่อนและเสียงเครื่องยนต์กระหึ่มเร้าใจ ด้านแชสซีของบีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental และ R 18 B ใหม่ เป็นโครงสร้างเหล็กกล้าสองชั้น พร้อมแกนหลักชิ้นส่วนขึ้นรูปจากแผ่นเหล็ก ทั้งยังโดดเด่นด้วยมาตรฐานการผลิตคุณภาพสูงและความประณีตในรายละเอียดต่างๆเช่น การเชื่อมข้อต่อระหว่างโครงสร้างเหล็กและการขึ้นรูปชิ้นส่วนเหล็กหล่อต่างๆ  นอกจากนี้ สวิงอาร์มหลังยังยึดต่อกับเพลาหลังด้วยข้อต่อสลักเกลียวแบบดั้งเดิม ระบบช่วงล่างของบีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental และ R 18 B ใหม่ ใช้ช่วงล่างแบบเทเลสโคปิก และระบบสวิงอาร์มที่ติดตั้งโดยตรงบนคานรับน้ำหนักแบบยื่นที่สามารถปรับตั้งค่าความหนืดและการยุบตัวของสปริงได้ เพื่อให้ควบคุมล้อที่หล่อด้วยวัสดุอัลลอยน้ำหนักเบาชั้นเลิศได้อย่างแม่นยำ พร้อมมอบการขับขี่ที่นุ่มสบาย คานรับน้ำหนักด้านหลังสามารถปรับตั้งค่าความหนืดได้และมีระบบชดเชยโหลดอัตโนมัติเพื่อตอบสนองการขับขี่ที่เหนือระดับ  และเช่นเดียวกับรถรุ่นตำนานอย่างบีเอ็มดับเบิลยู R 5 แกนโช้คหน้าแบบเทเลสโคปิกของ R 18 ทั้งสองรุ่นก็มาพร้อมกับปลอกหุ้มโช้คนอกจากนี้ ทั้งสองรุ่นยังมาพร้อมกับระบบดิสก์เบรกคู่ที่ล้อหน้า และดิสก์เบรกเดี่ยวที่ล้อหลัง ทำงานร่วมกับคาลิเปอร์เบรกแบบตายตัว 4 ลูกสูบ และระบบเบรกเอบีเอสของบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental และ R 18 B ติดตั้งอุปกรณ์มาตรฐานอย่างครบครัน เช่น ระบบควบคุมการขับขี่แบบอิเล็กทรอนิกส์ DCC (Dynamic Cruise Control) และระบบควบคุมการขับขี่แบบ Active Cruise Control (ACC) ทั้งนี้ ระบบ DCC จะเป็นการควบคุมระดับความเร็วในการขับขี่อัตโนมัติที่ผู้ขับขี่สามารถตั้งค่าได้ด้วยตัวเอง ส่วนระบบACC จะช่วยให้สามารถขับขี่ได้อย่างสะดวกสบายด้วยระบบควบคุมระยะห่างจากคันหน้า โดยระบบตรวจจับด้วยเรดาร์ที่ติดตั้งบนฝาครอบไฟหน้ารถจะช่วยกำหนดให้มอเตอร์ไซค์เร่งความเร็วเพื่อปรับระดับความเร็วได้โดยอัตโนมัติ หรือเปิดใช้งานระบบเบรกมาตรฐานใหม่เพื่อลดความเร็ว  นอกจากนี้ ระบบ ACC ยังช่วยเสริมความปลอดภัยในการเข้าโค้ง และในยามจำเป็น ระบบควบคุมการเข้าโค้งจะชะลอความเร็ว เพื่อให้ผู้ขับขี่ใช้ความเร็วที่เหมาะสมกับมุมเอียงของถนนเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่และเข้าโค้งได้อย่างมั่นใจ มอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental ติดตั้งเบาะที่นั่งที่นุ่มสบายพร้อมระบบอุ่นเบาะที่นั่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เพื่อความสบายในการขับขี่ทางไกลแม้มีคนนั่งซ้อนท้าย  ส่วนเบาะที่นั่งในรุ่น R 18 B เป็นเบาะที่นั่งสำหรับสองคนที่มีขนาดเล็กลง บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental ใหม่ มาพร้อมบันไดข้างเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ส่วนรุ่น R 18 B ใหม่ มากับที่พักเท้าที่กว้างขึ้นและสะดวกสบายยิ่งขึ้นกว่า R 18 รุ่นก่อนหน้า ส่วนขับขี่ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษทั้งสองรุ่น มาพร้อมกับมาตรวัดแบบอนาล็อก หน้าปัดทรงกลม 4 ช่อง และจอสีแสดงผลแบบ TFT ขนาด 10.25 นิ้ว พิมพ์ตัวอักษร “BERLIN BUILT” เสริมความคลาสสิกให้บีเอ็มดับเบิลยู R 18Transcontinental และ R 18 B ใหม่ จอสีแสดงผลแบบ TFT ยังสามารถอ่านได้ง่าย และสามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่าน BMW Connected App เสริมความสะดวกในการใช้งานและแสดงข้อมูลการขับขี่อย่างเต็มที่ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแต่ละราย มอเตอร์ไซค์ทั้งสองรุ่นยังมาพร้อมกับโหมดการขับขี่มาตรฐาน 3 โหมด ได้แก่ “Rain”, “Roll” และ “Rock”  อุปกรณ์มาตรฐานอื่นๆ ได้แก่ ระบบไฟหน้าปรับตามทิศทางการขับขี่ ระบบควบคุมการทรงตัวแบบอัตโนมัติ (ASC) และระบบป้องกันการลื่นไถลของล้อหลัง (MSR) เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ส่วนระบบเกียร์ถอยหลังจะช่วยให้การกลับรถเป็นเรื่องง่าย ทั้งยังมีระบบช่วยออกตัวในทางลาดชัน (Hill Start Control) ที่จะช่วยให้การออกตัวขึ้นเขาเป็นไปได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้มอเตอร์ไซค์ทั้งสองรุ่นยังมาพร้อมกับระบบป้องกันการโจรกรรมและระบบเซ็นทรัลล็อคมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental และ R 18 B ใหม่ มาพร้อมกับประสบการณ์เครื่องเสียงคุณภาพ โดยพัฒนาร่วมกับผู้ผลิตเครื่องเสียงสัญชาติอังกฤษอย่าง Marshall และลำโพงแบบ two-way (แยกซับวูฟเฟอร์) ที่ติดตั้งบนหน้าปัดของฝาครอบไฟหน้ารถ พร้อมด้วยหน้ากากลำโพงสีดำที่แต่งด้วยตัวอักษร Marshall สีขาว เสริมลุคคลาสสิกให้กับมอเตอร์ไซค์  โดยบีเอ็มดับเบิลยู R 18 B มาพร้อมกับระบบเครื่องเสียง Marshall Gold Series Stage 1 ซึ่งประกอบด้วยลำโพง 2 ตัว และซับวูฟเฟอร์ 2 ตัว ในขณะที่บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental ติดตั้งระบบเครื่องเสียง Marshall Gold Series Stage 2 มาพร้อมลำโพง 4 ตัว และซับวูฟเฟอร์ 2 ตัว ด้วยกำลัง 280 วัตต์ ในการเปิดตัวครั้งนี้ มอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental และ R 18 B ใหม่จะวางจำหน่ายแบบเอ็กซ์คลูซีฟ ในรุ่น “First Edition” ที่ผสมผสานลุคมาตรฐานของบีเอ็มดับเบิลยู R 18 เข้ากับเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วยการเลือกใช้สีดำคลาสสิกตัดกับลายเส้นคู่สีขาว โดดเด่นด้วยพื้นผิวที่ออกแบบเป็นพิเศษ (สีโครเมียม) เบาะที่นั่งปักลวดลายด้วยวัสดุคุณภาพสูง พร้อมอักษร “First Edition” นอกจากนี้ ลูกค้าที่ซื้อมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental “First Edition” หรือ บีเอ็มดับเบิลยู R 18 B “First Edition” ยังจะได้รับ Welcome Box สุดพิเศษ ที่มาพร้อมกับไอเท็มสุดเอ็กซ์คลูซีฟ เพื่อต้อนรับการมาถึงของมอเตอร์ไซค์ทั้งสองรุ่นสู่ประเทศไทยอีกด้วย สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental และ R 18 B ใหม่ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.bmw-motorrad.co.th หรือติดต่อผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการของบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ทั่วประเทศ     

 
Read More

ยามาฮ่า จัดหนัก

ยามาฮ่า แจกโชคใหญ่ผ่านแคมเปญ “ยามาฮ่า ใจดี…ช่วยผ่อน” ซีซั่น 2 มอบโชคครั้งที่ 1 มูลค่า 8.6 ล้านบาท คุณภาณุพล กิตติคำรณ รองผู้จัดการใหญ่ด้านการขายและการตลาด บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ร่วมจับรางวัลมอบโชคใหญ่ผ่านแคมเปญ “ยามาฮ่า ใจดี…ช่วยผ่อน” ซีซั่น 2 สำหรับผู้ที่ซื้อรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าทุกรุ่น(เครื่องยนต์ต่ำกว่า 400 ซีซี) จากร้านผู้จำหน่ายรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าทุกสาขาทั่วประเทศ รับโชคช่วยผ่อนสูงสุด 50,000 บาท จำนวน 40 รางวัล รวมมูลค่า 2,000,000 บาท พร้อมทั้งรางวัลอื่นๆ อีก 2,380 รางวัล รวมมูลค่า 8,600,000 บาท แคมเปญ “ยามาฮ่า ใจดี…ช่วยผ่อน” ซีซั่น 2 จะจับรางวัลครั้งต่อไปในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2564 เวลา 14.00 น. ร่วมลุ้นเป็นผู้โชคดีผ่านแคมเปญนี้ได้ง่ายๆ เพียงซื้อรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าทุกรุ่น (เครื่องยนต์ต่ำกว่า 400 ซีซี) จากร้านผู้จำหน่ายรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าทุกสาขาทั่วประเทศ โดยของรางวัลตลอดทั้งรายการรวม 5,000 รางวัล มูลค่า 20 ล้านบาท สำหรับการมอบโชคผ่านแคมเปญ “ยามาฮ่า ใจดี…ช่วยผ่อน” ซีซั่น 2 ครั้งที่ 1 จำนวน 2,380 รางวัล รวมมูลค่า8,600,000 บาท ในครั้งนี้มีขึ้น ณ อาคารสำนักงาน บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด  ร่วมตรวจรายชื่อผู้โชคดีได้ที่ https://www.yamaha-motor.co.th ลูกค้าที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแคมเปญ “ยามาฮ่าใจดี ช่วยผ่อน ซีซั่น 2” ได้ที่ ร้านผู้จำหน่ายรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าทั่วประเทศ , Yamaha Call Center : 02-263-9999 และสามารถติดตามข่าวสารกิจกรรมได้ที่ Facebook : Yamaha Society Thailand และเว็บไซต์www.yamaha-motor.co.th  

 
Read More

บริดจสโตน ใช้แสงอาทิตย์ผลิตยาง

บริษัท บริดจสโตน ไทร์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ได้เริ่มดำเนินการใช้ระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ตามแผนดำเนินการในเฟสที่ 1 เพื่อสนับสนุนกระบวนการผลิตภายในโรงงานผลิตยางสำหรับรถบรรทุกและรถโดยสาร จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นครั้งแรกของการใช้ระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของบริดจสโตนในประเทศไทย ระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดกำลังผลิต 1 เมกะวัตต์ ที่ใช้ในเฟสที่ 1 ประกอบด้วยแผงโซลาร์เซลล์ทั้งหมด 2,160 แผง ซึ่งถูกติดตั้งบนหลังคาของโรงงาน สำหรับในเฟสที่ 2 บริษัทจะดำเนินการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดกำลังผลิต 4 เมกะวัตต์เพิ่มเติม พร้อมการใช้พลังงานหมุนเวียนให้มีสัดส่วน 40% ของพลังงานไฟฟ้าในการผลิตทั้งหมด โดยจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี 2566 ทั้งนี้ บริดจสโตน ไทร์ แมนูแฟคเจอริ่ง คาดว่าจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 30,000 ตันต่อปี *1 (ลดลงประมาณ 50% จากระดับในปี 2554) และยังช่วยเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนได้ถึง 45% *2 ภายในปี 2566         

 มร.โชสุเกะ นามิยามา กรรมการผู้จัดการ บริษัท บริดจสโตน ไทร์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “นอกเหนือจากการหาโซลูชั่นเพื่อนำมาปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการใช้พลังงานแล้วบริดจสโตนยังมุ่งมั่นส่งเสริมความยั่งยืนและความเสมอภาคให้มีมากยิ่งขึ้นในสังคม การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์นี้เป็นอีกก้าวสำคัญในการมุ่งสู่เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมในระยะยาวของบริดจสโตน (ภายในปี 2593 และปีต่อๆ ไป) เพื่อขับเคลื่อนความเป็นกลางทางคาร์บอน”                   กลุ่มบริษัทในเครือบริดจสโตนเดินหน้าด้วยกรอบแนวคิดการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนตามแผนการดำเนินธุรกิจระยะกลาง (ปี 2564 – 2566) *3 ยกระดับวิสัยทัศน์เพื่อส่งมอบคุณค่าให้แก่สังคมและลูกค้า ในฐานะองค์กรผู้ส่งมอบโซลูชั่นอย่างยั่งยืนก้าวสู่ปี 2593 ซึ่งกรอบแนวคิดการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน *4 ได้กำหนดขึ้นเพื่อสนับสนุนการหมุนเวียนทรัพยากร, การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์, การใช้เศรษฐกิจหมุนเวียน และความเป็นการทางคาร์บอนในการดำเนินธุรกิจ นอกจากนี้ เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมระยะยาวของกลุ่มบริษัทในเครือบริดจสโตน คือการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593 ในขณะที่เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมระยะกลางภายในปี2573* 5 กำหนดเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 50% ภายในปี 2573 จากระดับในปี2554       
 ตามเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมระยะกลาง บริดจสโตนยังวางแผนดำเนินการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่บริษัท ไทยบริดจสโตน จำกัด และอีกสองบริษัทในเครือ คือ บริษัท บริดจสโตน สเปเชียลตี้ ไทร์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท บริดจสโตน เมตัลฟา(ประเทศไทย) จำกัด ภายในปี 2566 และเมื่อเร็วๆ นี้ ไทยบริดจสโตนได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์กับบริษัท อิมแพคท์ โซล่าร์ กรุ๊ป ผู้ให้บริการรายแรกและผู้นำในการให้บริการด้านโซลูชั่นระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ในการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดกำลังผลิตขนาดใหญ่ถึง 9.9 เมกะวัตต์ ที่โรงงานหนองแค และเมื่อดำเนินการแล้วเสร็จ ไทยบริดจสโตนจะเป็นบริษัทที่ใช้ระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ด้วยกำลังผลิตขนาดใหญ่ที่สุดของกลุ่มบริษัทในเครือบริดจสโตนทั่วโลก  

 
Read More

มิตซูบิชิ รับใบประกาศเกียรติคุณ

บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด นำโดย มร. โมะริคาซุ ชกกิ ประธานคณะกรรมการ บริษัท มิตซูบิชิมอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และ ประธาน มูลนิธิ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย พร้อมด้วย มร. เออิอิชิ โคอิโตะกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด รับใบประกาศเกียรติคุณ ผู้ช่วยเหลือราชการกรมป่าไม้ สาขาส่งเสริมและพัฒนาป่าชุมชน ประจำปี พ.ศ. 2564 จากกรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเนื่องในงานวันสถาปนากรมป่าไม้ ครบรอบ 125 ปี “รัฐมีป่า ประชามีสุข ยุควิถีใหม่” โดยรางวัลดังกล่าวมอบให้เพื่อเชิดชูเกียรติของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย และมูลนิธิฯ  ที่สนับสนุนการสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนในการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ สร้างความรู้ความเข้าใจในด้านการจัดการทรัพยากรป่าไม้และสิ่งแวดล้อมในชุมชน ตลอดจนพัฒนาพื้นที่สาธารณะประโยชน์ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ด้านป่าไม้และนันทนาการ  ซึ่งบริษัทฯ และมูลนิธิฯ ได้ผ่านหลักเกณฑ์การคัดเลือกจากประกาศและความเห็นชอบของคณะกรรมการการคัดเลือก    นำโดย นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มร.โมะริคาซุ ชกกิ ประธานคณะกรรมการ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และ ประธานมูลนิธิ            มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย กล่าวว่า “เรารู้สึกภาคภูมิใจและเป็นเกียรติที่ได้เป็นส่วนสำคัญของสังคมในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของประเทศ โดยเราได้จัดตั้ง “มูลนิธิ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย” ขึ้น เพื่อเป็นส่วนหนึ่งใน
พันธสัญญาระยะยาวที่เราจะขับเคลื่อนสังคมไทยให้เติบโตไปข้างหน้า ซึ่งความทุ่มเทของเราต่อการใส่ใจสิ่งแวดล้อมนั้นสอดคล้องกับหนึ่งใน 3 แกนหลักสำคัญของมูลนิธิ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ได้แก่ 1) ด้านสิ่งแวดล้อม 
2) ด้านสุขภาพและชีวอนามัย และ 3) ด้านการศึกษาและจริยธรรม ซึ่งรางวัลที่เราได้รับในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของเราที่จะขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทยเพื่อความเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน และในโอกาสพิเศษครบรอบ 60 ปี ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ในประเทศไทย เราได้จัดโครงการ “ปลูกป่า 60 ไร่” โดยผนึกพลังความร่วมมือระหว่าง 4 หน่วยงาน ได้แก่ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย มูลนิธิ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย กรมป่าไม้ และองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. เติมความสมบูรณ์สู่ป่าที่ชุมชนบ้านอ่างกระพงศ์ อำเภอบ่อทองจังหวัดชลบุรี จำนวน 20 ไร่ และ อีก 40 ไร่ ที่ชุมชนบ้านนางาม อำเภอวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว รวมถึงสร้างการมีส่วนร่วมและสำนึกรักผืนป่าให้แก่ชาวบ้านในชุมชนจากรุ่นสู่รุ่น ได้ช่วยกันปลูกและดูแลรักษาผืนป่าให้คงความอุดมสมบูรณ์ โดยจุดประสงค์ของการปลูกป่าในครั้งนี้ เกิดจากพันธกิจของเราที่มุ่งมั่นจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศ และต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจะส่งผลดีต่อ    ทั่วทั้งภูมิภาค ในด้านการรักษาสมดุลของธรรมชาติรวมถึงรักษาแหล่งกักเก็บน้ำได้อย่างสมบูรณ์” มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ยังคงเดินหน้าสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดอย่างเต็มที่ โดยโครงการปลูกป่าดังกล่าวถือเป็นหนึ่งในโครงการความริเริ่มของบริษัทฯ ที่จะช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ในอากาศ ควบคู่ไปกับการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาของศูนย์การผลิตรถยนต์มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ที่แหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี รวมถึงเปิดตัวรถยนต์ มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดสัญชาติญี่ปุ่นรุ่นแรกที่ผลิตขึ้นในประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2563 ซึ่งจากการศึกษาการประเมินการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ตามวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment – LCA) ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น พบว่า ตราบจนปัจจุบัน รถยนต์ประเภทปลั๊กอินไฮบริดเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ดีที่สุดเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เมื่อพิจารณาปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ไม่เฉพาะจากปลายท่อไอเสียรถยนต์ แต่หมายรวมถึงทั้งกระบวนการการผลิตทั้งหมด ทั้งจากการผลิตกระแสไฟฟ้า และจากกระบวนการการผลิตรถยนต์อีกด้วย  

 
Read More

เอ็มจี ย้ำภาพผู้นำ

บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย ย้ำภาพผู้นำตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้า เผยความนิยมรถยนต์พลังงานไฟฟ้าขยายตัวมากขึ้น หลังเอ็มจีแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่เข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง และเดินหน้าปูพรมสร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า (EV Ecosystem) ด้วยการเพิ่มจำนวนสถานีอัดประจุไฟฟ้าให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อสร้างความมั่นใจในการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าอันเป็นการสร้างพื้นฐานความแข็งแกร่ง เตรียมความพร้อมให้กับประเทศไทยสู่สังคมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างสมบูรณ์แบบในอนาคตอันใกล้ โชว์ความเป็นตัวจริงด้านอีวี หลัง MG EP รถสเตชั่นแวกอนพลังงานไฟฟ้า 100% กระแสตอบรับดีในกลุ่มลูกค้าทั่วไป อีกทั้งยังพารถยนต์พลังงานไฟฟ้าสู่ความนิยมและการยอมรับในกลุ่มลูกค้าองค์กร ล่าสุดส่งมอบล็อตใหญ่กว่า100 คัน ให้กับบริษัทชั้นนำในหลากหลายอุตสาหกรรม สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในการเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าคุณภาพ ที่ไม่ได้มีดี แค่ดีไซน์แต่ออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานได้จริงในทุกรูปแบบ พร้อมอรรถประโยชน์ที่สามารถตอบโจทย์ได้อย่างครบครัน คุณพงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “MG EPเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นที่สองที่เรานำเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ในการทำให้ตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้ามีสีสันมากยิ่งขึ้นและสร้างตัวเลือกให้กับผู้ที่สนใจในรถยนต์พลังงานทางเลือก อีกทั้งยังสะท้อน ให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของเอ็มจีในฐานะแบรนด์รถยนต์ผู้บุกเบิกและเอาจริงเอาจังกับการทำตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าให้เกิดขึ้นในประเทศไทย จุดประกายให้คนไทยเปิดใจในการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าและค่อยๆ ปรับเปลี่ยน พฤติกรรมการใช้รถให้สอดคล้องกับเทรนด์โลก หลังจากเปิดตัวในช่วงปลายปีที่ผ่านมา เราได้เดินหน้าทำตลาด โดยเจาะทั้งกลุ่มลูกค้าทั่วไปที่นำรถไปใช้ในชีวิตประจำวัน ควบคู่ไปกับการเจาะตลาดในกลุ่มลูกค้าองค์กรที่มองหารถยนต์พลังงานทางเลือกที่ตอบโจทย์การใช้งานตามลักษณะของกิจการนั้นๆ”  ล่าสุด เอ็มจี ได้บรรลุเป้าหมายอีกขั้น ในการเพิ่มสัดส่วนยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศให้ขยายตัวสูงขึ้น อันจะเป็นหนึ่งแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้สังคมไทยเกิดการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้ยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มตัว ด้วยการส่งมอบ รถ MG EP รวมกว่า 100 คัน ให้กับบริษัทชั้นนำในหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็น บริษัท ทีโอเอ เพอฟอร์มมานซ์ โค๊ทติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสีอุตสาหกรรม สีพ่นซ่อมรถยนต์ บริษัท โซล่า เอ็กซ์เพรส เทรดดิ้ง จำกัด ผู้ให้บริการออกแบบ จำหน่าย และติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ รวมไปถึงธุรกิจรถเช่าในพื้นที่เมืองเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวทั้งในภูเก็ต และหาดใหญ่ การที่รถ MG EP ได้รับความเชื่อมั่นและไว้วางใจจากลูกค้ากลุ่มลูกค้าองค์กรที่เลือกใช้รถในการประกอบธุรกิจเนื่องมาจากจุดเด่นของรถรุ่นนี้ ที่สร้างสรรค์ขึ้นภายใต้แนวคิด “EVeryone ตอบโจทย์ทุกฟังก์ชัน รถยนต์พลังงานไฟฟ้าของทุกคน” ถือเป็นมาตรฐานขั้นต้นของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่จะเข้ามาในประเทศไทยที่ไม่ใช่มีดีแค่ดีไซน์  แต่จะต้องตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลายได้อย่างแท้จริง ด้วยองค์ประกอบพื้นฐานของการเป็นรถยนต์ พลังงานไฟฟ้า ได้แก่ ขนาดของห้องโดยสารและพื้นที่ใช้สอย ที่กว้างขวางรองรับการบรรทุกทั้งคนและสิ่งของ สมรรถนะของ EV ที่ตอบสนองได้อย่างทันใจไม่ต้องรอรอบ ระบบความปลอดภัย ที่ให้มาอย่างครบครัน เสริมความมั่นใจให้กับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร รวมถึงความคุ้มค่าในการเป็นเจ้าของ ด้วยค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน และค่าบำรุงรักษาที่ต่ำช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ในระยะยาว  

 
Read More

ตลาดรถยนต์กันยายนชะลอตัว

ยอดขายรวมของตลาดรถยนต์ในเดือนที่ผ่านมา 64,122 คัน เท่ากับลดลง 17.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ทั้งๆ ที่ในช่วงเดือนกันยายนของปีนี้ ประเทศไทยมีการ​ฉีดวัคซีนเพิ่มมากขึ้นกว่าปีที่แล้วเสียอีก คุณสุรศักดิ์ สุทองวัน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด รายงานสถิติการขายรถยนต์ประจำเดือนกันยายน 2564 ชะลอตัวต่อเนื่องในทุกเซ็กเมนท์ โดยมียอดขายรวมทั้งสิ้น 64,122 คัน ลดลง17.7%ประกอบด้วย รถยนต์นั่ง 25,255 คัน ลดลง 13.5% รถยนต์เพื่อการพาณิชย์ 38,867 คัน ลดลง 20.2% ขณะที่ รถกระบะขนาด 1 ตัน ในเซกเมนท์นี้ มีจำนวน 30,164 คัน ลดลง 21% ประเด็นสำคัญ ตลาดรถยนต์เดือนกันยายน 2564 มีปริมาณการขาย 64,122 คัน ลดลง 17.7% โดยตลาดรถยนต์นั่งมีอัตราการเติบโตลดลง 13.5% ตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์มีอัตราการเติบโตลดลง 20.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา สืบเนื่องจากความวิตกกังวลต่อภาวะการระบาดของไวรัส COVID-19 ที่ยังคงเกิดขึ้นทั่วประเทศยังคงส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน การทำธุรกิจ และภาวะเศรษฐกิจของประเทศในอนาคตโดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยว และบริการต่างๆ ที่สำคัญสถานการณ์น้ำท่วมได้ลุกลามหลายจังหวัดในเขตพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง สร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินของประชาชน รวมทั้งผลผลิตทางการเกษตร ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจฐานราก และความสามารถในการซื้อของลูกค้าเป็นจำนวนมาก ตลาดรถยนต์ในเดือนตุลาคมมีแนวโน้มดีขึ้นเนื่องจากศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด–19 (ศบค.) ผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด–19 ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด เพื่อให้ธุรกิจและประชาชนสามารถดำเนินชีวิต และประกอบธุรกิจได้สะดวกยิ่งขึ้น รวมถึงการผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์เพื่อควบคุมโรคโดยอนุญาตให้สถานประกอบการบางแห่งเปิดบริการ หรือสามารถดำเนินกิจกรรมต่างๆ เพิ่มขึ้น ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด ตลอดจนการฉีดวัคซีนให้กับคนไทยเริ่มทั่วถึงมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดียังมีความหวังว่าสถานการณ์ต่างๆ จะฟื้นตัวดีขึ้นจากความพยายามอย่างเต็มที่ของภาครัฐ ในการส่งเสริมมาตรการทางเศรษฐกิจ และการสนับสนุนกำลังซื้อของผู้บริโภค ตลอดจนการเริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยวในโครงการนำร่องอย่าง Phuket sandbox Samui plus และ Pattaya move on จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างกำลังซื้อของผู้บริโภคให้ฟื้นคืนกลับมา รวมทั้งสถานการณ์น้ำท่วมที่คลี่คลายในหลายพื้นที่ และการเดินหน้าเข้าสู่ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่เป็น Hi-season จะช่วยให้สถานการณ์ตลาดรถยนต์ดีขึ้นไปจนถึงสิ้นปี ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ เดือนกันยายน 2564 1.ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 64,122 คัน ลดลง 17.7% อันดับที่ 1 โตโยต้า     19,971 คัน   ลดลง        15.9%               ส่วนแบ่งตลาด 31.1% อันดับที่ 2 อีซูซุ         13,649 คัน   ลดลง        11.6%               ส่วนแบ่งตลาด 21.3% อันดับที่ 3 ฮอนด้า      6,311 คัน    ลดลง        30.5%             ส่วนแบ่งตลาด   9.8% 2.ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 25,255 คัน ลดลง 13.5% อันดับที่ 1 ฮอนด้า       5,849 คัน    ลดลง        23.0%               ส่วนแบ่งตลาด 23.2% อันดับที่ 2 โตโยต้า     5,237 คัน    ลดลง         3.6%                ส่วนแบ่งตลาด 20.7% อันดับที่ 3 มาสด้า      1,921 คัน    ลดลง         6.2%                ส่วนแบ่งตลาด  7.6% 3.ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 38,867 คัน ลดลง 20.2% อันดับที่ 1 โตโยต้า     14,734 คัน   ลดลง       19.6%               ส่วนแบ่งตลาด 37.9% อันดับที่ 2 อีซูซุ         13,649 คัน   ลดลง       11.6%               ส่วนแบ่งตลาด 35.1% อันดับที่ 3 ฟอร์ด       2,101 คัน    ลดลง       26.2%               ส่วนแบ่งตลาด  5.4% 4.ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน  (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV*) ปริมาณการขาย 30,164 คัน ลดลง 21% อันดับที่ 1 โตโยต้า     12,504 คัน  ลดลง     18.4%                ส่วนแบ่งตลาด 41.5% อันดับที่ 2 อีซูซุ         12,254 คัน   ลดลง     13.4%                ส่วนแบ่งตลาด 40.6% อันดับที่ 3 ฟอร์ด       2,101 คัน    ลดลง     26.2%                ส่วนแบ่งตลาด  7.0% ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง (ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน) 3,037 คัน โตโยต้า 1,461 คัน – อีซูซุ 804 คัน – ฟอร์ด 329 คัน – มิตซูบิชิ 328 คัน – นิสสัน 115 คัน 5.ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 27,127 คัน ลดลง 20.9% อันดับที่ 1 อีซูซุ         11,450 คัน  ลดลง       17.5%               ส่วนแบ่งตลาด 42.2% อันดับที่ 2 โตโยต้า     11,043 คัน  ลดลง       16.2%               ส่วนแบ่งตลาด 40.7% อันดับที่ 3 ฟอร์ด       1,772 คัน    ลดลง       24.0%               ส่วนแบ่งตลาด  6.5%                สถิติการจำหน่ายรถยนต์ เดือนมกราคม – กันยายน 2564 1.ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 531,931 คัน ลดลง 0.5%                             อันดับที่ 1 โตโยต้า     166,560 คัน เพิ่มขึ้น        6.0%             ส่วนแบ่งตลาด 31.3% อันดับที่ 2 อีซูซุ         131,529 คัน เพิ่มขึ้น        6.5%               ส่วนแบ่งตลาด  24.7% อันดับที่ 3 ฮอนด้า      61,329 คัน  ลดลง          5.7%             ส่วนแบ่งตลาด 11.5% 2.ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 176,140 คัน ลดลง 6.7%                                  อันดับที่ 1 ฮอนด้า      53,406 คัน  ลดลง       1.9%                 ส่วนแบ่งตลาด 30.3% อันดับที่ 2 โตโยต้า     43,101 คัน  ลดลง        5.6%                ส่วนแบ่งตลาด 24.5% อันดับที่ 3 มาสด้า      15,156 คัน  ลดลง        9.1%                ส่วนแบ่งตลาด  8.6% 3.ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 355,791 คัน เพิ่มขึ้น 2.8%                             อันดับที่ 1 อีซูซุ         131,529 คัน เพิ่มขึ้น       6.5%               ส่วนแบ่งตลาด 37.0% อันดับที่ 2 โตโยต้า     123,459 คัน เพิ่มขึ้น     10.8%              ส่วนแบ่งตลาด 34.7% อันดับที่ 3 ฟอร์ด       22,530 คัน  เพิ่มขึ้น     16.7%              ส่วนแบ่งตลาด  6.3% 4.ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน  (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV)ปริมาณการขาย 276,789 คัน เพิ่มขึ้น0.9%                             อันดับที่ 1 อีซูซุ         119,314 คัน เพิ่มขึ้น        4.4%              ส่วนแบ่งตลาด 43.1% อันดับที่ 2 โตโยต้า     104,962 คัน เพิ่มขึ้น        9.8%     ส่วนแบ่งตลาด 37.9% อันดับที่ 3 ฟอร์ด        22,530 คัน  เพิ่มขึ้น      16.7%     ส่วนแบ่งตลาด  8.1% ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง (ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน) 36,160 คัน    โตโยต้า 15,986 คัน – อีซูซุ 11,826 คัน – มิตซูบิชิ 4,532 คัน – ฟอร์ด 3,344 คัน – นิสสัน 472 คัน…

 
Read More

ORA Good Cat

เกรท วอลล์ มอเตอร์ ส่งมอบแคมเปญสุดเอ็กซ์คลูซีฟเพื่อตอบแทนการรอคอยการเปิดตัว ORA Good Cat และขอบคุณผู้บริโภคชาวไทยที่ให้การสนับสนุน เกรท วอลล์ มอเตอร์ อย่างดีเยี่ยมเสมอมา ด้วยแคมเปญ ORA Good Cat ULTRA DEAL เปิดให้ลูกค้าจองสิทธิ์ลงทะเบียนเพื่อซื้อ ORA Good Cat รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ก่อนที่จะมีการเปิดตัวและการประกาศราคาอย่างเป็นทางการในประเทศไทยในวันที่ 29 ตุลาคม นี้ พร้อมมอบข้อเสนอสุดพิเศษ ผ่อน 0% นาน48 เดือน ฟรีประกันรถยนต์ชั้น 1 ฟรีโฮมชาร์จเจอร์พร้อมการติดตั้ง และบริการเหนือระดับอื่นๆ อีกมากมาย รวมมูลค่ากว่า220,000 บาท ในระหว่างวันที่ 14 ตุลาคม 2564 เวลา 0.01 น. ถึงวันที่ 29 ตุลาคม 2564 เวลา 18.00 น. นอกจากนี้ ลูกค้าที่ลงทะเบียนจองสิทธิ์เพื่อซื้อ ORA Good Cat ในแคมเปญ ORA Good Cat ULTRA DEAL สามารถเลือกซื้อแพ็กเกจเสริมORA Value Plus สุดคุ้มเพิ่มเติมได้อีกด้วย เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยังคงเดินหน้าสร้างปรากฎการณ์ใหม่ๆ ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ All New HAVAL H6 Hybrid SUV รถยนต์เอสยูวียอดนิยมระดับโลกจากแบรนด์ HAVAL ได้รับเสียงตอบรับที่ดีอย่างล้นหลามจากชาวไทย ด้วยการขึ้นแท่นเป็นรถยนต์คอมแพคเอสยูวีที่มียอดขายสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งถึงสองเดือนซ้อนในเดือนสิงหาคมและเดือนกันยายนที่ผ่านมา ล่าสุด เกรท วอลล์ มอเตอร์ ประกาศเปิดจองสิทธิ์ลงทะเบียนเพื่อซื้อ ORA Good Cat รถยนต์ไฟฟ้า 100% รุ่นแรกที่ เกรท วอลล์ มอเตอร์ นำเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยได้ก่อนใคร ผ่านแคมเปญสุดพิเศษ ORA Good Cat ULTRA DEAL ที่มาพร้อมข้อเสนอและเอกสิทธิ์ที่เหนือกว่า เพื่อสร้างความมั่นใจในการเป็นเจ้าของรถ พร้อมพบกับประสบการณ์ใหม่ในการขับขี่ และบริการเหนือระดับในระยะยาว อาทิ 1.ดอกเบี้ยพิเศษ 0% นาน 48 เดือน มูลค่าสูงสุด 83,000 บาท 2.ฟรี ประกันรถยนต์ชั้น 1 เป็นระยะเวลา 1 ปี มูลค่าสูงสุด 25,000 บาท 3.ฟรี โฮมชาร์จเจอร์ พร้อมการติดตั้งฟรี (ในระยะสายไฟยาวไม่เกิน 20 เมตร) มูลค่า 60,000 บาท (ไม่รวมแท่นชาร์จ)  4.ฟรี สิทธิ์การส่งมอบรถยนต์ทั่วไประเทศ สำหรับ 1,000 ท่านแรกที่ทำการจองสิทธิ์ลงทะเบียนเพื่อซื้อในช่วงระยะเวลาของแคมเปญ ORA Good Cat ULTRA DEAL มูลค่า 8,500 บาท 5.ฟรี บริการรับและส่งมอบรถยนต์สำหรับเข้ารับบริการบำรุงรักษาตามระยะทาง จำนวน 2 เที่ยว (ไป-กลับ) รวม 4 ครั้ง มูลค่า 3,000 บาท 6.ฟรี ค่าอะไหล่และค่าแรงบำรุงรักษาตามระยะทาง (GWM Ultra Service Inclusive : GUSI) จำนวน 5 ครั้ง ภายในระยะเวลา 5 ปี หรือ 75,000 กิโลเมตร (เมื่อถึงอย่างใดอย่างหนึ่งก่อน) พร้อมอะไหล่สิ้นเปลือง ได้แก่ ใบยางปัดน้ำฝน 5 ชุดแบตเตอรี่ (12 โวลต์) 2 ลูก ผ้าเบรก 1 ชุด รวมมูลค่า 33,712 บาท 7.ฟรี บริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง (Roadside Assistance) เป็นเวลา 5 ปี มูลค่า 10,000 บาท 8.ฟรี กรอบป้ายทะเบียนรถยนต์และพรมปูพื้น GWM รวมมูลค่า 1,640 บาท 9.ฟรี คะแนน GWM Point เพื่อใช้แลกสินค้าและสิทธิประโยชน์ต่างๆ ใน GWM Application จำนวน 30,000 คะแนน รวมมูลค่าข้อเสนอสุดพิเศษภายใต้แคมเปญ ORA Good Cat ULTRA DEAL กว่า 220,000 บาท นอกจากนี้ ORA Good Cat ยังมาพร้อม การรับประกันคุณภาพตัวรถ (Factory Warranty & Roadside…

 
Read More

GWM Partner Meeting 2021

เกรท วอลล์ มอเตอร์ จัดงาน GWM Partner Meeting 2021 เชิญพันธมิตรทางธุรกิจหรือพาร์ทเนอร์ ร่วมอัปเดตแผนการดำเนินธุรกิจ ณ โรงแรม Millennium Hilton กรุงเทพมหานคร เมื่อวันศุกร์ที่ 15 ตุลาคม ที่ผ่านมา โดยมีพันธมิตรทางธุรกิจจาก Partner Store กว่า 32 แห่ง ทั่วประเทศ เข้าร่วมงาน นอกจากนี้ ยังได้มีการลงนามความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ใหม่เพิ่มอีก 13 ราย พร้อมเตรียมจัดงาน GWM Partner Forum ครั้งที่ 3 ณ GWM Experience Center ในช่วงปลายเดือนตุลาคมนี้ เพื่อเชิญชวนนักลงทุนและนักธุรกิจเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับเกรท วอลล์ มอเตอร์ เพื่อร่วมผลักดันอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยสู่ยุคแห่งอนาคต พร้อมส่งมอบประสบการณ์ O2O รูปแบบใหม่ให้กับผู้บริโภคชาวไทยทั่วประเทศ พันธมิตรทางธุรกิจหรือพาร์ทเนอร์ ถือได้ว่ามีส่วนสำคัญและเป็นหนึ่งในการร่วมสร้างความสำเร็จไปกับ เกรท วอลล์มอเตอร์ ประเทศไทย ในการส่งมอบประสบการณ์ด้านการขายและการบริการหลังการขายแบบ Online-to-Offline (O2O) รูปแบบใหม่ให้กับผู้บริโภคและลูกค้าได้อย่างยอดเยี่ยม หลังจากที่ประสบความสำเร็จจากการจัดงาน GWM Partner Forum ทั้ง 2 ครั้งที่ผ่านมา ทำให้มีพันธมิตรทางธุรกิจหรือพาร์ทเนอร์คุณภาพจำนวนมากเข้ามาร่วมงานกับ เกรท วอลล์มอเตอร์ ในปัจจุบัน งาน GWM Partner Meeting จึงจัดขึ้นเพื่อขอบคุณพันธมิตรทางธุรกิจ รวมไปถึง
อัปเดตผลการดำเนินงานและแผนการดำเนินธุรกิจ โดยมีทีมผู้บริหารระดับสูง นำโดย มร. สตีเว่น หวัง รองประธาน 
เกรท วอลล์ มอเตอร์ภูมิภาคอาเซียนและประเทศไทย นายณรงค์ สีตลายน กรรมการผู้จัดการ เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) มร. ไมเคิล ฉงผู้ช่วยประธาน เกรท วอลล์ มอเตอร์ ภูมิภาคอาเซียนและประเทศไทย 
นางสาวปิยะนุช จตุรภัทร์ ผู้อำนวยการฝ่ายขาย นายจิรศักดิ์ ชื่นอารมย์ รองผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด 
นายศราวุฒิ บรรยงค์กุล ผู้อำนวยการฝ่ายบริการหลังการขาย และนางสาวศุภรางศุ์ อนุชปรีดา ผู้อำนวยการ
ฝ่ายสื่อสารองค์กร พร้อมด้วยทีมผู้บริหารจาก เกรท วอลล์ มอเตอร์(ประเทศไทย) ให้การต้อนรับและให้ข้อมูล พร้อมพูดคุย แลกเปลี่ยนและแบ่งปันประสบการณ์ต่างๆ ซึ่งกันและกัน เพื่อนำมาพัฒนาและปรับปรุงแผนการดำเนินธุรกิจให้ตอบโจทย์ความต้องการของทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภคชาวไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น มร.สตีเว่น หวัง รองประธาน เกรท วอลล์ มอเตอร์ ภูมิภาคอาเซียนและประเทศไทย กล่าวเปิดงานพร้อมแสดงวิสัยทัศน์ของบริษัทในด้านการเดินหน้าขยายธุรกิจว่า “New User Experience ถือเป็นหนึ่งหัวใจสำคัญในการสร้างสรรค์ธุรกิจรูปแบบใหม่ เพื่อที่จะส่งมอบประสบการณ์ยานยนต์อันยอดเยี่ยมให้กับผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง เกรท วอลล์ มอเตอร์ จึงให้ความสำคัญในการเฟ้นหาและคัดสรรพันธมิตรทางธุรกิจที่มีวิสัยทัศน์ ความเชื่อมั่น และศักยภาพเช่นเดียวกับเรา และเราขอขอบคุณพันธมิตรของเราทุกๆ ท่าน ที่ให้ความมั่นใจและเชื่อมั่นในการแนวทางการดำเนินธุรกิจของ เกรท วอลล์มอเตอร์ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พาร์ทเนอร์มีส่วนสำคัญเป็นอย่างมากที่ช่วยให้ธุรกิจของเราประสบความสำเร็จในประเทศไทย และเราขอให้ความมั่นใจกับพาร์ทเนอร์ของเราทั้งในวันนี้และในอนาคตว่า เราจะยังคงเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการอย่างต่อเนื่อง พร้อมสร้างแผนการดำเนินธุรกิจที่จะทำให้ทั้งเรา 
พาร์ทเนอร์ และผู้บริโภคของเราได้รับความสุข ตอบโจทย์ทุกความต้องการ และพร้อมเติบโตเป็นครอบครัวที่อบอุ่นและมั่นคงไปด้วยกันกับเราต่อไปอย่างแน่นอน” ทีมผู้บริหารระดับสูงจาก เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) ยังได้ร่วมสรุปผลการดำเนินงานทางธุรกิจในช่วงที่ผ่านมา โดยล่าสุด เกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้ ได้เปิด GWM Store ไปแล้วทั้งหมด 19 แห่งทั่วประเทศ โดยแบ่งเป็น GWM Direct Store 7 แห่ง ได้แก่ GWM เซ็นทรัลบางนา GWM ฟิวเจอร์ พาร์ค รังสิต GWM สีลมคอมเพล็กซ์ 
GWM ซีคอนสแควร์ GWM เซ็นทรัลปิ่นเกล้า GWM เซ็นทรัลพระราม 2 รวมไปถึง GWM Experience Center ที่ศูนย์การค้าไอคอนสยาม และ Partner Store อีก 12 แห่ง ทั่วประเทศ ได้แก่ GWM อมรรัชดา GWM แจ้งวัฒนะ GWM ATT U PARK สุวรรณภูมิ GWM พระราม 5 GWM จรัญสนิทวงศ์  GWM ปทุมธานี  GWM พระนครอุดมสุข GWM ขอนแก่นพิจิตรเพชรGWM ภูเก็ต GWM เชียงใหม่  GWM ซีเอซี ศรีราชา GWM เอกระยอง และจะเปิดเพิ่ม
อีก 2 แห่ง ในเร็วๆ นี้ ได้แก่ GWM เซ็นทรัล เวสต์เกต (GWM Direct Store) และ GWM ชลบุรี บาสพาส (Partner Store) ดังนั้น จะมี GWM Store เปิดให้บริการทั้งสิ้น 21 แห่ง ภายในเดือนตุลาคมนี้ และมีแผนจะเปิดให้ได้ทั้งหมด 30 แห่ง ภายในสิ้นปีนี้ นอกจากนี้ภายในงานยังได้มีการลงนามความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ หรือพาร์ทเนอร์ (Partner) ใหม่อีก 13 ราย เพื่อเตรียมเปิด Partner Store ในอนาคต ซึ่งการลงนามความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์เพิ่มเติมในครั้งนี้ เป็นสิ่งที่การันตีถึงความมุ่งมั่นของ เกรท วอลล์  มอเตอร์ ในการเพิ่มช่องทางให้ผู้บริโภคชาวไทย ให้สามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการของเกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้อย่างสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ครอบคลุมทุกพื้นที่ในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น ภายใต้กลยุทธ์ New User Experience ที่มุ่งเน้นให้ผู้บริโภคได้รับบริการและความพึงพอใจสูงสุด คือ 1) Best Choice: ลูกค้าต้องเป็นผู้เลือกสิ่งที่ดีที่สุดได้ด้วยตัวเอง 2) Transparency: ลูกค้าต้องการการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่โปร่งใส ตรงไปตรงมา และ 3) Happiness & Loyalty: ลูกค้าจะต้องมีความสุขและประสบการณ์ที่ดีกับแบรนด์ตลอดการเป็นเจ้าของ และพร้อมที่จะส่งมอบความสุขนี้ให้กับผู้อื่นด้วยการบอกต่อ คุณณรงค์ สีตลายน กรรมการผู้จัดการ เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า “เกรท วอลล์ มอเตอร์ ขอขอบคุณสำหรับความร่วมมืออันดีจากพาร์ทเนอร์ทุกท่าน ที่ร่วมกันพลิกโฉมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยไปพร้อมกับเรา ด้วยแผนการดำเนินธุรกิจแบบ Online-To-Offline (O2O) รูปแบบใหม่ ทำให้เราสามารถส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้บริโภคชาวไทย ตั้งแต่การเลือกซื้อรถ การทดลองขับ การบริการด้านการขาย ไปจนถึงการบริการหลังการขาย ซึ่งช่วยให้เราได้รับความเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ รวมไปถึงเสียงตอบรับที่ดีอย่างล้นหลามจากผู้บริโภคชาวไทย การันตีด้วยยอดขายและการส่งมอบรถยนต์ AII New HAVAL H6 Hybrid SUV ที่เราสามารถครองอันดับหนึ่งในตลาดคอมแพคเอสยูวีได้ถึง 2 เดือนซ้อน ในเดือนสิงหาคมและเดือนกันยายนที่ผ่านมา และในอนาคตอันใกล้นี้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ พร้อมด้วยพาร์ทเนอร์ของเราก็มีการเตรียมความพร้อมที่จะส่งมอบผลิตภัณฑ์และการบริการอันยอดเยี่ยมในการนำ ORA Good Cat รถยนต์ไฟฟ้า 100% จากแบรนด์ ORA ซึ่งจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทยในวันที่ 29 ตุลาคมนี้ มาให้คนไทยได้สัมผัสและเป็นเจ้าของกันในเร็วๆ นี้ เราเชื่อว่า ด้วยความมุ่งมั่น ประสบการณ์ และ
ความเชี่ยวชาญของทั้ง เกรท วอลล์ มอเตอร์และพันธมิตรทางธุรกิจของเรา จะสามารถช่วยผลักดันและร่วมพัฒนาธุรกิจรูปแบบใหม่นี้ให้ดียิ่งขึ้นไป พร้อมทั้งรักษามาตรฐานและสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า ควบคู่ไปกับการสร้างปรากฎการณ์ใหม่ที่น่าจับตามองให้กับตลาดรถยนต์ไทยได้อย่างต่อเนื่องอย่างแน่นอน” ทั้งนี้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยังได้เตรียมการจัดงาน GWM Partner Forum ครั้งที่ 3 เพื่อเชิญนักลงทุนและนักธุรกิจที่มีความสนใจและมีวิสัยทัศน์สอดคล้องกับแนวทางการดำเนินธุรกิจของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ มาร่วมฟังแนวคิดและแผนการดำเนินงานเพื่อตัดสินใจร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจไปด้วยกันในการขยายการเปิด Partner Store ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อรองรับและส่งมอบการบริการให้กับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต โดยจะเริ่มกิจกรรมในวันแรก ตั้งแต่วันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2564 เวลา 13.00 น. และในวันที่ 21-22 และ 26-29 ตุลาคม เพิ่มเติม รวมทั้งหมด 13 รอบณ GWM Experience Center แลนด์มาร์คสำคัญและพื้นที่แห่งการสร้างสรรค์แห่งใหม่สำหรับผู้บริโภคที่เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยคาดว่าจะมีนักลงทุนและนักธุรกิจที่สนใจเข้าร่วมงานรวมกว่า 130 ราย  

 
Read More

“จีพีไอ มอเตอร์สปอร์ต” จับมือ “ฮอนด้า” ระเบิดความมันส์รถยนต์ทางเรียบ

รายการ “ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบค วันเมคเรซ” สนามแรกเริ่มแล้ว บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนลจำกัด (มหาชน) จับมือ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด คัมแบ็ควงการมอเตอร์สปอร์ต อย่างยิ่งใหญ่ จับมือพันธมิตรเตรียมระเบิดความมันส์รถยนต์ทางเรียบรายการ “ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบค วันเมคเรซ 2021” (Honda City Hatchback One Make Race 2021) นักขับแถวหน้าเมืองไทยกว่า 30 คน ตบเท้าชิงความเป็นหนึ่ง ภายใต้สุดยอดโปรดักชั่นคาร์แห่งยุคอย่าง “ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบค อาร์เอส” (Honda City Hatchback RS) ชิงชัยทั้งสิ้น 3 สนาม เริ่มต้น 22-24 ตุลาคมนี้ ที่ สนามพีระ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต (พัทยา)  โดยถูกบรรจุเป็นหนึ่งในโปรแกรมของรายการ พีที แม็กซ์นิตรอน เรซซิ่ง ซีรีส์ 2021 (PT Maxnitron Racing Series 2021) ภายใต้การดำเนินงานของ จีพีไอ มอเตอร์สปอร์ต โปรโมเตอร์ความเร็วยักษ์ใหญ่ของไทย ที่จับมือกับค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมด้วยพันธมิตรหลักอย่าง บริษัท เอส.ซี.เอช. อินดัสตรี้ จํากัด, บริษัท บี-ควิก จำกัด, บริษัท โยโกฮามา ไทร์ เซลล์ (ประเทศไทย) จํากัด, บริษัท ริชไวส์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด,บริษัท กูเทนพีทีอี (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน), Kuroki Racing, ATP Motorsport, ล้อ Enkei Racing, ท่อไอเสีย Fujitsubo และ HC Motorsport ล่าสุดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 14 ตุลาคมที่ผ่านมา จีพีไอ มอเตอร์สปอร์ต ฝ่ายจัดการแข่งขันได้จัดงานแถลงข่าวออนไลน์ เพื่อตอกย้ำการสร้างความฮือฮาในวงการมอเตอร์สปอร์ตครั้งนี้ โดยมีสื่อมวลชนสายกีฬาและ    ยานยนต์ของไทยเข้าร่วมรับฟังข้อมูลด้วย คุณอโณทัย เอี่ยมลำเนา ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ผู้อำนวยการการแข่งขันเปิดเผยว่า “การแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ “ฮอนด้า วันเมคเรซ” ได้รับความนิยมอย่างมากจากแฟนความเร็วในเมืองไทยจากอดีตจนถึงปัจจุบัน โดยในครั้งนี้ จีพีไอ มอเตอร์สปอร์ต ในฐานะ โปรโมเตอร์ได้สร้างโปรเจ็กต์ที่แฟนๆ ฮอนด้า และแฟนมอเตอร์สปอร์ตชาวไทยรอคอยอย่าง ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบค วันเมคเรซ เพื่อกลับมาสร้างความมันส์และเร้าใจให้กับทุกคนอีกครั้ง การแข่งขัน ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบค วันเมคเรซ 2021 เกิดขึ้นจากความร่วมมือของทุกฝ่ายที่ต้องการปลุกการแข่งขันแบบวันเมคเรซในเมืองไทย ให้กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง โดยเฉพาะภายใต้รถแข่งฮอนด้า ซึ่งถือว่าเป็นแบรนด์ที่มีดีเอ็นเอของมอเตอร์สปอร์ตอยู่ในสายเลือด เราได้รับการสนับสนุนจาก ฮอนด้า ป้อนรถแข่งฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบค อาร์เอส สำหรับผู้เข้าแข่งขันกว่า 30 คน ซึ่งตอบรับเข้ามาในฤดูกาลนี้ โดยทุกคนล้วนแต่เป็นนักขับแถวหน้าของเมืองไทย ที่จะสามารถสร้างสีสันผ่านการแข่งขันให้กับผู้ชม”  ศึก ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบค วันเมคเรซ 2021 เลือกใช้รถยนต์โปรดักชั่นรุ่น ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบค อาร์เอส (รุ่นท็อป) มาสร้างเป็นรถแข่งวันเมคเรซ ด้วยการดึงจุดเด่นจาก เกียร์ Paddle Shift ที่พวงมาลัยมาเพิ่มอรรถรสของการแข่งขันคล้ายกับรูปแบบของฟอร์มูล่าวัน โดยได้รับความร่วมมือจาก KUROKI RACING สำนักสร้างรถแข่งฮอนด้าชื่อดังในประเทศญี่ปุ่น ออกแบบอุปกรณ์ความปลอดภัยอาทิ โรลเคจ และเซ็ตระบบช่วงล่างแบรนด์ Tein จาก ATP Motorsport  ด้านเครื่องยนต์จะไม่สามารถตกแต่งได้เลย แต่ได้มีการปรับเซ็ตโปรแกรมของกล่องควบคุม (ECU) ใหม่ โดยPower Lab เพื่อเพิ่มความแรงให้กับรถแข่ง ซึ่งจะทำให้การแข่งขันเร้าใจมากขึ้น ส่วนระบบเบรกเป็น “เกรดเรซซิ่ง” ทั้งผ้าเบรกหน้าและจานเบรกจาก Nexzter ใช้ล้อของ Enkei Racing รุ่น RC-T5 ยาง Yokohama รุ่น Advan Fleva V701 ยางสปอร์ตในตระกูล ADVAN จีพีไอ มอเตอร์สปอร์ต ได้ส่งรถต้นแบบที่สร้างเสร็จเรียบร้อยลงทดสอบหลายครั้ง ที่ สนามพีระ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต(พัทยา) ภายใต้การขับของนักแข่งรถยนต์มืออาชีพอย่าง ฮิเดฮารุ คุโรกิ นักขับชาวญี่ปุ่น และ กันตธีร์ กุศิริ ยอดนักขับชาวไทย เพื่อเก็บข้อมูลด้านต่างๆ ทั้งเรื่องยาง,​ เบรก,​ การเซ็ตติ้งระบบอิเล็กทรกนิกส์, ช่วงล่าง, ระบบเกียร์ และหาความลงตัวของเครื่องยนต์ โดยทำเวลาเร็วที่สุด 1 นาที 17.48 วินาที จะมีการจัดการแข่งขันกันทั้งสิ้น 3 อีเวนต์ ในสนามแข่งขันระดับตำนานของเมืองไทยอย่าง พีระ อินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต (พัทยา) ซึ่งเป็นสนามแรก ก่อนจะไปประเดิมสตรีทเซอร์กิตแห่งใหม่ของเมืองไทยอย่าง พีทีประจวบสตรีทเซอร์กิตจ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นการสร้างบรรยากาศใหม่ๆ ให้กับการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบโดยแฟนความเร็วจะได้ดื่มด่ำกับบรรดาสุดเร้าใจในสนามแข่งริมหาดทรายขาว และท้องทะเลสีฟ้าครามในเวลาเดียวกัน ก่อนจะกลับมาปิดฉากที่ พีระอินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต (พัทยา)  ตารางแข่งขัน ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบค วันเมคเรซ 2021 : เรซ 1-2 วันที่ 22-24 ตุลาคม 2021 : สนามพีระ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต (พัทยา) เรซ 3-4 วันที่ 22-24 พฤศจิกายน 2021 : สนาม พีทีประจวบสตรีทเซอร์กิต จ.ประจวบคีรีขันธ์ เรซ 5-6 วันที่ 10-12 ธันวาคม 2021 : สนามพีระ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต (พัทยา)  

 
Read More
Visit Us On FacebookVisit Us On TwitterVisit Us On YoutubeCheck Our Feed