เรื่องยางถามกันเถียงกันไม่รู้จบ?

ถามกันมามากมาย เพื่อนๆ ก็คุยกัน ว่าอายุการใช้งานของยางรถยนต์ จะเอาระยะเวลาเป็นตัวกำหนด หรือจะเอาสภาพดอกยางเป็นตัวกำหนด อันไหนสำคัญกว่ากัน?
เริ่มจากยางก่อนดีกว่า ว่ายางรถยนต์ มีหลายประเภท มีหลายแบบ ใช้เพื่อรถความเร็วสูงอย่างหนึ่ง ใช้เพื่อบรรทุกหนักอย่างหนึ่ง ใช้เพื่อสนามแข่งขันอย่างหนึ่ง แต่ที่เราเห็นและใช้กันอยู่ทั่วไป ก็เป็นประเภท ยางออลเทอร์เรน-All Terrain ยางที่ใช้กันได้ทั่วไป ทุกพื้นผิวถนน ทั้งเปียกและแห้ง แต่ไม่เหมาะกับพื้นที่ทุรกันดาร ซึ่งถ้าต้องการกำลังในการตะกุย ยางมัดเทอร์เรน-Mud Terrain ก็จะเป็นยางดอกใหญ่ ลุยได้ดี แต่บนถนนเรียบ จะเสียงดัง และกระด้าง มีการสึกหรอง่าย
อายุการใช้งาน-ยางรถยนต์ ก็เหมือนกัน ปัจจัยอยู่ที่การใช้งานแบบไหน?
แน่นอน ว่ายางรถยนต์ มันมีหมดอายุ เหมือนกับยารักษาโรค ยางรถยนต์ กับ อายุการใช้งาน มีกำหนดอยู่แล้ว มักจะกำหนดการใช้งานได้ไม่เกิน 40,000 กิโลเมตร หรือไม่เกิน 2 ปี ซึ่งความเป็นจริง ไม่มีใครทำแบบนั้นเพราะความเป็นจริง ไม่มีบริษัทผลิตยางรถยนต์กำหนดอายุการใช้งานยางรถยนต์แบบตายตัวครับ มันขึ้นอยู่กับสภาพที่นำเอาไปใช้งาน ข้อมูลเกี่ยวกับยางรถยนต์ ทั้งในและต่างประเทศ มีการกำหนดตัวดอกยางมากกว่า ไม่ได้กำหนดที่ระยะเวลา หรือระยะทาง ดูกันที่ว่า…
ดอกยางสึกเหลือความลึกของร่องดอกยางประมาณ 1.6 มิลลิเมตร คือ พูดง่ายๆ ร่องดอกยาง เอาไม้เสียบลูกชิ้นจิ้มลงไปว่าลึกเท่าไหร่ แล้วเอามาวัดกับไม้บรรทัด ถ้าน้อยกว่า 1.5-1.6 มิลลิเมตร ก็สมควรเปลี่ยน ไม่ว่ามันจะใช้งานแค่ปีเดียว หรือ 5 ปี ก็ตาม
แต่ถ้ารถใช้งานน้อยกว่า 5 ปี แล้วร่องดอกยางยังไม่สึกมากนัก ก็ต้องดูเนื้อยาง ว่าแตกลายงา หรือไม่?
เพราะฉะนั้น จึงไม่มีอะไรตายตัว การกำหนดระยะทาง หรือระยะเวลา ที่หมดอายุตายตัว ว่าใช้ได้กี่ปี ได้กี่กิโลเมตร ยางรถยนต์แต่ละเส้น จะมี “สะพานยาง” คือ ปุ่มยางสูงประมาณ 1.6 มิลลิเมตรอยู่ในร่องดอกยางบนหน้ายางรถยนต์ ให้สังเกตุดูที่รอบๆ แก้มยางรถยนต์จะมีเครื่องหมายรูปสามเหลี่ยม ชี้จุด สะพานยาง บนหน้ายางรถยนต์ ถ้าดอกยางอยู่ในระดับเดียวกับสะพานยาง ควรเปลี่ยนยางรถยนต์ได้แล้ว เนื่องจากยางแต่ละแบบ มีดอกยาง สูง ต่ำ ไม่เท่ากัน อย่างยาง มัดเทอร์เรน กับ ออลเทอร์เรน ก็ต่างกัน ดอกยางลึกต่างกัน จึงต้องดูที่สะพานยาง ที่กำหนดไว้ เนื่องจากวัตถุประสงค์ในการใช้งานก็ต่างกัน เหมือนรหัสข้างแก้มยาง ที่จะบอกถึงความกว้างของหน้ายาง ความกว้างของแก้มยาง และเส้นผ่าศูนย์กลางของกระทะล้อ หรือเส้นผ่าศูนย์กลางของแมกรถยนต์ เช่น 205/70 R15 ตัวเลข 205 หน้าสุดเป็นขนาดความกว้างหน้ายาง ตัวเลขยิ่งเยอะ ราคายางยิ่งแพง เพราะเป็นยางหน้ากว้างมากๆ ส่วนตัวเลข 70 คือ แก้มยาง ยิ่งตัวเลขน้อย ยิ่งแพง เพราะแก้มยางจะต่ำมากๆ ยิ่งขอบที่นิยมตอนนี้ 45-40 แก้มยางเล็กๆ รถแพงๆ จะใช้กัน และสุดท้าย ตัวเลข 15 คือ เส้นผ่าศูนย์กลางของกระทะล้อ ตัวเลขยิ่งมาก ยิ่งแพง เพราะกระทะยิ่งใหญ่ กระทะหรือแมกก็จะแพงขึ้นเรื่อยๆ สรุป ตัวเลขแรกต้องเยอะๆ ตัวเลขที่สองต้องน้อยๆ และตัวเลขสุดท้ายต้องเยอะๆ จะราคาแพงมาก
ทีนี้ การประเมินยาง ว่ายังใช้งานอยู่ได้มากน้อยแค่ไหน ด้วยความรู้สึก เช่น เสียง เวลาที่เรานั่งอยู่ในรถยนต์ขณะเคลื่อนที่ เสียงหน้ายางบดกับถนนเริ่มดังรบกวนผิดปกติ หรือดูจาก ความนุ่มนวล การโยน การให้ตัวของรถยนต์ ขณะเข้าทางโค้ง หรือขึ้นสะพาน เริ่มไม่นุ่มนวลเหมือนเดิม ยางรถยนต์ ควรตรวจสอบความดันลมอย่างสม่ำเสมอ ให้เป็นไปตามสเปคของรถยนต์ที่เราใช้งาน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วสเปคความดันลมยาง รถยนต์เกือบทุกยี่ห้อ จะติดไว้ที่ขอบประตูด้านในฝั่งคนขับ
สรุปแล้ว ดูแล และใส่ใจเกี่ยวกับยางรถยนต์ ตามความรู้สึก ถ้ารู้สึกผิดปกติ อันดับต่อมาก็ดูที่เนื้อยาง ว่าแตกลายงา หรือผิดปกติหรือไม่ สุดท้ายวัดความลึกของดอกยาง ตามนี้ แล้วจะสบายใจ

 
Visit Us On FacebookVisit Us On TwitterVisit Us On YoutubeCheck Our Feed