BMW C 400 GT สกู๊ตเตอร์สายทัวริ่ง

บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ประเทศไทย เผยโฉมมอเตอร์ไซค์ใหม่ล่าสุด C 400 GT สกู๊ตเตอร์ขนาดกลางที่มาสานต่อความสำเร็จของรุ่นก่อนหน้าที่เป็นสองล้อคู่ใจของไบค์เกอร์ในทุกโอกาส ด้วย สมรรถนะและดีไซน์ที่โดดเด่นครบครัน ยกจิตวิญญาณของมอเตอร์ไซค์ทัวริ่งมาจุดประกายให้นักบิดไทยได้ตื่นเต้นและเพลิดเพลินไปกับการโลดแล่นบนท้องถนนแบบครบเครื่องทั้งความเร็ว ความปลอดภัย และสไตล์เฉพาะตัว โดยบีเอ็มดับเบิลยู C 400 GT ใหม่ ได้รับการยกระดับอย่างรอบด้าน นับตั้งแต่เครื่องยนต์ที่มาพร้อมระบบ E-gas ไปจนถึงสีใหม่ที่เติมความโฉบเฉี่ยวให้สะดุดตายิ่งกว่า มร.มิเกล ญาเบรส-โปห์ล ผู้อำนวยการ บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และผู้นำเข้าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า “บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ประเทศไทย ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้มอบความตื่นตาตื่นใจให้แก่ลูกค้า ด้วยมอเตอร์ไซค์และสกู๊ตเตอร์หลากหลายรุ่นที่เปี่ยมทั้งสมรรถนะ และสไตล์ในการขับขี่ เพื่อมอบประสบการณ์ที่แตกต่าง สำหรับบีเอ็มดับเบิลยู C 400 GT เป็นอีกรุ่นหนึ่งที่ประสบความสำเร็จมากของเรา ด้วยเอกลักษณ์ที่ผสานความสนุกของการเดินทางระยะไกลบนท้องถนน เข้ากับความเป็นสกู๊ตเตอร์สำหรับชีวิตคนเมืองแบบเต็มตัว และใน C 400 GT รุ่นใหม่นี้มีการตอบสนองที่รวดเร็วยิ่งขึ้น เพิ่มความปราดเปรียว เสริมเสน่ห์ของการขับขี่ เราจึงมั่นใจว่าจะสามารถยกระดับความประทับใจของลูกค้าขึ้นไปอีก ด้วยการสร้างมาตรฐานใหม่ในกลุ่มสกู๊ตเตอร์ขนาดกลาง” บีเอ็มดับเบิลยู C 400 GT ใหม่ ยังคงขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ 1 สูบตัวเดิม พร้อมระบบระบายความร้อนด้วยน้ำส่งพละกำลังสูงสุดที่ 25 กิโลวัตต์ (34 แรงม้า) ที่ 7,500 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 35 นิวตันเมตรที่ 5,570 รอบต่อนาทีเครื่องยนต์นี้ทำงานประสานกับระบบเกียร์ CVT และระบบกันสะเทือนล้อหลังที่ผสานนวัตกรรมใหม่เพื่อลดการสั่นสะเทือนและเสริมความสบายระหว่างการขับขี่ และด้วยการรับรองมาตรฐานมลภาวะระดับ EU 5 บีเอ็มดับเบิลยู C 400 GT ใหม่ จึงเป็นสกู๊ตเตอร์คู่ใจที่พร้อมสนุกไปด้วยกันในทุกจังหวะการขับขี่ เพื่อยกระดับความคล่องแคล่วของ บีเอ็มดับเบิลยู C 400 GT ใหม่ เครื่องยนต์ชุดนี้จึงทำงานควบคู่กับระบบ E-gas หรือคันเร่งระบบไฟฟ้า พร้อมวาล์วระบบไฟฟ้าและระบบควบคุมเครื่องยนต์ที่พัฒนาขึ้นใหม่ ขณะที่ความเปลี่ยนแปลงในหลากหลายองค์ประกอบ นับตั้งแต่ระบบไอเสียที่มีประสิทธิภาพดีขึ้น ไปจนถึงการปรับแต่งระบบควบคุมการทำงานของเครื่องยนต์ในเกียร์ว่าง ยังช่วยให้สกู๊ตเตอร์รุ่นใหม่นี้ตอบสนองฉับไวในทุกจังหวะ และการเดินเครื่องที่ราบรื่น นุ่มนวลยิ่งขึ้นขณะใช้เกียร์ว่าง ขณะที่ชุดสปริงใหม่ในระบบคลัทช์แบบแรงเหวี่ยงก็ช่วยให้ตัวเครื่องทำงานได้นิ่งขึ้นด้วยเช่นกัน Automatic Stability Control (ASC) พร้อมระบบตั้งค่าอัตโนมัติ  เป็นอีกหนึ่งความเปลี่ยนแปลงทางเทคนิคที่โดดเด่นใน บีเอ็มดับเบิลยู C 400 GT ใหม่ คือการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบ Automatic Stability Control (ASC) ซึ่งสามารถปรับการตั้งค่าตัวเองได้แบบอัตโนมัติเมื่อจำเป็น เช่นในกรณีที่เปลี่ยนยาง นอกจากนี้ ระบบ ASC ใหม่นี้ยังออกแบบมาให้ทำงานด้วยระดับแรงเสียดทานที่ต่ำกว่าในรุ่นเดิม จึงทำให้รู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงการตอบสนองที่ฉับไวขึ้นและการขับขี่ที่สบายขึ้น โดยเฉพาะบนพื้นถนนที่เปียกและลื่น ด้วยเหตุนี้เอง ผู้ขับขี่จึงไม่จำเป็นต้องปิดการใช้งาน ASC อีกต่อไป และสามารถเร่งตัวรถไปสู่ความเร็วสูงสุดที่ 139 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้อย่างมั่นใจ ระบบเบรกล้อหน้าใหม่ พร้อมปรับความไวของคันเบรกหน้าและหลัง เพื่อประสบการณ์การขับขี่ที่ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้นระบบเบรกของบีเอ็มดับเบิลยู C 400 GT ใหม่ มาพร้อมกับคาลิเปอร์ใหม่ที่ช่วยให้ระบบดิสก์เบรกคู่ที่ล้อหน้าทำงานได้แม่นยำมากขึ้น สัมผัสได้ถึงจังหวะออกแรงเบรกอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น และปรับการเคลื่อนตัวของลูกสูบดิสก์เบรกให้ดียิ่งขึ้นควบคู่ไปกับการตั้งค่าคันเบรกล้อหลังที่มือซ้ายและคันเบรกล้อหน้าที่มือขวาให้ทำงานด้วยแรงกดสมดุลกันอย่างลงตัว ช่องเก็บสัมภาระที่มาพร้อมกับระบบไฟและช่องเสียบสายชาร์จ USB ช่วยในการมองเห็น ระบบไฟส่องสว่างในช่องเก็บสัมภาระได้ถูกเปลี่ยนตำแหน่งให้ส่องแสงลงมาจากด้านบนแทนที่จะเป็นด้านข้าง ส่วนช่องเก็บสัมภาระนี้อยู่ในบริเวณใต้เบาะนั่งซึ่งได้รับการออกแบบใหม่ให้
นั่งสบายกว่าที่เคย โดยนอกจากช่องต่อไฟแบบ 12 โวลต์แล้ว ช่องเก็บของด้านหน้ายังมาพร้อมกับช่องเสียบสายชาร์จ USB อีกด้วย (ช่องเก็บสัมภาระขนาด 31 ลิตร ซึ่งสามารถขยายได้ถึง 45 ลิตรหากติดตั้ง Flexcase) บีเอ็มดับเบิลยู C 400 GT ใหม่ ยังคงรักษารูปลักษณ์เฉพาะตัวในสไตล์ของ บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ไว้เช่นเคยแต่เสริมความโฉบเฉี่ยวสะดุดตาด้วยรุ่น “Triple Black” ที่มาในสีดำ Blackstorm metallic พร้อมลายคาดสีด้าน ในราคา429,000 บาท ขณะที่รุ่นมาตรฐานในสีขาว Alpine White ก็ยังเป็นทางเลือกให้จับจองเป็นเจ้าของที่ราคา 419,000 บาท  

 
Read More

มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ รุ่นพิเศษ แพชชั่น เรด เอดิชั่น

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย เปิดตัว มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ‘แพชชั่น เรด เอดิชั่น’ เพื่อร่วมฉลองการครบรอบ60 ปี ของการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย พร้อมบริจาครายได้ส่วนหนึ่งเพื่อการกุศลและตอบแทนสังคมไทย โดย มิตซูบิชิเอ็กซ์แพนเดอร์ ‘แพชชั่น เรด เอดิชั่น’ รุ่นพิเศษดังกล่าวนี้มีจำนวนการผลิตที่จำกัด มร.เออิอิชิ โคอิโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ได้รับเสียงตอบรับจากลูกค้าอย่างดีเยี่ยมและก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดรถยนต์อเนกประสงค์แบบเอ็มพีวี นับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2561 โดย มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ทุกรุ่นมียอดจำหน่ายสะสมรวมกันแล้วมากกว่า38,000 คัน ถือเป็นรถยนต์ที่สมบูรณ์แบบทั้งในด้านการออกแบบและความทันสมัย ซึ่งเหมาะสำหรับครอบครัวคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความอเนกประสงค์ ห้องโดยสารที่กว้างขวาง ความรู้สึกมั่นคงและความปลอดภัย รวมถึงความสะดวกสบาย และสมรรถนะการใช้งานในแบบรถเอสยูวี” ทั้งนี้ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ยังการันตีความสำเร็จด้วยการคว้ารางวัลอันทรงเกียรติมากมายจากหลายประเทศในภูมิภาคอาเซียน อาทิ รางวัลรถอเนกประสงค์มินิเอ็มพีวีขายดียอดเยี่ยม 3 ปีซ้อนจากงานรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปีของประเทศไทย รวมถึงรางวัลรถอเนกประสงค์เอ็มพีวีขนาดเล็กยอดเยี่ยมแห่งปีของประเทศอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ยกระดับความโดดเด่นขึ้นไปอีกขั้นด้วยการแนะนำสีแดงใหม่ ‘Spirit Red’ ที่สะท้อนถึงความน่าตื่นเต้นในทุกการเดินทาง เพื่อร่วมฉลองการครบรอบ 60 ปี โดยสีแดงเป็นสีประจำบริษัทฯ ซึ่งแสดงถึงความสำเร็จและยังปรากฏอยู่บนสัญลักษณ์ ทรีไดมอนส์ สะท้อนถึงคุณภาพ ความตื่นเต้นเร้าใจ และความมุ่งมั่น มิตซูบิชิเอ็กซ์แพนเดอร์ ‘แพชชั่น เรด เอดิชั่น’ สร้างขึ้นเพื่อปลุกแรงบันดาลใจให้แก่ทุกไลฟ์สไตล์ให้สามารถเป็นไปได้ พร้อมขับผ่านทุกอุปสรรค  อนึ่ง ลูกค้า สามารถมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนของเราในแบบที่ยั่งยืนได้ ด้วยการซื้อ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ‘แพชชั่น เรด เอดิชั่น’ รุ่นดังกล่าว โดย มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย จะบริจาคเงินจำนวน 2,000 บาทต่อคัน และมอบให้แก่องค์กรการกุศล 3 แห่ง ได้แก่ มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริฯ, มูลนิธิรามาธิบดีฯ และมูลนิธิชัยพัฒนาเพื่อร่วมขับเคลื่อนและพัฒนาสังคมไทยอย่างยั่งยืน และเพื่อร่วมฉลองโอกาสครบรอบ 60 ปี ของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย พร้อมขอบคุณลูกค้าที่ให้ความไว้วางใจเลือกซื้อและใช้รถยนต์ มิตซูบิชิ ด้วยแคมเปญ ‘มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ในประเทศไทย ฉลอง 60 ปี แจก 60 ล้าน’ มอบรางวัลใหญ่ ทองคำแท่งหนัก 60 บาท มูลค่า 1,638,000 บาท จำนวน 6 รางวัล พร้อมของรางวัลอื่นๆ อาทิ ทองคำแท่งหนัก 6 บาท จำนวน 60 รางวัล ทีวี SAMSUNG รุ่น QLED Smart 4K 65 นิ้ว จำนวน 400 รางวัล และ โทรศัพท์มือถือ iPhone 12 64GB จำนวน 800 รางวัล รวมมูลค่าทั้งสิ้นกว่า 60 ล้านบาท สำหรับผู้ที่ซื้อรถยนต์มิตซูบิชิรุ่นใดก็ได้ ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธันวาคม 2564 มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ‘แพชชั่น เรด เอดิชั่น’ ถูกพัฒนาขึ้นบนพื้นฐานของ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ รุ่น จีที ที่ได้รับการยกระดับด้านดีไซน์ พร้อมด้วยเอกลักษณ์ที่มีความแตกต่างจากรุ่นปกติทั่วไป โดดเด่นด้วยสัญลักษณ์รุ่นพิเศษฉลอง 60 ปี ที่ด้านข้างและที่ล้ออัลลอย ภายในเพียบพร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกได้แก่ที่ชาร์จแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือแบบไร้สายที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย ตลอดจนซองใส่กุญแจอัจฉริยะพร้อมสัญลักษณ์รุ่นพิเศษฉลอง 60 ปี ที่แสดงถึงความพิเศษของรถยนต์รุ่นดังกล่าว นอกเหนือจากอุปกรณ์พิเศษที่มอบให้แล้ว มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ‘แพชชั่น เรด เอดิชั่น’ ยังคงครบครันด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและระบบความปลอดภัยที่ดีที่สุดในเซกเม้นท์ โดดเด่นด้วยดีไซน์ภายนอกที่แข็งแกร่ง พร้อมด้วยระยะความสูงจากพื้นถึง 205 มม. มีห้องโดยสารที่กว้างขวาง สะดวกสบาย มีเสียงรบกวนและการสั่นสะเทือนที่ต่ำ(NVH) ช่วยเพิ่มสุนทรียภาพตามปรัชญาแบบ ‘โอโมเตะนาชิ’ ของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ที่มุ่งเน้นความประณีตและใส่ใจในทุกรายละเอียด ภายในห้องโดยสารได้รับการตกแต่งด้วยวัสดุบุนุ่มคุณภาพเยี่ยม ช่วยสร้างผิวสัมผัสที่นุ่มนวล และยังทำให้ห้องโดยสารมีความเงียบเพิ่มมากขึ้น มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ‘แพชชั่น เรด เอดิชั่น’ ครบครันด้วยความอเนกประสงค์แบบ 7 ที่นั่ง ติดตั้งเบาะที่นั่งหุ้มหนังและวัสดุหนังสังเคราะห์ทั้ง 3 แถว เพิ่มความสะดวกสบายมากขึ้นด้วยกุญแจอัจฉริยะแบบ KOS พร้อมปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ช่องจ่ายกระแสไฟ DC 12 โวลต์ 3 ตำแหน่ง และระบบปรับอากาศด้านหลังแบบแยกอิสระสำหรับผู้โดยสารตอนหลังหรูหราด้วยหัวเกียร์และพวงมาลัยหุ้มหนังที่สามารถปรับระดับสูง-ต่ำ และปรับเข้า-ออกได้ มาพร้อมกับสวิตช์ควบคุมระบบเครื่องเสียง มีปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์บนพวงมาลัย และระบบล็อกความเร็วอัตโนมัติ สะดวกสบายด้วยจอภาพระบบสัมผัสพร้อมเครื่องเล่นดีวีดี และจอแสดงข้อมูลอเนกประสงค์ TFT ขนาด 4.2 นิ้ว พร้อมการแสดงผลแบบภาพเคลื่อนไหว 3 มิติ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ‘แพชชั่น เรด เอดิชั่น’ ครบครันด้วยระบบความปลอดภัย อาทิ ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว  (ASC) ระบบป้องกันการลื่นไถล (TCL) ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (HSA) ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรก(ABS) ระบบกระจายแรงดันน้ำมันเบรกแบบอิเล็กทรอนิกส์ (EBD) ระบบเสริมแรงเบรก (BA) ระบบไฟกะพริบฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน (ESS) ถุงลมนิรภัยด้านคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า และกล้องมองภาพด้านหลังขณะถอยจอด มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ‘แพชชั่น เรด เอดิชั่น’ มอบความมั่นใจในด้านบริการหลังการขายภายใต้สโลแกน ‘เราดูแล คุณแค่ขับ’ ที่พร้อมให้บริการแก่ลูกค้าด้วยผู้จำหน่ายทั่วประเทศกว่า 240 แห่ง ด้วยการให้บริการที่ได้มาตรฐานคุณภาพอะไหล่แท้ ให้บริการด้วยเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญและผ่านการฝึกอบรม ตลอดจนความสะดวกสบายในการเข้ารับบริการด้วยเครือข่ายผู้จำหน่ายที่ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศเพื่อให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่ารถยนต์ มิตซูบิชิ ทุกคันจะพร้อมใช้งานอยู่เสมอ ด้วยค่าบำรุงรักษาที่ไม่แพง พบกับ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ‘แพชชั่น เรด เอดิชั่น’ ได้ที่โชว์รูม มิตซูบิชิ ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หรือท่านสามารถตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมและขอทดลองขับได้ที่ www.mitsubishi-motors.co.th หรือ มิตซูบิชิ คอลเซ็นเตอร์หมายเลขโทรศัพท์ 02-079-9500 ที่เปิดให้บริการทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง  

 
Read More

TOYOTA FORTUNER GR Sport โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ สัญลักษณ์แห่งความสำเร็จ

บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เริ่มแนะนำรถอเนกประสงค์สุดหรู โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ เจนเนอเรชั่นที่ 1 ในปี พ.ศ. 2548 ภายใต้โครงการ “IMV: Innovative International Multi-Purpose Vehicle”ที่สามารถสร้างปรากฏการณ์เป็นผู้นำตลาดรถอเนกประสงค์ประเภท Pick-Up Passenger Vehicle (PPV) ในประเทศไทย รวมไปถึงในตลาดต่างประเทศด้วยชื่อเสียงอันเป็นที่ยอมรับในคุณภาพการผลิตมาตรฐานระดับโลก ดีไซน์โดดเด่น รวมถึงสมรรถนะการขับขี่อันยอดเยี่ยม และอรรถประโยชน์ในการใช้สอยที่คุ้มค่า จนสามารถครองใจลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างประเทศได้อย่างเต็มภาคภูมิด้วยมียอดจำหน่ายรวมทั้งสิ้นมากกว่า  380,000 คัน ฟอร์จูนเนอร์ รุ่นปรับปรุงใหม่ปี 2564…สัญลักษณ์แห่งความสำเร็จ (Wisdom of a Leader) มร.โนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เปิดเผยว่า “ก่อนอื่น ผมขอแสดงความขอบคุณสื่อมวลชนและแฟนพันธุ์แท้ รถกระบะไฮลักซ์ที่ให้การสนับสนุนและกระแสตอบรับเป็นอย่างดีหลังจากที่ได้ทำการเปิดตัว ไฮลักซ์ รีโว่ GR Sport  และไฮลักซ์ รุ่นปรับปรุงใหม่ปี 2564 ครั้งแรกของโลกไปเมื่อวานนี้ ในวันนี้เป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งของโตโยต้า ผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะทำการแนะนำ ฟอร์จูนเนอร์ GR Sport เป็นครั้งแรกของโลกและฟอร์จูนเนอร์ รุ่นปรับปรุงใหม่ปี 2564 ฟอร์จูนเนอร์ เป็นผู้นำในตลาด PPV เป็นระยะเวลายาวนานถึง 9 ปีติดต่อกัน นับตั้งแต่พ.ศ. 2555 และยังคงสามารถรักษาตำแหน่งยอดขายสูงสุดในครึ่งปีแรกของปีนี้นี้ พร้อมกันนี้ยังยืนยันด้วยรางวัลต่างๆ มากมาย สะท้อนให้เห็นถึงความเหนือชั้นของรถรุ่นนี้ ทั้งดีไซน์ที่โดดเด่น คุณภาพการผลิตอันเป็นมาตรฐาน ตลอดจน ฟังก์ชั่นการใช้งาน และมาตรฐานด้านความปลอดภัยที่ดีเยี่ยม ผมเชื่อว่าด้วยการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้ดียิ่งขึ้นจะช่วยให้เราสามารถครองความเป็นผู้นำเป็นปีที่ 10 ติดต่อกันและพิสูจน์ว่า ฟอร์จูนเนอร์ คือ เจ้าแห่งรถกระบะดัดแปลง (King of PPV) ตัวจริง อันดับแรก ผมขอแนะนำ ฟอร์จูนเนอร์ GR Sport รถรุ่นพิเศษที่โดดเด่น ด้วยความเหนือระดับ และการออกแบบที่สปอร์ต ทั้งภายนอก และภายใน พร้อมด้วยเครื่องยนต์อันทรงพลัง และช่วงล่างที่เหมาะสมกับการขับขี่ทั้งในเมือง และการขับแบบออฟโรด นอกจากนี้ ยังมีกับโช้คอัพแบบโมโนทูบ (Monotube Shock Absorber)       ที่ปรับจูนเป็นพิเศษเพื่อมอบประสิทธิภาพการทรงตัว และความนุ่มนวลในการขับขี่ ที่ดียิ่งขึ้น ช่วยลดความเหนื่อยล้าให้ทั้งผู้ขับขี่ และผู้โดยสารภายในรถ ทั้งระหว่างการเดินทางระยะไกล และสภาพจราจรที่หนาแน่น และในรุ่นปกติ เราได้มีการเพิ่มอุปกรณ์อำนวยความสะดวก และระบบความปลอดภัยล้ำสมัย สอดรับกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้า และการใช้งานในชีวิตประจำวัน เช่น เครื่องปรับอากาศแถวที่ 1แบบอัตโนมัติปรับอิสระแยกซ้าย–ขวาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่น ส่วนในรุ่น Legender 2.8 ลิตร มีการเพิ่มระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง และระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ  พร้อมกล้องมองรอบคัน ในรุ่น V นอกจากนี้ เราขอแนะนำชุดแต่ง Modellista ที่ช่วยเสริมให้ดีไซน์ภายนอกโดดเด่นยิ่งขึ้น เสริมภาพลักษณ์ที่หรูหรา ไม่ซ้ำใคร” คุณสุรศักดิ์ สุทองวัน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ผมต้องขอขอบคุณกลุ่มแพทย์ และพยาบาลอีกครั้งที่ทำงานกันอย่างหนัก ไม่ท้อถอยเพื่อต่อสู้กับสถานการณ์การแพร่ระบาดของ Covid-19  ที่หนักหน่วงในขณะนี้ สำหรับตลาดรถยนต์นั้นเราได้รับผลกระทบเหมือนธุรกิจอื่น ๆ  ซึ่งผมต้องขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจในผลิตภัณฑ์ของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถยนต์ฟอร์จูนเนอร์ รุ่น Legender ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าสนับสนุน ส่งผลให้เราครองอันดับ 1 ในตลาด PPV อย่างต่อเนื่อง สำหรับรุ่นปรับปรุงใหม่ในปีนี้ได้รับการพัฒนาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวัน โดยยกระดับความพรีเมียมของรถ PPV ให้มีความคุ้มค่าตลอดอายุการใช้งาน เหมาะกับลูกค้าที่มองหารถใช้ส่วนตัวในชีวิตประจำวัน หรือรถครอบครัวเพื่อเดินทางในเมือง อีกทั้งยังสามารถใช้ขับท่องเที่ยวระยะไกลในช่วงวันหยุดพักผ่อนได้อีกด้วยครับ ฟอร์จูนเนอร์ รุ่น GR Sport  ถือได้ว่าเป็นรุ่นสูงสุดของรถในตระกูล PPV ของโตโยต้า ซึ่งมีที่มาเฉกเช่นเดียวกับการพัฒนารถไฮลักซ์ รีโว่ รุ่น GR Sport ด้วยการนำเอาประสบการณ์และความรู้ทางเทคนิค จากการที่โตโยต้าได้เข้าร่วมการทดสอบสมรรถนะยานยนต์ในสนามแข่งขันทั่วโลกผ่านแบรนด์รถแข่งระดับโลกอย่าง TOYOTA GAZOO RACING ทำให้          ฟอร์จูนเนอร์ GR Sport เป็นสุดยอดยนตรกรรมแห่งของความเป็นผู้นำตามแบบฉบับแบรนด์รถแข่งTOYOTA GAZOO RACING ที่ให้คุณสามารถปลดปล่อยจิตวิญญาณความสปอร์ตลงไปสู่การขับขี่ ผมเชื่อว่า ฟอร์จูนเนอร์GR Sport จะพาคุณก้าวไปสู่อีกระดับของรถ PPV อย่างแน่นอนครับ” ใหม่…ดีไซน์ภายนอก…เอกลักษณ์ตามแบบฉบับรถแข่งดับโลก Toyota Gazoo Racing  สะท้อนความเป็น Sport Premium PPV กระจังหน้าสีดำเงาดีไซน์ใหม่ พร้อมสัญลักษณ์ GR กันชนหน้าพร้อมชุดตกแต่งสีดำเงา มือจับประตูสีเดียวกับตัวรถ สปอยเลอร์หลังดีไซน์ใหม่สไตล์สปอร์ต ล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว สีพิเศษเฉพาะรุ่น GR Sport ใหม่…ดีไซน์ภายใน…โดดเด่นด้วยความสปอร์ตในทุกมุมมอง ภายในดีไซน์สปอร์ตโทนสีดำสลับแดง ให้ความรู้สึกแบบรถแข่ง คงไว้ซึ่งความหรูหราไว้อย่างลงตัว เบาะนั่ง Suede แบบเจาะรู และหนังสังเคราะห์เดินด้ายตกแต่งสีแดง พร้อมสัญลักษณ์ GR  แผงคอนโซลหน้าตกแต่งด้วยแถบสี Smoke silver พร้อมบุหนังสังเคราะห์สีดำเดินด้ายแดง ช่องปรับอากาศด้านหน้าตกแต่งด้วยแถบสี Smoke silver และโครเมียม แผงข้างประตู สีดำบุหนังสังเคราะห์พร้อมตกแต่งด้วยแถบสี Smoke silver  พวงมาลัยหุ้มหนังแบบ Soft Touch แบบเจาะรู พร้อมตกแต่ง Center mark สีแดง และเดินด้ายสีแดง/ สี Smoke silver และสัญลักษณ์ GR หัวเกียร์หุ้มหนัง พร้อมตกแต่งด้วยแถบสี Smoke silver ฐานเกียร์ลาย Carbon Fiber พร้อมตกแต่งด้วยแถบสี Smoke silver กล่องเก็บของหุ้มหนังสังเคราะห์ เดินด้ายตกแต่งสีแดง แป้นคันเร่งและเบรคแบบสปอร์ต…

 
Read More

LEXUS ES 2021

ล่าสุดกับ “Refine Your Journey” สุนทรียภาพใหม่แห่งการเดินทาง LEXUS ES มาพร้อมกันหลายรุ่น ตอกย้ำความเป็นผู้นำรถหรูเอกสิทธิ์เฉพาะ เลกซัสประเทศไทย แนะนำเลกซัส ES ใหม่ ตอกย้ำภาพลักษณ์ยนตรกรรมซีดานหรูสำหรับผู้บริหาร มาพร้อมกับการออกแบบรายละเอียดของกระจังหน้า Spindle Grille ดีไซน์ใหม่ และเทคโนโลยีปรับไฟสูง-ต่ำอัจฉริยะ Blade Scan Adaptive High-beam System ที่ช่วยกระจายแสงไฟด้านหน้ารถได้อย่างแม่นยำและละเอียดมากยิ่งขึ้น ภายในโดดเด่นด้วยหน้าจอขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว ควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ได้อย่างสะดวกและง่ายดายเพียงปลายนิ้วสัมผัส ตลอดจนเทคโนโลยีความปลอดภัยเหนือระดับ Lexus Safety System Plus เจเนอเรชันที่ 2 ความสมบูรณ์แบบที่เหนือกว่าเดิมในทุกมิติ พร้อมเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าที่ชื่นชอบสไตล์สปอร์ต เท่ห์ โฉบเฉี่ยว ขยายขีดจำกัดของ ES ให้มากกว่าแค่ความนุ่มสบาย ด้วยการแนะนำ Lexus ES F SPORT เป็นครั้งแรก เลกซัส ES (Executive Sedan) ยนตรกรรมซีดานหรูขนาดกลาง ได้ถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับการเปิดตัวแบรนด์เลกซัสคู่กับเลกซัส LS เมื่อปีพ.ศ. 2532 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา นับจากนั้นเป็นต้นมาเลกซัส ES ก็ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง จากความโดดเด่นเรื่องความนุ่มนวลในการขับขี่และความเงียบภายในห้องโดยสารที่เป็นเอกลักษณ์ตามแบบฉบับของเลกซัส แตกต่างจากรถยนต์หรูทั่วไป จากความนิยมดังกล่าวทำให้เลกซัส ES เดินทางมาสู่ เจเนอเรชั่นที่ 7 ด้วยยอดขายสะสมทั่วโลกมากถึง 2.65 ล้านคัน คุณสุรศักดิ์ สุทองวัน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่เลกซัสกรุ๊ป บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัดเปิดเผยว่า “เลกซัสประเทศไทย ขอแนะนำเลกซัส ES ใหม่ ที่มาพร้อมกับการออกแบบ ที่ลงตัวมากยิ่งขึ้นด้วยไฟหน้าดีไซน์ใหม่รับกับกระจังหน้า Spindle Grille ดีไซน์ใหม่ เส้นสายที่ดูสปอร์ตเร้าใจ เสริมความเฉียบคมให้เข้ากับความหรูหราอย่างลงตัวไฟหน้าแบบ 3-eye LED Headlamps มาพร้อมกับเทคโนโลยี Blade Scan Adaptive High-beam System ที่จะทำหน้าที่ปรับไฟสูง–ต่ำอัจฉริยะ ช่วยกระจายแสงไฟด้านหน้ารถได้อย่างแม่นยำและละเอียดมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ภายในห้องโดยสารของของเลกซัส ES ใหม่ ยังคงไว้ซึ่งความประณีตพิถีพิถันในทุกรายละเอียด ควบคู่กับความกว้างขวางของที่นั่งด้านหลังและความเงียบภายในห้องโดยสารอันเป็นเอกลักษณ์ของเลกซัส ES โดดเด่นด้วยหน้าจอขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว ควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ได้อย่างสะดวกและง่ายดายเพียงปลายนิ้วสัมผัส เพียบพร้อมไปด้วยสมรรถนะการขับขี่อันสมบูรณ์แบบจากสถาปัตยกรรมโครงสร้างตัวถังใหม่ GA-K (Global Architecture-K Platform) ที่มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ ทรงตัวเยี่ยมและควบคุมได้ดั่งใจ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ระบบไฮบริดเจเนอเรชั่นล่าสุด มั่นใจตลอดการเดินทางด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยเหนือระดับและครบครันอย่าง Lexus Safety System Plus เจเนอเรชันที่ 2 พร้อมระบบช่วยเบรกอัตโนมัติขณะถอยจอด (Parking Support Brake : PKSB) เพิ่มความปลอดภัยขณะถอยจอด โดยระบบจะทำการเบรกโดยอัตโนมัติทันที หากระบบประเมินว่าอาจเกิดการชน และยิ่งไปกว่านั้น เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าที่ชื่นชอบรถสไตล์สปอร์ต เท่ห์โฉบเฉี่ยว ขยายขีดจำกัดของ ES ให้มากกว่าแค่ความนุ่มสบาย ผมขอแนะนำ ES 300h F SPORT เป็นครั้งแรก ซึ่งมาพร้อมกับความดุดัน เร้าใจ และสมรรถนะแบบสปอร์ตที่ยอดเยี่ยม” Lexus ES F SPORT ครั้งแรกในประเทศไทย ด้วยการเติมความจัดจ้านเร้าใจ ขยายขีดจำกัดของ ES ที่มากกว่าแค่ความนุ่มสบาย บ่งบอกความเป็น            F SPORT ด้วยกระจังหน้า Spindle Grille ดีไซน์พิเศษสีดำ พร้อมล้ออัลลอยด์ขนาดใหญ่ 19 นิ้วที่มีเฉพาะในรุ่น F SPORT เท่านั้น เสริมบุุคลิกของรถให้ดุุดัน ภายในห้องโดยสารตกแต่งให้สร้างความเร้าใจได้ตั้งแต่แรกสัมผัส ด้วยเบาะนั่งด้านหน้าแบบ F SPORT ดีไซน์เฉพาะตัว ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากเบาะของรถสปอร์ตคูเป้อย่างเลกซัส LC โดยวัสดุที่ใช้จะเป็นโฟมขึ้นรูปที่เหมาะกับสรีระ โอบกระชับร่างกายได้อย่างพอดี ให้ความสบายตามมาตรฐานเลกซัส ให้ความเพลิดเพลินกับสมรรถนะแบบสปอร์ตของรถได้อย่างเต็มที่ เลกซัส ES F SPORT มาพร้อมช่วงล่างที่ได้รับการพัฒนาขึ้นเป็นพิเศษเพื่อให้การตอบสนองที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งการควบคุมพวงมาลัยได้อย่างเฉียบคม เข้าโค้งได้อย่างแม่นยำและยังคงนุ่มนวลในทุุกการขับขี่ ซึ่งเป็นผลมาจากการนำ Performance Dampers ที่ทำหน้าที่เป็นตัวช่วยซับแรงสั่นสะเทือนจากทั้งด้านหน้าและด้านหลังมาใช้ ช่วยในการควบคุมรถได้อย่างดีเยี่ยม และระบบช่วงล่างแปรผัน (Adaptive Variable Suspension : AVS) ที่ปรับระดับความนุ่มนวลและสปอร์ตได้ 650 ระดับโดยอัติโนมัติ ตอบสนองต่อการควบคุมของผู้ขับขี่และสภาพพื้นผิวถนนได้อย่างเหมาะสม รวมถึงรายละเอียดอีกมากมายที่ซ่อนอยู่ในรถ ที่ช่วยให้เลกซัส ES F SPORT เป็นรถที่น่าประทับใจในทุุกการขับขี่อย่างแท้จริง สามารถเลือกเป็นเจ้าของยนตรกรรมหรู The New…

 
Read More

โตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่ จีอาร์ สปอร์ต

GR Sport เปิดตัวครั้งแรกของเอเชียที่ประเทศไทย รถกระบะยอดนิยม สายพันธุ์สปอร์ตฝีมือคนไทย จาก โตโยต้า            มร.โนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และคุณสุรศักดิ์ สุทองวัน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด พร้อมด้วย ดร.จุฬชาติ จงอยู่สุข และ คุณอัญญารัตน์สุทธิเบญจกุล หัวหน้าวิศวกรระดับภูมิภาค บริษัท โตโยต้า ไดฮัทสุ เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ แมนูแฟคเจอริ่งจำกัด ร่วมเปิดตัว โตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่ GR Sport รถกระบะยอดนิยม สายพันธุ์สปอร์ตฝีมือคนไทย  ครั้งแรกของเอเชียที่ประเทศไทย พร้อมรุ่นปรับปรุงใหม่ปี 2564          บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เริ่มต้นสายการผลิตรถกระบะขนาด 1 ตัน ออกจำหน่ายครั้งแรกในปีพ.ศ.2511 โดยใช้ชื่อทางการค้าว่า “ไฮลักซ์”  ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าในระยะเวลาอันรวดเร็ว ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่สวยงาม ห้องโดยสารกว้างขวาง สมรรถนะเครื่องยนต์อันทรงพลัง ประหยัดน้ำมันเป็นเยี่ยม มีความทนทาน อัตราการดูแลรักษาต่ำ และรองรับทุกรูปแบบการใช้งาน และในปี พ.ศ.2547 ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของโตโยต้าประเทศไทยที่ได้รับความไว้วางใจจากโตโยต้าสำนักงานใหญ่ ประเทศญี่ปุ่น ให้เป็นฐานการผลิตรถกระบะและรถอเนกประสงค์ประเทศแรกนอกประเทศญี่ปุ่น เพื่อทำการผลิตและจำหน่าย ทั้งภายในประเทศ รวมทั้งส่งออกจำหน่ายในทุกภูมิภาคทั่วโลก ภายใต้ โครงการ IMV    ซึ่งมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “Innovative International Multi-purpose Vehicle”  ตลอดระยะเวลากว่า 5 ทศวรรษของโตโยต้า แห่งความมุ่งมั่น ทุ่มเท ค้นคว้า วิจัยและพัฒนาอย่างหนัก เพื่อให้ได้สุดยอดรถกระบะ  ที่ตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้าในทุกภูมิภาคทั่วโลก ส่งผลให้รถกระบะ “ไฮลักซ์”  เป็นรถกระบะยอดนิยมของคนไทย โดยมีลูกค้าครอบครองเป็นเจ้าของแล้ว  จำนวนทั้งสิ้นมากกว่า 2.5 ล้านคัน มร.โนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เปิดเผยว่า “ก่อนอื่นในนามของ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ประเทศไทย จำกัด ผมขอแสดงความขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์ ที่เป็นด่านหน้าทุ่มเททำงานอย่างหนัก ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา และขอแสดงความห่วงใยคนไทยทุกคน ในช่วงเวลาอันยากลำบากนี้ โตโยต้า ยังคงยืนหยัดเคียงข้างคนไทยทุกคน เพื่อร่วมก้าวผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกัน ตามที่ทราบดีว่า เป้าหมายของโตโยต้า คือ การส่งมอบความสุขให้กับคนไทยทุกคน และเราไม่เคยหยุดที่จะสร้าง “ยนตรกรรมที่ดียิ่งกว่า” โดยในเดือนมิถุนายนปีที่ผ่านมา เราได้ทำการแนะนำไฮลักซ์ รีโว่ ใหม่ ซึ่งขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ “GD Super Power Engine” เจเนอเรชันที่ 2 และระบบช่วงล่างใหม่“Superflex” พร้อมด้วย ดีไซน์ใหม่ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีนอกจากนี้ เรายังตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างรวดเร็วด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เช่น การเพิ่ม Wide Body ในรุ่น Lo-Floor และการเพิ่มเกียร์อัตโนมัติ ในรุ่นเริ่มต้นของตัว Lo-Floor ในโอกาสนี้ผมขอขอบคุณลูกค้าชาวไทยทุกท่าน ที่ให้การตอบรับผลิตภัณฑ์ของเราเป็นอย่างดี ในวันนี้ผมมีความยินดีที่จะแนะนำ ไฮลักซ์ รีโว่ GR Sport และไฮลักซ์ รีโว่ รุ่นปรับปรุงใหม่เป็นครั้งแรกของเอเชีย ซึ่งพัฒนาโดยหัวหน้าวิศวกรชาวไทย ดร.จุฬชาติ จงอยู่สุข และ คุณอัญญารัตน์ สุทธิเบญจกุลโดย    ไฮลักซ์   รีโว่ GR Sport นับเป็นผลิตภัณฑ์ GR รุ่นที่ 4 ที่แนะนำสู่ลูกค้าชาวไทย ต่อจาก Corolla GR Sport, GR Supra และGR Yaris และเป็นรถกระบะในซีรีย์ GR รุ่นแรก ที่ผลิตในประเทศไทย โดยมี DNA ของมอเตอร์สปอร์ตภายใต้แนวคิดของGazoo Racing ที่ว่า “จากสนามแข่ง สู่ท้องถนน” โดย ไฮลักซ์ รีโว่ GR Sport นับเป็นอีกหนึ่งผลผลิตจากแรงบันดาลใจ ในการสร้าง ”ยนตรกรรมที่ดียิ่งกว่า” รถรุ่นนี้มาพร้อมการออกแบบ     ที่เน้นอารมณ์สปอร์ตทั้งภายนอกและภายใน จากชุดแต่งพิเศษรอบคันที่เสริมประสิทธิภาพการขับขี่ตามหลักอากาศพลศาสตร์ ผู้ขับขี่จะสัมผัสได้ถึงประสิทธิภาพการเกาะถนนและความคล่องตัวที่ดียิ่งขึ้นจากการทำงานของพร้อมกับโช้คอัพแบบโมโนทูบ (Monotube Shock Absorber) ในรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ นอกจากนี้ในรุ่น Hi-floor เราได้เพิ่มอุปกรณ์อำนวยความสะดวก และระบบความปลอดภัยที่ล้ำสมัย อาทิ กล้องมอบรอบคัน ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ และในรุ่น   Lo-Floor มีการติดตั้งชุดไฟ LED ทั้งด้านหน้าและด้านหลังเป็นอุปกรณ์มาตรฐานจากโรงงาน ในรุ่น Mid          เพื่อปรับปรุงรูปลักษณ์ให้โดนใจกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบการแต่งรถ สุดท้ายกับการแนะนำเครื่องยนต์ใหม่ 2.8 ลิตร “GD Super Power” ในรุ่นมาตรฐาน(B-CAB) เพิ่มสมรรถนะที่ดียิ่งขึ้น เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ที่เน้นการบรรทุกหนัก หรือกลุ่มรับจ้างขนของในราคาที่น่าดึงดูดใจ พร้อมด้วยระบบ T-Connect ที่มอบการเชื่อมต่อระหว่างคนและรถได้อย่างสมบูรณ์แบบ”          ดร.จุฬชาติ จงอยู่สุข หัวหน้าวิศวกรระดับภูมิภาค กล่าวว่า “หลังจากที่ได้เปิดตัวโตโยต้าไฮลักซ์ รีโว่ และฟอร์จูนเนอร์ใหม่ ในปีที่ผ่านมาเราได้ทำการสำรวจถึงความคิดเห็นของผู้แทนจำหน่าย พนักงานขายและลูกค้าผู้ใช้จริงทั่วประเทศกว่า1,000 ตัวอย่าง เพื่อให้เข้าใจทั้งจุดเด่นและจุดที่ต้องปรับปรุงเพื่อให้ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ โดยได้นำผลสำรวจดังกล่าวมาใช้สำหรับการพัฒนาสู่รุ่นปรับปรุงใหม่ปี 2564 นี้ โดยมีการปรับปรุงให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้น ในทุก ๆ รุ่น –ไฮลักซ์ รีโว่ รุ่นมาตรฐาน (B-CAB) เพิ่มความแรงด้วยเครื่องยนต์ 2.8 ลิตร ในรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ ให้มีสมรรถนะทรงพลังมากยิ่งขึ้น มอบกำลังสูงสุดถึง 204 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 420 นิวตันเมตร มาพร้อมกับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่มองหาเครื่องยนต์กำลังสูง เหมาะสำหรับกลุ่มที่ต้องใช้บรรทุกของหนักหรือใช้ในธุรกิจด้านLogistics ที่มีความแรง ทนทาน สามารถพาไปได้ทุกที่ –ไฮลักซ์ รีโว่ รุ่น Z-Edition หรือ ตัวเตี้ย เพิ่มความโฉบเฉี่ยวด้วยไฟหน้า Bi-Beam LED พร้อมระบบควบคุมการเปิด–ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ พร้อมระบบ Follow-Me-Home และไฟท้ายแบบ LED Light Guiding ในรุ่น Mid เพิ่มความสปอร์ตในทุกมุมมอง ให้ดูน่าดึงดูดสายตามากยิ่งขึ้นสอดรับกับโป่งล้อ Wide Body ได้เป็นอย่างดี –ไฮลักซ์ รีโว่ รุ่นยกสูงหรือ Prerunner และขับเคลื่อน 4 ล้อ เพิ่มฟังก์ชั่นความปลอดภัย ให้ความมั่นใจในการขับขี่อย่างเต็มพิกัดด้วยกล้องมองรอบคัน (Panoramic View Monitor) ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ (Rear Cross Traffic Alert) และ ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง (Blind Spot Monitor) และระบบปรับอากาศอัตโนมัติ ปรับอิสระแยกซ้าย–ขวา คุณอัญญารัตน์ สุทธิเบญจกุล หัวหน้าวิศวกรระดับภูมิภาค กล่าวเพิ่มเติมว่า “สำหรับไฮลักซ์ รีโว่      รุ่น GR Sport ถือเป็นอีกหนึ่งรุ่นในตระกูล Gazoo Racing ซึ่งมีที่มาจากการที่โตโยต้าได้เข้าร่วมการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตเพื่อทดสอบสมรรถนะยานยนต์ในสนามแข่งขันทั่วโลก ผ่านทีม Toyota Gazoo Racing เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของรถยนต์ที่ใช้งานธรรมดา ให้สามารถวิ่งบนถนนที่ไม่ธรรมดาและมีอุปสรรคมากมาย เพื่อให้ได้มาซึ่งยานยนต์ที่มีสมรรถนะพิเศษ โดยเราได้นำความรู้และประสบการณ์ที่ได้จากการแข่งขัน มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนารถยนต์รุ่น GR เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการประสบการณ์ในการขับขี่แบบมืออาชีพที่ไม่เหมือนใคร โดยดีไซน์ของ GR คือการผสมผสานระหว่างฟังก์ชั่นการใช้งานและรูปลักษณ์ (Functional Beauty) ภายนอกโดดเด่นด้วยดีไซน์สปอร์ต โดยถูกออกแบบให้รองรับการขับขี่ตามหลักอากาศพลศาสตร์ เพิ่มประสิทธิภาพ     มีการขับขี่อันยอดเยี่ยม ภายในเน้นความเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์รถแข่งระดับโลกToyota Gazoo Racing ได้เป็นอย่างดี      พร้อมด้วยฟังก์ชั่นการใช้งานที่ครบครัน ช่วยส่งเสริมสมรรถนะในการขับขี่ได้อย่างยอดเยี่ยม” ไฮลักซ์ รีโว่ รุ่น GR Sport ได้รับการพัฒนาพิเศษจำนวน 2 รุ่น  –ไฮลักซ์ รีโว่ GR Sport ขับเคลื่อน 4 ล้อ -แนวคิดในการพัฒนารถกระบะไฮลักซ์ รีโว่ GR-Sport ขับเคลื่อน 4 ล้อ ได้รับแรงบันดาลใจจากรถแข่งระดับโลกที่เข้าร่วมการแข่งขันในรายการ World Rally Championship (WRC) ซึ่งถือได้ว่าเป็นรายการแข่งขันรถยนต์อันดับต้นๆ ของโลกโดยรถรุ่นนี้เหมาะสำหรับที่ลูกค้า   ที่มีความชื่นชอบรถกระบะดีไซน์ GR…

 
Read More

HONDA CR-V BLACK EDITION

บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ตอกย้ำกระแสความนิยมและตำแหน่งผู้นำในกลุ่มรถสปอร์ตอเนกประสงค์ขนาดใหญ่ (L-SUV) ของ ฮอนด้า ซีอาร์-วี ที่ครองส่วนแบ่งการตลาดในเซกเมนต์ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 กว่า 60.1% ด้วยการยกระดับความสปอร์ตอีกขั้นของพรีเมียมเอสยูวีไอคอน แนะนำ “ฮอนด้า ซีอาร์-วี BLACK EDITION ใหม่” เผยตัวตนความสปอร์ตเข้มเต็มสไตล์ ดีไซน์ภายนอกโทนสีดำแบบเอกซ์คลูซีฟรอบคัน ครั้งแรกกับราวหลังคาสีดำใหม่ (Roof Rail) แข็งแกร่งในทุกมิติด้วยล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว สีดำแบบสปอร์ต กระจังหน้าโครเมียมรมดำ กันชนหน้าสีดำแบบสปอร์ตพร้อมคิ้วตกแต่งโครเมียมรมดำ และกันชนหลังสีดำแบบสปอร์ต เสริมเอกลักษณ์ความแกร่งด้วยสัญลักษณ์พิเศษ BLACK EDITION เปิดมุมมองใหม่ด้วยหลังคาซันรูฟไฟฟ้าแบบพาโนรามา (Panoramic Sunroof) มาพร้อมสีภายนอก สีดำคริสตัล (มุก) ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง โดดเด่นด้วยเอกลักษณ์ความเรียบหรูในดีไซน์โทนสีดำ มาพร้อมแผงคอนโซลขนาดใหญ่ตกแต่งด้วยวัสดุลายไม้สีดำและสีดำ Piano Black ตอกย้ำความพิเศษด้วยเบาะหนังปักโลโก้ BLACK EDITION มาพร้อมเบาะโดยสารแบบ 2 แถว 5 ที่นั่ง ครบครันด้วยฟังก์ชันระดับพรีเมียม อาทิ อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย(Wireless Charger) ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การใช้งาน ขับเคลื่อนอย่างทรงพลังด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 2.4 ลิตร DOHC i-VTEC พร้อมเกียร์อัตโนมัติ CVT ด้วยระบบขับเคลื่อนสองล้อ (2WD) โดยรุ่น 2.4 BLACK EDITION ราคา 1,467,000 บาท รวมค่าสีภายนอก สีดำคริสตัล (มุก) มาพร้อมข้อเสนอพิเศษ ดอกเบี้ย 1.99% หรือข้อเสนอ Double Smile ดาวน์ 0 บาทหรือผ่อนเริ่มต้นเพียงเดือนละ 20,000 บาท พร้อมให้สัมผัสได้ที่โชว์รูมฮอนด้า ดีไซน์ภายนอกสปอร์ตเข้มเหนือระดับ สะกดทุกสายตาในสไตล์สีดำแบบเอกซ์คลูซีฟรอบคัน -ครั้งแรกกับราวหลังคาสีดำแบบสปอร์ต (Roof Rail) ที่ติดตั้งมากับตัวรถ –เผยมุมมองใหม่ด้วยหลังคาซันรูฟไฟฟ้าแบบพาโนรามา (Panoramic Sunroof) พร้อมระบบเปิดปิดแบบ One-Touch -เสริมความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นด้วยกระจังหน้าโครเมียมรมดำ กันชนหน้าสีดำแบบสปอร์ตพร้อมคิ้วตกแต่งโครเมียมรมดำและกันชนหลังสีดำแบบสปอร์ต –ไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบสปอร์ต มาพร้อมไฟหน้าแบบ Full LED และไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบLED ไฟเลี้ยวด้านหน้าแบบ LED Sequential และไฟท้ายแบบ Full LED –คิ้วตกแต่งประตูข้างแบบโครเมียมรมดำ –กระจกมองข้างสีดำแบบสปอร์ต –เติมความสปอร์ตเข้มเต็มสไตล์ ด้วยล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว สีดำแบบสปอร์ต –ตอกย้ำความเอกซ์คลูซีฟด้วยสัญลักษณ์ BLACK EDITION ที่ด้านท้าย –สีภายนอก สีดำคริสตัล (มุก) ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง เติมเต็มอารมณ์ความสปอร์ตเข้มด้วยดีไซน์โทนสีดำ ครบครันด้วยฟังก์ชันระดับพรีเมียม -ดีไซน์ภายในห้องโดยสารเรียบหรู มาพร้อมแผงคอนโซลขนาดใหญ่ที่ตกแต่งด้วยวัสดุลายไม้สีดำและ
สีดำ Piano Black -เสริมเอกลักษณ์ความพิเศษของเบาะโดยสารคู่หน้าด้วยเบาะหนังพร้อมสัญลักษณ์พิเศษ BLACK EDITION มาพร้อมเบาะโดยสารแบบ 2 แถว 5 ที่นั่ง มอบพื้นที่เก็บสัมภาระท้ายที่กว้างขวาง –อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย (Wireless Charger) มอบความสะดวกสบายในการใช้งาน –พร้อมตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์การใช้งาน ด้วยฝากระโปรงท้ายเปิด-ปิดอัตโนมัติด้วยระบบไฟฟ้า
พร้อมระบบแฮนด์ฟรี(Hands-free Power Tailgate) –เชื่อมต่ออย่างสะดวกสบายในทุกการเดินทาง ด้วยระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และระบบสั่งการด้วยเสียง Siri นอกจากนี้ ยังครบครันด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยอันล้ำสมัย อาทิ ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch) ระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake) และระบบ Auto Brake Hold ระบบช่วยเตือนความเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (Driver Attention Monitor) ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock) อีกทั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายระดับพรีเมียม อาทิ ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบปรับอุณหภูมิแยกอิสระซ้าย-ขวา กระจกมองข้างแบบพับเก็บอัตโนมัติ (ควบคุมด้วยรีโมท) (Auto Foldable Side Door Mirror) กระจกมองหลังปรับลดแสงอัตโนมัติ (Auto Dimming…

 
Read More

ฮอนด้า แอคคอร์ด ตัวเริ่มต้นราคาแค่ 1,499,000 บาท เองน่ะ

ฮอนด้า แอคคอร์ด มาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ Honda SENSING เป็นมาตรฐานความปลอดภัยในทุกรุ่นย่อย สมรรถนะการขับขี่ที่ตอบโจทย์ทุกการใช้งานด้วย 2 ขุมพลังการขับเคลื่อนทั้ง VTEC TURBO และฟูลไฮบริด Sport Hybrid i-MMD ซึ่งมาพร้อมชื่อใหม่ e:HEV ทั้งยัง เพิ่มฟังก์ชันการใช้งานระดับพรีเมียม ครบครันด้วยเทคโนโลยีเพื่อความสะดวกสบายในรุ่น EL อาทิ ไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED  อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย  กระจกมองหลังปรับลดแสงอัตโนมัติ  ม่านบังแดดกระจกข้างด้านหลัง  ช่องเชื่อมต่อ USB ด้านหลัง 2 ตำแหน่ง  และ เทคโนโลยีที่เชื่อมต่อเพื่อการสื่อสารระหว่างผู้ขับขี่และรถยนต์ Honda CONNECT บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เสริมความคุ้มค่าให้ ฮอนด้า แอคคอร์ด ตอกย้ำเส้นทางแห่งผู้นำด้านยนตรกรรมที่เปี่ยมด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัย ทั้งด้านการขับเคลื่อน ขุมพลังเทอร์โบและฟูลไฮบริด และด้านความปลอดภัย มอบความมั่นใจในทุกการเดินทางด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) ซึ่งได้ติดตั้งเป็นมาตรฐานในทุกรุ่นย่อย อีกทั้งเพิ่มฟังก์ชันการใช้งานระดับพรีเมียมและเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกสบายที่ครบครัน ครอบคลุมทุกรุ่นย่อย อาทิ ไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย กระจกมองหลังปรับลดแสงอัตโนมัติ ม่านบังแดดกระจกข้างด้านหลัง ช่องเชื่อมต่อ USB ด้านหลัง 2 ตำแหน่ง และเทคโนโลยีที่เชื่อมต่อเพื่อการสื่อสารระหว่างผู้ขับขี่และรถยนต์ Honda CONNECT พร้อมตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย เติมเต็มความต้องการของลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์แบบในราคาที่คุ้มค่า เริ่มต้นที่ 1,499,000 บาท ใน แอคคอร์ด รุ่น EL อนึ่ง ฮอนด้า แนะนำ แอคคอร์ด e:HEV ที่มาพร้อมเอกลักษณ์ของยนตรกรรมไฮบริดด้วยโลโก้ H Mark ตกแต่งกรอบสีฟ้า และสัญลักษณ์ e:HEV มอบอากาศบริสุทธิ์ด้วยเทคโนโลยีระบบฟอกอากาศในห้องโดยสาร พลาสม่าคลัสเตอร์ (Plasmacluster Technology) โดยราคาจำหน่ายรุ่น e:HEV EL+ 1,639,000 บาท และรุ่น e:HEV TECH 1,799,000 บาท หมดกังวลด้านการบำรุงรักษา การันตีความมั่นใจในการใช้งานด้วยการรับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ไฮบริดถึง 10 ปี และรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง* ฟรีค่าแรงในการเช็กระยะเป็นเวลา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร* (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) พร้อมด้วยโปรแกรมการให้บริการพิเศษด้านคุณภาพรถยนต์ฮอนด้า อัลติเมท แคร์* (Honda Ultimate Care) และบริการช่วยเหลือฉุกเฉินนอกสถานที่ 24ชั่วโมง (Honda 24hr Roadside Assistance) ฮอนด้า แอคคอร์ด ทุกรุ่นย่อย มาพร้อมมาตรฐานความปลอดภัยอันล้ำสมัยกับเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้าเซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) ซึ่งเป็นการผสานการทำงานของเรดาร์และกล้องด้านหน้า ในการตรวจจับสภาวะแวดล้อมบนท้องถนนและช่วยแจ้งเตือนผู้ขับขี่รวมทั้งควบคุมรถ มอบความมั่นใจในทุกการเดินทาง ได้แก่ -ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS) -ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ(Adaptive Cruise Control with Low-Speed Follow: ACC with LSF) -ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning: RDM with LDW) -ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS) -ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB) เสริมด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยระดับพรีเมียมในรุ่น e:HEV TECH อาทิ ระบบเตือนเมื่อมีรถเคลื่อนผ่านขณะถอย (Cross…

 
Read More

นิสสัน อัลเมร่า แนะของขวัญสุดเซอร์ไพรส์

สำหรับของติดรถคันเก่งของคุณแม่ปีนี้ ไอเดียของขวัญวันแม่สำหรับรถคันโปรด ที่ช่วยดูแลรถของคุณแม่เหมือนเพื่อนที่ดีที่สุด ด้วยของขวัญที่จะช่วยให้คุณแม่ใช้งานรถคันเก่งได้อย่างเพลิดเพลินและสะดวกสบาย นิสสันขอแนะนำ 4 ของขวัญเซอร์ไพรส์เพื่อส่งความสุขและความห่วงใยในช่วงเทศกาลวันแม่ปีนี้ สำหรับผู้หญิงที่เป็นสุดที่รักของทุกคนในครอบครัว 1.อุปกรณ์ค้นหากุญแจรถ (Car Key Finder) หลายๆ ครั้งกว่าจะออกจากบ้านเดินทางไปยังที่ต่างๆ เรากลับต้องเสียเวลา ในการค้นหากุญแจรถ อุปกรณ์สำคัญที่ขาดไม่ได้ เพื่อให้รถยนต์คันเก่งของคุณทำงาน มอบความสะดวกสบายให้คุณแม่ ด้วยอุปกรณ์ค้นหากุญแจรถช่วยให้เปิดค้นหากุญแจรถได้รวดเร็ว ไม่ต้องเทกระเป๋าเพื่อค้นหากุญแจรถอีกต่อไป หรือหากลืม หรือทำกุญแจหล่นหาย ยังมีเสียงเตือน ที่ช่วยคุณแม่ค้นหากุญแจจากระยะไกลได้อีกด้วย 2.เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ (Smart Car Air Purifier) ใครก็อยากมีสุขภาพที่แข็งแรง รวมถึงอยากให้คนที่เรารักมีสุขภาพดี และอยู่กับเราไปได้นานๆ การดูแลรักษาความสะอาด และฟอกอากาศในรถ เป็นอีกวิธีที่จะช่วยดูแลรักษาสุขภาพของคุณแม่ ไม่ให้ต้องเสี่ยงเป็นหวัดจากไรฝุ่น หลีกเลี่ยงการป่วยเล็กๆ น้อยๆ ให้ร่างกายแข็งแรงพร้อมสู้ไวรัสเสมอไม่ว่าจะไปไหนก็มีอากาศสะอาด สดชื่นทุกการเดินทาง 3.แก้วน้ำเก็บความร้อน-เย็น (Tumbler) น้ำดื่มเป็นอีกปัจจัยที่สำคัญต่อร่างกาย เพื่อให้คุณแม่มีน้ำดื่มที่สะอาดและสามารถคงอุณหภูมิไว้ได้นาน ช่วยอำนวยความสะดวกให้คุณแม่มีน้ำดื่มที่อร่อยสดชื่นถูกใจพกไปด้วยทุกที่ แก้วเก็บความร้อนและเย็นจึงเป็นอีกหนึ่งสิ่ง ที่สามารถแสดงออกถึงความรักและความใส่ใจได้อย่างดี 4.ผ้าห่มหรือหมอนใบเล็กๆ ในโอกาสพิเศษหรือวันว่างๆ อยากใช้เวลาดูแลคุณแม่ อาสาเป็นคนขับรถพาไปเที่ยวหรือช้อปปิ้งซื้อของเข้าบ้าน ให้คุณแม่นั่งบ้าง วางผ้าห่ม หรือหมอนนุ่มๆ ติดรถไว้ ให้คุณแม่หลับพักผ่อนระหว่างเดินทางบนเบาะที่นั่งสบายและภายในห้องโดยสารที่กว้าง พร้อมอากาศที่เย็นช่ำจากเครื่องปรับอากาศของนิสสัน อัลเมร่า ให้คุณแม่อารมณ์ดี อุ่นกายสบายใจ เพราะมีลูกรักคอยดูแลทุกรายละเอียด นิสสัน อัลเมร่า ให้ความสะดวกสบายตอบโจทย์ในการใช้งานด้วยหน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่ แบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว พร้อมช่องเชื่อมต่อ Bluetooth, USB  และ AUX IN สำหรับอุปกรณ์ต่อพ่วง รวมถึงลำโพงคุณภาพดี 6 จุด และระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์สมาร์ทโฟนอย่าง Apple CarPlay อีกทั้งระบบความปลอดภัยมากมาย ช่วยให้คุณดูแลใส่ใจคนที่รักในทุกการเดินทาง โดยล่าสุดยังได้เปิดตัวรุ่นตกแต่งพิเศษ “อัลเมร่า สปอร์ตเทค” ที่เพิ่มความสปอร์ตและพรีเมียม ทั้งภายนอกและภายใน ซึ่งลูกค้าที่สนใจ สอบถามเพิ่มเติมที่โชว์รูมนิสสันทั่วประเทศ หรือติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Nissan Call Center หมายเลข 02 401 9600   

 
Read More

New Scoopy Snoopy Limited Edition

รถจักรยานยนต์ฮอนด้า ส่งมอบความสนุกครั้งใหม่ให้วัยรุ่น ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดรถแฟชั่น เอ.ที. ของเมืองไทย ด้วยการเปิดตัวรถลิมิเต็ดรุ่นพิเศษ New Scoopy Snoopy Limited Edition ที่เกิดจากการครอสแบรนด์กันระหว่าง Scoopy และ Snoopy ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 4,000 คัน เท่านั้น! New Honda Scoopy Snoopy Limited Edition ได้รับการออกแบบภายใต้คอนเซปต์ “สนู๊ป…หลุดกรอบ” ครั้งแรกของโลกกับการผสาน 2 ไอคอนแห่งความสนุกเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว นั่นคือ Scoopy ไอคอนรถจักรยานยนต์ที่โดนใจวัยรุ่นไทย และ Snoopy ไอดอลแห่งความกวนจากการ์ตูน 4 ช่องของหนังสือพิมพ์อเมริกัน ตัวรถถ่ายทอดคาแรกเตอร์ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Snoopy และ Charlie Brown อย่างเด่นชัด เท่ทุกมุมมอง ด้วยลวดลายที่ไม่เหมือนใคร ด้านหนึ่งเป็นการ์ตูน Snoopy ที่มาในชุดนักบินมาดเท่ และอีกด้านหนึ่งเป็นเพื่อนซี้คู่ใจอย่าง Charlie Brown เสริมความเท่ด้วยการเล่นแถบสีเหลือง แดง น้ำเงิน บนพื้นสีขาวของตัวรถ พร้อมกับบ่งบอกความเป็นลิมิเต็ดด้วยแบดจ์ Scoopy x Snoopy ทั้งนี้ ยังผสานความสนุกและความกวน Scoopy ไอคอนรถจักรยานยนต์ที่เต็มไปด้วยความสนุก และ Snoopy ไอคอนการ์ตูนที่เป็นสัญลักษณ์ของความกวน หลุดกรอบจากการ์ตูน 4 ช่องของหนังสือพิมพ์อเมริกัน ส่งมอบความมันส์ นอกจากลวดลายที่โดดเด่นแล้ว New Honda Scoopy Snoopy Limited Edition ยังทันสมัยด้วยไฟหน้าLED ช่องชาร์จไฟสำรอง USB Socket กุญแจรีโมทอัจฉริยะ Honda SMART Key และกล่องเก็บของ U Box ที่มีความจุถึง 15.4 ลิตร New…

 
Read More

เดอะ ซิตี้ แฮทช์แบ็ก อี:เอชอีวี

บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ตอกย้ำตำแหน่งผู้บุกเบิกและผู้นำเซกเมนต์ซิตี้คาร์ในประเทศไทยเปิดตัว ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก อี:เอชอีวี ใหม่ ครั้งแรกในโลก ยนตรกรรมซิตี้คาร์แฮทช์แบ็กฟูลไฮบริด ที่จะมาเสริมความแข็งแกร่งของไลน์อัปไฮบริดของฮอนด้าไปอีกขั้น และเติมเต็มความสมบูรณ์แบบของ “เดอะ ซิตี้ ซีรีส์” (The City Series)มาพร้อมจุดเด่นเทคโนโลยี Full Hybrid อันทรงพลัง กับระบบขับเคลื่อน Sport Hybrid i-MMD มั่นใจในทุกการขับขี่ด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ “ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง” (Honda SENSING) พร้อมด้วยเอกลักษณ์ความอเนกประสงค์กับเบาะนั่ง อัลตราซีท (ULTR) ครบครันด้วยเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยและฟังก์ชันการใช้งานระดับพรีเมียม แฮทช์แบ็ก อี:เอชอีวี ดีไซน์สปอร์ตทั้งภายนอกและภายใน ด้วยดีไซน์สไตล์ RS รอบคัน เสริมเอกลักษณ์ยนตรกรรมไฮบริดด้วยโลโก้ H Mark ตกแต่งกรอบสีฟ้า และโลโก้ e:HEV พร้อมแนะนำสีใหม่สุดเอกซ์คลูซีฟกับสีน้ำเงินบริลเลียนท์ สปอร์ตตี้ (เมทัลลิก) เสริมความมั่นใจในการใช้งานด้วยการรับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ไฮบริดถึง 10 ปีและรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง* อีกทั้งฟรีค่าแรงในการเช็กระยะเป็นเวลา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร* (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) คุ้มค่าเกินคลาส ด้วยราคาจำหน่ายรุ่น e:HEV RS 849,000 บาท มร.โนริยุกิ ทาคาคุระ ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ บริษัทฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า“เมื่อปลายปี 2563 ฮอนด้า ได้เปิดตัว ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก ใหม่ และได้รับการตอบรับที่ดีเยี่ยมจากลูกค้า โดยมีจุดเด่นคือการผสานการขับขี่ที่สนุกสนานและความอเนกประสงค์อันเป็นเอกลักษณ์ของรถสไตล์แฮทช์แบ็กไว้ได้อย่างลงตัว มาในครั้งนี้ได้นำเทคโนโลยีด้านการขับเคลื่อนอันทรงพลังและล้ำสมัย กับระบบฟูลไฮบริด และเทคโนโลยีความปลอดภัยระดับพรีเมียม ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง ผนวกกับเอกลักษณ์ความเป็นยนตรกรรมสไตล์แฮทช์แบ็ก ด้วยการแนะนำ ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก อี:เอชอีวี ใหม่ จึงนับได้ว่าเป็นซิตี้คาร์ที่สมบูรณ์แบบและพร้อมมอบพลังใหม่ให้ลูกค้าได้สัมผัสกับเทคโนโลยีการขับเคลื่อนและความปลอดภัยอันล้ำสมัย ซึ่งพร้อมตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ด้วยราคาที่เข้าถึงได้” ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก อี:เอชอีวี ใหม่ ยนตรกรรมฟูลไฮบริดแฮทช์แบ็กของเซกเมนต์ซิตี้คาร์ ที่พร้อมมูฟไปกับพลังเทคโนโลยีการขับเคลื่อนอันล้ำสมัย กับระบบขับเคลื่อน Sport Hybrid Intelligent Multi-Mode Drive (i-MMD) ระบบFull Hybrid ที่ผสานการทำงานอันทรงพลังของมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ได้แก่ มอเตอร์ที่ทำหน้าที่สร้างกระแสไฟฟ้า และมอเตอร์ที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนล้อ กับเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร Atkinson Cycle DOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) และแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน มอบสมรรถนะการขับขี่ที่สนุก แรงเกินคลาส โดยระบบสามารถปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่ได้อย่างชาญฉลาดเพื่อตอบรับกับทุกการใช้งาน ตอบสนองทันใจด้วยแรงบิดสูงสุด 253 นิวตัน-เมตร ที่ 0 – 3,000 รอบต่อนาที ให้อัตราการประหยัดน้ำมันดีเยี่ยมถึง 27 กิโลเมตร/ลิตร และมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 86 กรัม/กิโลเมตร และสามารถรองรับน้ำมัน E20 อย่างไรก็ตาม แฮทช์แบ็ก อี:เอชอีวี มูฟได้อย่างมั่นใจด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) ได้แก่ 1.ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS) 2.ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (Adaptive Cruise Control: ACC) 3.ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning: RDM with LDW) 4.ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS) 5.ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB) อนึ่ง ครบครันด้วยเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยระดับพรีเมียม อาทิ ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch) ระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake) และ ระบบ Auto Brake…

 
Read More
Visit Us On FacebookVisit Us On TwitterVisit Us On YoutubeCheck Our Feed