BMW R 18 Transcontinental และ R 18 B ใหม่

บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ประเทศไทย เผยโฉมมอเตอร์ไซค์ครูสเซอร์รุ่นใหม่ล่าสุดที่พร้อมออกโลดแล่นบนท้องถนน กับการเปิดตัวบีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental และบีเอ็มดับเบิลยู R 18 B “Bagger” ที่ผสมผสานความหรูหราความมีสไตล์ และสมรรถนะเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว โดยมอเตอร์ไซค์ทั้งสองรุ่นมาพร้อมกับพลังเต็มเปี่ยมจากเครื่องยนต์”บิ๊กบ็อกเซอร์” ที่ใจกลางแชสซีสุดคลาสสิก ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากประวัติศาสตร์อันยาวนานของบีเอ็มดับเบิลยูมอเตอร์ราด มอเตอร์ไซค์ BMW R 18 Transcontinental ได้รับการออกแบบและวางโครงสร้างทางวิศวกรรมเพื่อรองรับการขับขี่ทางไกล เพียบพร้อมด้วยความสบาย ปราดเปรียว และลุคที่โดดเด่นที่จะยกระดับทุกการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางเพียงลำพัง หรือพร้อมผู้โดยสารซ้อนท้ายและกระเป๋าสัมภาระก็ตาม ส่วนบีเอ็มดับเบิลยู R 18 B ได้รับการออกแบบให้เป็นมอเตอร์ไซค์สำหรับผู้รักการขับขี่ มอบประสบการณ์ความพึงพอใจที่เหนือกว่าสำหรับแฟนมอเตอร์ไซค์พันธุ์แท้ เติมเต็มที่สุดแห่งการขับขี่บนท้องถนน มร.มิเกล ญาเบรส-โปห์ล ผู้อำนวยการ บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และผู้นำเข้าประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า “บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental และบีเอ็มดับเบิลยู R 18 B นับว่าเป็นดาวดวงใหม่ในในครอบครัวมอเตอร์ไซค์ทัวริ่งของเรา ด้วยการดีไซน์ที่สมบูรณ์แบบสำหรับการขับขี่อย่างเพลิดเพลินทั้งทางใกล้และทางไกล บีเอ็มดับเบิลยู R 18 ทั้งสองรุ่นใหม่นี้ จึงสะท้อนจิตวิญญาณเสรีของบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ได้เป็นอย่างดี ด้านการออกแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากระบบสรีรศาสตร์ ช่วยให้มอเตอร์ไซค์ทั้งสองรุ่นเหมาะแก่การขับขี่แบบครูสซิ่งและทัวริ่งอย่างสะดวกสบายได้ในทุกสภาพอากาศ  และเช่นเดียวกับมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู R 18 รุ่นก่อนหน้านี้ บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental และบีเอ็มดับเบิลยู R 18 B ยังคงมาพร้อมกับสมรรถนะที่โดดเด่น ด้วยขุมกำลังเครื่องยนต์บ็อกเซอร์ของบีเอ็มดับเบิลยูขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาส่งพลังสู่สองล้อ และด้วยทรวดทรงของตัวรถที่มาในมาดเข้มดุดัน ผมจึงมั่นใจว่ามอเตอร์ไซค์ทั้งสองรุ่นนี้จะสามารถสะกดทุกสายตาบนท้องถนนทั้งการขับขี่ในตัวเมืองและต่างจังหวัดได้อย่างแน่นอน”  บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental “First Edition” ใหม่: 
ราคาจำหน่าย 1,640,000 บาท บีเอ็มดับเบิลยู R 18 B “First Edition” ใหม่: ราคาจำหน่าย 1,500,000 บาท มอเตอร์ไซค์ BMW R 18 Transcontinental ใหม่ โดดเด่นด้วยความเป็นมอเตอร์ไซค์ทัวริ่งหรูหรา ขณะที่บีเอ็มดับเบิลยู R 18 B ใหม่ มาพร้อมความเป็นมอเตอร์ไซค์สไตล์แบกเกอร์เต็มตัวด้วยรูปลักษณ์ที่ดูทั้งเรียบง่ายและปราดเปรียว พร้อมด้วยกระเป๋าสัมภาระข้างรถที่เข้ากันได้เป็นอย่างดีกับฝาครอบไฟหน้ารถ และสำหรับรุ่น R 18Transcontinental จะมีกล่องสัมภาระท้ายรถ (top case) อีกด้วย  ส่วนประกอบเพื่อการใช้งานและดีไซน์ต่างๆ อาทิเช่นโครงสร้างเหล็กกล้าสองชั้น ถังน้ำมันทรงหยดน้ำขนาด 24 ลิตร เพลาแบบเปิดเปลือย พร้อมลูกเล่นการทำสีแบบลายเส้นคู่ล้วนสะท้อนถึงเอกลักษณ์เฉพาะตัวของมอเตอร์ไซค์แบบทัวริ่งและครูสเซอร์ยอดนิยม และด้วยระบบสวิงอาร์มคู่ขนาบข้างและคานรับน้ำหนักแบบยื่น โครงสร้างตัวรถอันแข็งแกร่งจากมอเตอร์ไซค์ระดับตำนานอย่างบีเอ็มดับเบิลยู R 5 จึงถูกถ่ายทอดสู่ยุคปัจจุบันได้อย่างดีเยี่ยม หัวใจหลักของมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental และ R 18 B ใหม่ คือเครื่องยนต์บ็อกเซอร์ 2 สูบที่เรียกว่า “บิ๊กบ็อกเซอร์” ซึ่งนับเป็นเครื่องยนต์แบบ 2 สูบวางเรียงที่มีสมรรถนะสูงสุดในรถมอเตอร์ไซค์ที่ผลิตออกจำหน่ายในตลาดทั่วไป ด้วยความจุ 1,802 ซีซี ส่งพละกำลังสูงสุด 67 กิโลวัตต์ (91 แรงม้า) ที่ 4,750 รอบต่อนาที ส่งแรงบิดมากกว่า150 นิวตันเมตรตลอดในช่วง 2,000 ถึง 4,000 รอบต่อนาที พร้อมพลังขับเคลื่อนและเสียงเครื่องยนต์กระหึ่มเร้าใจ ด้านแชสซีของบีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental และ R 18 B ใหม่ เป็นโครงสร้างเหล็กกล้าสองชั้น พร้อมแกนหลักชิ้นส่วนขึ้นรูปจากแผ่นเหล็ก ทั้งยังโดดเด่นด้วยมาตรฐานการผลิตคุณภาพสูงและความประณีตในรายละเอียดต่างๆเช่น การเชื่อมข้อต่อระหว่างโครงสร้างเหล็กและการขึ้นรูปชิ้นส่วนเหล็กหล่อต่างๆ  นอกจากนี้ สวิงอาร์มหลังยังยึดต่อกับเพลาหลังด้วยข้อต่อสลักเกลียวแบบดั้งเดิม ระบบช่วงล่างของบีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental และ R 18 B ใหม่ ใช้ช่วงล่างแบบเทเลสโคปิก และระบบสวิงอาร์มที่ติดตั้งโดยตรงบนคานรับน้ำหนักแบบยื่นที่สามารถปรับตั้งค่าความหนืดและการยุบตัวของสปริงได้ เพื่อให้ควบคุมล้อที่หล่อด้วยวัสดุอัลลอยน้ำหนักเบาชั้นเลิศได้อย่างแม่นยำ พร้อมมอบการขับขี่ที่นุ่มสบาย คานรับน้ำหนักด้านหลังสามารถปรับตั้งค่าความหนืดได้และมีระบบชดเชยโหลดอัตโนมัติเพื่อตอบสนองการขับขี่ที่เหนือระดับ  และเช่นเดียวกับรถรุ่นตำนานอย่างบีเอ็มดับเบิลยู R 5 แกนโช้คหน้าแบบเทเลสโคปิกของ R 18 ทั้งสองรุ่นก็มาพร้อมกับปลอกหุ้มโช้คนอกจากนี้ ทั้งสองรุ่นยังมาพร้อมกับระบบดิสก์เบรกคู่ที่ล้อหน้า และดิสก์เบรกเดี่ยวที่ล้อหลัง ทำงานร่วมกับคาลิเปอร์เบรกแบบตายตัว 4 ลูกสูบ และระบบเบรกเอบีเอสของบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental และ R 18 B ติดตั้งอุปกรณ์มาตรฐานอย่างครบครัน เช่น ระบบควบคุมการขับขี่แบบอิเล็กทรอนิกส์ DCC (Dynamic Cruise Control) และระบบควบคุมการขับขี่แบบ Active Cruise Control (ACC) ทั้งนี้ ระบบ DCC จะเป็นการควบคุมระดับความเร็วในการขับขี่อัตโนมัติที่ผู้ขับขี่สามารถตั้งค่าได้ด้วยตัวเอง ส่วนระบบACC จะช่วยให้สามารถขับขี่ได้อย่างสะดวกสบายด้วยระบบควบคุมระยะห่างจากคันหน้า โดยระบบตรวจจับด้วยเรดาร์ที่ติดตั้งบนฝาครอบไฟหน้ารถจะช่วยกำหนดให้มอเตอร์ไซค์เร่งความเร็วเพื่อปรับระดับความเร็วได้โดยอัตโนมัติ หรือเปิดใช้งานระบบเบรกมาตรฐานใหม่เพื่อลดความเร็ว  นอกจากนี้ ระบบ ACC ยังช่วยเสริมความปลอดภัยในการเข้าโค้ง และในยามจำเป็น ระบบควบคุมการเข้าโค้งจะชะลอความเร็ว เพื่อให้ผู้ขับขี่ใช้ความเร็วที่เหมาะสมกับมุมเอียงของถนนเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่และเข้าโค้งได้อย่างมั่นใจ มอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental ติดตั้งเบาะที่นั่งที่นุ่มสบายพร้อมระบบอุ่นเบาะที่นั่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เพื่อความสบายในการขับขี่ทางไกลแม้มีคนนั่งซ้อนท้าย  ส่วนเบาะที่นั่งในรุ่น R 18 B เป็นเบาะที่นั่งสำหรับสองคนที่มีขนาดเล็กลง บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental ใหม่ มาพร้อมบันไดข้างเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ส่วนรุ่น R 18 B ใหม่ มากับที่พักเท้าที่กว้างขึ้นและสะดวกสบายยิ่งขึ้นกว่า R 18 รุ่นก่อนหน้า ส่วนขับขี่ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษทั้งสองรุ่น มาพร้อมกับมาตรวัดแบบอนาล็อก หน้าปัดทรงกลม 4 ช่อง และจอสีแสดงผลแบบ TFT ขนาด 10.25 นิ้ว พิมพ์ตัวอักษร “BERLIN BUILT” เสริมความคลาสสิกให้บีเอ็มดับเบิลยู R 18Transcontinental และ R 18 B ใหม่ จอสีแสดงผลแบบ TFT ยังสามารถอ่านได้ง่าย และสามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่าน BMW Connected App เสริมความสะดวกในการใช้งานและแสดงข้อมูลการขับขี่อย่างเต็มที่ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแต่ละราย มอเตอร์ไซค์ทั้งสองรุ่นยังมาพร้อมกับโหมดการขับขี่มาตรฐาน 3 โหมด ได้แก่ “Rain”, “Roll” และ “Rock”  อุปกรณ์มาตรฐานอื่นๆ ได้แก่ ระบบไฟหน้าปรับตามทิศทางการขับขี่ ระบบควบคุมการทรงตัวแบบอัตโนมัติ (ASC) และระบบป้องกันการลื่นไถลของล้อหลัง (MSR) เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ส่วนระบบเกียร์ถอยหลังจะช่วยให้การกลับรถเป็นเรื่องง่าย ทั้งยังมีระบบช่วยออกตัวในทางลาดชัน (Hill Start Control) ที่จะช่วยให้การออกตัวขึ้นเขาเป็นไปได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้มอเตอร์ไซค์ทั้งสองรุ่นยังมาพร้อมกับระบบป้องกันการโจรกรรมและระบบเซ็นทรัลล็อคมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental และ R 18 B ใหม่ มาพร้อมกับประสบการณ์เครื่องเสียงคุณภาพ โดยพัฒนาร่วมกับผู้ผลิตเครื่องเสียงสัญชาติอังกฤษอย่าง Marshall และลำโพงแบบ two-way (แยกซับวูฟเฟอร์) ที่ติดตั้งบนหน้าปัดของฝาครอบไฟหน้ารถ พร้อมด้วยหน้ากากลำโพงสีดำที่แต่งด้วยตัวอักษร Marshall สีขาว เสริมลุคคลาสสิกให้กับมอเตอร์ไซค์  โดยบีเอ็มดับเบิลยู R 18 B มาพร้อมกับระบบเครื่องเสียง Marshall Gold Series Stage 1 ซึ่งประกอบด้วยลำโพง 2 ตัว และซับวูฟเฟอร์ 2 ตัว ในขณะที่บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental ติดตั้งระบบเครื่องเสียง Marshall Gold Series Stage 2 มาพร้อมลำโพง 4 ตัว และซับวูฟเฟอร์ 2 ตัว ด้วยกำลัง 280 วัตต์ ในการเปิดตัวครั้งนี้ มอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental และ R 18 B ใหม่จะวางจำหน่ายแบบเอ็กซ์คลูซีฟ ในรุ่น “First Edition” ที่ผสมผสานลุคมาตรฐานของบีเอ็มดับเบิลยู R 18 เข้ากับเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วยการเลือกใช้สีดำคลาสสิกตัดกับลายเส้นคู่สีขาว โดดเด่นด้วยพื้นผิวที่ออกแบบเป็นพิเศษ (สีโครเมียม) เบาะที่นั่งปักลวดลายด้วยวัสดุคุณภาพสูง พร้อมอักษร “First Edition” นอกจากนี้ ลูกค้าที่ซื้อมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental “First Edition” หรือ บีเอ็มดับเบิลยู R 18 B “First Edition” ยังจะได้รับ Welcome Box สุดพิเศษ ที่มาพร้อมกับไอเท็มสุดเอ็กซ์คลูซีฟ เพื่อต้อนรับการมาถึงของมอเตอร์ไซค์ทั้งสองรุ่นสู่ประเทศไทยอีกด้วย สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental และ R 18 B ใหม่ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.bmw-motorrad.co.th หรือติดต่อผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการของบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ทั่วประเทศ     

 
Read More

HONDA เปิดตัว New PCX160 ลุคใหม่

รถจักรยานยนต์ฮอนด้า เปิดตัว New PCX160 ยกระดับความเท่ เติมเต็มความสปอร์ตด้วยสีสันใหม่ล่าสุดที่มีเอกลักษณ์ ตอกย้ำความเป็น Iconic ที่ผู้ครอบครองภาคภูมิใจ สะท้อนความเป็นที่สุดในกลุ่มพรีเมียม เอ.ที. ด้วยการผสานดีไซน์ที่ล้ำสมัย สมรรถนะการขับขี่จากเครื่องยนต์ที่แรงที่สุด และเทคโนโลยีเหนือระดับเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างสมบูรณ์แบบ New PCX160 มาพร้อมคอนเซปต์ “THE NEXT CHAPTER OF THE PRIDE สะท้อนอีกขั้นของความภูมิใจ” ถ่ายทอดภาพลักษณ์ความเป็นรถระดับ Iconic อย่างชัดเจน เริ่มจากรุ่น ABS ที่เพิ่มความสปอร์ตด้วยสีใหม่ล่าสุด Matte Red หรือสีแดงด้าน ที่ให้ความโดดเด่นแต่ไกลในทุกมุมมอง พร้อมโลโก้ PCX แบบโครเมี่ยมรมดำ (New Black Chromium Emblem) ที่ช่วยสะท้อนเอกลักษณ์ความเท่เรียบหรูแบบเต็มขั้น เสริมด้วยสีน้ำเงินใหม่ในรุ่น Standard ที่ให้ทั้งความพรีเมียมและสไตล์ที่ไม่เหมือนใคร New PCX160 ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังจากเครื่องยนต์ใหม่ล่าสุด eSP+ 4 วาล์ว ขนาด 157 ซีซี แรงขึ้น ลื่นขึ้น ขับขี่นุ่มนวล ให้สมรรถนะที่ดีที่สุดในคลาส ปลอดภัยขั้นสุดด้วยระบบ HSTC (Honda Selectable Torque Control) ป้องกันล้อหมุนฟรีและเสียอาการขณะขับขี่ มั่นใจด้วยดิสก์เบรกหน้า-หลัง พร้อมระบบเบรก ABS ที่ล้อหน้า ในรุ่น ABS ช่วยป้องกันล้อล็อกเมื่อเบรกอย่างกะทันหัน และเทคโนโลยี Combi Brake ในรุ่น Standard ที่ช่วยกระจายแรงเบรกระหว่างล้อหน้าและล้อหลังให้สมดุล New PCX160 มาพร้อมระบบไฟ Full LED รอบคัน แผงหน้าปัดแบบ Full Digital Speedometer แสดงสถานะต่าง ๆ ของตัวรถได้อย่างชัดเจนครบถ้วนทุกฟังก์ชัน…

 
Read More

MAZDA เปิดตัว CX-8 เพิ่มรุ่น Exclusive เบนซิน 6 ที่นั่ง

ตลาดรถอเนกประสงค์เริ่มคึกคักเมื่อมาสด้าเสริมทัพป่วนตลาดลุยเจาะฐานลูกค้ารถครอบครัวขนาดใหญ่ ทั้งกลุ่มเอสยูวีและปิกอัพดัดแปลง เปิดตัวแนะนำ NEW MAZDA CX-8 รถอเนกประสงค์เอสยูวีระดับพรีเมี่ยม แบบ 3 แถว 7 ที่นั่งและ 6 ที่นั่ง ที่ถูกพัฒนาขึ้นบนพื้นฐานของรถยนต์นั่งอย่างแท้จริง มาพร้อมแนวคิด “The Precious Moment for All”ทุกช่วงเวลา…มีคุณค่าไม่สิ้นสุด มอบความสะดวกสบายและตอบโจทย์ความต้องการของทุกคนในครอบครัว พร้อมเพิ่มทางเลือกใหม่ที่หลากหลายยิ่งขึ้นกับรุ่นเครื่องยนต์เบนซินแบบ 6 ที่นั่ง Exclusive เบาะนั่งแบบ Captain Seat ทุกรุ่นมาพร้อม หน้าจอ Center Display แบบทัชสกรีนใหม่ ขนาด 8 นิ้ว ประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า และเพิ่มเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยให้ครบยิ่งขึ้นกว่าเดิม พร้อมมอบโปรโมชั่นพิเศษช่วงเปิดตัว กับดอกเบี้ยต่ำสุด0%1 หรือ 1.99%2, ฟรีประกันภัยชั้น 1 Mazda Premium Insurance 1 ปี3 หรือ ฟรี Mazda Care 3 ปี4 กดราคาจำหน่ายเริ่มต้นลงเหลือ 1.4 ล้านบาท คุณชาญชัย ตระการอุดมสุข ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “การเปิดตัวรถอเนกประสงค์เอสยูวีสุดหรู  CX-8 ในครั้งนี้ เป็นรุ่นที่สองต่อจาก CX-5 ภายใต้กลยุทธ์ทางด้านผลิตภัณฑ์ของมาสด้าที่ต้องการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในช่วงปลายปี ภายหลังจากสถานการณ์โควิด-19 เริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาของปี 2564 ตลาดรถอเนกประสงค์ในกลุ่ม D-SUV แบบ 7 ที่นั่ง รวมกับรถกระบะดัดแปลง หรือรถประเภทPPV มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมียอดขายสะสมตั้งแต่เดือนมกราคม-กันยายน 2564 จำนวน 36,811 คัน เติบโตถึง28% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2563 ที่มีจำนวน 28,857 คัน แสดงให้เห็นว่าตลาดในกลุ่มนี้ยังคงได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในประเทศไทย และมีศักยภาพที่จะเติบโตต่อไปได้ในอนาคต แต่ตัวเลือกในตลาดยังคงมีอยู่อย่างจำกัด ดังนั้นการปรับกลยุทธ์ CX-8 ในครั้งนี้ จะเรียกความสนใจจากลูกค้าที่กำลังมองหารถอเนกประสงค์แบบครอบครัว ที่พัฒนาขึ้นจากโครงสร้างรถยนต์นั่ง และส่งมอบความสะดวกสบายให้กับผู้โดยสารทุกคนในครอบครัว การเปิดตัวในครั้งนี้ ได้รับการยกระดับให้โดดเด่นและครบครันยิ่งขึ้น พร้อมนำเสนอทางเลือกที่หลากหลายถึง 5 รุ่นย่อย ด้วยที่นั่งทั้งแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง และแบบ 3 แถว 6 ที่นั่ง ทั้งในรุ่นเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล เพื่อให้ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าที่กำลังมองหารถอเนกประสงค์เอสยูวี มีห้องโดยสารสะดวกสบาย ตอบโจทย์ทั้งการโดยสารและการขนสัมภาระ ให้ทัศนวิสัยในการขับขี่ที่ดี มีสมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยม และครบครันในเรื่องเทคโนโลยีความสะดวกสบายและความปลอดภัย มาสด้า CX-8 เป็นรถอเนกประสงค์เอสยูวีขนาดใหญ่ที่ถูกพัฒนาขึ้นจากโครงสร้างของรถยนต์นั่ง โดยไม่ได้มีโครงสร้างพื้นฐานมาจากรถกระบะเช่นเดียวกับ PPV จึงทำให้การขับขี่มีความนุ่มนวลมากกว่า หรือเทียบเท่ากับรถยนต์นั่ง แต่ยังคงมีความอเนกประสงค์ด้านการใช้งานตามที่ลูกค้ามองหา  ซึ่งเชื่อว่ารถรุ่นนี้จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และส่งมอบความสุขให้กับสมาชิกทุกคนในครอบครัวได้อย่างลงตัวในทุกการเดินทาง พร้อมเติมเต็มการใช้ชีวิตให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น” คุณธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารอาวุโส กล่าวว่า “มาสด้า CX-8 ยังคงความเป็นรถอเนกประสงค์เอสยูวีระดับพรีเมี่ยม แบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง และแบบ 3 แถว 6 ที่นั่ง หนึ่งเดียวในตลาดที่วางจำหน่ายในประเทศไทย โดยมาพร้อมแนวคิด “The Precious Moment for All” ทุกช่วงเวลา…มีคุณค่าไม่สิ้นสุด มีการกำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ชัดเจนคือ ลูกค้ากลุ่มนักบริหารระดับสูง เป็นคนที่ประสบความสำเร็จรอบด้าน เป็นผู้นำ และมีไลฟ์สไตล์ในการดำเนินชีวิตที่แตกต่าง เป็นรถที่จะมาเติมเต็มทุกช่วงเวลาอันมีค่าของทุกคนในครอบครัว สร้างแรงบันดาลใจให้ออกไปใช้ชีวิตได้อย่างไร้ขอบเขตและไม่มีที่สิ้นสุด” ด้วยความครบครันของเทคโนโลยีความสะดวกสบายและความปลอดภัย ที่มีเพิ่มเติมเข้ามาในทุกรุ่น ควบคู่กับทางเลือกรุ่นย่อยที่หลากหลายมากขึ้น แต่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ที่โดดเด่นตามแบบฉบับของมาสด้า เฉกเช่นเดียวกับรถอเนกประสงค์เอสยูวีรุ่นอื่นในตระกูล CX-Series ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพพรีเมี่ยมของห้องโดยสาร สมรรถนะในการขับขี่ที่เหนือกว่า ความอเนกประสงค์ของการใช้งาน และเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกสบายและระบบความปลอดภัยที่ครบครัน ที่ล้วนแล้วได้รับการออกแบบโดยคำถึงถึงการใช้งานของทุกคนในครอบครัวอย่างแท้จริง การปรับในครั้งนี้ เพื่อให้มาสด้า CX-8 มีความครบครันตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของลูกค้ามากยิ่งขึ้นจึงมาพร้อมทางเลือกใหม่ที่ลูกค้าเรียกร้อง โดยเพิ่มเติมมาในรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 2.5 SP Exclusive แบบ 6 ที่นั่ง โดยมาพร้อมที่นั่งแถวที่สองแบบ Captain Seat แยกอิสระซ้าย-ขวา สามารถปรับเอน และเลื่อนหน้า-หลังได้ พร้อมคอนโซลกลาง ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทุกช่วงเวลาอันมีค่าของครอบครัว มีพื้นที่ห้องโดยสารกว้างขวางนั่งสบาย มอบความสบายแบบพรีเมี่ยมที่แตกต่างอย่างเหนือชั้น นอกจากนี้ในทุกรุ่นย่อยยังได้รับการยกระดับความคุ้มค่า ด้วยการเสริมเทคโนโลยีด้านความสะดวกสบายและความปลอดภัยให้ครบครัน อาทิ หน้าจอสี Center Display แบบทัชสกรีน ขนาด 8 นิ้ว พร้อมปุ่มควบคุมอัจฉริยะ Center Commander ไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่เวลากลางวัน แบบ LED Signature ไฟท้ายแบบ LED Signature ระบบปรับองศาไฟหน้าตามการเลี้ยวของรถ AFS และเซ็นเซอร์กะระยะด้านหน้า 4 จุด และด้านหลัง 4 จุด เป็นต้น สำหรับห้องโดยสารแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง ยังคงมาพร้อมเอกลักษณ์ที่โดดเด่น ด้วยเบาะที่นั่งแถวสองแบบ 3 ที่นั่งกว้างขวาง สะดวกสบายในทุกอิริยาบถ และสามารถขึ้น-ลงรถได้สะดวก พร้อมตอบรับทุกรูปแบบของการใช้ชีวิต ด้วยความจุของห้องเก็บสัมภาระด้านหลังที่สามารถปรับเปลี่ยนพื้นที่เก็บสัมภาระ ให้เหมาะสมกับการใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ เมื่อพับเบาะแถวที่สองและสาม เพื่อส่งมอบประสบการณ์ดีๆ และความเพลิดเพลินของทุกคนในครอบครัวได้อย่างลงตัวไปตลอดการเดินทาง การออกแบบภายนอกและภายใน ยังคงพิถีพิถันในทุกรายละเอียดดุจงานศิลปะชิ้นเอก ภายใต้แนวคิด Kodo: Soul of Motion ถ่ายทอดความงามที่อยู่เหนือกาลเวลา  มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว หรูหรา ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Less is More” ที่เน้นความเรียบง่ายแต่งดงาม ห้องโดยสารตกแต่งด้วยโทนสีเข้ม ใช้วัสดุแบบ Real Wood และตกแต่งด้วยสีเงินซาตินโครม ผสานกับเบาะหนัง Nappa* สีแดง Deep Red รองรับการเชื่อมต่อกับแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟนผ่านระบบMazda Connect ที่มาพร้อม Apple CarPlay และ Android Auto โดยแสดงข้อมูลผ่านหน้าจอสี Center Display แบบทัชสกรีนใหม่ ขนาด 8 นิ้ว ควบคุมด้วยปุ่มควบคุมอัจฉริยะ Center Commander ที่หรูหราและสะดวกสบายต่อการใช้งานพร้อมเพิ่มความสุนทรีย์ภายในห้องโดยสารด้วยระบบเสียงคุณภาพ Bose® รอบทิศทาง พร้อมลำโพง 10 ตำแหน่ง มาพร้อมประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือกว่า ถูกพัฒนาขึ้นโดยคำนึงถึงประโยชน์ใช้สอยและการใช้งานของทุกคนในครอบครัวเป็นหลัก มอบความสะดวกสบายด้วยการจัดวางอุปกรณ์ต่างๆ ภายในรถให้อยู่ในตำแหน่งศูนย์กลาง ตามปรัชญามนุษย์เป็นศูนย์กลาง HMI (Human-Machine Interface) ช่วยให้ผู้ขับไม่ต้องละสายตาจากถนน มอบความเป็นหนึ่งเดียวระหว่างคนกับรถ พร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบสี บนกระจกหน้า (Windshield Active Driving Display) เพื่อตอบสนองการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ MAZDA CX-8 มีให้เลือก 2 เครื่องยนต์ ประกอบด้วย เครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซิน ขนาด 2.5 ลิตร(SKYACTIV-G 2.5) มีใน 3 รุ่นย่อย ได้แก่ รุ่น 2.5 S (แบบ 7 ที่นั่ง) รุ่น 2.5 SP (แบบ 7 ที่นั่ง) และรุ่น 2.5 SP Exclusive (แบบ 6 ที่นั่ง) มาพร้อมระบบวาล์วแปรผันคู่อัจฉริยะ Dual S-VT ที่ถูกพัฒนาให้สามารถตอบสนองอัตราเร่งได้อย่างดีเยี่ยมให้พละกำลังสูงถึง 194 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 258 นิวตัน-เมตร ประหยัดน้ำมันถึง 13.2 กิโลเมตรต่อลิตร และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทางเลือกที่สองกับเครื่องยนต์สกายแอคทีฟคลีนดีเซล ขนาด 2.2 ลิตร (SKYACTIV-D 2.2) ในรุ่น XDL (แบบ 7 ที่นั่ง) และ XDL Exclusive…

 
Read More

New Honda CB500F

เน็กเก็ตไบค์สายสตรีท ดีไซน์ปราดเปรียว ดุดัน โดดเด่นเต็มขั้นด้วยฟีเจอร์ใหม่ระดับท็อปคลาส ช่วงปลายฝนต้นหนาว ฤดูกาลขับขี่บิ๊กไบค์กลับมาอีกครั้ง และถึงเวลาที่เหล่าไบค์เกอร์จะได้ออกไปสัมผัสกับบรรยากาศบนท้องถนน ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางในเมืองที่คุ้นเคย หรือจะขี่ลุยออกต่างจังหวัด ก็สามาถเลือกได้ตามไลฟ์สไตล์การขับขี่ของตัวเอง สำหรับนักบิดสายสตรีทที่ชื่นชอบในสไตล์เน็กเก็ตไบค์ ชั่วโมงนี้ต้องไม่พลาดกับโมเดลใหม่ในตระกูล 500 Series ที่ฮอนด้าได้เปิดตัว New CB500F รุ่นล่าสุด ซึ่งเป็นเน็กเก็ตไบค์ที่ออกแบบมาเพื่อสายสตรีทโดยเฉพาะ เหมาะกับการขับขี่ในเมืองเป็นอย่างยิ่ง ด้วยการดีไซน์ตัวรถให้มีความปราดเปรียวและคล่องตัว ตำแหน่งท่านั่งการขับขี่ให้ความกระชับ ควบคุมรถได้ง่าย มีบุคลิกแตกต่างกับรหัสตัว R และ X อย่างชัดเจน นอกจากสไตล์ความโดดเด่นของ Street Naked Bike ที่ตอบโจทย์ความต้องการนักบิดได้อย่างลงตัวแล้ว เมื่อรวมกับการเสริมสมรรถนะเต็มขั้น ด้วยโช้กอัพหน้าแบบหัวกลับขนาด 41 มม. และดิสก์เบรกหน้าคู่ที่ติดตั้งเข้ามาใหม่ ทำงานร่วมกับคาลิปเปอร์แบบ Radial Mount 4 Pots และระบบเบรกแบบ ABS ยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพการขับขี่และการควบคุมขั้นสูงสุดเทียบเท่าบิ๊กไบค์ระดับท็อปคลาส กล่าวถึงฟีเจอร์ใหม่ที่ได้รับการยกระดับในครั้งนี้ อีกหนึ่งสิ่งที่ช่วยเพิ่มอรรถรสการขับขี่ในเวลากลางคืนมากยิ่งขึ้น นั่นคือในด้านระบบไฟส่องสว่างแบบ Full LED ได้เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน สามารถให้ความสว่างทำได้ดีขึ้นกว่าเดิมมากถึง25% เลยทีเดียว New CB500F รุ่นล่าสุด ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังเครื่องยนต์ 2 สูบ แบบ Parallel Twin DOHC ขนาด 500 ซีซี ระบายความร้อนด้วยน้ำ ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์ 6 สปีด บิดติดมือในทุกอัตราเร่ง และยังติดตั้ง Assist Slipper Clutch ที่ช่วยลดแรงกระชากของล้อหลัง เพิ่มความนุ่มนวลขณะเปลี่ยนเกียร์ มาพร้อมระบบ Emergency Stop Signal สัญญาณไฟกระพริบเมื่อเบรกฉุกเฉินกะทันหัน ตามมาตรฐานความปลอดภัยระดับซูเปอร์ไบค์ สำหรับนักบิดสายสตรีท ที่ชอบความปราดเปรียวคล่องตัวสไตล์เน็กเก็ตไบค์ New CB500F เป็นบิ๊กไบค์ที่เหมาะมากสำหรับขับขี่โลดแล่นในเมืองหรือทุกเส้นทางบนท้องถนน ด้วยออปชันจัดเต็มระดับท็อปคลาส แต่ราคาเท่าเดิม หรือ214,700 บาท ผู้ที่สนใจ New CB500F สามารถไปพบกับรถคันจริงได้ที่ Honda Big Wing ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์ : www.hondabigbike.com เฟซบุ๊กรถจักรยานยนต์ฮอนด้า : fb.com/hondabigbiketh #New500Series  #NewCB500F  #HondaBigBike  #CBRSeries  #WhatStopsYou  #มุ่งไปอย่าให้อะไรมาหยุด #รถจักรยานยนต์ฮอนด้า #ThaiHonda  #HondaThailand  

 
Read More

Lexus Amazing Showcase

เลกซัส ประเทศไทย ขอเชิญทุกท่านร่วมงานมหกรรมยนตรกรรมหรูจากเลกซัส  The New Lexus ES Lexus IS และLexus RX พร้อมรับข้อเสนอสุดพิเศษในงาน “Lexus Amazing Showcase” ณแฟชั่นแกลเลอรี่ ชั้น 1 ศูนย์การค้าสยามพารากอน ระหว่างวันที่   22 – 24 ตุลาคม 2564 คุณสุรศักดิ์ สุทองวัน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่เลกซัสกรุ๊ป บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ประเทศไทย จำกัดเปิดเผยว่า “ในฐานะตัวแทนของเลกซัสกรุ๊ป ผมขอเชิญทุกท่านที่สนใจร่วมงานมหกรรมยนตรกรรมหรูจาก เลกซัส ในงาน “Lexus Amazing Showcase” ครั้งนี้เลกซัสมาพร้อมกับยนตรกรรมหรูมาให้ทุกท่านได้เยี่ยมชมและสัมผัสถึง 3 รุ่น ได้แก่ 1.Lexus IS สุดยอดรถสปอร์ตซีดาน ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า ด้วยดีไซน์ภายนอกที่โดดเด่น โฉบเฉี่ยว ล้ำสมัย เต็มเปี่ยมด้วยสมรรถนะการขับขี่ที่ทรงพลังอันเป็นเอกลักษณ์ของเลกซัส (Lexus Driving Signature) เกาะถนนดีเยี่ยมตอบสนองการควบคุมได้ดั่งใจ อัตราเร่งออกตัวที่ดี บ่งบอกถึงความเป็นสปอร์ตซีดานได้เป็นอย่างดี 2.The New Lexus ES ยนตรกรรมซีดานระดับหรูสะท้อนความเป็นเอกลักษณ์ของผู้บริหาร โดดเด่นด้วยความนุ่มนวลในการขับขี่และความเงียบภายในห้องโดยสาร และเต็มเปี่ยมไปด้วยสุดยอดเทคโนโลยีความปลอดภัยเหนือระดับ Lexus Safety System Plus      เจเนอเรชันที่ 2 ความสมบูรณ์แบบที่เหนือกว่าเดิมในทุกมิติ 3.The Lexus RX ใหม่ ยนตรกรรมครอส      โอเวอร์หรูระดับโลก โดดเด่นด้วยดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยวลงตัว พิถีพิถันในทุกการออกแบบ และความปลอดภัยเหนือระดับ ปลอดภัยยิ่งขึ้นด้วยเทคโนโลยีใหม่ ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติขณะถอยจอด(Parking Support Brake : PKSB) สนุกสนานกับสมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยม        ซึ่งมาพร้อมกับสีใหม่ Sonic Chrome และSonic Iridium ตอบสนองการใช้งานในแบบ      รถครอสโอเวอร์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งนี้ ยนตรกรรมหรูจากเลกซัส ทั้งสามรุ่น The New Lexus ES Lexus IS และ Lexus RX จัดแสดง ณ แฟชั่นแกลเลอรี่ ชั้น 1 ศูนย์การค้าสยามพารากอน และสำหรับผู้ที่สนใจสามารถทดลองขับThe New Lexus ES และ Lexus IS ได้ภายในงาน พร้อมรับข้อเสนอสุดพิเศษ และสิทธิประโยชน์อีกมากมาย สำหรับผู้ที่จองรถในงานทุกรุ่น* รับบัตรจอดรถ Siam Paragon 1 ปี** และ บัตร Siam gift card*** มูลค่า 10,000 บาท พร้อมรับสิทธิ์เป็น VIZ Titanium ทันที รวมมูลค่ากว่า 46,000 บาท มีจำนวนจำกัด และผู้ที่ลงทะเบียนและทดลองขับรถในงานรับ LEXUS CARE SET มูลค่า 500 บาท ฟรี!”ยกเว้น Lexus LM / บัตรจอดรถ Siam Paragon สามารถใช้ได้ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2565 / บัตร Siam gift card สามารถใช้ได้ถึงวันที่ 30 เมษายน2565 และสามารถใช้ได้ที่ Siam…

 
Read More

New 500 Series จาก HONDA

ฮอนด้าบิ๊กไบค์สร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญสนั่นวงการรถจักรยานยนต์ไทย ด้วยการเปิดตัวบิ๊กไบค์โมเดลใหม่ล่าสุดในตระกูล 500 Series 3 รุ่นรวด ได้แก่ New CBR500R, New CB500F และ New CB500X ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การขับขี่ ทั้งสปอร์ต เน็กเก็ต และแอดเวนเจอร์ มาพร้อมการยกระดับออปชันที่ดีที่สุดในคลาส เสริมสมรรถนะขั้นสุดด้วยโช้กอัพหน้าหัวกลับ และดิสก์เบรกคู่ พร้อมวางจำหน่ายตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป มร.ทาคาโนริ มารุยามะ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยฮอนด้า แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้าในประเทศไทย เปิดเผยว่า “บิ๊กไบค์ฮอนด้าในตระกูล 500 Series ถือเป็นโมเดลที่มีความสำคัญ และเป็นหนึ่งในจุดเริ่มต้นของกระแสการขับขี่บิ๊กไบค์ในเมืองไทย ด้วยคุณภาพมาตรฐานการผลิตระดับโลก และเทคโนโลยีที่ผู้ขับขี่ให้การยอมรับมากที่สุด ได้ส่งผลให้ 500 Series ขึ้นแท่นเป็นบิ๊กไบค์ที่มียอดจำหน่ายมากที่สุดทันทีที่เปิดตัวในไทย ตั้งแต่ปี 2012 เป็นต้นมา New 500 Series ได้รับการพัฒนาเพื่อส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับกลุ่มลูกค้ามาอย่างต่อเนื่อง และในปี 2021 เราได้ทำการยกระดับ 500 Series ให้เทียบเท่าซูเปอร์ไบค์ระดับท็อปคลาส เพื่อสร้างความตื่นเต้นและตอบโจทย์นักบิดตัวจริง ด้วยการติดตั้งเทคโนโลยีชั้นสูงเข้าไป เพื่อให้เป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับคนที่ต้องการเข้าสู่โลกของบิ๊กไบค์” ฮอนด้าบิ๊กไบค์ New 500 Series มาพร้อมคอนเซปต์ “For The Real One” ถ่ายทอดความเร้าใจสู่สาวกบิ๊กไบค์ตัวจริง ตื่นตาตื่นใจด้วยดีไซน์ที่ดูบึกบึนโฉบเฉี่ยว แรงด้วยเครื่องยนต์ที่ทรงพลัง และออปชันที่ดีที่สุดในคลาส ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การขับขี่ด้วย 3 โมเดลที่แตกต่างตามความต้องการของคนรุ่นใหม่ ประกอบด้วย New CBR500R สำหรับนักบิดสายสปอร์ตเต็มขั้น, New CB500F เน็กเก็ตไบค์ที่ออกแบบมาเพื่อสายสตรีทโดยเฉพาะ และ New CB500X แอดเวนเจอร์ไบค์สำหรับผู้รักการผจญภัย ฮอนด้าบิ๊กไบค์ New 500 Series ทั้ง…

 
Read More

New Honda CBR500R จัดเต็มฟีเจอร์ระดับท็อปคลาส

มาดเท่ บาดใจสายสปอร์ตตัวจริง เพราะหากพูดถึงรถบิ๊กไบค์สายสปอร์ตที่เป็นจุดเริ่มต้นของกระแสการขับขี่บิ๊กไบค์ในเมืองไทย คงหนีไม่พ้นสปอร์ตไบค์สุดเท่อย่างฮอนด้า CBR500R จากตระกูล 500 Series ที่เปิดตัวครั้งแรกในโลกเมื่อปี 2013 เป็นรถสปอร์ตพิกัดกลาง ที่ขับขี่สนุกควบคุมง่ายเหมาะสำหรับผู้ที่อยากจะเริ่มต้นก้าวเข้าสู่โลกของบิ๊กไบค์ หลังจากนั้นมา CBR500R ก็ได้รับการปรับโฉมพร้อมกับเพิ่มเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้าไปอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นรถที่โดนใจไบค์เกอร์ทั้งในเมืองไทย และทั่วโลกเป็นอย่างมาก ล่าสุดในปี 2021 ทางฮอนด้าบิ๊กไบค์ได้สร้างความสั่นสะเทือนให้กับวงการอีกครั้งด้วยการเปิดตัว New CBR500R  ที่ถ่ายทอดเทคโนโลยีจากสนามแข่งมาสู่รถรุ่นนี้แบบเต็มพิกัดอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยการติดตั้งโช้กอัพหน้าแบบหัวกลับขนาด 41 มม. และดิสก์เบรกหน้าคู่ ถือเป็นครั้งแรกของบิ๊กไบค์ในคลาสนี้ ที่มาพร้อมสเปคระดับเดียวกับรถซูเปอร์ไบค์ เมื่อรวมกับลวดลายกราฟิกที่ออกแบบใหม่ล่าสุด ยิ่งทำให้ New CBR500R ดูมีความดุดันในทุกมุม และยังมีสมรรถนะในการขับขี่ที่ดีขึ้นไปสู่อีกระดับ ที่สำคัญ แม้จะมีอุปกรณ์ใหม่ๆ เข้ามา แต่น้ำหนักกลับไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย เพราะฮอนด้าได้มีการออกแบบ สวิงอาร์ม และล้อแม็ก ให้มีน้ำหนักเบากว่าเดิมเพื่อให้สมดุล กับน้ำหนักโดยรวม ของรถ แต่ไม่สูญเสีย ความแข็งแรงแต่อย่างใด รักษาจุดเด่นในเรื่องการเป็นรถที่ควบคุมง่ายได้เหมือนเดิม New CBR500R ยังได้รับการอัพเกรดในส่วนของไฟหน้าคู่แบบ LED ที่มีการปรับความสว่าง ให้มากขึ้นกว่าเดิมถึง 25% ทำให้การขับขี่ในเวลากลางคืนมีความปลอดภัยมากขึ้น และยังติดตั้ง Assist Slipper Clutch ที่ช่วยลดแรงกระชากของล้อหลังขณะเปลี่ยนเกียร์ เพื่อความนุ่มนวล และความต่อเนื่องของการขับขี่  ในด้านของสมรรถนะ New CBR500R ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังของเครื่องยนต์ 2 สูบ แบบ Parallel Twin DOHC ขนาด 500 ซีซี ระบายความร้อนด้วยน้ำ ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์ 6 สปีด ให้แรงบิดที่ดีตั้งแต่ออกตัว ในขณะที่ดิสก์หน้าคู่ที่ติดตั้งเข้ามาใหม่จะทำงานร่วมกับ คาลิปเปอร์แบบ Radial Mount 4 Pots และระบบเบรกแบบ ABS  อีกจุดหนึ่งที่ทำให้ผู้ขับขี่ได้สัมผัสอารมณ์ของความเป็นซูเปอร์สปอร์ตตัวจริง ก็คือตำแหน่งท่านั่ง ด้วยเบาะนั่งที่ไม่สูงมาก…

 
Read More

ออลนิว อีซูซุมิว-เอ็กซ์

อีซูซุเดินหน้าลุยตลาดรถช่วงปลายปี โชว์ศักยภาพ “ใหม่! พลานุภาพ…ไร้ขีดจำกัด” เผยโฉมรถรุ่นใหม่ครบทุกรุ่นเข้มขึ้น ดุขึ้น นำโดย “ใหม่! อีซูซุดีแมคซ์” ตอกย้ำตัวตนใหม่ภายใต้แนวคิด “MY NEW ID..MY NEW ISUZU D-MAX” ขับเคลื่อนความสมบูรณ์แบบในทุกองศา มาพร้อมเอกลักษณ์ สีเทาโอเพคใหม่! (Islay Gray Opaque) เทรนด์สีใหม่ของวงการยานยนต์โลก “ใหม่! อีซูซุเอ็กซ์-ซีรี่ส์” แรงทะลุไมล์…เร้าใจสไตล์เอ็กซ์ ปรับเพิ่มลุคสปอร์ตยิ่งขึ้น และรถอเนกประสงค์สุดหรู “ออลนิว อีซูซุมิว-เอ็กซ์” ที่เติมเต็มฟังก์ชั่นความปลอดภัยใหม่ในระบบ ADAS โดย “ใหม่! อีซูซุดีแมคซ์” และ “ใหม่! อีซูซุเอ็กซ์-ซีรี่ส์” มีกำหนดเปิดตัวตนใหม่ครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคมศกนี้ และ “ออลนิว อีซูซุมิว-เอ็กซ์” ตั้งแต่วันที่ 18 ตุลาคมศกนี้ เป็นต้นไป ณ โชว์รูมอีซูซุทั่วประเทศ กลุ่มตรีเพชร โดย มร.โทชิอากิ มาเอคาวะ กรรมการผู้จัดการ  บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด เผยว่า  “รถใหม่ในปลายปีนี้ของอีซูซุเป็นรุ่นไมเนอร์เชนจ์ที่มีการปรับโฉมใหม่ให้เข้มขึ้น ดุขึ้น  เริ่มจากอีซูซุดีแมคซ์ ยอดยนตรกรรมปิกอัพระดับ Top Class ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากมายทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ เนื่องจากเป็นรถที่มีการพัฒนาแบบไร้ขีดจำกัด สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นในทุกครั้งที่มีการแนะนำรถรุ่นใหม่ และยังคงกระแส “ดีแมคซ์ฟีเวอร์” นับตั้งแต่การเปิดตัวครั้งแรกในโลกที่เมืองไทย ต่อเนื่องถึงการเปิดตัว “ออลนิว อีซูซุดีแมคซ์ พลานุภาพ…พลิกโลก” เมื่อปลายปี พ.ศ. 2562 หรือแม้แต่ปัจจุบันที่ตลาดรถยนต์หดตัวลงจากสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 ส่งผลให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อรถยากขึ้น อีซูซุดีแมคซ์ก็ยังคงเป็นที่ต้องการของผู้ใช้รถในเมืองไทยเนื่องจากความโดดเด่นในเรื่องของสมรรถนะ     ความคุ้มค่าเงินสูงสุดและภาพลักษณ์ใหม่ซึ่งดูทันสมัย สำหรับรถปิกอัพรุ่นล่าสุด “ใหม่!  อีซูซุดีแมคซ์ พลานุภาพ…ไร้ขีดจำกัด” สร้างสรรค์ภายใต้แนวคิด “MY NEW ID..MY NEW ISUZU D-MAX” ตัวตนใหม่ที่เป็นคุณ ด้วยการเลือกรถคู่ใจที่ช่วยค้นหาตัวตนใหม่ที่ไร้ขีดจำกัด พร้อมสนุกไปกับการใช้ชีวิตที่มีความหลากหลายควบคู่ไปกับการใช้งานได้อเนกประสงค์ โดยมาพร้อมสีเทาโอเพคใหม่! (Islay Gray Opaque) เทรนด์สีใหม่ของวงการยานยนต์โลก ที่มีคุณสมบัติพิเศษให้มุมมองสีหลากหลายมิติ ไล่ระดับจากเทาประกายมุกจรดเทาเข้ม แตกต่างตามมุมตกกระทบของแสง  น่าค้นหา  ท้าทายทุกสายตา ซึ่งสีพิเศษนี้มีให้เลือกใน  “ใหม่! อีซูซุดีแมคซ์” ทุกรุ่น นอกจากนี้ยังมี “ใหม่! อีซูซุเอ็กซ์–ซีรี่ส์”  ปิกอัพสไตล์สปอร์ตเท่ที่มาพร้อมชุดแต่งจัดเต็ม ซึ่งครั้งนี้ได้เพิ่มความสปอร์ตให้โดดเด่นยิ่งขึ้นอีก ทั้งในรุ่น SPEED ให้อารมณ์เรซซิ่งสุดร้อนแรง และรุ่น HI-LANDER สปอร์ตพรีเมี่ยม แฝงเรซซิ่งสปิริตภายใต้ความเรียบหรู สะดวกสบาย และ “ออลนิว อีซูซุมิว–เอ็กซ์” ที่เปิดตัวเมื่อปลายปีที่แล้ว โดยมาพร้อมระบบความปลอดภัยที่เหนือชั้น ตลอดจนระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ADAS (Advanced Driver Assistance Systems)  โดยเพิ่มเติมฟังก์ชั่นความปลอดภัย ใหม่! Turn Assist with AEB ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติเมื่อมีรถสวนทางขณะเลี้ยวขวา อีกขั้นของความมั่นใจในทุกการเดินทาง โดยรถแต่ละรุ่นจะเปิดตัวต่อเนื่องตลอดเดือนตุลาคม”  “ใหม่! อีซูซุดีแมคซ์ พลานุภาพ…ไร้ขีดจำกัด”  ได้รับการปรับแต่งให้มีเอกลักษณ์โดดเด่นและแตกต่างกันในแต่ละรุ่น  สะท้อนภาพลักษณ์ใหม่แห่งความสปอร์ตหรู  ยกระดับความพรีเมี่ยม สู่มาตรฐานใหม่ของรถปิกอัพระดับ TOP CLASS สีเทาโอเพคใหม่! (Islay Gray Opaque) เทรนด์สีใหม่ของวงการยานยนต์โลก นอกจากนี้ยังมีจุดปรับเปลี่ยนพิเศษในแต่ละรุ่น ได้แก่   รถธงรุ่นล่าสุด ใหม่! อีซูซุวี-ครอส 4×4 (NEW! ISUZU V-CROSS 4×4)       พรีเมี่ยมสปอร์ตออฟโรดที่มาพร้อมความแรงจัด ขับสนุกเร้าใจของเครื่องยนต์ 3.0 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์  เติมเต็มความเข้มดุสไตล์สปอร์ตทรงพลังในทุกมิติของรถด้วย ใหม่! กระจังหน้าแบบ Double Dimensions ดีไซน์แบบทูโทน สีเทาดำ และ Black Chrome  พร้อมไฟท้าย ดีไซน์โทนสีเข้ม ใหม่! Front Bumper Guard สีทูโทน พร้อมชุดแต่งสีเทาดำรอบคันที่กระจกมองข้าง ราวหลังคา มือจับประตู บันไดข้าง Fender Lip, Robust Extender เพิ่มความดุดัน ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ดีไซน์ใหม่! แบบ Robust Radius สี Matte Black ห้องโดยสารอารมณ์ใหม่ ผสานความเท่ สปอร์ต และหรูหรา  ด้วยดีไซน์ High-Class & Sporty เน้นสีแบบทูโทน ดำ-น้ำตาลคอนโซลหน้าสีดำ เบาะคู่หน้าดีไซน์ใหม่ เดินด้ายสีน้ำตาลอย่างพิถีพิถัน และพวงมาลัยสัมผัสใหม่ สีทูโทน พร้อมออกแบบให้มิติห้องโดยสารกว้างขวาง โอ่อ่า แบบ Sharp Horizontal Layers คมเข้ม เล่นระดับกับแผงข้างประตู ที่เติมเต็มอารมณ์ด้วยวัสดุตกแต่งพรีเมี่ยม สี Brown Cafe และ Satin Silver เพิ่มความสปอร์ตหรู  เหนือระดับไปอีกขั้น  และจัดวางสิ่งอำนวยสะดวกสบายตามหลัก Usability Design เน้นการใช้งานที่หลากหลาย พร้อมระบบความบันเทิงสมบูรณ์แบบของ ISUZU Ultimate Entertainment ใหม่! อีซูซุดีแมคซ์  (NEW! ISUZU D-MAX) รุ่น CAB 4, HI-LANDER และ   SPACECAB เอกลักษณ์แห่งดีไซน์ที่หรูหรา สะดวกสบาย ตอบรับทุกเป้าหมาย ทุกการใช้งานในทุกด้านของการใช้ชีวิต  เท่ เต็มอารมณ์สปอร์ต  ด้วย ใหม่! กระจังหน้าแบบ Double Dimensions  ดีไซน์แบบทูโทน สี Chrome และ Dark…

 
Read More

BMW รุ่นพิเศษ R nineT Urban G/S “40 Years GS Edition”

หลังจากเปิดตัวตระกูลบีเอ็มดับเบิลยู R nineT ใหม่ไปได้ไม่นาน บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ประเทศไทย เอาใจแฟน ๆ บิ๊กไบค์ในไทย เพื่อร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 40 ปีของบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ในตระกูล GS กับตำนานแห่งการทัวร์ริ่งในแบบเอ็นดูโร ด้วยการเผยโฉมบีเอ็มดับเบิลยู R nineT Urban G/S รุ่น “40 Years GS Edition” มอเตอร์ไซค์รุ่นพิเศษในดีไซน์เฉพาะที่ผสานสีดำและสีเหลืองได้อย่างโดดเด่น ซึ่งนำมาสู่ตลาดไทยเพียง 9 คันเท่านั้นพร้อมให้จับจองได้แล้วที่ผู้จำหน่ายบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด อย่างเป็นทางการทั่วประเทศ มร.มิเกล ญาเบรส-โปห์ล ผู้อำนวยการ บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และผู้นำเข้าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า “มอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ตระกูล GS เป็นรุ่นที่สร้างชื่อเสียงไปทั่วโลก จากแอฟริกาสู่เอเชียกลาง ในฐานะผู้บุกเบิกรถมอเตอร์ไซค์แบบดูอัลสปอร์ต ทั้งยังเปี่ยมด้วยความแข็งแกร่ง รูปลักษณ์อันทรงพลังและโดดเด่น เหมาะกับการขับขี่ในทุกเส้นทางไม่ว่าจะเป็นออฟโรดและบนท้องถนน ตลอดระยะเวลา 40 ปีที่ผ่านมา บีเอ็มดับเบิลยูตระกูล GS เป็นที่รู้จักในฐานะมอเตอร์ไซค์ที่ให้ประสบการณ์แห่งความท้าทายและค้นหาการผจญภัยครั้งใหม่ ๆถือเป็นมอเตอร์ไซค์สำหรับนักแสวงหาตัวจริง และยังครองใจนักบิดชาวไทยสายแอดเวนเจอร์อีกด้วย เพื่อเฉลิมฉลองการผจญภัยตลอดสี่ทศวรรษซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เราได้ชื่นชมกับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของบีเอ็มดับเบิลยูตระกูล GS ที่นำไปสู่การเดินทางอันน่าจดจำ และสร้างแรงบันดาลใจในการผจญภัยอย่างต่อเนื่อง จนขับเคลื่อนสู่การขับขี่ที่เปี่ยมด้วยนวัตกรรม   บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ประเทศไทย จึงนำตำนานแห่ง GS กลับมาอีกครั้งด้วยรุ่นพิเศษ บีเอ็มดับเบิลยู R nineT Urban G/S รุ่น “40 Years GS Edition” กับโฉม “Bumblebee” ของบีเอ็มดับเบิลรุ่น R 100 GS พร้อมยกระดับขุมพลังและเสริมการขับขี่ที่สนุกสนานยิ่งขึ้น ”  บีเอ็มดับเบิลยู R nineT G/S รุ่น “40 Years GS Edition” ยังคงการออกแบบอันเป็นตำนานไว้ด้วยชุดแต่ง Option 719 ทั้งฝาครอบกระบอกสูบ เบาะหนังสีดำและเหลือง แฮนด์การ์ดสีเหลือง และท่อร่วมชุบโครเมียม สะท้อนถึงความใส่ใจในรายละเอียด พร้อมด้วยสมรรถนะของการเป็นมอเตอร์ไซค์ออฟโรดที่สมบูรณ์ทั้งรูปลักษณ์และการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นล้อซี่ลวดลาย Cross Spoke II ยางออฟโรด และท่อไอเสียยกสูงในแบบScrambler เติมเต็มรูปลักษณ์และสื่อถึงความเป็นมาของ GS ตลอด 40 ปีที่ผ่านมา บีเอ็มดับเบิลยู R nineT G/S “40 Years GS Edition” สืบทอดเอกลักษณ์ในตระกูล GS ด้วยเครื่องยนต์บ็อกเซอร์ระบายความร้อนด้วยอากาศ/น้ำมัน ที่ได้รับการพัฒนาให้มีคุณสมบัติที่สอดคล้องตามมาตรฐานมลพิษ EU-5 ส่งพละกำลังสูงสุด 80 กิโลวัตต์ (109 แรงม้า) ที่ 7,250 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 116 นิวตันเมตรที่ 6,000 รอบต่อนาที หัวฉีดแบบใหม่ทำงานเข้าจังหวะกับระบบระบายความร้อนยิ่งขึ้น วาล์วปีกผีเสื้อและฝาครอบหัวฉีดได้รับการออกแบบใหม่ ปรับโฉมให้โดดเด่นกว่าเดิม บีเอ็มดับเบิลยู R nineT G/S “40 Years GS Edition” ยกระดับความสมดุลแห่งการขับขี่ด้วยโหมด Pro ซึ่งติดตั้งมาเป็นมาตรฐานใน R nineT Urban G/S ทุกรุ่น นอกจากนี้ โหมด Dirt ยังช่วยให้ผู้ขับขี่ใช้ระบบควบคุมการยึดเกาะถนน(Dynamic Traction Control) และระบบป้องกันการลื่นไถลของล้อหลัง (MSR) ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น มอบประสบการณ์การขับขี่แบบสปอร์ตในทุกสภาวะพื้นถนน เช่นเดียวกับใน R nineT รุ่นใหม่ ๆ นอกจากเครื่องยนต์จะถูกปรับแต่งมาให้ตอบสนองได้ฉับไวเต็มพิกัดแล้ว ระบบ DTC จะทำงานร่วมกับเบรก ABS Pro เพื่อให้สามารถเร่งความเร็วบนท้องถนนได้อย่างมั่นใจ ด้วยแรงเสียดทานที่เพิ่มการยึดเกาะถนน ส่วนจังหวะที่เบรกพร้อมกับลดเกียร์ บีเอ็มดับเบิลยู R nineT G/S “40 Years GS Edition” ก็ยังเสริมความปลอดภัยด้วยระบบป้องกันการลื่นไถลของล้อหลัง (MSR) ซึ่งทำงานด้วยการควบคุมแรงบิดของเครื่องยนต์ ส่วนระบบกันสะเทือนใหม่ มาพร้อมกับสปริงที่มีอัตราการยุบตัวแตกต่างกันไปตามแรงกดที่ได้รับ (WAD) จึงทำให้ทรงตัวได้มั่นคงและเพิ่มความสบายในการขับขี่ไปพร้อมกัน นอกจากนี้ ตัวรถยังรองรับการตั้งค่าสปริงด้วยตัวเองอย่างง่ายดายด้วยปุ่มหมุนที่เพิ่มเข้ามา เพื่อลุคที่ทันสมัยยิ่งขึ้น R nineT Urban G/S “40 Years GS” ยังเติมความโฉบเฉี่ยวด้วยไฟเลี้ยวที่กลมกลืนไปกับตัวรถ จะมองเห็นเฉพาะเมื่อเปิดไฟเท่านั้น ขณะที่ชุดไฟหน้า LED มาพร้อมไฟส่องสว่างตอนกลางวันและไฟเลี้ยวสีขาวในตัว พร้อมเพิ่มความสะดวกสบายขณะเดินทางด้วยช่องเสียบสายชาร์จ USB ที่ติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน บีเอ็มดับเบิลยู R nineT G/S “40 Years GS Edition” พร้อมให้เป็นเจ้าของแล้วในราคา 899,000 บาท สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.bmw-motorrad.co.th หรือติดต่อผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการของบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ทั่วประเทศ    

 
Read More

YAMAHA R7 เติมเต็ม “Racing Series”

บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ตอกย้ำบทบาทผู้นำตลาดรถจักรยานยนต์ เดินหน้าเสริมทัพด้วย YAMAHA YZF-R7 เติมเต็มไลน์อัพสปอร์ตไบค์ สานต่อความสำเร็จ Racing Seriesโดดเด่นด้วยรูปโฉมที่โฉบเฉี่ยว ถ่ายทอด Racing DNA อันเป็นเอกลักษณ์ของค่ายยามาฮ่าในพิกัดเครื่องยนต์ 700 ซีซี เปิดจองผ่านช่องทางออนไลน์ภายใต้ราคา 339,000 บาท พร้อมโปรโมชั่นและสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า 50 ท่านแรก รถจักรยานยนต์ยามาฮ่าในตระกูล Racing Series หรือ R-Series ได้รับความนิยมจากลูกค้ายามาฮ่าทั่วโลก นับตั้งแต่การเปิดตัวครั้งแรกในปี 1998 ถ่ายทอดดีเอ็นเอสายพันธุ์สปอร์ตจากรถแข่ง YAMAHA YZR-M1 ที่รู้จักกันเป็นอย่างดีบนเวที World GP รวมถึงในตลาดประเทศไทยซึ่งมาพร้อมการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค หลังจากที่ได้เพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าด้วย YZF-R1, YZF-R6, YZF-R3และ YZF-R15 ล่าสุด บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด พร้อมสานต่อความสำเร็จเติมเต็มไลน์อัพ R-Series ด้วย YAMAHA YZF-R7 โดย คุณพงศธร เอื้อมงคลชัย รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด กล่าวว่า “ในปีที่ 66 ของยามาฮ่า เราภูมิใจที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งเป็นหนึ่งในความสำเร็จจากคำมั่นสัญญาที่ยามาฮ่าให้ไว้ว่าจะต้องสร้างสรรค์สิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าและสังคมตลอดเวลา ในวันนี้ YAMAHA YZF-R7 จะเข้ามาตอบโจทย์สำหรับผู้ที่คลั่งไคล้การขับขี่ในสนามแข่ง และผู้ที่ชื่นชอบการขับขี่รถในระยะทางไกลๆ หลังจากที่กลางปีที่ผ่านมา เราได้นำเสนอรถรุ่นนี้ในทวีปอเมริกาและยุโรป ซึ่งได้ผลตอบรับที่ดีมาก ทำให้เราเชื่อว่าความสำเร็จนี้จะเกิดขึ้นในประเทศไทยด้วยเช่นกัน” YAMAHA YZF-R7 เปิดจองผ่านช่องทางออนไลน์ที่ https://forms.gle/dVdQgzGyEfM11G3F6 พร้อมลุ้นรับสิทธิพิเศษดาวน์เพียง 7,900 บาท พร้อมอัตราดอกเบี้ยพิเศษ และฟรีประกันภัยชั้น 1 สำหรับลูกค้า 200 ท่านแรก และพิเศษสุดสำหรับลูกค้า 50 ท่านแรกที่จองเข้ามาในระบบออนไลน์ จะได้รับสิทธิ์เข้าร่วมกิจกรรม Yamaha Racing Practice หรือ BRIC trackday ฟรี จำนวน 4 ครั้ง บนแทร็คระดับโลกอย่าง สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์ นอกจากนี้ยังมีโอกาสได้เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ อาทิ -Yamaha Big…

 
Read More
Visit Us On FacebookVisit Us On TwitterVisit Us On YoutubeCheck Our Feed