จากความตื่นตัวของ BMW ที่เกิดขึ้นในการขายรถยนต์เกี่ยวกับไฟฟ้าในช่วงปีที่ผ่านมา ปรากฏว่าน่าสนใจ เพราะ 2017 จำหน่ายไปได้ 103,000 คัน และในปี 2018 ถึงปัจจุบัน จำหน่ายไปแล้ว 140,000 คัน ซึ่งหมายความว่า BMW กรุ๊ป สามารถลดมลพิษบนโลกไปได้ในระดับที่เพิ่มขึ้น
มร.คริสเตียน วิดมานน์ ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า “ในปี 2561 จะเป็นครบรอบ 20 ปี ของ BMW CONNECTED DRIVE และยังคงมุ่งเน้นในการพัฒนาเทคโนโลยี เกี่ยวกับโลกยานยนต์ ให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น และยังมีการออกแบบเพื่อความเป็นสากล และจากประสบการณ์ในการขับขี่ ที่ไร้ขีดจำกัด และคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของผู้ใช้ ปัจจุบัน แอพพลิเคชั่น BMW CONNECTED มีผู้ใช้มากว่า 2.3 ล้านคน และมีรถยนต์มากกว่า 10 ล้านค้น ใน 45 ประเทศทั่วโลก BMW CONNECTED DRIVE ในครั้งนี้ เป็นอีกก้าวหนึ่งในการพลิกโฉมอุตสาหกรรมยานยนต์ ด้วยนวัตกรรมล้ำสมัยในประเทศไทย ภายใต้วิสัยทัศน์ NUMBER ONE > NEXT ของ BMW ซึ่งมุ่งปูรากฐานอันแข็งแกร่ง ไปสู่อนาคตแห่งยนตรกรรมในโลกดิจิทอล”
อนึ่ง รถไฟฟ้า ได้พัฒนาจากการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง เคยขับได้ไกล 450 กิโลเมตร ต่อมาเพิ่มเป็น 550 กิโลเมตร และล่าสุดมีการพัฒนาให้วิ่งได้ไกลถึง 700 กิโลเมตร ซึ่งสามารถพัฒนาเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต แต่ที่สำคัญ คือ เรื่องของความสุนทรีย์ในการขับขี่ พูดง่ายๆ คือ หากต้องการขับรถท่องเที่ยว มีความสนุกในการขับขี่ ก็สามารถขับได้เอง แต่เมื่อมีความตื่นเต้นสำหรับอนาคต ลดความน่าเบื่อในการขับรถบางช่วง คือ หากเราไม่ต้องการจะขับรถเอง เนื่องจากการจราจรติดขัด น่าเบื่อ และเป็นสังคมเมือง รถก็สามารถสั่งการให้ขับโดยอัตโนมัติ ในขณะที่เราสามารถทำงานได้ โทรศัพท์ ส่งอีเมล หรือทำอย่างอื่นๆ ไปได้แม้การจราจรจะน่าเบื่อแค่ไหน
และนโยบาย การทำให้เสาไฟฟ้าทุกเสา ตามท้องถนน มีที่ชาร์จไฟฟ้า ไม่จำเป็นต้องมีปั๊มน้ำมัน หรือศูนย์ชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าใหญ่โต และน่าจะเป็นการชาร์จแบบเดียวกัน ไม่ใช่ยี่ห้อหนึ่งใช้แบบหนึ่ง อีกยี่ห้อหนึ่งใช้อีกแบบหนึ่ง มันควรจะใช้แบบเดียวกัน รวมถึงอนาคตที่จะมีระยะเวลาในการชาร์จไฟฟ้า น้อยลงไปอีก สุดท้าย บีเอ็มดับเบิลยู จับมือกับ ไมโครซอพท์ เพื่อพัฒนาระบบ AI หรือปัญญาประดิษฐ์ เข้ามาอยู่ในรถมากขึ้นไปอีกในอนาคต