ในการจัดส่งข้าวกล่องแทนความห่วงใยจากนิสสัน คุณชยภัค ลายสุวรรณ ผู้จัดการทั่วไปสายงานการสื่อสาร นิสสัน ประเทศไทย เป็นตัวแทนส่งมอบรถยนต์ นิสสัน เทอร์ร่า ใหม่ และ นิสสัน นาวารา ใหม่ ให้แก่เครือข่าย FOOD FOR FIGHTERS โดยมี คุณเขมรัช อมรวัตพงศ์ ผู้ร่วมก่อตั้ง FOOD FOR FIGHTERS เป็นตัวแทนรับมอบ ณ สมาคมสมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เขตปทุมวัน นิสสันสนับสนุนเครือข่าย FOOD FOR FIGHTERS (เครือข่ายข้าวเพื่อหมอ) โดยส่งมอบรถอเนกประสงค์ นิสสัน เทอร์ร่า ใหม่ และรถกระบะที่ กล้า…เพื่อคนแกร่ง นิสสัน นาวารา ใหม่ ให้เป็นกำลังสำคัญสำหรับใช้ปฏิบัติภารกิจจัดส่งอาหารให้กับบุคลากรทางการแพทย์ที่ทำงานอย่างหนักในการต่อสู้วิกฤติโควิด -19 และผู้ป่วยโควิด-19 ซึ่งทำการรักษาตัวอยู่ที่บ้าน(Home Isolation) ตามชุมชนต่างๆ ถือเป็นการสานต่อโครงการนิสสัน CARE FOR YOU แทนความห่วงใยจาก นิสสัน สู่ชุมชนอย่างต่อเนื่อง
Author: GIANT Autosawasdee
ฟอร์ด รุกเสริมแกร่งด้านบริการเปิดตัว ฟอร์ดแคร์
ฟอร์ด ประเทศไทย เปิดตัวโปรแกรมฟอร์ดแคร์ (FORD CARE) โปรแกรมการขยายระยะการรับประกันคุณภาพรถยนต์ใหม่ในรูปแบบสมาชิกที่มอบการดูแลและคุ้มครองรถของลูกค้าแบบครบวงจร พร้อมมอบความสบายใจในการถือครองรถยนต์ฟอร์ดในระยะยาว โดยฟอร์ดแคร์จะให้การคุ้มครองต่อเนื่องเมื่อการรับประกันรถใหม่จากโรงงานสิ้นสุดลงเพื่อให้ลูกค้าคลายความกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา ฟอร์ดแคร์ มี 2 แพ็กเกจหลักให้เลือกคือ โกลด์ แพ็กเกจ(Gold Package) และไดรฟไลน์ แพ็กเกจ (Driveline Package) ที่มาพร้อมสิทธิประโยชน์มากมายสำหรับลูกค้าสมาชิก พิเศษรับทันทีส่วนลดมูลค่า 1,500 บาทเมื่อเลือกซื้อโปรแกรมฟอร์ดแคร์ภายใน 31 ธันวาคม 2564 คุณวิชิต ว่องวัฒนาการ กรรมการผู้จัดการ ฟอร์ด ประเทศไทย กล่าวว่า “ฟอร์ดให้ความสำคัญสูงสุดกับการดูแลลูกค้าเหมือนคนในครอบครัว เราใส่ใจในทุกรายละเอียด และมุ่งมั่นพัฒนาบริการที่มีอยู่ให้ตอบสนองลูกค้าได้ดียิ่งขึ้นพร้อมทั้งเพิ่มบริการใหม่ๆ ให้ครอบคลุมสิ่งที่ลูกค้าฟอร์ดต้องการ การเปิดตัวโปรแกรมฟอร์ดแคร์เป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นของเรา ซึ่งเรามุ่งหวังให้โปรแกรมฟอร์ดแคร์ช่วยสร้างความมั่นใจ และลดความกังวลใจของลูกค้าในการถือครองรถระยะยาว” โปรแกรมฟอร์ดแคร์ ได้รับการพัฒนาขึ้นมาเพื่อมอบความคุ้มครองรถที่มุ่งเน้นมอบความอุ่นใจให้ลูกค้าสมาชิกโดยการขยายระยะรับประกันจะมีผลทันทีเมื่อการรับประกันรถใหม่สิ้นสุดลง โปรแกรมฟอร์ดแคร์ ประกอบด้วย โกลด์ แพ็กเกจ (Gold Package) ซึ่งจะให้การคุ้มครองที่ครอบคลุม 13 กลุ่มอะไหล่ ซึ่งนับเป็นชิ้นส่วนอะไหล่ของตัวรถมากกว่า 1,000 รายการ และครอบคลุมถึงระบบเครื่องเสียง และระบบไฮเทคโนโลยี เพื่อให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ติดมาพร้อมกับรถยนต์จากโรงงาน รวมถึงเคมีภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนอะไหล่ชิ้นนั้น และไดรฟไลน์ แพ็กเกจ (Driveline Package) จะให้ความคุ้มครองครอบคลุม 5 กลุ่มอะไหล่ โดยมุ่งเน้นความคุ้มครองในส่วนเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังโดยฟอร์ดได้ออกแบบความคุ้มครองของทั้งสองแพ็กเกจให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมของรถยนต์ฟอร์ดในปัจจุบัน โดยจุดเด่นของโปรแกรมฟอร์ดแคร์จะอยู่ที่ความหลากหลายของแพ็กเกจความคุ้มครองที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า โดยมีแพ็กเกจให้ลูกค้ารถยนต์ฟอร์ดได้เลือกสรรตามระยะความคุ้มครองที่หลากหลาย พิเศษรับทันทีส่วนลดมูลค่า 1,500 บาทจากราคาปกติ เมื่อเลือกซื้อโปรแกรมฟอร์ดแคร์ภายใน 31 ธันวาคม 2564 โปรแกรมฟอร์ดแคร์โดดเด่นด้วยสิทธิประโยชน์ที่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนนตลอด 24 ชั่วโมง นานสูงสุดถึง 7 ปี (ขึ้นอยู่กับระยะความคุ้มครองของแต่ละแพ็กเกจ) รวมถึงส่วนลดพิเศษ 15% สำหรับการซื้อโปรแกรมชุดน้ำมันเครื่อง และสำหรับโปรแกรมบำรุงรักษารถยนต์ตามระยะ พร้อมทั้งมอบความสะดวกยิ่งขึ้นด้วยการรับเอกสารความคุ้มครองในรูปแบบอิเล็คทรอนิกส์ ทั้งนี้ ลูกค้ารถใหม่สามารถนำราคาแพ็กเกจไปจัดยอดสินเชื่อรวมกับราคารถยนต์ได้ หรือสามารถเลือกผ่อนชำระค่าโปรแกรมฟอร์ดแคร์แบบ 0% นานสูงสุด 10 เดือนผ่านบัตรเครดิตธนาคารกสิกรไทยจำกัด (มหาชน) และบัตรเครดิตธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน) ได้ทุกแพ็กเกจ เฉพาะหน้าบัตรที่ร่วมรายการ โปรแกรมฟอร์ดแคร์ พร้อมจำหน่ายแล้วตั้งแต่วันนี้ (23 กันยายน 2564) ที่ผู้จำหน่ายฟอร์ด และศูนย์บริการมาตรฐานฟอร์ดทั่วประเทศ ลูกค้าที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการข้อมูลลูกค้าสัมพันธ์ฟอร์ด Ford Call Center โทร. 1383 หรือดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรแกรมฟอร์ดแคร์ได้ทางเว็บไซต์ https://www.ford.co.th/owner/ford-protect/fordcare/
Ford+ Innovator Scholarship 2021
ฟอร์ด ประเทศไทย ร่วมกับสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน (Population and Community Development Association – PDA) สถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม (Institute of Field Robotics – FIBO) และบริษัท ทีวีบูรพา จำกัดเดินหน้าเสริมแกร่งเยาวชนไทยพัฒนาความคิดเชิงนวัตกรรมพลังบวก จัดโครงการ Ford+ Innovator Scholarship 2021 เวทีประกวดโครงงานสิ่งประดิษฐ์ ในหัวข้อ นวัตกรรมพลังบวกเพื่อโลกที่น่าอยู่ (Plus For A Better World Challenge) ชิงทุนการศึกษาจำนวน 20 ทุน มูลค่ารวม 840,000 บาท ซึ่งในปีนี้ได้ขยายขอบเขตของการสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้ครอบคลุม 3 มิติ คือ นวัตกรรมเพื่อสุขภาพ นวัตกรรมเพื่อความปลอดภัยและภัยพิบัติ นวัตกรรมเพื่ออาชีพและธุรกิจสตาร์ทอัพ โดยนักศึกษาทั้งในระดับอาชีวศึกษาและอุดมศึกษาที่สนใจ สามารถสมัครเข้าร่วมโครงการเพื่อส่งผลงานได้ตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน – 31 ตุลาคม2564 คุณกมลชนก ประเสริฐสม ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท ฟอร์ดประเทศไทยและตลาดอาเซียน กล่าวว่า “ฟอร์ดให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อขับเคลื่อนสังคมให้ก้าวหน้า รวมถึงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์โดยเฉพาะเยาวชนนักคิดซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ที่จะมีส่วนสำคัญในการผลักดันและสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ตอบโจทย์และช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในสังคม โครงการที่เราจัดขึ้นในปีนี้มุ่งเน้นต่อยอดมอบโอกาสในนำความคิดสร้างสรรค์ของเยาวชนไปพัฒนาให้เกิดขึ้นได้จริง สะท้อนความมุ่งมั่นของฟอร์ด ประเทศไทย ในการพัฒนาเยาวชนให้เป็นนวัตกรรุ่นใหม่” ฟอร์ด ประเทศไทยได้สานต่อโครงการประกวดโครงงานสิ่งประดิษฐ์สำหรับเยาวชนมาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 โดยโครงการ Ford+ Innovator Scholarship 2021 ในปีนี้จะมุ่งเน้นที่การสนับสนุนความคิดสร้างสรรค์ที่มีโอกาสต่อยอดให้เกิดขึ้นได้จริง โดยเน้นการพัฒนาทักษะทางความคิดพร้อมทั้งเสริมประสบการณ์ให้แก่เยาวชนผู้สมัครเข้าร่วมโครงการ โดยได้รับความร่วมมือทั้งจากนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติจากสถาบัน FIBO ทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญจากฟอร์ด และผู้เชี่ยวชาญด้านการทำการตลาดบนโลกออนไลน์จากทีวีบูรพา เพื่อเสริมแกร่งเยาวชนไทยให้เป็นนวัตกรพลังบวก โดยนักศึกษาระดับอาชีวศึกษา และอุดมศึกษา ระดับปริญญาตรีสามารถส่งผลงานเข้าร่วมการแข่งขันภายใต้หัวข้อ‘นวัตกรรมพลังบวกเพื่อโลกที่น่าอยู่ (Plus For A Better World Challenge)’ ครอบคลุมถึง 3 มิติที่สอดรับกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ได้แก่ นวัตกรรมเพื่อสุขภาพ นวัตกรรมเพื่อความปลอดภัยและภัยพิบัติ และนวัตกรรมเพื่ออาชีพและธุรกิจสตาร์ทอัพ โดยทีมนักศึกษาที่ได้รับคัดเลือกจำนวน 10 โครงงาน จะได้รับการเสริมพลังความรู้ด้านการออกแบบนวัตกรรม การทำการตลาดออนไลน์ และการพัฒนาเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมยานยนต์ ผ่านคลาสฝึกอบรมออนไลน์ เพื่อให้สามารถนำความรู้ไปใช้ได้จริงในการปรับปรุงโครงงานที่จะนำเสนอในรอบตัดสิน โดยคณะกรรมการจะพิจารณาให้คะแนนโครงงานต่างๆ จากความคิดสร้างสรรค์ แนวโน้มในการนำโครงการไปพัฒนาต่อเป็นสิ่งประดิษฐ์เพื่อแก้ไขปัญหาหรือส่งเสริมคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้คนในสังคมได้จริง และไม่ซ้ำกับผลงานที่ได้รางวัลในปีที่ผ่านมา โครงการประกวดโครงงานสิ่งประดิษฐ์เสริมแกร่งนวัตกรพลังบวก Ford+ Innovator Scholarship 2021 จะมอบทุนการศึกษาแก่ผู้ชนะในรอบสุดท้าย พร้อมทุนพัฒนาโครงงานสำหรับสถาบันการศึกษา รวมทั้งสิ้น 840,000 บาท จำนวน 20 ทุน รางวัลประกอบด้วย ทุนการศึกษาสำหรับทีมระดับอาชีวศึกษาและสถาบันฯ รวม 10 ทุน (5 ทีม) และทุนการศึกษาสำหรับทีมระดับอุดมศึกษาและสถาบันฯ รวม 10 ทุน (5 ทีม) ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ รางวัลชนะเลิศ ระดับอาชีวศึกษาและระดับอุดมศึกษา อย่างละ 2 ทุน รวมเป็นเงิน 300,000 บาท ทีมนักศึกษาระดับอาชีวศึกษา: 1 ทุนการศึกษา มูลค่า 100,000 บาท พร้อมโล่รางวัลและเกียรติบัตร ทุนพัฒนาโครงงานสำหรับสถาบันการศึกษาระดับอาชีวศึกษาสำหรับทีมนักศึกษาที่ได้รับรางวัล: 1 ทุน มูลค่า 50,000 บาท ทีมนักศึกษาระดับอุดมศึกษา: 1 ทุนการศึกษา มูลค่า 100,000 บาท พร้อมโล่รางวัลและเกียรติบัตร ทุนพัฒนาโครงงานสำหรับสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาสำหรับทีมนักศึกษาที่ได้รับรางวัล: 1 ทุน มูลค่า 50,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 ระดับอาชีวศึกษาและระดับอุดมศึกษา อย่างละ 2 ทุน รวมเป็นเงิน 240,000 บาท ทีมนักศึกษาระดับอาชีวศึกษา : 1 ทุนการศึกษา มูลค่า 80,000 บาท พร้อมเกียรติบัตร ทุนพัฒนาโครงงานสำหรับสถาบันการศึกษาระดับอาชีวศึกษาสำหรับทีมนักศึกษาที่ได้รับรางวัล: 1 ทุน มูลค่า 40,000 บาท ทีมนักศึกษาระดับอุดมศึกษา : 1 ทุนการศึกษา มูลค่า 80,000 บาท พร้อมเกียรติบัตร ทุนพัฒนาโครงงานสำหรับสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาสำหรับทีมนักศึกษาที่ได้รับรางวัล: 1 ทุน มูลค่า 40,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 ระดับอาชีวศึกษาและระดับอุดมศึกษา อย่างละ 2 ทุน รวมเป็นเงิน 150,000 บาท ทีมนักศึกษาอาชีวศึกษา: 1 ทุนการศึกษา มูลค่า 50,000 บาท พร้อมเกียรติบัตร ทุนพัฒนาโครงงานสำหรับสถาบันการศึกษาอาชีวศึกษาสำหรับทีมนักศึกษาที่ได้รับรางวัล: 1 ทุน มูลค่า 25,000 บาท ทีมนักศึกษาอุดมศึกษา: 1 ทุนการศึกษา มูลค่า 50,000 บาท พร้อมเกียรติบัตร ทุนพัฒนาโครงงานสำหรับสถาบันการศึกษาอุดมศึกษาสำหรับทีมนักศึกษาที่ได้รับรางวัล: 1 ทุน มูลค่า 25,000 บา รางวัลชมเชย ระดับอาชีวศึกษาและระดับอุดมศึกษา อย่างละ 4 ทุน รวมเป็นเงิน 150,000 บาท ทีมนักศึกษาอาชีวศึกษา: 2 ทุนการศึกษา มูลค่าทุนละ 25,000 บาท พร้อมเกียรติบัตร ทุนพัฒนาโครงงานสำหรับสถาบันการศึกษาอาชีวศึกษาสำหรับทีมนักศึกษาที่ได้รับรางวัล: 2 ทุน ทุนละ 12,500 บาท ทีมนักศึกษาอุดมศึกษา: 2 ทุนการศึกษา มูลค่าทุนละ 25,000 บาท พร้อมเกียรติบัตร ทุนพัฒนาโครงงานสำหรับสถาบันการศึกษาอุดมสำหรับทีมนักศึกษาที่ได้รับรางวัล: 2 ทุน ทุนละ 12,500 บาท ผู้ที่สนใจสามารถส่งผลงานได้ทั้งแบบเดี่ยวและแบบทีม ทีมละไม่เกิน 5 คน โดยดาวน์โหลดใบสมัครและติดตามความเคลื่อนไหวของโครงการได้ทางเฟซบุ๊ก ฟอร์ด TVBurabha ทีวีบูรพา และสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน – PDAส่งใบสมัครพร้อมเอกสารโครงงานสิ่งประดิษฐ์ได้ตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน – 31 ตุลาคม 2564 ทางไปรษณีย์ที่ บริษัททีวีบูรพาจำกัดเลขที่ 246/8 ซอยโยธินพัฒนาแขวงคลองจั่นเขตบางกะปิ กรุงเทพฯ 10240 วงเล็บมุมซอง (Ford+ Innovator Scholarship 2021) พร้อมส่งไฟล์ข้อมูลสำรองมาที่ Email: pitchaya@tvburabha.com การประกาศผลงานที่เข้ารอบสุดท้าย10 ทีม (ระดับอาชีวศึกษา 5 ทีม และระดับอุดมศึกษา 5 ทีม) จะมีขึ้นในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2564 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการได้ที่ คุณพิชญา จงวัฒนาพรชัย (จอย) ที่โทร. 0-2158-6122 ต่อ 624 หรือ 089-479-6214 โทรสาร 0-2158-6141 Email: pitchaya@tvburabha.com
รอยัล เอนฟิลด์ Meteor 350 ครูซเซอร์ไบค์ที่ได้รับรางวัลมากที่สุด
รอยัล เอนฟิลด์ Meteor 350 ได้สร้างชื่อให้กับตัวเองในฐานะหนึ่งในรถจักรยานยนต์ประเภทครูซเซอร์ที่ได้รับรางวัลและคำชื่นชมมากที่สุดทั้งในประเทศอินเดียและต่างประเทศ Meteor 350 เป็นเหมือนตัวแทนของแก่นแท้ และจิตวิญญาณของการขับขี่แบบครูซที่แท้จริง ด้วยรูปทรงที่คลาสสิก รวมถึงดีไซน์ที่เหนือกาลเวลา Meteor 350 จึงเป็นรถจักรยานยนต์ประเภทครูซเซอร์พันธุ์ดีที่ใช้งานง่าย พร้อมสำหรับการขับขี่บนถนนใหญ่ทั้งในและนอกเมือง Meteor 350 คว้ารางวัลมากมายในหลายประเทศทั่วโลก อาทิ รางวัลเด่นอย่าง Indian Motorcycle of the Year 2021 (IMOTY), Bike of the Year by NDTV Car and Bike, Motorcycle of the Year by BBC Top Gear and Flywheel และ’Best Modern Classic Over 250cc’ (‘Best Modern Classic ขนาดเครื่องยนต์ 250cc ขึ้นไป’) ปี 2564 จาก Grand Prix Group ในประเทศไทย คุณวิมัล ซุมบ์ลี, หัวหน้าฝ่ายธุรกิจประจำภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก, รอยัล เอนฟิลด์ กล่าวถึงความสำเร็จของ Meteor 350 ว่า “รถจักรยานยนต์รอยัล เอนฟิลด์ได้รับความสนใจจากผู้คนมากมายทั่วโลก ตัวรถไม่เพียงแค่ยกระดับประสบการณ์การขับขี่ที่แท้จริงให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นเท่านั้น แต่ยังมอบความเพลิดเพลิน และความตื่นเต้นในการขับขี่ที่ไม่มีใครเทียบได้พร้อมความง่ายดาย และความสะดวกสบายในการขับขี่อีกด้วย นักขับมือใหม่ และนักขับมากประสบการณ์ต่างชื่นชอบMeteor 350 การเปิดตัว Meteor 350 เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ของเรา เพื่อตอบสนองความต้องการประสบการณ์การขับขี่แบบสบาย ๆ ในราคาที่เอื้อมถึงได้ง่ายขึ้นในกลุ่มรถจักรยานยนต์มิดเดิลเวท (middleweight) หลักของเรา ซึ่ง Meteor 350 ตอบโจทย์นี้ได้ดี และด้วย Meteor เราจึงก้าวไปได้อย่างมั่นคงในยุคทองของการขับขี่แบบครูซ อีกทั้งยังมั่นใจว่าเราจะเพิ่มจำนวนของผู้ขับขี่ที่หลงใหลในการขับขี่ที่แท้จริงให้มากขึ้นได้” รอยัล เอนฟิลด์ได้จัดหลากหลายกิจกรรมเสริมประสบการณ์การขับขี่ที่แตกต่างกันออกไปทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกหนึ่งในกิจกรรมดังกล่าวคือ Cruise Easy Days ซึ่งเป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อเจ้าของ Meteor 350 ทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกโดยเฉพาะ ประสบการณ์การขับขี่ที่ไม่เหมือนใครนี้มีจุดมุ่งหมายที่จะเริ่มต้นวัฒนธรรมรถจักรยานยนต์ประเภทครูซเซอร์ในประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะวัฒนธรรม “Easy Cruising” การจัดกิจกรรมทุกสัปดาห์ รวมถึงการมีปฏิสัมพันธ์กับชุมชนผู้ขับขี่เป็นประจำ ทำให้ลูกค้ารอยัล เอนฟิลด์ได้สัมผัสประสบการณ์การขับขี่ที่แตกต่าง และนับเป็นการสร้างแบรนด์ไปด้วยในขณะเดียวกัน มีลูกค้ารอยัล เอนฟิลด์จำนวนมากรู้สึกเพลิดเพลินกับกิจกรรม อีกทั้งหลาย ๆ คนก็พาคนมานั่งซ้อนท้ายด้วย หน้าปัดนำทางแบบ TBT (Turn-By-Turn) หรือที่รู้จักกันในชื่อ Royal Enfield Tripper ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ขับขี่ โดยเทคโนโลยีระบบนำทางนี้ไม่เพียงทำให้การเดินทางง่ายขึ้น แต่ยังทำให้ประสบการณ์การขับขี่สนุก และราบรื่นขึ้นอีกด้วย ตัวหน้าปัดนั้นเรียบง่าย แสดงผลได้ชัดเจน มีประสิทธิภาพ รวมถึงให้ข้อมูลอย่างไม่เป็นการรบกวนผู้ขับขี่ ในประเทศไทยมีลูกค้าใหม่จำนวนมากกำลังอัพเกรดเป็นประสบการณ์ “การขับขี่เพื่อการพักผ่อน” ทางไกลที่ทนทานของรอยัล เอนฟิลด์ ในฐานะแบรนด์รถจักรยานยนต์เพื่อการพักผ่อน รอยัล เอนฟิลด์ไม่ได้ต้องการเติบโตแค่ในด้านส่วนแบ่งการตลาดเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงด้านการเป็นแบรนด์ในใจผู้ที่ชื่นชอบการขับขี่รถจักรยานยนต์ด้วย รอยัล เอนฟิลด์ Meteor 350 ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้รถจักรยานยนต์ประเภทครูซเซอร์ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรถจักรยานยนต์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวทั้งเพื่อการขับขี่อย่างมีสไตล์ในเมือง และการออกไปผจญภัยสำรวจสถานที่ใหม่ ๆนอกเมือง #MissOutOnNothing #RoyalEnfield #PureMotorcycling #RidePure #120yearsofRoyalEnfield
คอนติเนนทอลร่วมพลังเดินหน้าเคียงข้างชุมชนสู้โควิด 19
บริษัท คอนติเนนทอล ออโตโมทีฟ แบงคอก จำกัด ผู้นำด้านเทคโนโลยียานยนต์ และบริษัทคอนติเนนทอล ไทร์ส(ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายยางรถยนต์คุณภาพจากประเทศเยอรมนี ภายใต้พันธกิจ ‘คอนติเนนทอล เคียงข้างชุมชน’ นำโดยผู้บริหารและพนักงานจิตอาสา ลงพื้นที่เพื่อทำการส่งมอบความช่วยเหลือต่างๆอย่างเป็นทางการ มร.วิกเนซ เดวาเซนาพาที ผู้จัดการโรงงาน บริษัท คอนติเนนทอล ไทร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนของกลุ่มบริษัทคอนติเนนทอลในประเทศไทย พร้อมด้วยตัวแทนพนักงาน ลงพื้นที่ส่งมอบสิ่งของบริจาค อาทิเช่นห้องน้ำที่ปรับปรุงเเล้วเสร็จ เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว 60 เครื่อง มื้ออาหารกลางวันเพื่อสุขภาพปรุงสำเร็จตามคำแนะนำของแพทย์ที่จะมีการนำไปแจกจ่ายรวมกว่า 3,000 กล่อง ตลอดเดือนสิงหาคม – ตุลาคม 2564 นอกจากการสนับสนุนในด้านต่างๆแล้ว กลุ่มบริษัทคอนติเนนทอลในประเทศไทย พร้อมด้วยพนักงานที่มีความประสงค์ ยังร่วมบริจาคเงินรวมเป็นจำนวนกว่า 80,000 บาท แก่ศูนย์พักคอยผู้ป่วย องค์การบริหารส่วนตำบลแม่น้ำคู้ จังหวัดระยอง โดยมีนายเสรี พันธุ์เจริญ ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลแม่น้ำคู้ พร้อมตัวแทนชุมชน เป็นผู้รับมอบ ‘คอนติเนนทอล เคียงข้างชุมชน’ เป็นพันธกิจเพื่อชุมชนที่เกิดขึ้นจากความตั้งใจและความสำนึกต่อการรับผิดชอบของสังคม ในการช่วยบรรเทาความเดือดร้อนจากโควิด 19 ที่ส่งผลกระทบต่อชุมชนพื้นที่ข้างเคียงโรงงานคอนติเนนทอล ไทร์สจังหวัดระยอง คอนติเนนทอล เป็นหนึ่งในกลุ่มบริษัทผู้พัฒนาเทคโนโลยีอัจฉริยะสำหรับผู้ใช้ยานยนต์ และผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ชั้นนำ ก่อตั้งขึ้นในปี 1871 คอนติเนนทอลนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีการพัฒนาอย่างยั่งยืน มีความปลอดภัยสูง พร้อมความสะดวกสบาย ปรับการใช้งานได้ตามความต้องการ และราคาเหมาะสม คอนติเนนทอลมียอดขายรวม 37.7 พันล้านยูโรในปี 2563 ปัจจุบัน คอนติเนนทอลมีพนักงานกว่า 235,000 คนใน 58 ประเทศทั่วโลก และก้าวเข้าสู่การเฉลิมฉลองปีที่ 150 ในปี 2564 นี้ ฝ่ายผลิตยางรถยนต์ มีฐานการผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์อยู่ 24 แห่งทั่วโลก ซึ่งในฐานะผู้นำทางการผลิตพร้อมด้วยพนักงานกว่า 56,000 คน สามารถทำยอดขายได้ถึง 10.2 พันล้านยูโร (€10.2 billion) ในปี 2563 คอนติเนนทอลถือเป็นผู้นำเทคโนโลยีด้านการผลิตยาง และมีผลิตภัณฑ์หลากหลาย ทั้งสำหรับรถยนต์ส่วนบุคคล พาหนะเพื่อการค้า และพาหนะสองล้อจากการลงทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อค้นคว้าและพัฒนา ผลิตภัณฑ์ของคอนติเนนทอลจึงทั้งปลอดภัย คุ้มราคา และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยขอบเขตงานของฝ่ายผลิตยางรถยนต์ยังรวมถึงบริการจัดจำหน่ายยาง แอปพลิเคชันจัดการยานพาหนะ รวมไปถึงระบบดิจิตอลในการซื้อขายยางสำหรับพาหนะด้วย
ดีซีวีที เปิดตัวรถบรรทุกฟูโซ่
บริษัท เดมเลอร์ คอมเมอร์เชียล วีฮีเคิลส์ (ประเทศไทย) จํากัด หรือดีซีวีที เปิดตัวพี่ใหญ่สำหรับงานขนส่งรถรุ่นTV3340S ในประเทศไทย ตอกย้ำการเป็นหนึ่งในบริษัทผู้นำการผลิตรถเพื่อการพาณิชย์ในเอเชีย ดีซีวีที ยังคงรุกเพื่อครองตำแหน่งทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่นำเข้ารถบรรทุกหัวลากฟูโซ่รุ่น TV3340S เมื่อปลายปี 2563 และขณะนี้รถบรรทุกหัวลากฟูโซ่รุ่นเรือธงนี้มีกำหนดเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ในตลาดหัวลากบรรทุกหนักและรถบรรทุกทางไกลของประเทศไทย คุณพัชรินทร์ อัศวเคนทร์กุล, Head of Network Development and Marketing ของดีซีวีที กล่าวว่า “TV3340S เป็นรถหัวลากบรรทุกหนักรุ่นเรือธงอีกรุ่นจากดีซีวีที นอกเหนือจากรุ่น FZ4928TT ของเราที่เป็นที่รู้จักในตลาดที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ เป็นการขยายตลาดการขนส่งทางไกลในประเทศไทย ลูกค้าของเราใน 20 จังหวัดทั่วประเทศ ได้ร่วมทดสอบสมรรถนะการขับขี่รถบรรทุกหัวลากฟูโซ่รุ่น TV3340S ซึ่งเราได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากผู้ที่ได้ทดลองขับ ทั้งในด้านประสิทธิภาพ ความสะดวกสบาย เทคโนโลยี และความปลอดภัย ซึ่งเป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญเป็นลำดับแรก ลูกค้าใหม่ทุกคนสามารถใช้บริการเต็มรูปแบบของเรา ไม่ว่าจะเป็น การจัดซื้อรถบรรทุก การให้คำปรึกษา บริการหลังการขาย รวมถึงการเช่าซื้อจากผู้จำหน่ายฟูโซ่อย่างเป็นทางการของเรา” คุณพัชรินทร์ กล่าวเสริม รถบรรทุกหัวลากฟูโซ่รุ่น TV3340S มาพร้อมกับหัวลากกำลัง 401 แรงม้า ระบบเกียร์ Automated Manual Transmission (AMT) หรือระบบเกียร์อัตโนมัติ ที่มีระบบส่งกำลังแบบเกียร์ธรรมดา ด้วยการทำงานที่เรียกว่า “Clutchless Manual” 12 สปีด และมีน้ำหนักบรรทุกรวมสูงสุด 50.5 ตันกำลังเครื่องยนต์ที่เพิ่มขึ้นช่วยให้สามารถขับขึ้นเนินได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ทำให้ RPM ลดลง ในขณะที่ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงอีกด้วย ระบบช่วงล่างแน่น เบาะคนขับแบบใหม่ที่ช่วยดูดซับแรงกระเทือนขณะขับขี่ไปยังผู้ขับ เพิ่มความนุ่มนวลและลดอาการเมื่อยล้าขณะขับขี่ มาพร้อมกับพวงมาลัยแบบใหม่ที่มีความแม่นยำในการควบคุมทิศทาง ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ขับขี่เมื่อต้องเข้าโค้งหรือเลี้ยวแคบภายในห้องโดยสารของรถบรรทุกหัวลากฟูโซ่ TV3340S มีดีไซน์ใหม่ที่ดูทันสมัย พร้อมเพิ่มจอแสดงผลที่แสดงข้อมูลการขับขี่ที่ทำให้เห็นข้อมูลการขับได้ง่ายแบบดิจิทัล ในขณะที่ดีไซน์ใหม่ยังช่วยลดเสียงรบกวนภายในห้องโดยสารเมื่อขับทางไกล” รถบรรทุกหัวลากฟูโซ่ TV3340S พร้อมให้คุณสัมผัส และทดสอบความแกร่งได้ที่โชว์รูมทั่วประเทศแล้ววันนี้ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมโทร. 02-059-5000 หรือติดต่อผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการของฟูโซ่ผ่านเฟซบุ๊ค FUSO Thailand Facebook, LINE official account: @fusothailand_dcvt หรือเว็บไซต์ www.dcvt.co.th
ฮอนด้า ซีวิค ใหม่ เจเนอเรชันที่ 11
แรงเกินกว่าใครจะตามทัน กวาดยอดจองทั่วประเทศกว่า 3,500 คัน หลังเปิดตัวเพียง 1 เดือนคาดครองอันดับหนึ่งเซกเมนต์คอมแพคท์ซีดานต่อเนื่องอีกปี บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เผยข้อมูลยอดจอง ฮอนด้า ซีวิค ใหม่ เจเนอเรชันที่ 11 ได้รับกระแสตอบรับอย่างดีเยี่ยม กวาดยอดจองทั่วประเทศกว่า 3,500 คัน หลังจากการเปิดตัวเพียง 1 เดือน ตอกย้ำความเป็นสปอร์ตพรีเมียมซีดานไอคอนที่ทุกคนรอคอย ที่มาสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับตลาดรถยนต์คอมแพคท์ซีดานไทยอีกครั้ง ด้วยสมรรถนะการขับขี่ที่ทรงพลังและประหยัดน้ำมัน โดยทุกรุ่นย่อยมาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์ VTEC TURBO 1.5 ลิตร ใหม่ที่รองรับพลังงานทางเลือก E85 และเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) คาดครองอันดับหนึ่งเซกเมนต์คอมแพคท์ซีดานต่อเนื่องอีกปี ความสำเร็จข้างต้น สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของฮอนด้าในการถ่ายทอดดีเอ็นเอความสปอร์ตอันเป็นเอกลักษณ์ของ ฮอนด้า ซีวิค ใหม่ ที่ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นในทุกด้านทั้งด้านดีไซน์และสมรรถนะการขับขี่ ครบครันด้วยฟังก์ชันการใช้งานที่ตอบโจทย์ และยังสะท้อนถึงความเชื่อมั่นและความไว้วางใจจากลูกค้าที่มีต่อผลิตภัณฑ์ของฮอนด้าอีกด้วย ฮอนด้า ซีวิค ใหม่ เจเนอเรชันที่ 11 ยกระดับประสบการณ์ความสมบูรณ์แบบในทุกมิติ โดดเด่นด้วยดีไซน์ภายนอกสปอร์ตพรีเมียมในทุกมุมมอง ภายในห้องโดยสารกว้างขวางสะดวกสบาย ให้ความแรงทรงพลังเร้าใจเกินใครในทุกรุ่นย่อย ด้วยขุมพลังเครื่องยนต์ VTEC TURBO 1.5 ลิตร ใหม่ พร้อมระบบเกียร์ CVT ให้กำลังสูงสุด 178 แรงม้า ให้อัตราการประหยัดน้ำมันดีเยี่ยม 17.2 กม./ลิตร และรองรับพลังงานทางเลือก E85 และมาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) ที่ยกระดับไปอีกขั้นกับระบบใหม่ ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (Lead Car Departure Notification System: LCDN) ครบครันด้วยเทคโนโลยีเพื่อความสะดวกสบายและเทคโนโลยีความปลอดภัยอันล้ำสมัย และสะดวกสบายแบบเหนือกว่ากับครั้งแรกของระบบควบคุมประตูแบบอัจฉริยะพร้อม Honda Smart Key Card (เฉพาะรุ่น RS) ลูกค้าที่สนใจสามารถเป็นเจ้าของ ฮอนด้า ซีวิค ใหม่ กับข้อเสนอพิเศษ ดอกเบี้ย 2.99% พร้อมฟรีประกันภัย 1 ปีและบัตรเติมน้ำมันมูลค่า 5,000 บาท เมื่อจองและรับรถตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564 – 30 กันยายน 2564 สัมผัส ฮอนด้า ซีวิค ใหม่ หรือสอบถามข้อมูลและข้อเสนอพิเศษเพิ่มเติมได้จากที่ปรึกษาการขายโชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ หรือแชทกับที่ปรึกษาการขายทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.honda.co.th หรือติดต่อศูนย์บริการข้อมูลฮอนด้า 24 ชั่วโมง โทร 0 2341 7777 หรืออ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.honda.co.th/civic ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถทดสอบสมรรถนะได้ที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ
OR BRIC Superbike ประเดิมสุดมันส์
ศึกซูเปอร์ไบค์สุดยิ่งใหญ่ของไทย “โออาร์ บีอาร์ไอซี ซูเปอร์ไบค์” เปิดฉากสนามแรกภายใต้มาตรการป้องกัน “โควิด-19” อย่างเข้มข้น เกมทุกรุ่นดวลสุดมันส์ “ติ๊งโน๊ต” ฐิติพงศ์ วโรกร จาก คาวาซากิ ไทยแลนด์ เรซซิ่ง ทีม คว้าชัยรุ่นใหญ่ ซูเปอร์ไบค์ 1,000 ซีซี, “ฟอง” คณาทัต ใจมั่น จาก ยามาฮ่า ไฮสปีด ผงาด ซูเปอร์สปอร์ต 600 ซีซี ขณะ “เจมส์” ชานนท์ ชุ่มใจ จาก ยามาฮ่า พีทีที บริดจสโตน อาร์ซีที เข้าวิน ซูเปอร์สต็อก 1,000 ซีซี หลังจบการแข่งขันที่ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ การแข่งขันจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์ประเทศไทย รายการ โออาร์ บีอาร์ไอซี ซูเปอร์ไบค์ 2021 เปิดฉากดวลความเร็วสนามแรกอย่างเป็นทางการเมื่อวันอาทิตย์ที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา โดยรุ่นใหญ่ที่สุดของประเทศไทยอย่าง ซูเปอร์ไบค์ 1,000…
Fisker & Bridgestone ผนึกกำลังสู่ความยั่งยืน
การผสานวิสัยทัศน์เพื่อความยั่งยืนแห่งการเดินทางสำหรับอนาคตระหว่าง บริษัท Fisker Inc. (ชื่อย่อในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก : FSR) (“Fisker”) ซึ่งเป็นผู้พัฒนาโซลูชั่นด้านการเดินทางขั้นสูงและเป็นผู้ผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่มีความยั่งยืนระดับโลก และบริดจสโตน ซึ่งเป็นผู้นำระดับโลกด้านผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์และผลิตภัณฑ์ยางอื่นๆด้วยการพัฒนาโซลูชั่นเพื่อความปลอดภัยและความยั่งยืนด้านการเดินทาง โดยได้ประกาศการเป็นพันธมิตรใหม่ร่วมกันFisker เลือกบริดจสโตนเป็นพันธมิตรด้านยางรถยนต์เพียงรายเดียวสำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า SUV Fisker Ocean ที่ทุกคนต่างตั้งตารอคอย Fisker Ocean จะเปิดตัวระดับโลกในปี 2564 ในงานแสดงรถยนต์ที่เมืองลอสแอนเจลิส โดยจะเริ่มผลิตในวันที่17พฤศจิกายน 2565 ด้วยการใช้วัสดุรีไซเคิลในหลายส่วนของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า Fisker Ocean รวมถึงการตกแต่งภายในที่ปราศจากผลิตภัณฑ์จากสัตว์ทั้งหมด ทั้งยังมีหลังคาที่ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ให้เลือกอีกด้วย Fisker Ocean จะใช้ผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ด้วยบริดจสโตน รุ่น Potenza Sport สำหรับรถยนต์ที่จำหน่ายในยุโรปและเฉพาะรุ่นที่จำหน่ายในอเมริกาเหนือ โดยผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษรุ่น Potenza Sport นี้จะช่วยมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ดีเยี่ยม เน้นไปที่การขับขี่ที่นุ่มสบายและความเสถียรของรถ นอกจากนี้ความต้านทานการหมุนของล้อต่ำ ซึ่งจะช่วยประหยัดพลังงานแบตเตอรี่ของรถ โดยจะใช้พลังงานน้อยลงสำหรับการขับเคลื่อนยางรถยนต์ ผลิตภัณฑ์ Bridgestone Potenza Sport นับเป็นยางรถยนต์รุ่นแรกที่ออกแบบเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ซึ่งเป็นยางสปอร์ตสมรรถนะสูงระดับพรีเมียมของบริดจสโตนด้วยการนำเทคโนโลยี ENLITEN ซึ่งเป็นการปฏิวัติวงการและสร้างความยั่งยืนให้กับยางรถยนต์ โดยเฉลี่ยแล้วเทคโนโลยี ENLITEN จะช่วยลดความต้านทานการหมุนของล้อได้ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ และลดน้ำหนักของล้อยางได้ถึง 20 เปอร์เซ็นต์1 ซึ่งเท่ากับลดวัตถุดิบที่ต้องใช้ในการผลิตยางรถยนต์แต่ละเส้นลงได้สูงสุดถึง 2 กิโลกรัม ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมทั้งในแง่ของการใช้ทรัพยากรและการจัดการผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้าย การใช้เทคโนโลยี ENLITEN เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยสนับสนุนให้ยางรถยนต์ของรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่น Ocean มีความต้านทานการหมุนของล้อต่ำ ขณะที่ดอกยางแบบสปอร์ตของผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์รุ่น Potenza Sport จะมอบประสบการณ์การขับขี่ที่มีประสิทธิภาพและมีความเสถียร นอกจากนี้ บริดจสโตนยังส่งมอบผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์ที่ตอบโจทย์ความต้องการสำหรับการขับขี่ทุกฤดูกาลด้วยรุ่นAlenza Sport โดยสำหรับ Fisker Ocean รุ่นที่จำหน่ายในอเมริกาเหนือ ในผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์รุ่น Alenza Sport จะได้รับการพัฒนาขึ้นโดยใช้เนื้อยางรุ่นใหม่ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเบรกบนถนนแห้ง การยึดเกาะบนถนนเปียก และปรับปรุงความต้านทานการหมุนของล้อ เพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่ได้โลดแล่นไปกับสมรรถนะสูงสุดของ Fisker Ocean ผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์สำหรับ Fisker Ocean นี้ได้รับการออกแบบจากเทคโนโลยีการพัฒนายางรถยนต์แบบ Virtual Tyre ที่ล้ำสมัยของบริดจสโตน ช่วยให้คาดการณ์สมรรถนะยางรถยนต์ได้อย่างแม่นยำโดยไม่ต้องผลิตออกมาจริง และย่นระยะเวลาทดสอบการใช้ยางจริงตั้งแต่ขั้นตอนแรกของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยีการพัฒนายางรถยนต์แบบ Virtual Tyre นี้ช่วยให้การพัฒนายางรถยนต์ยั่งยืนยิ่งขึ้น มีประสิทธิภาพ มีความถูกต้องแม่นยำ และยืดหยุ่นขึ้น โดยสามารถลดปริมาณการใช้วัตถุดิบและการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์2 และช่วยย่นระยะเวลาการพัฒนาผลิตภัณฑ์และสามารถเข้าสู่ตลาดได้เร็วขึ้นถึง 50 เปอร์เซ็นต์ การนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้ในโครงการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าจะช่วยสนับสนุนเป้าหมายของ Fisker Ocean ในการเป็นยานพาหนะที่มีความยั่งยืนที่สุดระดับโลก และยังช่วยส่งเสริมระยะเวลาการพัฒนาโครงการดังกล่าวให้เร็วขึ้นด้วย ก้าวข้ามอุปสรรคสู่อนาคตของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ในการแสวงหายางรถยนต์ที่เหมาะสม Fisker กล่าวว่าบริดจสโตนเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งซึ่งมีแนวทางเดียวกันในการมุ่งสู่ความยั่งยืน โดยเป็นการลงทุนตลอดทั้งห่วงโซ่การผลิตตั้งแต่การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ตลอดจนการผลิตและการจัดจำหน่ายเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น บริดจสโตนเพิ่งประกาศเมื่อไม่นานมานี้ว่าสาขาต่าง ๆ ที่อยู่ในยุโรป รวมถึงศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ในประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นสถานที่พัฒนายางรถยนต์สำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า Fisker Ocean และโรงงานที่เมืองพอซนาน ประเทศโปแลนด์ ซึ่งเป็นแหล่งผลิตยางรถยนต์รุ่นดังกล่าวจะใช้ไฟฟ้าที่มาจากแหล่งพลังงานทดแทนทั้งหมด เช่นเดียวกับโรงงาน Magna Steyr ที่จะผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า Fisker Ocean ในเมืองกราซ ประเทศออสเตรีย ก็จะเป็นโรงงานที่มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) อีกด้วย สำหรับบริดจสโตนแล้ว Fisker เป็นพันธมิตรที่เข้ามาเปลี่ยนโฉมธุรกิจ เพื่อการรองรับการใช้งานรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ด้วยการเป็นทั้งผู้บุกเบิกยางรถยนต์คุณภาพพรีเมียม การเป็นผู้พัฒนาเทคโนโลยีสำหรับยางรถยนต์และส่งมอบโซลูชั่นสำหรับการขนส่งและการเดินทาง ประกอบกับการพัฒนาเครือข่ายบริการและการจัดจำหน่ายที่พร้อมสำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า บริดจสโตนจึงทำการลงทุนเพื่อช่วยให้การเดินทางด้วยรถยนต์พลังงานไฟฟ้ามีประสิทธิภาพและเข้าถึงได้มากขึ้นสำหรับผู้ขับขี่ทุกราย และ Fisker ก็มีเป้าหมายที่คล้ายคลึงกัน โดยกำหนดราคารถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นOcean ที่จะเข้าสู่ตลาดสหรัฐอเมริกาในราคาเริ่มต้นที่ 37,499 ดอลลาร์สหรัฐ (ราคานี้ไม่รวมในส่วนรายละเอียดอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า) และไม่เกิน 32,000 ยูโรในเยอรมนี (รวมภาษีและเงินอุดหนุนที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า) การทดสอบรถต้นแบบของ Fisker Ocean จะเริ่มขึ้นในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2564 ผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์ของบริดจสโตนที่ออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อตอบโจทย์ตามความต้องการของรถรุ่นดังกล่าว มี 2 ขนาด คือ 255/50 R20 และ 255/45R22 โดยที่ยางรถยนต์ขนาด 22 นิ้ว จะได้รับการปรับแต่งเพื่อการควบคุมที่สมดุลแบบสปอร์ตมากยิ่งขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการในการยกระดับสมรรถนะการขับขี่ของ Fisker Ocean
สาวก VELLFIRE ไม่ควรพลาด 30 กันยา นี้เท่านั้น
รีบจับจองก่อนเป็นเพียงรถในตำนาน พร้อมข้อเสนอสุดพิเศษจากแคมเปญ “ETON EASY PAY” ผ่อนหนักให้เป็นเบา ให้คุณเซฟ ช่วยคุณประหยัด ETON Group (อีตั้น กรุ๊ป) ผู้นำอันดับหนึ่งด้านยนตรกรรมนำเข้า สำหรับครอบครัวและผู้บริหาร พร้อมศูนย์บริการมาตรฐานครบวงจรมากกว่า 27 ปี นำโดย คุณอัจฉรีย์ ตันติยันกุล ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด กล่าวว่า “ตามที่ได้รับข่าวจากประเทศญี่ปุ่น เรื่องการหยุดผลิตรถยนต์อเนกประสงค์ขนาดใหญ่ Vellfire ทุกรุ่น และรวมไปถึงรถยนต์อเนกประสงค์รุ่นอื่นๆ อย่าง Voxy และ Esquire ที่มีข่าวเรื่องการหยุดผลิตรถยนต์เช่นเดียวกัน ใครที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของรถยนต์ดังกล่าวหรือใครที่กำลังมองหา สนใจจับจองเป็นเจ้าของอยู่ รอช้าไม่ได้แล้ว รีบจองด่วน ก่อนที่จะกลายเป็นรถในตำนาน ซึ่งสำหรับ Vellfire ทางอีตั้น กรุ๊ปยังคงมีสต็อกสินค้าพร้อมส่ง (จำนวนจำกัด) และสำหรับ Voxy และ Esquire ลูกค้ายังสั่งจองสินค้าได้ถึงสิ้นปี 2564 นี้เท่านั้น!! อีตั้น กรุ๊ปยังมาพร้อมกับข้อเสนอสุดพิเศษ การันตีความถูกและความคุ้มค่า ผ่อนหนักให้เป็นเบา ให้คุณเซฟ ช่วยคุณประหยัด แคมเปญ “ETON EASY PAY” ที่พร้อมให้คุณรับรถได้เลยทันที ไม่ต้องรอ เพื่อให้คุณได้เป็นเจ้าของได้ง่ายๆ กับราคาที่คุณเอื้อมถึง ขนขบวนรถยนต์เอนกประสงค์หลากหลายรุ่น ที่จัดแคมเปญพิเศษ มาให้เลือกตามความต้องการของลูกค้า” ในกลุ่มรถยนต์อเนกประสงค์ ขนาดใหญ่ –Vellfire ZG ตัวท็อปเบนซิน ออฟชั่นเต็ม รีบจอง ก่อนที่จะกลายเป็นตำนาน จำนวนจำกัด หมดแล้ว หมดเลย เพียงแค่ 3.12 ล้านบาทเท่านั้น –Vellfire 2.5 Z กับความสปอร์ตอยู่ในตัว สุดคุ้มค่า ในราคาสุดประหยัด พร้อมการบำรุงรักษาสบายกระเป๋า ราคาพิเศษเพียง 2.99 ล้านบาท เท่านั้น! –Alphard GF Hybrid ตัวท็อปภายในสีเบจ ความหรูหราและความสง่างาม ที่พร้อมให้คุณสัมผัสกับความประหยัดน้ำมันและปลอดภัยขั้นสูงสุดกับ พร้อมส่วนลดกว่า 200,000 บาท พร้อมเงื่อนไขพิเศษ มีรถพร้อมส่งมอบ กลุ่มรถยนต์อเนกประสงค์ ขนาดกลาง –Voxy ZS Rojam Edition Mini MPV สปอร์ต คล่องตัวกับชุดแต่งจากญี่ปุ่น Rojam ราคาพิเศษสุดๆ ดาวน์เริ่มต้น 260,000 บาท –Esquire Hybrid GI รถครอบครัวสุดประหยัด ที่มาพร้อมกับความปลอดภัยเต็มพิกัด มีรถพร้อมส่งมอบ ผ่อนเพียง23,XXX บาท/เดือน มีรถพร้อมส่งมอบ พร้อมราคาสุดพิเศษ ทั้งนี้อีตั้น กรุ๊ป ปรับเวลาการให้บริการทั้งในส่วนของโชว์รูมและศูนย์บริการ (เฉพาะสาขาในกรุงเทพฯ) เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าเข้ามาใช้บริการ ฝ่ายขาย สาขาศรีนครินทร์ และสาขารัชดาภิเษก เปิดบริการทุกวัน จันทร์ – อาทิตย์ เวลา 8.30 น. – 17.30 น. โดยศูนย์บริการ เปิดบริการทุกวัน จันทร์ – เสาร์ เวลา 7.30 น. – 17.30 น. / อาทิตย์ เวลา8.30 น. – 17.30 น. นอกจากนี้สถานการณ์เชื้อไวรัสยังคงระบาดอยู่เป็นจำนวนมาก อีตั้น กรุ๊ปยังห่วงใยและใส่ใจความปลอดภัยของลูกค้าเป็นสำคัญ เราจึงยังคงรักษามาตรการป้องกัน และเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจได้เสมอเมื่อเข้ามาใช้บริการทั้งส่วนของโชว์รูม และศูนย์บริการ -บริการส่งมอบรถถึงบ้านทั่วไทย และ บริการฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง ฟรี -บริการให้คำปรึกษาผ่านช่องทาง Online -บริการอบโอโซน และฆ่าเชื้อภายในรถยนต์ทุกคันก่อนส่งมอบ ฟรี -บริการ “ETON Onsite Service” บริการรับ-ส่งรถถึงบ้านคุณ ส่งซ่อม เข้าเช็คระยะ ซ่อมสีและตัวถัง -นัดหมายล่วงหน้าที่เบอร์ 02-721-1222 ต่อ 120 แฟนพันธุ์แท้ Vellfire ไม่ควรพลาด กับข้อเสนอดีๆ มาพร้อมกับแคมเปญพิเศษ “ETON EASY PAY” รีบจับจองด่วน หมดเขต 30 กันยายน 2564 เท่านั้น!! ทั้งนี้ ท่านที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โชว์รูมของอีตั้น กรุ๊ป ทั้ง 4 สาขาทั่วประเทศ ได้แก่สำนักงานใหญ่ศรีนครินทร์ สาขารัชดาภิเษก สาขาเชียงใหม่ และสาขาขอนแก่น เปิดบริการทุกวันจันทร์ถึงวันอาทิตย์ตั้งแต่เวลา 08.30 – 17.30 น. หรือติดต่อเบอร์ 0-2789-9998 www.eton-import.com