ตลาดรถยนต์เดือนสิงหาคม 2564 มีปริมาณการขาย 42,176 คัน ลดลง 38.8% โดยตลาดรถยนต์นั่งมีอัตราการเติบโตลดลง 35% ตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์มีอัตราการเติบโตลดลง 40.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาสืบเนื่องจากความวิตกกังวลต่อภาวะการระบาดของไวรัส COVID-19 ซึ่งเป็นการระบาดของสายพันธุ์ Delta ที่แพร่กระจายได้เร็วกว่าสายพันธุ์เดิม โดยจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ศูนย์บริหารสถานการณ์การโควิด-19 (ศบค.)ขยายพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดมากขึ้น เพื่อควบคุมการระบาดของไวรัส COVID-19 ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน และภาคธุรกิจต่างๆ ส่งผลให้ผูบริโภคส่วนใหญ่มีความวิตกกังวลต่อสถานการณ์ภายในประเทศและรัดกุมเรื่องการใช้จ่ายมากยิ่งขึ้น ประกอบกับช่วงฤดูฝนซึ่งเป็นช่วง Low season ที่เป็นอุปสรรคสำคัญในการขายรถยนต์อีกด้วย ตลาดรถยนต์ในเดือนกันยายนมีแนวโน้มดีขึ้น เนื่องจากความกังวลต่อสถานการณ์การระบาดของไวรัส COVID-19 รวมทั้งการออกมาตรการควบคุมการระบาดของไวรัส COVID-19 เป็นปัจจัยสำคัญที่กระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้ต้องชะลอ หรือเลื่อนกำหนดการออกไป รวมไปถึงสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัดทำให้ประชาชนเดือดร้อนด้วยหลายเหตุปัจจัยต่างๆ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อเศรษฐกิจโดยรวม และกระทบความสามารถในการซื้อรถยนต์ของลูกค้าด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ดียังมีความหวังว่าสถานการณ์ต่างๆ จะฟื้นตัวดีขึ้นจากความพยายามของภาครัฐในการแก้ไขปัญหา และการประกาศผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ที่จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564 รวมทั้งมาตรการทางเศรษฐกิจ ที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน กระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างกำลังซื้อของผู้บริโภคให้ฟื้นคืนกลับมาโดยเร็ว คุณสุรศักดิ์ สุทองวัน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด รายงานสถิติการขายรถยนต์ประจำเดือนสิงหาคม 2564 ชะลอตัวทุกเซ็กเมนท์ในช่วง Low Season โดยมียอดขายรวมทั้งสิ้น 42,176 คันลดลง 38.8%ประกอบด้วย รถยนต์นั่ง 13,845 คัน ลดลง 35% รถยนต์เพื่อการพาณิชย์ 28,331 คัน ลดลง 40.5% ขณะที่ รถกระบะขนาด 1 ตัน ในเซกเมนท์นี้ มีจำนวน 21,875 คัน ลดลง 40.9% ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ เดือนสิงหาคม 2564 1.ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 42,176 คัน ลดลง 38.8% อันดับที่ 1 โตโยต้า 12,364 คัน ลดลง 42.8% ส่วนแบ่งตลาด 29.3% อันดับที่ 2 อีซูซุ 11,035 คัน ลดลง 33.4% ส่วนแบ่งตลาด 26.2% อันดับที่ 3 ฮอนด้า 5,345 คัน ลดลง 37.9% ส่วนแบ่งตลาด 12.7% 2.ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 13,845 คัน ลดลง 35% อันดับที่ 1 ฮอนด้า 4,906 คัน ลดลง 30.9% ส่วนแบ่งตลาด 35.4% อันดับที่ 2 โตโยต้า 3,694 คัน ลดลง 30.0% ส่วนแบ่งตลาด 26.7% อันดับที่ 3 มาสด้า 1,061 คัน ลดลง 49.6% ส่วนแบ่งตลาด 7.7% 3.ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 28,331 คัน ลดลง 40.5% อันดับที่ 1 อีซูซุ 11,035 คัน ลดลง 33.4% ส่วนแบ่งตลาด 39.0% อันดับที่ 2 โตโยต้า 8,670 คัน ลดลง 46.9% ส่วนแบ่งตลาด 30.6% อันดับที่ 3 ฟอร์ด 2,012 คัน ลดลง 23.3% ส่วนแบ่งตลาด 7.1% 4.ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV*) ปริมาณการขาย 21,875 คัน ลดลง 40.9% อันดับที่ 1 อีซูซุ 9,638 คัน ลดลง 36.9% ส่วนแบ่งตลาด 44.1% อันดับที่ 2 โตโยต้า 7,754 คัน ลดลง 42.8% ส่วนแบ่งตลาด 35.4% อันดับที่ 3 ฟอร์ด 2,012 คัน ลดลง 23.3% ส่วนแบ่งตลาด 9.2% ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง (ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน) 2,487 คัน โตโยต้า 1,114 คัน – อีซูซุ 687 คัน – มิตซูบิชิ 278 คัน – ฟอร์ด 250 คัน – นิสสัน 158 คัน 5.ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 19,388 คัน ลดลง 41.7% อันดับที่ 1 อีซูซุ 8,951 คัน ลดลง 39.8% ส่วนแบ่งตลาด 46.2% อันดับที่ 2 โตโยต้า 6,640 คัน ลดลง 43.8% ส่วนแบ่งตลาด 34.2% อันดับที่ 3 ฟอร์ด 1,762 คัน ลดลง 15.7% ส่วนแบ่งตลาด 9.1% สถิติการจำหน่ายรถยนต์ เดือนมกราคม – สิงหาคม 2564 1.ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 467,809 คัน เพิ่มขึ้น 2.4% อันดับที่ 1 โตโยต้า 146,589 คัน เพิ่มขึ้น 9.9% ส่วนแบ่งตลาด 31.3% อันดับที่ 2 อีซูซุ 117,880 คัน เพิ่มขึ้น 9.1% ส่วนแบ่งตลาด 25.2% อันดับที่ 3 ฮอนด้า 55,018 คัน ลดลง 1.7% ส่วนแบ่งตลาด 11.8% 2.ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 150,885 คัน ลดลง 5.4% อันดับที่ 1 ฮอนด้า 47,557 คัน เพิ่มขึ้น 1.5% ส่วนแบ่งตลาด 31.5% อันดับที่ 2 โตโยต้า 37,864 คัน ลดลง 5.9% ส่วนแบ่งตลาด 25.1% อันดับที่ 3 มาสด้า 13,235 คัน ลดลง 9.4% ส่วนแบ่งตลาด 8.8% 3.ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 316,924 คัน เพิ่มขึ้น 6.6% อันดับที่ 1 อีซูซุ 117,880 คัน เพิ่มขึ้น 9.1% ส่วนแบ่งตลาด 37.2% อันดับที่ 2 โตโยต้า 108,725 คัน เพิ่มขึ้น 16.7% ส่วนแบ่งตลาด 34.3% อันดับที่ 3 ฟอร์ด 20,429 คัน เพิ่มขึ้น 24.1% ส่วนแบ่งตลาด 6.4% 4.ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน (Pure Pick up และ PPV) ปริมาณการขาย 246,625 คัน เพิ่มขึ้น4.4% อันดับที่ 1 อีซูซุ 107,060 คัน เพิ่มขึ้น 6.9% ส่วนแบ่งตลาด 43.4% อันดับที่ 2 โตโยต้า 92,458 คัน เพิ่มขึ้น 15.2% ส่วนแบ่งตลาด 37.5% อันดับที่ 3 ฟอร์ด 20,429 คัน เพิ่มขึ้น 24.1% ส่วนแบ่งตลาด 8.3% ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง (ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน) 33,123 คัน โตโยต้า 14,525 คัน – อีซูซุ 11,022 คัน – มิตซูบิชิ 4,204 คัน – ฟอร์ด 3,015 คัน – นิสสัน 357 คัน 5.ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 213,502 คัน เพิ่มขึ้น 0.5% อันดับที่ 1 อีซูซุ 96,038 คัน ลดลง 0.3% ส่วนแบ่งตลาด 45.0% อันดับที่ 2 โตโยต้า 77,933 คัน เพิ่มขึ้น 9.9% ส่วนแบ่งตลาด 36.5% อันดับที่ 3 ฟอร์ด 17,414 คัน เพิ่มขึ้น 30.0% ส่วนแบ่งตลาด 8.2% …
Author: GIANT Autosawasdee
HONDA COME BACK
“ฮอนด้า” คัมแบ็กโพเดี้ยม “เบาติสต้า” แซงระห่ำคว้าที่ 3 เวิลด์ ซูเปอร์ไบค์ สนาม 10 อัลวาโร่ เบาติสต้า ยอดนักบิดสแปนิชจาก ทีม เอชอาร์ซี สร้างผลงานสุดร้อนแรงควบรถแข่ง Honda CBR1000RR-R หมายเลข 19 สตาร์ทกริดที่ 8 แซงระห่ำผงาดคว้าโพเดี้ยมอันดับ 3 ในศึก เวิลด์ ซูเปอร์ไบค์ แชมเปี้ยนชิพ สนาม 10 เรซที่ 2 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ที่ เซอร์กิโต เดเฆเรซ ประเทศสเปน ศึกจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก รายการ เวิลด์ ซูเปอร์ไบค์ แชมเปี้ยนชิพ 2021 สนาม 10 ต้องยกเลิกการแข่งขันในวันเสาร์เนื่องจากความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับนักบิดวัย 15 ปีชาวสแปนิชอย่าง ดีน เบร์ตา บีลาเลส ซึ่งเกิดอุบัติเหตุในรุ่น เวิลด์ ซูเปอร์สปอร์ต 300 ซีซี จนเสียชีวิตในช่วงค่ำของวันดังกล่าว โดยฝ่ายจัดการแข่งขันต้องยกเรซมาดวลกันในวันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน ที่ผ่านมา ซึ่งผลปรากฏว่า เบาติสต้า คว้าอันดับ 5 ในเรซแรกมาครอง ด้วยเวลาตามหลังผู้ชนะ 8.652 วินาที ส่วนทีมเมทชาวอังกฤษอย่าง ลีออน ฮาสลัม พารถแข่งหมายเลข 91 เข้าป้ายในอันดับ 11 ตามหลังแชมป์ 24.783 วินาที ส่วนในเรซที่ 2 ซึ่งดวลกันในช่วงค่ำตามเวลาประเทศไทย เบาติสต้า ที่แม้จะออกตัวจากกริดที่ 8 แต่สร้างผลงานสุดร้อนแรง ไล่แซงคู่แข่ง ทะยานเข้าป้ายอันดับ 3 คว้าโพเดี้ยมให้กับทีมได้อย่างยิ่งใหญ่ ตามหลังแชมป์เพียง 4.247 วินาที ส่วนฮาสลัม จบการแข่งขันในอันดับ 12 ตามหลังผู้ชนะ 27.266 วินาที ผ่านการแข่งขัน 10 สนาม เบาติสต้า ขยับขึ้นมารั้งอันดับ 9 บนตารางแชมเปี้ยนชิพ มีทั้งสิ้น 169 คะแนน ส่วน ฮาสลัมรั้งอันดับ 13 มี 104 คะแนน โดยสนามถัดไปของศึก เวิลด์ ซูเปอร์ไบค์ แชมเปี้ยนชิพ 2021 จะดวลความเร็วกันที่ อัลการ์ฟอินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ประเทศโปรตุเกส ระหว่างวันที่ 1-3 ตุลาคมนี้ พร้อมติดตามข่าวสารของนักบิดฮอนด้าได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ เรซ ทู เดอะ ดรีม : www.facebook.com/HondaRacingTeamTH #WhatStopsYou #มุ่งไปอย่าให้อะไรมาหยุด #Honda #HRC #WSBK #CBR1000RRR #RaceToTheDream #HondaRacingThailand #MotorSport
YAMAHA โปรแรง….กับของมันต้องมี
YAMAHA MT-07 ควงคู่ YAMAHA TMAX #MT07 #TMAX #Yamaha #YamahaRidersclub #Yamahasocity #Naked #scooter #Bigscooter ??????
เหตุผลที่ มิตซูบิชิ แอททราจ และมิราจ เป็นซิตี้คาร์ที่เหมาะสำหรับไลฟ์สไตล์ในยุคชีวิตวิถีใหม่
นับจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้การใช้ชีวิต การทำงาน และการเดินทางสัญจรของเราไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป การดำเนินชีวิตทั้งหมดของเรามีการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่เราเรียกว่า ‘ความปกติใหม่’ หรือ ‘New Normal’ เราต้องเพิ่มการป้องกันตนเองในด้านสุขอนามัย และการเว้นระยะห่างทางสังคมเมื่ออยู่ในพื้นที่สาธารณะ พร้อมความเปลี่ยนแปลงในด้านการเดินทางสัญจร ที่ต้องหลีกเลี่ยงจากระบบขนส่งมวลชนที่ผู้ใช้บริการอย่างแออัด จึงส่งผลให้การเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนบุคคลมีความจำเป็นและสำคัญเพิ่มมากขึ้น และนี่คือ 5 เหตุผลที่ยืนยันว่าเพราะเหตุใด มิตซูบิชิ แอททราจ และมิราจ จึงเป็นซิตี้คาร์ที่เหมาะสำหรับไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ในช่วงเวลาแบบชีวิตวิถีใหม่นี้ 1.การเดินทางที่เหมาะสมในยุค ‘ชีวิตวิถีใหม่’ ถึงแม้ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยมีแนวโน้มที่ชะลอตัว แต่การเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนบุคคลกลับมีความสำคัญมากขึ้นเนื่องจากมีความปลอดภัยและเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในยุค ‘ชีวิตวิถีใหม่’ ที่ผู้คนต่างต้องรักษาระยะห่างทางสังคม เพื่อตอบสนองความต้องการรถยนต์ส่วนบุคคลที่เพิ่มสูงขึ้น มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย จึงขอแนะนำวิธีการเดินทางที่ชาญฉลาด ปลอดภัย และคุ้มค่าด้วย มิตซูบิชิ แอททราจ และมิราจ รถยนต์ซิตี้คาร์ที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้แก่คนเมืองในทุกช่วงอายุที่กำลังมองหาวิธีการเดินทางที่สะดวกสบายและคุ้มค่า มิตซูบิชิ แอททราจ และมิราจ ได้รับการออกแบบให้ตัวรถมีขนาดรถที่พอเหมาะสม มีความคล่องตัว และยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.2 ลิตร DOHC พร้อมระบบวาล์วแปรผัน MIVEC ที่ให้ความประหยัดและมีประสิทธิภาพสูงสุด 2.ครบครันด้วยสมาร์ทฟังก์ชั่นและเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ทันสมัย มิตซูบิชิ แอททราจ และมิราจ โดดเด่นด้วยฟังก์ชั่นอำนวยความสะดวกที่ครบครันสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันและการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงสุดสัปดาห์ ซิตี้คาร์ทั้งสองรุ่นมาพร้อมกับหน้าจอระบบสัมผัส Smartphone – Link Display Audio (SDA) ขนาด 7 นิ้ว ใหม่ ที่สามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนและรองรับระบบแอปเปิล คาร์เพลย์ พร้อมระบบสั่งการด้วยเสียง Siri และการเชื่อมต่อด้วยระบบบลูทูธ มิตซูบิชิ แอททราจ และมิราจ ยังครบครันและสะดวกสบายด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากมายเทียบเท่ากับรถซีดานระดับบน อาทิ ระบบล็อกความเร็วบนพวงมาลัย ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ ระบบกุญแจอัจฉริยะ KOS พร้อมปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ กล้องมองภาพหลังขณะถอยจอด กระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติ และระบบไฟหน้าอัตโนมัติ มิตซูบิชิแอททราจ และมิราจ ครบครันด้วยเทคโนโลยีระบบความปลอดภัยที่ทันสมัย ได้แก่ ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรงพร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว (FCM-LS) ระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะเมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็วเฉพาะด้านหน้า (RMS-Forward) ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (HSA) ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (ASC) และระบบป้องกันการลื่นไถล (TCL) มิตซูบิชิ แอททราจ และมิราจ มาพร้อมกับถุงลมนิรภัยคู่หน้าสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหน้ารวมถึงระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรก (ABS) พร้อมระบบกระจายแรงดันน้ำมันเบรกอิเล็กทรอนิกส์ (EBD) และระบบเสริมแรงเบรก (BA) ซึ่งทำงานประสานกันเพื่อมอบความมั่นใจให้ผู้ขับขี่บนทุกเส้นทาง รถยนต์ทั้งสองรุ่นยังติดตั้งระบบไฟกะพริบฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน (ESS) อีกด้วย 3.มั่นใจได้ทุกการขับขี่ รถยนต์ทุกรุ่นของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย มาพร้อมกับความมั่นใจทั้งในด้านคุณภาพ และค่าใช้จ่ายด้านบริการหลังการขายที่เหมาะสมภายใต้สโลแกน ‘เราดูแล คุณแค่ขับ’ ที่พร้อมให้บริการแก่ลูกค้าด้วยผู้จำหน่ายทั่วประเทศกว่า 240 แห่ง ด้วยการให้บริการที่ได้มาตรฐาน คุณภาพอะไหล่แท้ ให้บริการด้วยเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญและผ่านการฝึกอบรม ตลอดจนความสะดวกสบายในการเข้ารับบริการด้วยเครือข่ายผู้จำหน่ายที่ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ พร้อมกันนี้ลูกค้ายังจะได้รับแพ็คเกจบริการหลังการขาย ‘Mitsubishi Service Package’ประกอบด้วย ฟรีค่าบริการเช็คระยะ 5 ปี และฟรีบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 5 ปี โดยบริษัทฯ พร้อมยกระดับมาตรฐานการให้บริการหลังการขายเพิ่มขึ้นด้วยการมอบการรับประกัน 5 ปี และฟรีค่าแรงอีก 5 ปี ให้เป็นการรับประกันมาตรฐาน หรือมั่นใจยิ่งขึ้นด้วยออฟชั่นพิเศษ โปรแกรมขยายการรับประกันคุณภาพ Warranty Plus นานสูงสุดรวม 7 ปี เพื่อช่วยเพิ่มความมั่นใจให้แก่ลูกค้ามากยิ่งขึ้นด้วยค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาที่ไม่แพง และราคาขายต่อที่เหมาะสม 4.รางวัลการันตีความสำเร็จ มิตซูบิชิ แอททราจ และมิราจ สามารถคว้ารางวัล รถยนต์อีโคคาร์ 4 ประตู ราคาคุ้มค่ายอดเยี่ยม และรางวัล รถยนต์อีโคคาร์ ประหยัดน้ำมันยอดเยี่ยม ตามลำดับ โดยรถยนต์ซิตี้คาร์ทั้งสองรุ่นยังคงครองตำแหน่งรถยนต์ที่ได้รับรางวัลดังกล่าวมากที่สุดในเซกเมนต์จากการประกวดรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปีที่จัดขึ้นโดย บริษัทกรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเจ็ดรางวัลรถยอดเยี่ยมแห่งปี 2564 ที่ มิตซูบิชิ มอเตอร์สประเทศไทย ได้รับในปี 2564 นี้ ซึ่งครอบคลุมรถยนต์ทุกรุ่นที่จำหน่ายในประเทศไทย สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ที่มุ่งมั่นนำเสนอรถยนต์ที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าชาวไทย ทั้งในด้านสมรรถนะ ความปลอดภัย และคุณภาพ 5.ร่วมกันช่วยเหลือสังคมของพวกเรา ลูกค้าสามารถเลือกซื้อรถยนต์ มิตซูบิชิ ซิตี้คาร์ เพื่อการเดินทางที่คุ้มค่าพร้อมมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือสังคม เนื่องในโอกาสฉลองการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยครบ 60 ปี ของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ลูกค้าทุกท่านสามารถมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนของเราในแบบที่ยั่งยืน ด้วยการซื้อรถยนต์ มิตซูบิชิแอททราจ และมิราจ ‘สเปเชียล เอดิชั่น’ โดยบริษัทฯ จะบริจาคเงินจำนวน 2,000 บาทต่อคัน เพื่อร่วมบริจาคเงินให้แก่องค์กรการกุศลต่างๆ ตามปณิธาน 3 หัวข้อหลัก ได้แก่ ด้านการศึกษา ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านสุขอนามัยและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของคนไทย มิตซูบิชิ แอททราจ และมิราจ ยังคงมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ยอดเยี่ยมและตอบโจทย์ทุกการใช้งานด้วยคุณสมบัติที่เหนือกว่าและครบครันทั้งในด้านเทคโนโลยีระบบความปลอดภัย อุปกรณ์อำนวยความสะดวก พร้อมด้วยความมั่นใจในการขับขี่และยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยรถยนต์ซิตี้คาร์ทั้งสองรุ่นนี้ยังได้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยสร้างแรงบันดาลใจและร่วมค้นหาความสำเร็จใหม่ๆ ภายใต้แนวคิดแบรนด์ระดับโลก ‘Drive your Ambition’ มิตซูบิชิ มอเตอร์สประเทศไทย ขอนำเสนอรถยนต์ซิตี้คาร์ทั้ง มิตซูบิชิ แอททราจ และมิราจ รุ่นต่างๆ ดังนี้ ราคาจำหน่ายของมิตซูบิชิ แอททราจ มิตซูบิชิ แอททราจ ACTIVE (M/T) 494,000 บาท มิตซูบิชิ แอททราจ ACTIVE 529,000 บาท มิตซูบิชิ แอททราจ Special Edition 543,000 บาท มิตซูบิชิ แอททราจ SMART 584,000 บาท ราคาจำหน่ายของมิตซูบิชิ มิราจ มิตซูบิชิ มิราจ ACTIVE (M/T) 474,000 บาท มิตซูบิชิ มิราจ ACTIVE 509,000 บาท มิตซูบิชิ มิราจ Special Edition 523,000 บาท มิตซูบิชิ มิราจ SMART 579,000 บาท
Mobil℠ Fleet Care
บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดตัวโปรแกรมระบบบริหาร ฟลีท Mobil℠ Fleet Care (MFC) พิเศษสำหรับลูกค้าผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นโมบิลแล้ววันนี้ เพื่อตอบโจทย์ผู้ประกอบการธุรกิจฟลีทด้วยข้อมูลที่ครอบคลุม ทั้งในด้านประสิทธิภาพการซ่อมบำรุงที่ตรงเวลา และ เพื่อช่วยเพิ่มผลกำไรอีกด้วย คุณแยป เพ็ง อัน ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายขาย ผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า “การเปิดตัวโปรแกรม Mobil℠ Fleet Care คือส่วนหนึ่งของคำมั่นสัญญาของเราในอุตสาหกรรมการขนส่งในหลายประเทศเพราะเราเข้าใจถึงปัญหาที่ผู้ประกอบการรถฟลีทพบเจอในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ประสิทธิภาพการทำงานของรถฟลีท และความปลอดภัยของคนขับ ดังนั้นเราจึงออกแบบโปรแกรมนี้ขึ้นโดยมีเป้าหมายเพื่อมอบระบบบริหารฟลีทที่ครบวงจร ทั้งด้านผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า และช่วยในการบริหารจัดการประสิทธิภาพและธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่หลายประเทศพบเจอวิกฤติจากโรคระบาด ที่เอ็กซอนโมบิล ลูกค้าคือหัวใจหลักของเรา เราจึงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาโปรแกรม อย่างรวดเร็วเพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถดูแลธุรกิจฟลีทอย่างครอบคลุมในโปรแกรมเดียว สามารถตอบโจทย์ความต้องการของอุตสาหกรรมการขนส่งในประเทศได้ นอกจากนั้น จากประสบการณ์อันยาวนาน พร้อมทั้งความร่วมมือของพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ เราจึงสามารถมอบระบบที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้รถฟลีท เพิ่มผลกำไรและเพิ่มการบริหารจัดการคนขับรถได้ดียิ่งขึ้น” โปรแกรม Mobil℠ Fleet Care เปิดตัวแล้วในประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ และไทย โดยคาดว่าจะขยายการใช้โปรแกรมในอนาคตไปยังประเทศอื่นๆในภูมิภาค โดย Mobil℠ Fleet Care เป็นโปรแกรมพิเศษสำหรับผู้ประกอบการที่ซื้อผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นโมบิลจากผู้แทนจำหน่ายโมบิลอย่างเป็นทางการเท่านั้น สอบถามรายละเอียด และข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรแกรม Mobil℠ Fleet Care ได้ที่ http://mobil.com/fleet-care-asean
จีที-อาร์ซูเปอร์สปอร์ตคาร์
นิสสัน กรุงไทย ส่งมอบรถยนต์ระดับตำนานอย่างนิสสัน จีที-อาร์ ผู้ชื่นชอบในความเป็นซูเปอร์สปอร์ตคาร์ ที่มาจากงานวิศวกรรมยานยนต์ชั้นสูง และมีสมรรถนะระดับแนวหน้าเช่นเดียวกับซูเปอร์คาร์ นิสสัน จีที-อาร์ ผลิตด้วยความพิถีพิถันโดยวิศวกรผู้ชำนาญการโดยเฉพาะ และผู้จำหน่ายซูเปอร์สปอร์ตคาร์ของนิสสันอย่างเป็นทางการ จะต้องผ่านมาตรฐานการฝึกอบรมพิเศษเพื่อดูแลรถยนต์สมรรถสูงตลอดอายุการใช้งานเท่านั้น คุณสมิทธ์ จุฑานุกาล ลูกค้านิสสัน จีที–อาร์ ของนิสสัน กรุงไทย มั่นใจการเป็นผู้จำหน่าย และบริการของ NHPC อย่างเป็นทางการ ในวันส่งมอบรถ ณ นิสสัน กรุงไทย รามอินทรา กม.4 ซึ่งเป็นผู้ประกอบการธุรกิจนำเข้า และจำหน่ายนาฬิกาไฮเอน และเชี่ยวชาญในการดูแลงานฝีมือระดับมาสเตอร์พีซ เล่าถึงความชื่นชอบใน จีที-อาร์ ว่า “ผมและครอบครัวชื่นชอบ จีที-อาร์ มานานแล้ว โดยเฉพาะเรื่องของสมรรถนะที่ทำให้ประสบการณ์การขับขี่เร้าใจ ถึงแม้ดีไซน์ทั้งภายนอกและภายในจะเน้นที่ความสปอร์ต และความปลอดภัย แต่ก็ยังขับ ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวันได้อย่างสบาย และที่สำคัญ จีที-อาร์ เปรียบเสมือนที่สุดของวิศวกรรมยานยนต์ของประเทศญี่ปุ่น มีกรรมวิธีการผลิตอย่างประณีตพิถีพิถัน และยังเป็นรถยนต์ซูเปอร์สปอร์ตคาร์ที่เกียรติประวัติและชื่อเสียงมาอย่างยาวนานทั้งจากวงการมอเตอร์สปอร์ต และกลุ่มคนรักรถยนต์สมรรถนะสูง”
BMW ผลิตยนตรกรรมครบ 200,000 คัน
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ผลิตยนตรกรรมรวมทั้งรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ครบ 200,000 คันหลังจากเปิดไลน์การผลิตมายาวนานกว่า 21 ปี นับเป็นยอดการผลิตที่ก้าวกระโดดขึ้นมาอย่างน่าประทับใจ หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการผลิตยนตรกรรรมครบ 100,000 คัน ในปี 2561 หรือภายในเวลาเพียงสามปีที่ผ่านมาเท่านั้น สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการอย่างต่อเนื่องที่เพิ่มขึ้นทั้งในและนอกประเทศ นอกจากนี้ โรงงานบีเอ็มดับเบิลยูในจังหวัดระยองยังยกระดับมาตรการป้องกันการแพร่เชื้อสูงสุดทั้งสำหรับพนักงานและการดำเนินการภายในพื้นที่เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของพนักงานและสามารถดำเนินการผลิตได้อย่างต่อเนื่อง มร.เอริค รูเก้ กรรมการผู้จัดการ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย กล่าวว่า “แม้ในปีที่ผ่านมาจะมีความท้าทายหลายประการ แต่เราได้เรียนรู้ที่จะปรับวิธีการทำงานในช่วงเวลาที่ห่วงโซ่อุปทานได้รับผลกระทบเป็นวงกว้างเช่นนี้ ด้วยการจัดการด้านการผลิตที่มีประสิทธิภาพและมีความยืดหยุ่น พร้อมมาตรการอันรัดกุมเพื่อปกป้องพนักงานและพาร์ทเนอร์ของเรา หมุดหมายการผลิตครบ 200,000 คันนี้ คือสัญลักษณ์ของความเข้มแข็งและความมุ่งมั่นของเรา ที่จะส่งมอบยนตรกรรมที่ดีที่สุดสู่ตลาดไทยและตลาดอื่น ๆ ในภูมิภาค”
MAZDA CX-5 ต้นกำเนิดเทคโนโลยีสกายแอคทีฟ
รถอเนกประสงค์เอสยูวีมาสด้า CX-5 เจเนอเรชั่นแรก เผยโฉมสู่สาธารณชนครั้งแรกของโลกเมื่อเดือนพฤศจิกายน2555 ณ ประเทศญี่ปุ่น ทั่วโลกต่างตั้งข้อสงสัยว่าเหตุใดมาสด้าจึงเริ่มต้นการพัฒนาเทคโนโลยีและดีไซน์ใหม่ทั้งหมดลงไปยังรถอเนกประสงค์ ซึ่งขณะนั้นเป็นเซ็กเมนต์เล็กๆ แต่ในทางตรงกันข้ามมาสด้ากลับมองถึงโอกาสในอนาคตที่ต้องการสร้างความแตกต่าง กล้าที่ฉีกจะออกจากกฎเกณฑ์แบบเดิมๆ ที่สำคัญคือต้องเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคทั่วโลกให้หันมานิยมรถอเนกประสงค์มากขึ้น วันนี้สิ่งที่มาสด้าเล็งเห็นและลงมือบุกเบิกนั้นได้ส่งผลลัพธ์ต่อผู้บริโภคให้หันมานิยมรถอเนกประสงค์เอสยูวีมากขึ้นจนถึงปัจจุบันอย่างชัดเจน จากวันนั้นถึงวันนี้ การมุ่งพัฒนาครอสโอเวอร์เอสยูวีรุ่นแรกที่ถูกพัฒนาขึ้นภายใต้เทคโนโลยีสกายแอคทีฟ และการออกแบบจาก “โคโดะ ดีไซน์” Soul of Motion หรือจิตวิญญาณแห่งการเคลื่อนไหว เกิดจากการแสดงออกถึงความแข็งแกร่งมีพลังและความคล่องแคล่วปราดเปรียวของเสือซีต้าห์ที่กำลังตระคุบเหยื่อซึ่งเป็นทวงท่าที่สง่างาม นั่นคือแรงบันดาลใจของการออกแบบ รวมถึงความยอดเยี่ยมในทุกมิติจึงได้รับการตอบรับอย่างดียิ่งจากลูกค้าทั่วโลกภายในเวลาอันรวดเร็ว รวมถึงการคว้ารางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมจากประเทศญี่ปุ่น และรางวัลอันทรงเกียรติจากทั่วทุกมุมโลกมาครองได้มากมาย เดือนพฤศจิกายน 2556 คือการเดินทางมาถึงประเทศไทยเป็นครั้งแรกของ CX-5 เจเนอเรชั่นแรก พร้อมสร้างชื่อเสียงอย่างรวดเร็วเพียง 4 ปี มียอดขายสูงถึง 17,000 คัน Mazda CX-5 เจเนอเรชั่นแรกที่เปิดตัวในประเทศไทยถัดมาเดือนพฤศจิกายน 2560 คือการเดินทางมาของเจเนอเรชั่นที่ 2 ซึ่งแน่นอนว่าได้รับการตอบรับอย่างดีเช่นกัน กลายเป็นหนึ่งในรถอเนกประสงค์ที่ขายดีที่สุดของมาสด้า จนถึงปัจจุบันขายไปแล้วกว่า 15,000 คัน ที่สำคัญนอกจากในประเทศไทยแล้ว ลูกค้าทั่วโลกต่างให้การยอมรับสูงสุดเช่นเดียวกัน และมียอดขายสะสมมากกว่า 8 ล้านคัน Mazda CX-5 รุ่นปัจจุบันอะไรคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้มาสด้า CX-5 ประสบความสำเร็จมากมายเช่นนี้ แน่นอนว่าเกิดจากการนำเอาความสมบูรณ์แบบของเทคโนโลยีสกายแอคทีฟแพลตฟอร์มเจเนอเรชั่นใหม่ที่มาสด้าคิดค้นขึ้น เพื่อพัฒนาสมรรถนะของรถและเครื่องยนต์ที่ให้พละกำลังแรงแต่ประหยัดน้ำมัน มาผนวกเข้ากับการทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์ ระบบเกียร์ โครงสร้างตัวถัง และแชสซี ไว้ด้วยกัน เพื่อให้ทุกส่วนทำงานประสานสอดคล้องกันและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมกับการศึกษาเชิงสรีระ และธรรมชาติการเดินของมนุษย์มาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มความเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างคนกับรถที่สมบูรณ์แบบ และมอบความสะดวกสบายให้ผู้โดยสารตลอดการเดินทาง ด้วยเทคโนโลยีสกายแอคทีฟที่สร้างชื่อให้มาสด้า CX-5 ประกอบด้วยหัวใจหลักสำคัญดังต่อไปนี้ 1.จุดเริ่มต้นของความสำเร็จ ปฏิเสธไม่ได้ว่า แม่เหล็กสำคัญที่ดึงผู้บริโภคให้เข้าหามาสด้า คือ การนำเอาเทคโนโลยีสกายแอคทีฟมาใส่ไว้ในรถยนต์ทุกรุ่นในเจเนอเรชั่นที่ 6 ควบคู่ไปกับการนำแนวคิดการออกแบบที่เรียกว่า “โคโดะ ดีไซน์” (KODO Design) มาใช้ตั้งแต่ปี 2556 จนทำให้รถยนต์ของมาสด้าได้รับเสียงตอบรับอย่างดียิ่ง ทำให้มาสด้าสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้เกิดขึ้นในตลาดรถยนต์เมืองไทยและอาเซียนได้อย่างน่าสนใจต่อมามาสด้าได้นำเสนอธีมการออกแบบใหม่ล่าสุด คือ การสร้างเอกลักษณ์แบบเรียบหรูสง่างาม ELEGANCE เพื่อแสดงถึงคุณค่าแห่งสุนทรียศาสตร์สไตล์ญี่ปุ่น หรือความงดงามที่ละเอียดอ่อน หรูหรา สมบูรณ์แบบ ลดทอนองค์ประกอบที่มากเกินไปคงเหลือไว้แต่สิ่งที่สำคัญ ตามคอนเซ็ปต์ Less is more ซึ่งเป็นรากฐานทางวัฒนธรรมประเพณีของญี่ปุ่น เพื่อแสดงออกถึงความสง่าผ่าเผย มีเสน่ห์ดึงดูดใจ จนกลายเป็นภาพลักษณ์ยุคใหม่ของมาสด้า 2.เครื่องยนต์ SKYACTIV ENGINE มาสด้าเป็นค่ายแรกที่มีเครื่องยนต์ให้เลือกมากที่สุดถึง 3 เครื่องยนต์ เพิ่มทางเลือกให้ลูกค้าได้มากยิ่งขึ้นนอกจากเหนือจากกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบรถสไตล์เอสยูวี ขยายไปสู่กลุ่มลูกค้าที่ต้องการรถยนต์สมรรถนะสูงและการตอบสนองได้ดั่งใจ ประกอบด้วย SKYACTIV-G 2.5T เครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซิน เทอร์โบ 2.5 ให้กำลังสูงถึง 231 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 420 นิวตัน-เมตร มาพร้อมระบบเทอร์โบแบบ Dynamic Pressure ตอบสนองได้รวดเร็วและแม่นยำ อีกทั้งยังมีระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัตโนมัติ i-ACTIV AWD ที่ช่วยปรับระบบการขับขี่ให้เหมาะสมกับสภาพถนน นับเป็นอีกก้าวของความสำเร็จในการพัฒนาเครื่องยนต์สกายแอคทีฟ SKYACTIV-G 2.0 เครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซิน 2.0 เป็นนวัตกรรมของมาสด้าที่ใช้เทคโนโลยีที่ทำให้เครื่องยนต์สันดาปภายในฉีดเชื้อเพลิงเข้าสู่ห้องเผาไหม้โดยตรง ทำให้เกิดการเผาไหม้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยอัตราส่วนการอัดสูงถึง 14.0:1 ทำให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้น ได้แรงบิดเพิ่มขึ้นจากการทำงานของระบบ Direct Injection Spark Ignitions ที่เพิ่มประสิทธิภาพของส่วนผสมระหว่างน้ำมันกับอากาศจนได้การเผาไหม้ที่สมบูรณ์ ให้พละกำลังแรงถึง 165 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 210 นิวตัน-เมตร ประหยัดน้ำมันถึง 13.9 กม./ลิตร SKYACTIV-D 2.2 เครื่องยนต์สกายแอคทีฟคลีนดีเซลขนาด 2.2 ลิตร พร้อมเทอร์โบแปรผันแบบ 2 ขั้น ให้พละกำลังถึง 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร ประหยัดน้ำมันถึง 18.2 กม./ลิตร ได้รับการยกระดับเทคโนโลยี เช่น หัวฉีดแบบหลายรู ช่วยให้ฉีดน้ำมันได้อย่างแม่นยำ ลูกสูบเป็นร่องรูปไข่ที่ช่วยรักษาสภาวะการเผาไหม้ที่สมบูรณ์ ให้อัตราส่วนกำลังอัดต่ำสุดเพียง 14.4:1 มีน้ำหนักเบาและทนทานสูง ได้รับการพัฒนาให้ตัวรถมีน้ำหนักลดลงถึง 10% ปล่อยค่าไอเสียCO2 ลดลงถึง 20% และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 3.เกียร์อัตโนมัติ SKYACTIV-DRIVE แบบ 6 สปีด ถูกออกแบบเพื่อมอบสิ่งที่ดีที่สุดด้วยการรวมข้อดีของเกียร์อัตโนมัติทุกระบบเข้าไว้ด้วยกัน ให้การตอบสนองได้อย่างแม่นยํา การเปลี่ยนเกียร์ที่ราบรื่น ให้อัตราเร่งต่อเนื่อง และประหยัดน้ำมันในทุกรอบความเร็ว ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์เบนซินหรือดีเซลแรงบิดสูง ขณะออกตัวแรงเปลี่ยนเกียร์ได้รวดเร็ว และเร่งแซงได้อย่างนุ่มนวล 4.โครงสร้างตัวถัง SKYACTIV BODY ผลิตจากเหล็กกล้าคุณภาพสูง (High Tensile Steel) น้ำหนักเบา แข็งแกร่ง และทนต่อแรงบิดมากขึ้น มีความปลอดภัยขั้นสูงสุดหากเกิดการชนปะทะ ให้การควบคุมรถที่มั่นคงช่วยลดแรงสะเทือนจากถนนและกระจายแรงปะทะที่จะเข้าสู่ห้องโดยสารในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ รวมถึงช่วยประหยัดน้ำมันมากยิ่งขึ้น 5.ช่วงล่างและระบบบังคับเลี้ยว SKYACTIV-CHASSIS เทคโนโลยีช่วงล่างและระบบบังคับเลี้ยวเจเนอเรชั่นใหม่ที่พัฒนาให้มีน้ำหนักลดลง แต่ให้ความแข็งแกร่งและคล่องตัว ให้การควบคุมที่ดีในทุกช่วงความเร็ว ด้วยระบบบังคับเลี้ยวเจเนอเรชั่นใหม่ด้วยพลังงานไฟฟ้าช่วยให้ควบคุมได้ดั่งใจ รองรับแรงสั่นสะเทือนได้ดียิ่งขึ้น เพิ่มสมรรถนะในการขับขี่และรักษาสเถียรภาพในการทรงตัวได้อย่างเหนือชั้น รวมถึงช่วยเพิ่มประสบการณ์การขับขี่แบบ Jinba-ittai ที่ผสานความเป็นหนึ่งเดียวระหว่างผู้ขับขี่กับรถได้ดียิ่งขึ้น 6.ระบบควบคุมสมรรถนะการขับขี่อัฉริยะขั้นสูง G-Vectoring Control Plus (GVC Plus) มาสด้า CX-5 ได้รับการติดตั้งเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด G-Vectoring Control Plus ซึ่งเป็นหนึ่งในเทคโนโลยี SKYACTIV-VEHICLE DYNAMICS ที่พัฒนาต่อจากระบบ GVC ช่วยควบคุมสมรรถนะการขับขี่ให้แม่นยำและสมดุล โดยเฉพาะการเข้าโค้งและสถานการณ์ฉุกเฉินได้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้ผู้ขับขี่สัมผัสถึงความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างคนกับรถได้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น 7.ระบบ i-ACTIVSENSE ได้รับการพัฒนาให้มีความปลอดภัยระดับโลก ความปลอดภัยเชิงป้องกัน Mazda Proactive Safety เป็นวิธีการอันเข้มข้นในการเพิ่มสภาวะที่ผู้ขับขี่สามารถขับรถได้อย่างปลอดภัยให้ได้มากที่สุดและมั่นใจยิ่งขึ้น มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เกิดความสุขในการขับขี่ที่แท้จริงสำหรับลูกค้าทุกคน ฟังก์ชั่นและคุณลักษณะความปลอดภัยก่อนเกิดเหตุที่เพิ่มขึ้นใหม่ ทำให้เทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูงของมาสด้าช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถระบุความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นก่อน และลดโอกาสที่จะเกิดความเสียหายหรือการบาดเจ็บ รวมถึงการเริ่มนำเอาเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้เพื่อสนับสนุนการรับรู้และการขับขี่ที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น 8.KODO design ความสวยงามอันละเอียดอ่อนที่แสดงถึงความแข็งแกร่งอันประณีต การพัฒนา CX-5 มุ่งเป้าไปที่การกระตุ้นอารมณ์และความมีชีวิตชีวาอันทรงพลังภายใต้แนวคิด “Kodo design” Soul of Motion หรือจิตวิญญาณแห่งการเคลื่อนไหว มาต่อยอดไปสู่ระดับที่สูงขึ้นด้วยการสร้างความรู้สึกถึงความงามอย่างสดชื่นที่ดึงดูดความรู้สึกอ่อนไหว ด้วยความมุ่งมั่นในการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่บรรจงสรรสร้างขึ้น ทีมออกแบบมุ่งเน้นไปที่สุนทรียศาสตร์แบบญี่ปุ่นเริ่มต้นด้วยรูปแบบที่เรียบง่ายปราศจากชิ้นส่วนที่ไม่จำเป็นเฉกเช่นเดียวกับที่ใช้ในงานหัตถกรรมสไตล์ญี่ปุ่น โดยนำแนวคิด “ความแข็งแกร่งอันประณีต” มาใช้เป็นแกนหลัก ได้แก่ “รูปทรงที่ใหญ่โต” “รูปแบบที่สง่างาม” และ “ความลงตัวและงานตกแต่งที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด” เป็นแกนหลักในการออกแบบภายนอกและภายใน 9.เอกสิทธิ์เฉพาะมาสด้ากับสีแดง Soul Red Crystal มาสด้าได้สร้างสีสันของตัวถังให้สดใสและความลึกที่บริสุทธิ์ เพื่อสร้างความประทับใจเสมือนหนึ่งว่าได้ชาร์จพลังงานมาอย่างเต็มที่ด้วยสี Soul Red Crystal ด้วยความเชื่อที่ว่าสีคือองค์ประกอบสำคัญของการออกแบบ มาสด้าได้พัฒนาคุณลักษณะนี้อีกครั้งเพื่อให้เห็นถึงความสวยงามและคุณภาพของรูปทรงของตัวถังตาม Kodo design ด้วยการเพิ่มระดับความสว่างและเพิ่มความลึกของสีให้ดูมีมิติมากขึ้น ใช้การเคลือบสีสามชั้น ได้แก่ชั้นสะท้อนแสง ชั้นโปร่งแสง และเคลือบใสด้านบน เป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญของเทคโนโลยีการพ่นสี TAKUMINURI เพื่อให้ได้สีแดงที่สดใสขึ้น ชั้นโปร่งแสงใช้เม็ดสีที่มีความเข้มสูง พัฒนาขึ้นโดยพิจารณาถึงลักษณะทางกายภาพของแสงชั้นสะท้อนแสงเป็นทินเนอร์และใช้เกล็ดอลูมิเนียมขนาดเล็กที่มีความสว่างสูง ตลอดจนเกล็ดที่ดูดซับแสงบนพื้นผิวของตัวถัง ผลลัพธ์ที่ได้คือการสะท้อนที่ก่อให้เกิดไฮไลท์ของแสงและเงาที่สดใสดูมีมิติ นอกจากคุณภาพที่อัดแน่นจากเทคโนโลยีสกายแอคทีฟแล้ว ยังมีองค์ประกอบอื่นที่สนับสนุนให้ CX-5 ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบที่เรียบง่ายแต่งดงาม เทคโนโลยีความปลอดภัยระดับโลก สมรรถนะการขับขี่ที่ทั้งแรงและประหยัดน้ำมัน อุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายครบครัน เทคโนโลยีการติดต่อสื่อสาร Mazda Connect ที่ช่วยให้ไม่พลาดทุกการสื่อสาร จึงทำให้ CX-5 สามารถครองใจลูกค้าจากทั่วทุกมุมทั่วโลกมาจนถึงทุกวันนี้ ตลอดจนการคว้ารางวัลการันตีความสำเร็จมาแล้วมากมายจากเวทีระดับนานาชาติรวมถึงในประเทศไทยด้วยเช่นกัน
เกรท วอลล์ มอเตอร์ ขึ้นแท่นยอดขายอันดับ 1
เกรท วอลล์ มอเตอร์ ขึ้นครองแชมป์อันดับ 1 ของเซคเมนท์รถยนต์คอมแพคเอสยูวี ด้วยยอดขายและส่งมอบ All New HAVAL H6 Hybrid SUV กว่า 408 คัน ในเดือนสิงหาคม พ.ศ.2564 คิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาด 34.3 เปอร์เซ็นต์พร้อมเดินหน้าส่งมอบประสบการณ์อัจฉริยะเหนือระดับและบริการหลังการขายเต็มรูปแบบให้กับผู้บริโภคชาวไทย ในขณะเดียวกัน ยอดขายโดยรวมของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ในตลาดโลกในเดือนสิงหาคมและตลอดทั้งปีนี้ก็เติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นกัน หลังจากที่ All New HAVAL H6 Hybrid SUV ได้สร้างปรากฎการณ์ใหม่ให้กับวงการรถยนต์ไทย ด้วยการทำยอดขายสูงติดอันดับ TOP3 ในตลาดรถยนต์คอมแพคเอสยูวีในเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเดือนแรกของการส่งมอบรถภายหลังจากการเปิดตัวและประกาศราคาอย่างเป็นทางการในปลายเดือนมิถุนายน แม้จะต้องเผชิญกับสถานการณ์อันยากลำบากท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยังคงสร้างผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่องในเดือนสิงหาคมนี้ ด้วยยอดขายรวมกว่า 408 คัน ก้าวขึ้นเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มียอดขายสูงสุดของเซคเมนท์คอมแพคเอสยูวีของประเทศไทย คุณณรงค์ สีตลายน กรรมการผู้จัดการ เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) เผยว่า “ความสำเร็จจากยอดขายของเราในเดือนสิงหาคมนี้ นับเป็นความภาคภูมิใจและเป็นอีกก้าวที่ยิ่งใหญ่สำหรับ เกรท วอลล์ มอเตอร์ เราขอขอบคุณผู้บริโภคชาวไทยที่ให้การสนับสนุน เกรท วอลล์ มอเตอร์ อย่างดีเยี่ยม จนในวันนี้เราสามารถขึ้นเป็น แบรนด์รถยนต์ที่มียอดขายเป็นอันดับ 1 ในเซกเมนต์รถยนต์คอมแพคเอสยูวีของประเทศไทยได้สำเร็จภายในระยะเวลาเพียง 2 เดือน แม้เราจะเพิ่งเข้ามาเริ่มธุรกิจในประเทศไทยได้ไม่นาน แต่ทีมงานและพาร์ทเนอร์ของเราทุกคนต่างทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจกันอย่างเต็มที่เพื่อสร้างความสำเร็จในครั้งนี้ไปด้วยกัน ความสำเร็จตรงนี้ส่วนหนึ่งมาจากการเปิดใจยอมรับในแบรนด์ใหม่ของผู้บริโภคชาวไทย ความเชื่อมั่นในความเป็นผู้นำด้านรถยนต์พลังงานใหม่ (xEV) ของเกรท วอลล์ มอเตอร์ รวมถึงการเปิดใจกับการดำเนินธุรกิจแบบใหม่ที่ทางเกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้ออกแบบมา เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ในการเป็นเจ้าของรถผ่านประสบการณ์ออนไลน์สู่ออฟไลน์ O2O (Online-To-Offline) เราขอขอบคุณทุกความเชื่อมั่นและความไว้วางใจที่ผู้บริโภคและแฟนๆ ชาวไทยมีให้กับ เกรท วอลล์ มอเตอร์ เป็นอย่างดีเสมอมาอีกครั้ง และขอให้คำมั่นสัญญาว่า เราจะเดินหน้าพัฒนามาตรฐานของผลิตภัณฑ์ รวมไปถึงยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าทั้งด้านการขายและบริการหลังการขายผ่านรูปแบบการดำเนินธุรกิจแบบใหม่ เพื่อให้ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยให้ได้อย่างดีที่สุด” สำหรับยอดขายของ All New HAVAL H6 Hybrid SUV กว่า 408 คัน ในเดือนสิงหาคมนี้ เพิ่มขึ้น 27.5 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบจากยอดขายในเดือนกรกฎาคมที่ 320 คัน ส่งผลให้ในเดือนสิงหาคมนี้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ สามารถครองส่วนแบ่งทางการตลาดสูงถึง 34.3 เปอร์เซ็นต์ จากยอดขายรวมของรถยนต์คอมแพคเอสยูวีทั้งหมดในเดือนสิงหาคมจำนวน1,190 คัน ก้าวขึ้นสู่การเป็นรถยนต์ที่มียอดขายเป็นอันดับ 1 ของเซคเมนท์ ครองส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้น 7.8 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับส่วนแบ่งการตลาดในเดือนกรกฎาคมที่ 26.5 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้เมื่อรวมกับยอดขาย 320 คัน ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้ส่งมอบรถยนต์ All New HAVAL H6 Hybrid SUV ให้แก่ผู้บริโภคชาวไทยไปแล้วกว่า728 คัน ภายในระยะเวลา 2 เดือน การก้าวขึ้นเป็นอันดับ 1 ภายในระยะเวลาเพียง 2 เดือน นับเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ในการก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (xEV Leader) รวมไปถึงเป้าหมายในการเป็นแบรนด์รถยนต์ในใจ คนไทยภายในระยะเวลา 3 ปี ซึ่ง เกรท วอลล์ มอเตอร์ จะยังคงเดินหน้าสานต่อกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจภายใต้แบรนด์คอนเซ็ปต์ “New Energy” “New Intelligence” และ “New Experience” เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์และการบริการแบบ Online-to-Offline (O2O) รูปแบบใหม่อย่างครบวงจร ให้กับผู้บริโภคชาวไทย ทั้งการให้บริการออฟไลน์ผ่าน GWM Store และPartner Store ทั่วประเทศ และการให้บริการออนไลน์ผ่าน GWM Application นอกจากนี้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยังคำนึงถึงความสะดวกและผลประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับอยู่เสมอ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจ บริษัทจึงได้มีการปรับนโยบายและวิธีการดำเนินการต่างๆ ให้เหมาะสมตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาได้อย่างรวดเร็วเพื่ออำนวยความสะดวกสูงสุดให้กับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการขยายระยะเวลาของแคมเปญทางการตลาด รวมไปถึงการให้บริการถึงหน้าบ้านของลูกค้า หรือ Door-to-Door Service ในรูปแบบต่างๆ และล่าสุด เกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้นำเสนอโปรโมชั่นพิเศษแทนคำขอบคุณให้กับผู้ที่จองรถยนต์ All New HAVAL H6 Hybrid SUV รุ่น PRO ด้วยสิทธิพิเศษในการผ่อนนานกว่า 84 เดือน เริ่มต้นเพียง 13,004 บาทต่อเดือน เมื่อจองและรับรถภายในวันที่ 30 กันยายนนี้
Race to Zero
นิสสันประกาศเข้าร่วมแคมเปญ Race to Zero ที่ได้รับการสนับสนุนจากองค์การสหประชาชาติ เพื่อเร่งสู่เป้าหมายการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ และลดคาร์บอนเป็นศูนย์ (carbon neutrality) ซึ่งนิสสันเป็นผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นรายแรกที่เข้าร่วมแคมเปญนี้ นอกจากนี้ นิสสันยังได้ลงนามในปฏิญญาความร่วมมือในโครงการ “Business Ambition for 1.5°C” ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของนิสสัน ที่จะช่วยควบคุมอุณหภูมิทั่วโลกไม่ให้สูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียสจากอุณหภูมิก่อนยุคอุตสาหกรรม(pre-industrial levels) นิสสันเข้าร่วมโครงการกำหนดเป้าหมายโดยอิงหลักวิทยาศาสตร์นี้ (Science Based Targets initiative: SBTi) ตามเกณฑ์ที่กำหนดให้ลดการปล่อยคาร์บอนให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส โดย SBTi ทำการตรวจสอบนิสสันเพื่อรับรองว่าได้ลดการปล่อยคาร์บอนตามหลักภูมิอากาศวิทยา มร.มาโกโตะ อูชิดะ ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของนิสสัน (Makoto Uchida, Nissan President and CEO)กล่าวว่า “เรากำลังสานต่อเจตนารมณ์ของนิสสันผ่านความร่วมมือกับบริษัทต่าง ๆ ที่มีแนวคิดเดียวกัน ตลอดจนประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก เพื่อแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสร้างความตระหนักรู้ถึงสังคมแห่งความยั่งยืน ด้วยการเข้าร่วมกับ SBTi และเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนและผลักดันแคมเปญ เพื่อเร่งให้สังคมโลกเข้าสู่การลดการปล่อยคาร์บอนให้เป็นศูนย์ นิสสันดำเนินการทุกอย่างด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนร่วมส่งเสริมการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า นอกจากนี้ เรายังยืนหยัดทำหน้าที่องค์กรที่อยู่เคียงข้างผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนอย่างเต็มที่เสมอมา” ในปี 2553 นิสสันได้เปิดตัว นิสสัน ลีฟ (LEAF) รถยนต์ไฟฟ้าออกสู่ตลาดเป็นรายแรกของโลก ท่ามกลางกระแสของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า และเทคโนโลยีขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าที่กำลังได้รับความนิยมไปทั่วโลก นิสสันสร้างสรรค์นวัตกรรม และความตื่นเต้นเร้าใจให้กับการขับขี่ที่ไร้มลพิษ ต้นปีที่ผ่านมา นิสสันให้คำมั่นว่าจะบรรลุสู่เป้าหมายลดคาร์บอนเป็นศูนย์ ผ่านการดำเนินงานและวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ของบริษัทให้ได้ภายในปี 2593 นิสสันขับเคลื่อนเป้าหมายนี้ผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น โครงการ Nissan EV36Zero ซึ่งเป็นโครงสร้างการผลิตรูปแบบใหม่ที่รวมการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า การผลิตแบตเตอรี่ ไปจนถึงการผลิตพลังงานหมุนเวียน เข้าไว้ด้วยกัน หัวใจสำคัญของแผนลดคาร์บอนเป็นศูนย์ของนิสสัน ได้แก่ การนำเสนอรถยนต์และเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปี 2553 จนถึงปัจจุบันที่มีการขยายไปจนถึงเทคโนโลยีอี-พาวเวอร์ เอกสิทธิ์เฉพาะจากนิสสันและนิสสัน อริยะ รถยนต์ไฟฟ้า 100% ครอสโอเวอร์ ทั้งนี้นิสสันวางแผนให้รถยนต์รุ่นใหม่ ที่จะออกสู่ตลาดสำคัญ อย่างญี่ปุ่น จีน สหรัฐอเมริกา และยุโรป ภายในต้นทศวรรษ 2030 ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% ทั้งหมด Race to Zero เป็นแคมเปญระดับโลกที่รวบรวมเชิญชวนผู้นำและการสนับสนุนจากภาคธุรกิจ เมือง ภูมิภาค นักลงทุนต่าง ๆ เพื่อช่วยให้โลกกลับฟื้นคืนสภาพ มีสภาวะแวดล้อมที่ดี ปราศจากมลพิษ และยังปกป้องภัยคุกคามในอนาคตสร้างงานที่ดี และปลดล็อคสู่การเจริญเติบโตที่ยั่งยืนและครอบคลุม แคมเปญ Race to Zero ผนึกกำลังจากความร่วมมือของโครงการชั้นนำต่าง ๆ ที่รณรงค์ลดคาร์บอนเป็นศูนย์ ซึ่งมาจาก 733 เมือง 31 ภูมิภาค 3,067 ธุรกิจ นักลงทุนรายใหญ่ที่สุด 173 ราย และ 622 สถาบันอุดมศึกษา ผู้มีบทบาททาง ‘เศรษฐกิจที่แท้จริง‘ เหล่านี้เข้าร่วมกับ 120 ประเทศเป็นกลุ่มพันธมิตรที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา มุ่งมั่นเพื่อบรรลุการลดคาร์บอนเป็นศูนย์ ภายในปี 2593 เป็นอย่างช้า ในภาพรวม ผู้มีบทบาทสำคัญเหล่านี้ปัจจุบันปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์รวมกันเกือบร้อยละ 25 ทั่วโลก และมีค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product: GDP) สูงกว่าร้อยละ 50