ฟอร์ด การออกแบบพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่แต่ละรุ่นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะกว่าจะออกแบบรถสักคันต้องผ่านหลายขั้นตอนที่ซับซ้อน ตั้งแต่การสร้างรถต้นแบบและการระดมพลังจากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจากหลายแผนกทั่วโลก จนกว่ารถที่อยู่ในภาพร่างสเก็ตช์จะกลายเป็นรถจริงที่พร้อมจำหน่ายในโชว์รูม รถยนต์รุ่นใหม่ต้องได้รับการพัฒนาต่อยอดและยกระดับฟีเจอร์ต่างๆ ให้ดียิ่งขึ้น ฟอร์ด เรนเจอร์ และเอเวอเรสต์เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาไลน์อัพที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนและมาพร้อมกับตัวเลือกที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ ระบบส่งกำลัง ช่วงล่าง และการออกแบบตัวรถ แต่ก่อน การพัฒนารถยนต์หนึ่งคัน นับตั้งแต่การออกแบบบนภาพร่างสเก็ตช์ จนสำเร็จเป็นรถที่พร้อมจำหน่ายในโชว์รูม ใช้เวลามากกว่า 5 ปี นั่นคือสาเหตุที่ทำให้ฟอร์ด ออสเตรเลีย ฐานผลิตสำคัญของฟอร์ด เรนเจอร์ และเอเวอเรสต์ลงทุนมหาศาลไปกับการนำโปรแกรมที่ใช้คอมพิวเตอร์มาช่วยในงานออกแบบ (Computer-Aided Design หรือ CAD) และคอมพิวเตอร์มาช่วยในงานด้านวิศวกรรม (Computer-Aided Engineering หรือ CAE) เพื่อนำมาพัฒนารถยนต์ เนื่องจากเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เหล่านี้จะช่วยร่นระยะเวลาในการออกแบบและขั้นตอนทางวิศวกรรม อีกทั้งยังช่วยลดค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างมาก รถยนต์หนึ่งคันประกอบด้วยชิ้นส่วนมากกว่า 1,500 ชิ้น รถยนต์รุ่นใหม่จึงต้องได้รับการออกแบบและพัฒนาให้ออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด ทั้งในด้านความปลอดภัย ความทนทาน ไปจนถึงมาตรฐานด้านการออกแบบ และขั้นตอนอื่นๆ อีกมากมาย ดังนั้น CAE จึงมีส่วนเข้ามาช่วยวิศวกรในการจำลองเชิงวิเคราะห์ ซึ่งต้องใช้เวลาที่ใช้ในการคำนวณหลายหมื่นชั่วโมง นับเป็นเวลาหลายเดือน ก่อนที่จะเริ่มสร้างรถต้นแบบ มร.เจสัน โนกูเอรา วิศวกรด้าน CAE แชสซีรถยนต์ ฟอร์ด ออสเตรเลีย กล่าวว่า “เทคโนโลยี CAE ช่วยให้เราสามารถยกระดับผลิตภัณฑ์แบบเสมือนจริง ด้วยข้อมูลที่รวบรวมสะสมมาจากการทดสอบรถจริงมานานหลายปี ไปจนถึงขั้นตอนการทดสอบรถต้นแบบบนถนนและบนเส้นทางออฟโรด ซึ่งถือเป็นความละเอียดของผลิตภัณฑ์และเป็นการตรวจสอบผลลัพธ์ของการจำลอง ดังนั้น CAE จึงเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้เราไม่ต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ทุกครั้งที่พัฒนารถรุ่นใหม่คอมพิวเตอร์สามารถจำลองสถานการณ์และคำนวณผลลัพธ์จากสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้เร็วกว่าการรอผลจากการทดสอบจริงกับรถต้นแบบ เนื่องจากการทดสอบทางกายภาพต้องใช้เวลานานหลายวัน ในขณะที่ CAE สามารถประมวลผลลัพธ์ได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง นอกจากนี้ วิธีนี้ยังช่วยลดการปรับเปลี่ยนด้านการออกแบบในระหว่างขั้นตอนภายหลังซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายสูง เนื่องจาก CAE จะช่วยให้เราค้นพบสิ่งที่ต้องแก้ไขตั้งแต่แรกระหว่างการพัฒนาแบบเสมือนจริง ในระหว่างการจำลองเพื่อพัฒนารถโดยใช้ CAE เราสามารถทดลองน้ำหนักบรรทุกและอัตราเร่งกับแบบจำลองเสมือนจริงเพื่อทำความเข้าใจถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับรถ ในขั้นตอนการออกแบบ ซึ่งช่วยให้เราสามารถการพัฒนารถได้ตั้งแต่ขั้นตอนของ CAE ก่อนการทดสอบความทนทานทางกายภาพ ถึงแม้ว่า CAD และ CAE จะช่วยลดระยะเวลาในการพัฒนารถยนต์ แต่การทดสอบกับรถจริงก็ยังสำคัญและจำเป็น เพื่อการตรวจสอบความถูกต้องแม่นยำของผลลัพธ์ที่ได้จาก CAE และการออกแบบรถยนต์ขั้นสุดท้าย CAD และ CAE ได้เข้ามาเปลี่ยนวิธีการออกแบบและขั้นตอนทางวิศวกรรมรถของเราเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า เทคโนโลยีนี้เหล่านี้มีส่วนช่วยในการนำไอเดียสุดล้ำมาทำให้เกิดขึ้นจริงได้ ทั้งนี้ยังไม่มีสิ่งไหนที่สามารถมาทดแทนการทดสอบจริงเพื่อให้มั่นใจได้ว่ารถจากฟอร์ดจะตอบโจทย์การใช้งานได้มาากกว่าที่ลูกค้าคาดหวังไว้” การพัฒนาและการทดสอบรถยนต์ฟอร์ดในการขับขี่จริง ยังต้องอาศัยวิศวกรฟอร์ดในการทดสอบรถทั่วโลกในสภาพแวดล้อมสุดหฤโหด ฟอร์ด เรนเจอร์ และเอเวอร์เรสต์ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ฟอร์ดที่วางจำหน่ายทั่วโลกจึงได้รับการพัฒนาและทดสอบในภูมิอากาศและเส้นทางที่โหดที่สุดใน 5 ทวีปทั่วโลก และผ่านการทดสอบในระยะทางมากกว่า 600,000 กิโลเมตร ตั้งแต่ทะเลทรายในออสเตรเลียและภูมิภาคตะวันออกกลาง ไปจนถึงเส้นทางสุดขรุขระในแอฟริกาใต้ และภูเขาในทวีปอเมริกา ฝ่าภูมิอากาศสุดขั้วจาก -40 องศาเซลเซียส ไปจนถึง 50 องศาเซลเซียส จึงมั่นใจได้ว่า ฟอร์ด เรนเจอร์ และเอเวอเรสต์ ได้รับการพัฒนาและผ่านการทดสอบมาเพื่อพร้อมลุยทุกเส้นทางในทุกสภาวะ
Author: GIANT Autosawasdee
ซูบารุมอบเซอร์ไพรส์รับคลายล๊อกดาวน์
บริษัท ทีซี ซูบารุ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้จัดจำหน่ายรถยนต์ซูบารุในประเทศไทยอย่างเป็นทางการร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการมอบกำลังใจให้ชาวไทยในช่วงเวลาสถานการณ์โควิด-19 มาโดยตลอด ในเดือนมิถุนายนบริษัทได้ริเริ่มแคมเปญ “ก้าวสู่วันใหม่” Let’s Move On Campaign ร่วมโปรโมทรณรงค์ฉีดวัคซีน ดูแลสุขอนามัยโชว์รูมและศูนย์บริการด้วยมาตรการที่รัดกุม เสนอบริการนัดหมายส่วนตัว ทั้งหมดเพื่อความปลอดภัยของลูกค้าเป็นอันดับแรก ต่อมาในเดือนกรกฎาคม ทีซี ซูบารุได้บริจาคเงินและของอุปโภคช่วยเหลือโรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ผ่านการจัดกิจกรรมร่วมกับลูกค้าและบุคคลทั่วไปทางโซเชียลมีเดีย ในเดือนตุลาคมนี้ซึ่งเป็นเดือนพิเศษที่คนไทยได้ผ่อนคลายจากมาตรการล๊อกดาวน์ ซูบารุจึงมอบข้อเสนอดีที่สุดของรถทั้ง 2 รุ่น ซูบารุ เอ็กซ์วี (Subaru XV) และซูบารุ ฟอเรสเตอร์ (Subaru Forester) ให้ลูกค้าก้าวต่อไปสู่การเดินทางที่ปลอดภัยยิ่งขึ้นด้วยแคมเปญ TIME TO CHANGE “ถึงเวลาเปลี่ยน…สู่ข้อเสนอที่ดีกว่า” ให้ลูกค้าได้เป็นเจ้าของรถเอสยูวีนวัตกรรมความปลอดภัยกว่า 100 รายการ การันตีด้วยรางวัลความปลอดภัยมากมาย TIME TO CHANGE ถึงเวลาเปลี่ยน…สู่ข้อเสนอที่ดีกว่า กับสิทธิพิเศษที่พลาดไม่ได้ และจำนวนจำกัด –ซูบารุ เอ็กซ์วี รุ่น 2.0i- P จำนวนจำกัด ราคาเริ่มต้น 999,000 บาท* พร้อมอัตราดอกเบี้ยพิเศษ –ซูบารุ ฟอเรสเตอร์ ทุกรุ่น มอบสิทธิประโยชน์สูงสุด 100,000 บาท พร้อมอัตราดอกเบี้ยพิเศษ, ฟรี ประกันภัยชั้น 1 และสุดพิเศษเฉพาะเดือน สนับสนุน Trade-in รับเพิ่มอีก 50,000 บาท ติดต่อที่ปรึกษาการขายเพื่อทดลองขับและเข้าใจการทำงานของเทคโนโลยีความปลอดภัยกว่า 100 รายการ กับ 4 เทคโนโลยีหลักอันเป็นเอกลักษณ์ เครื่องยนต์บ๊อกเซอร์, ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบสมมาตร, มาพร้อมกับซูบารุโกลบอลแพลตฟอร์ม ในรถเอสยูวีของซูบารุทุกรุ่น และระบบเสริมความปลอดภัยขณะขับขี่ Eyesight เทคโนโลยีที่เสมือนดวงตาที่ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนในซูบารุ ฟอเรสเตอร์เชิญเยี่ยมชมรถหรือนัดหมายทดลองขับได้ที่โชว์รูมซูบารุทั่วประเทศ ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรถยนต์ซูบารุรุ่นต่างๆ ที่www.subaru.asia รายละเอียดโปรโมชัน Time to Change www.subaru.asia/th/th/promotions/ และติดตามข่าวสารได้ที่ https://www.facebook.com/subaruasiath
MG แจ้งยอดขายรวม 3 ไตรมาส เติบโตขึ้น 14%
บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย แถลงยอดขายรวมหลังจบไตรมาส 3 มีอัตราการเติบโตถึง 14% พร้อมสร้างสถิติใหม่ พาแบรนด์ติดอันดับ 5 ของตลาดรถยนต์ไทยในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมที่ผ่านมา หลังเปิดตัว ALL NEW MG5 รถยนต์สปอร์ตคูเป้ซีดานรุ่นใหม่ และตอกย้ำความเป็นองค์กรที่มีการดำเนินธุรกิจที่โดดเด่นด้วยการคว้ารางวัล THAILAND TOP COMPANY AWARDS 2021 ประเภทความเป็นเลิศ OUTSTANDING AWARDS พร้อมเดินหน้ามอบความสุขให้คนไทยอีกครั้งด้วย ด้วยแคมเปญพิเศษ “RESTART – รีสตาร์ท ฟื้นพลังความสุข” รับไตรมาสสุดท้ายหลังสถานการณ์โควิดที่มีทิศทางที่ดีขึ้น คุณพงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “ในปีนี้ มีสถานการณ์โควิดเข้ามาเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อยอดการผลิตและยอดขายรถยนต์ภายในประเทศ เป็นอย่างมากทำให้เอ็มจีต้องปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยตัวเลขยอดขายสะสม 3 ไตรมาส อยู่ที่ 21,279 คัน หรือคิดเป็นอัตราการเติบโต สูงถึงกว่า 14% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา” ทั้งนี้ หากพิจารณาเป็นรายไตรมาส พบว่า ยอดขายเอ็มจีในไตรมาสที่ 1 และ 2 มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด จากสถานการณ์โควิดในประเทศที่คลี่คลายไปในทิศทางที่ดี ประกอบกับการเปิดตัว MG EXTENDER รุ่นปรับโฉมใหม่พร้อมการจัดทำข้อเสนอพิเศษและกิจกรรมทางการตลาดอย่างต่อเนื่องและขยายไปยังหลากหลายช่องทางมากขึ้น ในขณะที่ไตรมาสที่ 3 สถานการณ์โควิดกลับมารุนแรงอีกครั้ง ทำให้ผู้บริโภคชะลอการซื้อเพื่อรอดูสถานการณ์ แต่เอ็มจียังคงเดินหน้าแผนงานตามที่ได้ตั้งเป้าไว้ กับการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่คือ ALL NEW MG5 รถยนต์สปอร์ตคูเป้ซีดานที่มีความโดดเด่นด้านดีไซน์ เทคโนโลยีและฟังก์ชั่นต่างๆ กับราคาที่คุ้มค่า ทำให้เอ็มจีมียอดขายขยับขึ้นมาเป็นอันดับที่ 5 ของตลาดรถยนต์ในประเทศไทย ในเดือนกรกฏาคมและสิงหาคม ที่ผ่านมา บทพิสูจน์ทางด้านยอดขายข้างต้น ถือเป็นหนึ่งภาพสะท้อนความสำเร็จของแบรนด์เอ็มจี ในฐานะองค์กรที่มีเป้าหมายในการพัฒนาและยกระดับแบรนด์อย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค จนได้รับความไว้วางใจและความเชื่อมั่นจากคนไทยมากยิ่งขึ้น และล่าสุดยังได้รับรางวัล THAILAND TOP COMPANY AWARDS ประจำปี2564 ประเภทรางวัล “OUTSTANDING AWARDS” ในฐานะองค์กรที่มีการดำเนินธุรกิจที่โดดเด่น ทั้งด้านผลประกอบการ ด้านนวัตกรรม ด้านการบริหารจัดการ และด้านการบริการลูกค้าที่เป็นที่ยอมรับ ซึ่งเป็นการ รับรางวัล THAILAND TOP COMPANY AWARDS ต่อเนื่องเป็นปีที่สอง ภายหลังจากการได้รับรางวัล ในประเภท “FAST – GROWING COMPANY AWARD” หรือองค์กรที่มีผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างรวดเร็วเมื่อปีที่ผ่านมา สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ MG CALL CENTRE โทร. 1267 และสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมของเอ็มจีได้ที่ Website: www.mgcars.com Line: @MGThailandFacebook:www.facebook.com/MGcarsThailand Twitter: @mg_thailand Instagram: @mgthailand Youtube: MG Thailand. TikTok: @mgthailand
มาสด้า เตรียมรบในปี 2565
มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น ได้ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับแผนการพัฒนาธุรกิจ โดยเปิดเผยนโยบายเกี่ยวกับการขยายผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มรถอเนกประสงค์เอสยูวี และจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป โดยรถอเนกประสงค์เอสยูวีรุ่นใหม่ที่กำลังกล่าวถึง ประกอบด้วย มาสด้า CX-50 ซึ่งจะทำการผลิตขึ้นที่โรงงานแห่งใหม่ในสหรัฐอเมริกา เช่นเดียวกันกับรถยนต์อีกหลายรุ่นในกลุ่มผลิตภัณฑ์ขนาดใหญ่ (Large Product group1) รวมถึง มาสด้าCX-60, CX-70, CX-80 และ CX-90 ซึ่งรถยนต์รุ่นต่างๆ เหล่านี้ มาสด้าได้มีการวางแผนเพื่อเปิดตัวแนะนำสู่ตลาดในอีกสองปีข้างหน้า หรือ ในระหว่างปี 2565 ถึง 2566 โดยมาสด้ามุ่งหวังที่จะนำเสนอทางเลือกรถยนต์ในกลุ่มเอสยูวีให้กับลูกค้าและเป็นรถยนต์ที่ส่งมอบทั้งความสนุกสนานในการขับขี่ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้มากที่สุด เพื่อตอบสนองต่อความต้องการรถเอสยูวีที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วโลก จากการใช้ประโยชน์ด้านทรัพย์สินทางเทคโนโลยีในการพัฒนาและการผลิตอย่างเต็มกำลัง เช่น เทคโนโลยีสกายแอคทีฟ, Bundle Planning และรูปแบบการผลิตที่มีความยืดหยุ่น มาสด้าได้สะสมองค์ความรู้มาอย่างต่อเนื่อง ตามกลยุทธ์แบบ Building Block2 จึงทำให้สามารถขยายไลน์ผลิตภัณฑ์รถเอสยูวีได้อย่างมีประสิทธิภาพควบคู่กับการลงทุนที่ต่ำทำให้มั่นใจได้ว่าธุรกิจจะเติบโตได้อย่างมั่นคงในระยะกลางถึงระยะยาว มาสด้า CX-50 เป็นอเนกประสงค์เอสยูวีที่มาสด้าเพิ่มเติมเข้ามาเป็นโมเดลหลักรุ่นใหม่ และจะทำการเปิดตัวเฉพาะในตลาดอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดที่รถเอสยูวีได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ประกอบกับความต้องการรถยนต์ที่มีสมรรถนะสูงในการขับขี่สไตล์ออฟโรด ซึ่งมาสด้า CX-50 เป็นรุ่นที่อยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ขนาดเล็ก (Small Product group3) เช่นเดียวกับมาสด้า3 และมาสด้า CX-30 โดยมาสด้าจะเริ่มทำการผลิตมาสด้า CX-50 ในเดือนมกราคม 2565 ณ โรงงานแห่งใหม่ โดยความร่วมมือกันระหว่างมาสด้ากับโตโยต้า หรือ โรงงานมาสด้า โตโยต้า แมนูแฟคเจอริ่ง สหรัฐอเมริกา (MTMUS) ณเมืองฮัลต์สวิลล์ มลรัฐอลาบาม่า ประเทศสหรัฐอเมริกา สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มรถอเนกประสงค์ขนาดใหญ่ (Large Products group) ประกอบด้วย มาสด้า CX-60, CX-70, CX-80 และ CX-90 จะมาพร้อมกับ 2 รูปแบบตัวถัง พร้อมกับการจัดวางแถวที่นั่ง 2 แบบ ได้แก่ แบบที่นั่ง 2 แถวและแบบที่นั่ง 3 แถว เนื่องจากรถอเนกประสงค์รุ่นเหล่านี้เป็นรถที่มีช่วงราคากว้างกว่า CX-50 หรือ CX-5 รุ่นปัจจุบัน ในตลาดที่มีถนนค่อนข้างแคบและมีพื้นที่จอดรถขนาดเล็ก อาทิ ยุโรปและญี่ปุ่น มาสด้าจะทำการเปิดตัวแนะนำCX-60 แบบที่นั่ง 2 แถว และ CX-80 แบบที่นั่ง 3 แถว ในขณะเดียวกัน CX-70 และ CX-90 จะถูกเปิดตัวในอเมริกาเหนือและตลาดอื่นๆ ที่รถขนาดใหญ่ได้รับความนิยม ซึ่งรถทั้งสองรุ่นนี้จะมาพร้อมกับตัวถังขนาดใหญ่ โดย CX-70 จะเป็นรถที่นั่งแบบ 2 แถว และ CX-90 จะเป็นรถที่นั่งแบบ 3 แถว ซึ่งรถในกลุ่มนี้จะเป็นรุ่นที่มาเสริมความหลากหลายของกลุ่มรถอเนกประสงค์เอสยูวีขนาดกลางของมาสด้าในอนาคต
ฮอนด้า ผู้สนับสนุนหลัก Miss Universe Thailand 2021
บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด หนึ่งในผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการของเวทีการประกวด Miss Universe Thailand 2021 เวทีแห่งความฝันที่ยิ่งใหญ่ของสาวไทย ชวนสาวงาม 30 คนสุดท้าย ถ่ายทอดความเป็นตัวตนและเผยพลังแห่ง Passion ไปกับรถยนต์ ฮอนด้า ซีวิค ใหม่ เจเนอเรชันที่ 11 ยนตรกรรมสปอร์ตพรีเมียมซีดานที่ยกระดับในทุกมิติ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมช่วงเก็บตัว ก่อนที่สาวงามผู้ครองมงกุฏ Miss Universe Thailand 2021 จะได้รับเป็นหนึ่งในของรางวัลในการประกวดรอบตัดสินในวันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม 2564 นี้ โดยทางฮอนด้าได้เตรียมรางวัลสำหรับสาวงามผู้ชนะการประกวดในปีนี้ คือ ฮอนด้า ซีวิค ใหม่ เจเนอเรชัน ที่ 11 รุ่นRS สีขาวแพลทินัม (มุก) มูลค่า 1,209,900 บาท ไอคอนยนตรกรรมสปอร์ตพรีเมียมซีดาน ทุกรุ่นมาพร้อมขุมพลังเทอร์โบ ให้สมรรถนะการขับขี่ที่ทรงพลังและประหยัดน้ำมัน พร้อมด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ Honda SENSING ภายในห้องโดยสารที่กว้างขวางสะดวกสบายเกินคลาส และครบครันด้วยฟังก์ชันการใช้งานและเทคโนโลยีเพื่อความสะดวกสบายอันล้ำสมัย สะท้อนความเป็นตัวตนของคนรุ่นใหม่ที่มีความมุ่งมั่นและเต็มเปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจได้อย่างชัดเจนสอดคล้องกับแนวคิดการประกวด Miss Universe Thailand 2021 ในปีนี้ ซึ่งก็คือ “Power of Passion” ที่ต้องการเฟ้นหา“สตรีผู้ทรงพลัง สู่เส้นทางแห่งชัยชนะ” เพื่อเป็นตัวแทนสาวไทยเพียงหนึ่งเดียวไปแสดงศักยภาพและสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศบนเวทีระดับโลก ฮอนด้าขอเป็นอีกหนึ่งแรงใจให้กับสาวงามผู้เข้ารอบทั้ง 30 คน เพื่อก้าวต่อไปด้วย “พลังแห่งความฝัน” หรือ “The Power of Dreams” บนเส้นทางอันยิ่งใหญ่ เพื่อคว้าชัยและส่งต่อแรงบันดาลใจให้กับผู้หญิงไทยทุกคนต่อไป สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมของ ฮอนด้า ซีวิค ใหม่ เจเนอเรชันที่ 11 ได้ที่ https://www.honda.co.th/civic #PowerofPassion #HondaThePowerofDreams
ยามาฮ่า สานต่อโครงการ Blood Hero ปี 2
แท็กทีม สภากาชาด ปลุกพลังซูเปอร์ฮีโร่ กู้วิกฤติขาดแคลนโลหิต โดย คุณพงศธร เอื้อมงคลชัย รองประธานกรรมการบริหาร นางสาวจินตนา อุดมทรัพย์ ที่ปรึกษาคณะบริหาร และนายภาณุพล กิตติคำรณ รองผู้จัดการใหญ่ด้านการขายและการตลาด บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ร่วมกันมอบเงินบริจาคจำนวน 500,000 บาท ให้กับสภากาชาดไทยโดยมี รศ.พญ.ดุจใจ ชัยวานิชศิริ ผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย และ ดร.ลักขณา ลีละยุทธโยธินประธานคณะอนุกรรมการรณรงค์เพิ่มผู้บริจาคโลหิตเป็นผู้รับมอบ โดย สภากาชาดไทยจะนำเงินบริจาคดังกล่าวไปจัดทำเสื้อในโครงการ BLOOD HERO ปี 2 เป็นการกระตุ้นและเชิญชวนให้ชาวไทยร่วมกันบริจาคโลหิต เพื่อส่งมอบให้กับผู้ป่วยที่จำเป็นต้องได้รับโลหิตในการผ่าตัดต่างๆ รวมถึงการรักษาผู้ป่วยที่มีการสูญเสียโลหิตอย่างเฉียบพลัน ซึ่งการรักษาผู้ป่วยต้องมีโลหิตสำรองอย่างเพียงพอระหว่างการผ่าตัด เนื่องด้วยภาวะวิกฤติโลหิตขาดแคลนทั่วประเทศสืบเนื่องจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลกระทบทำให้จำนวนผู้บริจาคโลหิตลดลง บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด จึงได้ร่วมมือกับศูนย์โลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย บริจาคเงินจำนวน 500,000 บาท ในการจัดทำเสื้อทีเชิร์ต BLOOD HERO ปี 2 รุ่น Limited Edition ปลุกพลังซูเปอร์ฮีโร่ เพื่อมอบให้กับผู้ที่มาร่วมบริจาคโลหิตกับศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย สำหรับผู้ที่สนใจสามารถร่วมบริจาคโลหิตได้ที่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ ถนนอังรีดูนังต์, หน่วยเคลื่อนที่รับบริจาคโลหิต, ภาคบริการโลหิตแห่งชาติ 12 แห่ง และโรงพยาบาลสาขาบริการโลหิต 170 แห่ง ทั่วประเทศ ทั้งนี้ บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการสำรองโลหิตในการรักษาผู้ป่วยจึงได้มีการจัดให้พนักงานภายในองค์กรยามาฮ่า ได้ร่วมกันบริจาคโลหิตกับสภากาชาดไทยมาอย่างต่อเนื่องอย่างน้อยปีละ 3 ครั้งมากว่า 30 ปี อนึ่ง การมอบเงินบริจาคในโครงการ BLOOD HERO ปี 2 ปลุกพลัง ซูเปอร์ฮีโร่ ครั้งนี้ เป็นหนึ่งในโครงการ “ยามาฮ่า ร่วมใจช่วยเหลือผู้ประสบภัย COVID-19” มีขึ้น ณ สภากาชาดไทย ถ.อังรีดูนังต์ กรุงเทพฯ
บริดจสโตน ผู้นำตลาดยางรถยนต์ตัวจริง
บริดจสโตน ตอกย้ำความเป็นที่สุดในการเป็นผู้นำตลาดยางรถยนต์ตัวจริง คว้ารางวัล “แบรนด์ยอดนิยมอันดับหนึ่งของประเทศไทย” ประเภทยางรถยนต์ หรือ “No.1 Brand Thailand 2020-2021” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 10 ซึ่งเป็นผลจากการสํารวจความคิดเห็นของผู้บริโภคทั่วประเทศ บริษัท บริดจสโตนเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด โดย คุณบัณฑิต จันทรคณา ผู้จัดการฝ่ายการตลาดปฏิบัติการ รับรางวัลเกียรติยศ “แบรนด์ยอดนิยมอันดับหนึ่งของประเทศไทย” ประเภทยางรถยนต์ หรือ “No.1 Brand Thailand 2020-2021” ซึ่งมาจากการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ โดยนิตยสาร Marketeer ต่อเนื่องเป็นปีที่ 10 สะท้อนภาพลักษณ์ความแข็งแกร่งของแบรนด์บริดจสโตนที่สามารถครองใจผู้บริโภคได้อย่างยาวนาน ด้วยเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นสู่การเป็นองค์กรผู้ส่งมอบโซลูชั่นด้านการเดินทางอย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “โซลูชั่นของทุกจุดหมายที่แตกต่าง หรือ Solutions for Your Journey” โดยได้กล่าวว่า “บริดจสโตนมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจโดยให้ลูกค้าเป็นศูนย์กลางสำคัญ (Customer-Centric) ในการรับฟังความต้องการ ศึกษาพฤติกรรมและข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภค ด้วยการนำเสนอโซลูชั่นผ่านนวัตกรรมที่มีส่วนช่วยในการแก้ไขปัญหา ตรงกับความต้องการและความพึงพอใจของผู้บริโภค จึงทำให้บริดจสโตนเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่ง และเป็นอันดับหนึ่งในใจของผู้บริโภคชาวไทย บริดจสโตนขอขอบคุณทุกความเชื่อมั่น และมอบความไว้วางใจในแบรนด์บริดจสโตนเสมอมา ทั้งนี้ บริดจสโตนยังคงดำเนินพันธกิจเหล่านี้เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยต่อไป” อ้างอิงจากผลสำรวจของ บริษัท Kadence International (Thailand) และ บริษัท มาร์เก็ตติ้ง มูฟ จำกัด ในการสำรวจความนิยมในสินค้าและบริการประเภทต่างๆ ของผู้บริโภคชาวไทยในปีล่าสุด
MOTOR EXPO 2021
มหกรรมสุขสันต์คนรักยานยนต์-TIME to ENJOY!” โดย “IMC สื่อสากล” เผยแนวคิด “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 38” เน้นจุดเด่นเป็นงานที่สร้างความสุขให้คนรักยานยนต์ คุณขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธาน บริษัท สื่อสากล จำกัด และประธานจัดงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 38” กล่าวถึงแนวคิดของงานปีนี้ว่า เนื่องจากยานยนต์มีองค์ประกอบที่น่าชม และน่าศึกษามากมาย ทั้งรูปลักษณ์ เครื่องยนต์ สมรรถนะอุปกรณ์อำนวยความสะดวก และเทคโนโลยีอันทันสมัย ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้เกิดคนรักยานยนต์ ขณะที่ความสุขของคนรักยานยนต์ ก็กว้างขวาง หลากหลาย ตามรสนิยม และความสนใจของแต่ละคน เช่น อาจเกิดจากการได้สัมผัสอย่างใกล้ชิด การพินิจพิจารณาเฉพาะส่วนที่หลงใหลเป็นพิเศษ การทดลองขับขี่ รวมถึงการครอบครองเป็นเจ้าของ ฯลฯ ด้วยเหตุนี้ “มหกรรมยานยนต์” ที่รวบรวมยานยนต์ทุกประเภทมาจัดแสดง เพื่อให้ชม สัมผัส ลองขับ และเลือกซื้อ จึงเป็นงานที่เหล่าคนรักยานยนต์รอคอย ยิ่งไปกว่านั้น “มหกรรมยานยนต์” ยังเป็นแหล่งพบปะสังสรรค์ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นตามประสาคนคอเดียวกัน ท่ามกลางบรรยากาศคึกคัก เต็มเปี่ยมด้วยความสุข บริษัทฯ จึงกำหนดแนวคิดของ “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 38” ให้สอดคล้องกับลักษณะงาน และความหมายของ“TIME” คำย่อชื่องานในภาษาอังกฤษ (TIME: THAILAND INTERNATIONAL MOTOR EXPO) ว่า “มหกรรมสุขสันต์คนรักยานยนต์–TIME to ENJOY!” งาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 38” จะจัดขึ้น ณ อาคารชาลเลนเจอร์ IMPACT เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 1-12 ธันวาคม 2564 ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ www.motorexpo.co.th
New Honda CBR500R จัดเต็มฟีเจอร์ระดับท็อปคลาส
มาดเท่ บาดใจสายสปอร์ตตัวจริง เพราะหากพูดถึงรถบิ๊กไบค์สายสปอร์ตที่เป็นจุดเริ่มต้นของกระแสการขับขี่บิ๊กไบค์ในเมืองไทย คงหนีไม่พ้นสปอร์ตไบค์สุดเท่อย่างฮอนด้า CBR500R จากตระกูล 500 Series ที่เปิดตัวครั้งแรกในโลกเมื่อปี 2013 เป็นรถสปอร์ตพิกัดกลาง ที่ขับขี่สนุกควบคุมง่ายเหมาะสำหรับผู้ที่อยากจะเริ่มต้นก้าวเข้าสู่โลกของบิ๊กไบค์ หลังจากนั้นมา CBR500R ก็ได้รับการปรับโฉมพร้อมกับเพิ่มเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้าไปอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นรถที่โดนใจไบค์เกอร์ทั้งในเมืองไทย และทั่วโลกเป็นอย่างมาก ล่าสุดในปี 2021 ทางฮอนด้าบิ๊กไบค์ได้สร้างความสั่นสะเทือนให้กับวงการอีกครั้งด้วยการเปิดตัว New CBR500R ที่ถ่ายทอดเทคโนโลยีจากสนามแข่งมาสู่รถรุ่นนี้แบบเต็มพิกัดอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยการติดตั้งโช้กอัพหน้าแบบหัวกลับขนาด 41 มม. และดิสก์เบรกหน้าคู่ ถือเป็นครั้งแรกของบิ๊กไบค์ในคลาสนี้ ที่มาพร้อมสเปคระดับเดียวกับรถซูเปอร์ไบค์ เมื่อรวมกับลวดลายกราฟิกที่ออกแบบใหม่ล่าสุด ยิ่งทำให้ New CBR500R ดูมีความดุดันในทุกมุม และยังมีสมรรถนะในการขับขี่ที่ดีขึ้นไปสู่อีกระดับ ที่สำคัญ แม้จะมีอุปกรณ์ใหม่ๆ เข้ามา แต่น้ำหนักกลับไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย เพราะฮอนด้าได้มีการออกแบบ สวิงอาร์ม และล้อแม็ก ให้มีน้ำหนักเบากว่าเดิมเพื่อให้สมดุล กับน้ำหนักโดยรวม ของรถ แต่ไม่สูญเสีย ความแข็งแรงแต่อย่างใด รักษาจุดเด่นในเรื่องการเป็นรถที่ควบคุมง่ายได้เหมือนเดิม New CBR500R ยังได้รับการอัพเกรดในส่วนของไฟหน้าคู่แบบ LED ที่มีการปรับความสว่าง ให้มากขึ้นกว่าเดิมถึง 25% ทำให้การขับขี่ในเวลากลางคืนมีความปลอดภัยมากขึ้น และยังติดตั้ง Assist Slipper Clutch ที่ช่วยลดแรงกระชากของล้อหลังขณะเปลี่ยนเกียร์ เพื่อความนุ่มนวล และความต่อเนื่องของการขับขี่ ในด้านของสมรรถนะ New CBR500R ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังของเครื่องยนต์ 2 สูบ แบบ Parallel Twin DOHC ขนาด 500 ซีซี ระบายความร้อนด้วยน้ำ ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์ 6 สปีด ให้แรงบิดที่ดีตั้งแต่ออกตัว ในขณะที่ดิสก์หน้าคู่ที่ติดตั้งเข้ามาใหม่จะทำงานร่วมกับ คาลิปเปอร์แบบ Radial Mount 4 Pots และระบบเบรกแบบ ABS อีกจุดหนึ่งที่ทำให้ผู้ขับขี่ได้สัมผัสอารมณ์ของความเป็นซูเปอร์สปอร์ตตัวจริง ก็คือตำแหน่งท่านั่ง ด้วยเบาะนั่งที่ไม่สูงมาก…
บริดจสโตน ผู้นำตลาดยางรถยนต์ตัวจริง
บริดจสโตน ตอกย้ำความเป็นที่สุดในการเป็นผู้นำตลาดยางรถยนต์ตัวจริง คว้ารางวัล “แบรนด์ยอดนิยมอันดับหนึ่งของประเทศไทย” ประเภทยางรถยนต์ หรือ “No.1 Brand Thailand 2020-2021” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 10 ซึ่งเป็นผลจากการสํารวจความคิดเห็นของผู้บริโภคทั่วประเทศ บริษัท บริดจสโตนเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด โดย คุณบัณฑิต จันทรคณา ผู้จัดการฝ่ายการตลาดปฏิบัติการ รับรางวัลเกียรติยศ “แบรนด์ยอดนิยมอันดับหนึ่งของประเทศไทย” ประเภทยางรถยนต์ หรือ “No.1 Brand Thailand 2020-2021” ซึ่งมาจากการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ โดยนิตยสาร Marketeer ต่อเนื่องเป็นปีที่ 10 สะท้อนภาพลักษณ์ความแข็งแกร่งของแบรนด์บริดจสโตนที่สามารถครองใจผู้บริโภคได้อย่างยาวนาน ด้วยเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นสู่การเป็นองค์กรผู้ส่งมอบโซลูชั่นด้านการเดินทางอย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “โซลูชั่นของทุกจุดหมายที่แตกต่าง หรือ Solutions for Your Journey” บริดจสโตนมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจโดยให้ลูกค้าเป็นศูนย์กลางสำคัญ (Customer-Centric) ในการรับฟังความต้องการ ศึกษาพฤติกรรมและข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภค ด้วยการนำเสนอโซลูชั่นผ่านนวัตกรรมที่มีส่วนช่วยในการแก้ไขปัญหา ตรงกับความต้องการและความพึงพอใจของผู้บริโภค จึงทำให้บริดจสโตนเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่ง และเป็นอันดับหนึ่งในใจของผู้บริโภคชาวไทย บริดจสโตนขอขอบคุณทุกความเชื่อมั่น และมอบความไว้วางใจในแบรนด์บริดจสโตนเสมอมาทั้งนี้ บริดจสโตนยังคงดำเนินพันธกิจเหล่านี้เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยต่อไป” อ้างอิงจากผลสำรวจของ บริษัท Kadence International (Thailand) และ บริษัท มาร์เก็ตติ้ง มูฟ จำกัด ในการสำรวจความนิยมในสินค้าและบริการประเภทต่างๆ ของผู้บริโภคชาวไทยในปีล่าสุด