มาสด้า ประเทศไทย เปิดเกมส์บุกหนักตลาดครอสโอเวอร์เอสยูวี เปิดตัวแนะนำ NEW MAZDA CX-3 มาพร้อมแนวคิด “Leap Forward” ให้ชีวิตไปอีกขั้น กับเอสยูวีใหม่ที่คุ้มค่ากว่า ทุกรุ่นย่อยมาพร้อมเทคโนโลยีสกายแอคทีฟ เชื่อมต่อคนรุ่นใหม่กับโลกยานยนต์ด้วยการสื่อสารแบบไร้ขีดจำกัด มาพร้อมอุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สายตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์อิสระสังคมแห่งโลกยุคดิจิตอล พบกับ มาสด้า ซีเอ็กซ์-3 อีกระดับ ด้วยสีภายนอกเทรนด์ใหม่ สีบรอนซ์ แพลตทินั่ม ควอตซ์ มอบความสปอร์ตพรีเมี่ยมในทุกมุมมอง สะท้อนเอกลักษณ์ความมีสไตล์ของผู้ขับขี่ที่ชัดเจน ตั้งเป้าเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่กลุ่ม B-SUV และ B-Car Upper ที่มองหารถเอสยูวีคันแรก ที่ตอบครบทั้งไลฟ์สไตล์และภาพลักษณ์ตลอดจนฟังก์ชั่นการใช้งานบนพื้นฐานความคุ้มค่า ตั้งราคาขายเริ่มต้นเพียง 769,000 บาท พร้อมข้อเสนอพิเศษช่วงเปิดตัวกับดอกเบี้ย 1.33%1 ฟรีประกันภัยชั้น 1 Mazda Premium Insurance 1 ปี คุณชาญชัย ตระการอุดมสุข ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “MAZDA CX-3 ถือเป็นหนึ่งในรถครอสโอเวอร์เอสยูวีรุ่นเริ่มต้นที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจากลูกค้าทั่วโลกรวมทั้งลูกค้าชาวไทย เปิดตัวแนะนำครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2558 สามารถสร้างยอดขายให้กับมาสด้าได้อย่างต่อเนื่องกลายเป็นโมเดลที่ทำสถิติเติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และล่าสุดในปีนี้ (เดือนมกราคม-ตุลาคม 2564) ก็สร้างสถิติใหม่ด้วยอัตราการเติบโตสูงสุดถึง 104% ท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 โดยมียอดขายสะสมสูงถึง 3,500 คัน ซึ่งการเปิดตัว NEW MAZDA CX-3 ครั้งนี้ นับเป็นการวางกลยุทธ์ใหม่ของมาสด้า ในการสร้างความแข็งแกร่งด้านผลิตภัณฑ์ให้กับรถเอสยูวีในตระกูล CX-Series ในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ ต่อเนื่องจากที่ได้เปิดตัวแนะนำรถครอสโอเวอร์เอสยูวีรุ่นพี่ NEW MAZDA CX-5 และ NEW MAZDA CX-8 พร้อมคอนเซปต์ที่เด่นชัดด้วยภาพลักษณ์ของ MAZDA FAMILY SUV ไปเมื่อช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา และกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในเวลานี้ เนื่องจากการวางกลยุทธ์ด้านราคา การขยายฐานลูกค้า การเติมเทคโนโลยี และเพิ่มอุปกรณ์มาตรฐาน ที่ลูกค้าสัมผัสและเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น สำหรับการเปิดตัว NEW MAZDA CX-3 ครั้งนี้ เป็นการพัฒนาปรับโฉมเป็นครั้งที่สี่ ซึ่งทำให้ CX-3 เป็นเอสยูวีที่ล้ำสมัยและทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของเทคโนโลยีในยุคดิจิตอลอยู่เสมอ ทั้งยังเป็นการกลับมาเพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับตลาดรถยนต์ในกลุ่ม B-SUV ด้วยการเป็นรถที่ให้มากกว่าความคุ้มค่า กับราคาที่จับต้องได้และเป็นเจ้าของได้ง่าย ครบครันด้วยเทคโนโลยี ที่ตอบรับและเข้าใจความต้องการของลูกค้าในยุคดิจิตอลได้อย่างแท้จริง ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งนี้ CX-3 ยังมาพร้อมกับการเปิดตัวสีใหม่ล่าสุด เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ซึ่งดีไซน์เนอร์เจาะจงใช้เทรนด์สีใหม่แห่งอนาคต สี บรอนซ์ แพลตทินั่ม ควอตซ์เพื่อก้าวสู่เทรนด์แฟชั่นใหม่ก่อนใคร และเชื่อว่าสีดังกล่าวจะมาสร้างกระแสนิยมใหม่ให้กับวงการรถยนต์ เช่นเดียวกับกระแสตอบรับจากตลาดเป็นอย่างดี กับสีซิกเนเจอร์ของมาสด้าต่างๆ ที่ผ่านมา ทั้ง สีแดง โซล เรด คริสตัล, สีเทา แมชชีนเกรย์ และสีเทา โพลีเมทัล เกรย์ พร้อมยกระดับความพรีเมี่ยม ล้ำสมัยในทุกด้านของผลิตภัณฑ์รถครอสโอเวอร์ของมาสด้าที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และแสดงออกถึงตัวตนของลูกค้าในยุคดิจิตอลได้อย่างแท้จริง ซึ่งมาสด้ามั่นใจว่า รถรุ่นนี้จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าในประเทศไทยเช่นที่ผ่านมา” อนึ่ง ทางด้าน คุณธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารอาวุโส บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “การเปิดตัวแนะนำ NEW MAZDA CX-3 ถือเป็นการวางกลยุทธ์ครั้งสำคัญในการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับรถประเภทครอสโอเวอร์เอสยูวีของประเทศไทย การปรับโฉม NEW MAZDA CX-3 ให้มีความล้ำสมัยมากขึ้นอีกขั้น และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในยุคดิจิตอลมากยิ่งขึ้น ซึ่งการกลับมาครั้งนี้มาพร้อมแนวคิด “Leap Forward” ให้ชีวิตไปอีกขั้น กับเอสยูวีใหม่ที่คุ้มค่ากว่า โดยมุ่งเจาะกลุ่มเป้าหมายไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีคาแรกเตอร์และมีสไตล์ อัพเดททุกเทรนด์ พัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ไม่หยุดอยู่กับที่ มองทุกจังหวะเป็นโอกาส เลือกที่จะแข่งและเอาชนะตัวเอง เพื่อให้พร้อมก้าวสู่ความสำเร็จอีกขั้น ได้ใช้ชีวิตและเติมเต็มประสบการณ์ของตัวเองและกลุ่มเพื่อนอย่างเต็มที่และคุ้มค่า และกำลังมองหารถครอสโอเวอร์เอสยูวีคันแรกในกลุ่ม B-SUV ที่พร้อมด้วยเทคโนโลยี และมาพร้อมความคุ้มค่าครอบคลุมและตอบโจทย์ความต้องการ ทั้งในเชิงภาพลักษณ์ ประสบการณ์และการใช้งานอย่างครบถ้วน เพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายอีกขั้นของชีวิตในแบบฉบับของตัวเอง” ดังนั้น NEW MAZDA CX-3 จึงเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ความต้องการและตัวตนของกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริงครบครันด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยในรุ่นย่อยทั้ง 3 รุ่น รองรับการเชื่อมต่อแบบไร้ขีดจำกัด ตอบรับทุกประสบการณ์ที่ทำให้ชีวิตก้าวไปสู่อีกระดับ ด้วยความอเนกประสงค์ของการใช้งานที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร ในทุกรุ่นย่อย ที่ให้พละกำลังแรงมากที่สุดในกลุ่มเซกเมนต์ถึง 156 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 204 นิวตัน-เมตร ประหยัดน้ำมันถึง 16.4 กม.* และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยความเหนือชั้นของเทคโนโลยีสกายแอคทีฟ ที่ผสานและควบคุมการทำงานของรถทั้งคันให้ทำงานประสานกันอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อส่งมอบประสบการณ์ความสนุกคล่องตัวในการขับขี่ตามแนวคิด จินบะ อิไต(Jinba Ittai) พร้อมด้วยระบบควบคุมสมรรถนะการขับขี่อัจฉริยะ G-Vectoring Control (GVC) ที่ให้ผู้ขับขี่และรถเป็นหนึ่งเดียวกัน พบกับอีกขั้นของสไตล์ที่พรีเมี่ยมโดดเด่นพร้อมความสง่างามเป็นครั้งแรกกับสีภายนอกใหม่ล่าสุด Platinum Quartz สีบรอนซ์ แพลตทินั่ม ควอตซ์ ที่จะมาเสริมให้มาสด้ากลายเป็นผู้นำเทรนด์ของวัยรุ่นยุคสมัยใหม่ โดยเป็นสีที่แสดงออกถึงความมีคุณภาพสูง ด้วยผลึกกึ่งโปร่งแสงจากควอตซ์ที่ขาวละเอียด นวลเนียน และมีคุณภาพ สะท้อนตัวตนอันมีเอกลักษณ์ของผู้ขับขี่ มีความแตกต่างไม่ซ้ำใคร ให้ความรู้สึกหรูหรา ทรงพลัง และสง่างามมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากแนวคิด Kodo design – Soul of Motion ด้วยเส้นสายที่เรียบง่ายแต่แฝงด้วยความโฉบเฉี่ยวที่เปรียบประดุจการเติมจิตวิญญาณให้ยนตรกรรมมีชีวิต เพื่อสะท้อนความเรียบหรูทรงพลังในสไตล์เอสยูวี และสร้างความตราตรึงใจให้กับผู้พบเห็น สำหรับภายในห้องโดยสารก็ยังคงโดดเด่นด้วยความประณีตพิถีพิถันใส่ใจในทุกรายละเอียด คัดสรรเลือกใช้เฉพาะวัสดุเกรดพรีเมี่ยมในทุกจุดสัมผัส พร้อมเพิ่มความโดดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์ด้วยคอนโซลหน้าแบบ Grand Luxe Suede® สีเทา ที่ผสานอย่างลงตัวกับเบาะหนังสีดำตัดด้วยด้ายสีเทา เพื่อให้ตอบรับกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายในยุคดิจิตอล NEW MAZDA CX-3 จึงมาพร้อมกับอุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย Wireless Charger ในทุกรุ่นย่อย เพื่อมอบความสะดวกสบายขึ้นอีกขั้น รวมถึงช่วยให้ไม่พลาดทุกการติดต่อสื่อสารบนโลกโซเชียล และอัพเดทเทรนด์ได้ทุกที่ทุกเวลากับเทคโนโลยีเชื่อมต่อแบบไร้ขีดจำกัด ที่สามารถใช้งานผ่านแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน ด้วยระบบ Mazda Connect ที่มาพร้อม Wireless Apple CarPlay® และรองรับ Android AutoTM* ที่สามารถใช้งานฟังก์ชั่นสำคัญได้โดยแสดงข้อมูลผ่านหน้าจอสี Center Display แบบทัชสกรีน ขนาด 7 นิ้วควบคุมด้วยปุ่มควบคุมอัจฉริยะ Center Commander มอบความสะดวกสบายได้อย่างแท้จริง การพัฒนาภายใต้ปรัชญา HMI…
Author: GIANT Autosawasdee
NEW MAZDA CX-3 สีใหม่ “แพลตทินั่ม ควอตซ์”
มาสด้า ประเทศไทย เปิดเกมส์บุกหนักตลาดครอสโอเวอร์เอสยูวี เปิดตัวแนะนำ NEW MAZDA CX-3 มาพร้อมแนวคิด “Leap Forward” ให้ชีวิตไปอีกขั้น กับเอสยูวีใหม่ที่คุ้มค่ากว่า ทุกรุ่นย่อยมาพร้อมเทคโนโลยีสกายแอคทีฟ เชื่อมต่อคนรุ่นใหม่กับโลกยานยนต์ด้วยการสื่อสารแบบไร้ขีดจำกัด มาพร้อมอุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สายตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์อิสระสังคมแห่งโลกยุคดิจิตอล พบกับ มาสด้า ซีเอ็กซ์-3 อีกระดับ ด้วยสีภายนอกเทรนด์ใหม่ สีบรอนซ์ แพลตทินั่ม ควอตซ์ มอบความสปอร์ตพรีเมี่ยมในทุกมุมมอง สะท้อนเอกลักษณ์ความมีสไตล์ของผู้ขับขี่ที่ชัดเจน ตั้งเป้าเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่กลุ่ม B-SUV และ B-Car Upper ที่มองหารถเอสยูวีคันแรก ที่ตอบครบทั้งไลฟ์สไตล์และภาพลักษณ์ตลอดจนฟังก์ชั่นการใช้งานบนพื้นฐานความคุ้มค่า ตั้งราคาขายเริ่มต้นเพียง 769,000 บาท พร้อมข้อเสนอพิเศษช่วงเปิดตัวกับดอกเบี้ย 1.33% ฟรีประกันภัยชั้น 1 Mazda Premium Insurance 1 ปี คุณชาญชัย ตระการอุดมสุข ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “MAZDA CX-3 ถือเป็นหนึ่งในรถครอสโอเวอร์เอสยูวีรุ่นเริ่มต้นที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจากลูกค้าทั่วโลกรวมทั้งลูกค้าชาวไทย เปิดตัวแนะนำครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2558 สามารถสร้างยอดขายให้กับมาสด้าได้อย่างต่อเนื่องกลายเป็นโมเดลที่ทำสถิติเติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และล่าสุดในปีนี้ (เดือนมกราคม-ตุลาคม 2564) ก็สร้างสถิติใหม่ด้วยอัตราการเติบโตสูงสุดถึง 104% ท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 โดยมียอดขายสะสมสูงถึง 3,500 คัน ซึ่งการเปิดตัว NEW MAZDA CX-3 ครั้งนี้ นับเป็นการวางกลยุทธ์ใหม่ของมาสด้า ในการสร้างความแข็งแกร่งด้านผลิตภัณฑ์ให้กับรถเอสยูวีในตระกูล CX-Series ในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ ต่อเนื่องจากที่ได้เปิดตัวแนะนำรถครอสโอเวอร์เอสยูวีรุ่นพี่ NEW MAZDA CX-5 และ NEW MAZDA CX-8 พร้อมคอนเซปต์ที่เด่นชัดด้วยภาพลักษณ์ของ MAZDA FAMILY SUV ไปเมื่อช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา และกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในเวลานี้ เนื่องจากการวางกลยุทธ์ด้านราคา การขยายฐานลูกค้า การเติมเทคโนโลยี และเพิ่มอุปกรณ์มาตรฐาน ที่ลูกค้าสัมผัสและเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น สำหรับการเปิดตัว NEW MAZDA CX-3 ครั้งนี้ เป็นการพัฒนาปรับโฉมเป็นครั้งที่สี่ ซึ่งทำให้ CX-3 เป็นเอสยูวีที่ล้ำสมัยและทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของเทคโนโลยีในยุคดิจิตอลอยู่เสมอ ทั้งยังเป็นการกลับมาเพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับตลาดรถยนต์ในกลุ่ม B-SUV ด้วยการเป็นรถที่ให้มากกว่าความคุ้มค่า กับราคาที่จับต้องได้และเป็นเจ้าของได้ง่าย ครบครันด้วยเทคโนโลยี ที่ตอบรับและเข้าใจความต้องการของลูกค้าในยุคดิจิตอลได้อย่างแท้จริง ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งนี้ CX-3 ยังมาพร้อมกับการเปิดตัวสีใหม่ล่าสุด เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ซึ่งดีไซน์เนอร์เจาะจงใช้เทรนด์สีใหม่แห่งอนาคต สี บรอนซ์ แพลตทินั่ม ควอตซ์เพื่อก้าวสู่เทรนด์แฟชั่นใหม่ก่อนใคร และเชื่อว่าสีดังกล่าวจะมาสร้างกระแสนิยมใหม่ให้กับวงการรถยนต์ เช่นเดียวกับกระแสตอบรับจากตลาดเป็นอย่างดี กับสีซิกเนเจอร์ของมาสด้าต่างๆ ที่ผ่านมา ทั้ง สีแดง โซล เรด คริสตัล, สีเทา แมชชีนเกรย์ และสีเทา โพลีเมทัล เกรย์ พร้อมยกระดับความพรีเมี่ยม ล้ำสมัยในทุกด้านของผลิตภัณฑ์รถครอสโอเวอร์ของมาสด้าที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และแสดงออกถึงตัวตนของลูกค้าในยุคดิจิตอลได้อย่างแท้จริง ซึ่งมาสด้ามั่นใจว่า รถรุ่นนี้จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าในประเทศไทยเช่นที่ผ่านมา” อนึ่ง ทางด้าน คุณธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารอาวุโส บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “การเปิดตัวแนะนำ NEW MAZDA CX-3 ถือเป็นการวางกลยุทธ์ครั้งสำคัญในการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับรถประเภทครอสโอเวอร์เอสยูวีของประเทศไทย การปรับโฉม NEW MAZDA CX-3 ให้มีความล้ำสมัยมากขึ้นอีกขั้น และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในยุคดิจิตอลมากยิ่งขึ้น ซึ่งการกลับมาครั้งนี้มาพร้อมแนวคิด “Leap Forward” ให้ชีวิตไปอีกขั้น กับเอสยูวีใหม่ที่คุ้มค่ากว่า โดยมุ่งเจาะกลุ่มเป้าหมายไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีคาแรกเตอร์และมีสไตล์ อัพเดททุกเทรนด์ พัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ไม่หยุดอยู่กับที่ มองทุกจังหวะเป็นโอกาส เลือกที่จะแข่งและเอาชนะตัวเอง เพื่อให้พร้อมก้าวสู่ความสำเร็จอีกขั้น ได้ใช้ชีวิตและเติมเต็มประสบการณ์ของตัวเองและกลุ่มเพื่อนอย่างเต็มที่และคุ้มค่า และกำลังมองหารถครอสโอเวอร์เอสยูวีคันแรกในกลุ่ม B-SUV ที่พร้อมด้วยเทคโนโลยี และมาพร้อมความคุ้มค่าครอบคลุมและตอบโจทย์ความต้องการ ทั้งในเชิงภาพลักษณ์ ประสบการณ์และการใช้งานอย่างครบถ้วน เพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายอีกขั้นของชีวิตในแบบฉบับของตัวเอง” ดังนั้น NEW MAZDA CX-3 จึงเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ความต้องการและตัวตนของกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริงครบครันด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยในรุ่นย่อยทั้ง 3 รุ่น รองรับการเชื่อมต่อแบบไร้ขีดจำกัด ตอบรับทุกประสบการณ์ที่ทำให้ชีวิตก้าวไปสู่อีกระดับ ด้วยความอเนกประสงค์ของการใช้งานที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร ในทุกรุ่นย่อย ที่ให้พละกำลังแรงมากที่สุดในกลุ่มเซกเมนต์ถึง 156 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 204 นิวตัน-เมตร ประหยัดน้ำมันถึง 16.4 กม.* และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยความเหนือชั้นของเทคโนโลยีสกายแอคทีฟ ที่ผสานและควบคุมการทำงานของรถทั้งคันให้ทำงานประสานกันอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อส่งมอบประสบการณ์ความสนุกคล่องตัวในการขับขี่ตามแนวคิด จินบะ อิไต(Jinba Ittai) พร้อมด้วยระบบควบคุมสมรรถนะการขับขี่อัจฉริยะ G-Vectoring Control (GVC) ที่ให้ผู้ขับขี่และรถเป็นหนึ่งเดียวกัน พบกับอีกขั้นของสไตล์ที่พรีเมี่ยมโดดเด่นพร้อมความสง่างามเป็นครั้งแรกกับสีภายนอกใหม่ล่าสุด Platinum Quartz สีบรอนซ์ แพลตทินั่ม ควอตซ์ ที่จะมาเสริมให้มาสด้ากลายเป็นผู้นำเทรนด์ของวัยรุ่นยุคสมัยใหม่ โดยเป็นสีที่แสดงออกถึงความมีคุณภาพสูง ด้วยผลึกกึ่งโปร่งแสงจากควอตซ์ที่ขาวละเอียด นวลเนียน และมีคุณภาพ สะท้อนตัวตนอันมีเอกลักษณ์ของผู้ขับขี่ มีความแตกต่างไม่ซ้ำใคร ให้ความรู้สึกหรูหรา ทรงพลัง และสง่างามมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากแนวคิด Kodo design – Soul of Motion ด้วยเส้นสายที่เรียบง่ายแต่แฝงด้วยความโฉบเฉี่ยวที่เปรียบประดุจการเติมจิตวิญญาณให้ยนตรกรรมมีชีวิต เพื่อสะท้อนความเรียบหรูทรงพลังในสไตล์เอสยูวี และสร้างความตราตรึงใจให้กับผู้พบเห็น สำหรับภายในห้องโดยสารก็ยังคงโดดเด่นด้วยความประณีตพิถีพิถันใส่ใจในทุกรายละเอียด คัดสรรเลือกใช้เฉพาะวัสดุเกรดพรีเมี่ยมในทุกจุดสัมผัส พร้อมเพิ่มความโดดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์ด้วยคอนโซลหน้าแบบ Grand Luxe Suede® สีเทา ที่ผสานอย่างลงตัวกับเบาะหนังสีดำตัดด้วยด้ายสีเทา เพื่อให้ตอบรับกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายในยุคดิจิตอล NEW MAZDA CX-3 จึงมาพร้อมกับอุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย Wireless Charger ในทุกรุ่นย่อย เพื่อมอบความสะดวกสบายขึ้นอีกขั้น รวมถึงช่วยให้ไม่พลาดทุกการติดต่อสื่อสารบนโลกโซเชียล และอัพเดทเทรนด์ได้ทุกที่ทุกเวลากับเทคโนโลยีเชื่อมต่อแบบไร้ขีดจำกัด ที่สามารถใช้งานผ่านแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน ด้วยระบบ Mazda Connect ที่มาพร้อม Wireless Apple CarPlay® และรองรับ Android AutoTM* ที่สามารถใช้งานฟังก์ชั่นสำคัญได้โดยแสดงข้อมูลผ่านหน้าจอสี Center Display แบบทัชสกรีน ขนาด 7 นิ้วควบคุมด้วยปุ่มควบคุมอัจฉริยะ Center Commander มอบความสะดวกสบายได้อย่างแท้จริง การพัฒนาภายใต้ปรัชญา HMI…
Carsome เดินหน้าขยายธุรกิจในประเทศไทย
Carsome เปิดศูนย์บริการซื้อขายรถมือสองครบวงจรแห่งใหม่ สาขารัชโยธิน หลังจากการระดมทุนรอบล่าสุด เทคยูนิคอร์นแห่งแรกของมาเลเซีย Carsome แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซซื้อขายรถยนต์มือสองครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เดินหน้าขับเคลื่อนแผนการขยายธุรกิจในประเทศไทยด้วยการเปิดศูนย์บริการครบวงจรแห่งใหม่ล่าสุดใจกลางกรุงเทพมหานคร ซึ่งศูนย์รัชโยธินถือเป็นสาขาล่าสุดของ Carsome ที่เปิดในประเทศไทยในปี2564 เพื่อตอกย้ำศักยภาพตลาดรถยนต์มือสองในประเทศไทยที่กำลังเติบโต ศูนย์บริการครบวงจร Carsome รัชโยธินตั้งอยู่บนถนนพหลโยธิน จะช่วยให้กระบวนการซื้อขายรถยนต์มือสองเป็นเรื่องง่ายกว่าที่เคยด้วยความช่วยเหลือของเจ้าหน้าผู้เชี่ยวชาญจาก Carsome ผู้ที่ต้องการขายรถยนต์ สามารถนำรถมาที่ศูนย์เพื่อตรวจสภาพพร้อมประเมินราคา และขายรถได้ทันที ขณะเดียวกัน ผู้ที่ต้องการซื้อรถมือสอง สามารถเลือกชมรถยนต์ของคาร์ซัมที่มีให้เลือกมากมาย พร้อมนัดหมายทดลองขับ หรือขอคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญ Carsome ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ คุณปภัสรินทร์ สิริบรรลือยศ Country Head ของ Carsome ประเทศไทยกล่าวว่า “การเปิด Carsome Experience Center (ศูนย์บริการครบวงจร Carsome) ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองถือเป็นการตอกย้ำกลยุทธ์ในการเติบโตและการขยายธุรกิจของ Carsome ในฐานะแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสำหรับรถยนต์มือสองครบวงจรชั้นนำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราเชื่อว่าเป็นโอกาสที่ดีในการมอบประสบการณ์ครบวงจรให้กับลูกค้าในการซื้อและขายรถยนต์มือสองในประเทศไทย ตั้งแต่ความง่ายในการค้นหารถผ่านระบบออนไลน์ ไปจนถึงความสะดวกสบายในการเลือกชมและทดลองขับด้วยบริการที่โปร่งใสและไว้ใจได้ ศูนย์บริการแห่งใหม่นี้จะช่วยรองรับและให้บริการลูกค้าได้มากขึ้น ตอบสนองทุกความต้องการไม่ว่าจะเป็นการซื้อหรือขายรถ” จากรายงานของ MomentumWorks’ Used Car Platform ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รายงานว่า ในปี 2562มียอดขายรถยนต์มือสอง 1.4 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 17% จากปีก่อนหน้า ในขณะที่ยอดการผลิตและยอดขายของรถยนต์ใหม่ลดลง นอกจากนี้ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา ยอดขายรถยนต์มือสองในประเทศไทยมีอัตราการเติบโตต่อปี (CAGR) สูงสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (14%) โดยมีมูลค่าตลาด 14,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงโอกาสการเติบโตของCarsome ประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญ ในปีนี้ Carsome ได้เปิดศูนย์บริการครบวงจรมากกว่า 7 แห่งทั้งในประเทศไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย และคาดว่าจะขยายสาขาเพิ่มภายในสิ้นปี Carsome ยังได้เปิดศูนย์ปรับสภาพรถยนต์แห่งแรกในมาเลเซียในปีนี้ เพื่อขยายการบริการให้กับลูกค้าและเพิ่มความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในรถที่ผ่านการรับรองมาตรฐานจาก Carsome (Carsome Certified) โดยมีแผนที่จะเปิดตัวในประเทศไทยด้วยเช่นกัน รถทุกคันที่ผ่านการรับรองมาตรฐานจาก Carsome (Carsome Certified) มาพร้อมกับแพ็กเกจคำสัญญาจากCarsome (Carsome Promise) ซึ่งประกอบด้วย การตรวจสอบสภาพรถ 175 จุดโดยช่างผู้เชี่ยวชาญ, ประกันความคุ้มครอง 1 ปีเต็ม, รับประกันคืนเงินภายใน 5 วัน ตลอดจนราคาที่โปร่งใสไม่มีค่าใช้จ่ายแอบแฝงศูนย์บริการครบวงจรCarsome สาขารัชโยธิน ตั้งอยู่ที่ 1865 ถนนพหลโยธิน ใกล้กับรถไฟฟ้า BTS สถานี รัชโยธิน ทางออก 3 โดยศูนย์บริการครบวงจร Carsome แห่งแรกในประเทศไทยเปิดที่บางบอนเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และมีศูนย์ตรวจสภาพรถยนต์อีก 3 สาขา ที่ห้วยขวาง รัตนาธิเบศร์ และบางนา
PRIMUS PRO-AM CHARITY INVITATION ออกรอบกับโปรกอล์ฟแล้วยังช่วยกันทำบุญอีกด้วย
เบนซ์ไพรม์มัส ประกาศทำบุญบริจาคเงินช่วยโรงพยาบาล ผนึกกำลัง สมาคม THAI LPGA เชิญชวนลูกค้าเมอร์เซเดส-เบนซ์ ร่วมออกรอบกับโปร THAI LPGA ในการแข่งขันกอล์ฟการกุศล PRIMUS PRO-AM CHARITY INVITATION สนาม Riverdale Golf Club วันที่ 16-19 พ.ย.64 สุดเอ็กซ์คลูซีพ เพียง 6 ทีม/วันเท่านั้น พร้อมลุ้นรางวัล Hole in One รถยนต์ Mercedes-Benz GLA AMG Dynamic มูลค่า 2.399 ล้านบาท รายได้ทั้งหมดมอบสมทบทุนให้แก่ “คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล” คุณณัฏฐวุฒิ ตั้งคารวคุณ ประธาน บริษัท ไพรม์มัส ออโต้เฮาส์ จำกัด ผู้จำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ และเมอร์เซเดส-เอเอ็มจี อย่างเป็นทางการ เปิดเผยว่า “จากนโยบายของ “เบนซ์ไพรม์มัส” ที่มุ่งมั่นในการมอบประสบการณ์ใหม่เหนือระดับสำหรับลูกค้ารถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ด้วยเอกสิทธิสุดเอ็กซ์คลูซีฟต่าง ๆ อันหลากหลาย เพื่อรองรับความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้าที่ใช้บริการทั้งด้านการขายและบริการหลังการขาย อย่างไรก็ตาม “เบนซ์ไพรม์มัส” ดำเนินธุรกิจด้านบริการ หากเรายังให้ความสำคัญกับการดำเนินกิจกรรมเพื่อสาธารณกุศล อันเป็นการตอบแทนประโยชน์ให้กับสังคมไทย ประกอบกับในวาระครบรอบ 2 ปี การเปิดโชว์รูมและศูนย์บริการรถยนต์ “เมอร์เซเดส-เบนซ์” ของ “เบนซ์ไพรม์มัส” อย่างเป็นทางการ เราจึงมีนโยบายที่จะดำเนินกิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์ โดยมุ่งให้การสนับสนุนด้านระบบสาธารณสุขแก่หน่วยงานรัฐที่ขาดแคลนอุปกรณ์ทางการแพทย์และระบบการบริการด้านสุขภาพ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาและรองรับผู้ป่วยในอนาคต ด้วยเหตุนี้ เราจึงร่วมมือกับทางสมาคมกีฬากอล์ฟอาชีพสตรี จัดการแข่งขันกอล์ฟการกุศล PRIMUS PRO-AM CHARITY INVITATION ระหว่างวันที่ 16-19 พฤศจิกายน 2564 ณ สนาม Riverdale Golf Club โดยเชิญชวนลูกค้ารถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่ชื่นชอบกีฬากอล์ฟ ได้ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับโปรกอล์ฟสาวระดับชั้นแนวหน้าจาก สมาคม THAI LPGA อาทิ โปร “ปลาย” พัชรจุฑา คงกระพันธ์, โปร “วิ่ง” ภรณีย์ ชุติชัย, โปร “โมโมโกะ” สุทิศชา อาโอยาม่า และโปร “ชีน่า” อสมา แมคเคนซี่ เป็นต้นสำหรับรายได้จากการสมัครร่วมแข่งขันทั้งหมด จะนำมาสมทบทุน และมอบให้แก่ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล โดยไม่หักค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้เพื่อจัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็น และเพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ป่วยที่ยากไร้ ให้ได้รับโอกาสในการรักษาและกลับมามีสุขภาพแข็งแรง เพื่อเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติต่อไป” คุณกฤษดา ตัณฑ์วิไล นายกสมาคมกีฬากอล์ฟอาชีพสตรี (THAI LPGA) เปิดเผยว่า “ทางสมาคม THAI LPGA รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมการแข่งขันกอล์ฟการกุศล “PRIMUS PRO-AM CHARITY INVITATION” ของ “เบนซ์ไพรม์มัส” ด้วยการนำโปรกอล์ฟสาวชื่อดัง จาก THAI LPGA ร่วมทีมการแข่งขันกับลูกค้ารถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ในแบบเอ็กซ์คลูซีฟ จำนวน 1 ท่านต่อทีม โดยมีผู้เข้าร่วมการแข่งขันในแต่ละวันเพียง 24 ท่านเท่านั้น” ทั้งนี้ เพื่อร่วมเรียนรู้เทคนิคและแลกเปลี่ยนสุดยอดประสบการณ์โดยตรงจากนักกอล์ฟระดับอาชีพ อันก่อให้เกิดการพัฒนาฝีมือและสั่งสมประสบการณ์ในการเล่นกอล์ฟ ทั้งส่งผลให้กีฬากอล์ฟได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในอนาคต สมาคมกีฬากอล์ฟอาชีพสตรี (THAI LPGA) ได้ริเริ่มสร้างทัวร์การแข่งขัน เพื่อให้สมาชิกที่เป็นนักกอล์ฟสตรีได้มีพื้นที่แสดงฝีมือและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งขยายการจัดการแข่งขันทัวร์ไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ ล่าสุด ได้จัดการแข่งขัน รายการ ไทยแลนด์ แอลพีจีเอ มาสเตอร์ และก้าวขึ้นเป็นการแข่งขันระดับสากล คุณจิระพล รุจิวิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไพรม์มัส ออโต้เฮาส์ จำกัด เปิดเผยว่า “สำหรับการแข่งขันกอล์ฟการกุศล PRIMUS PRO-AM CHARITY INVITATION ได้เชิญชวนลูกค้ารถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ เข้าร่วมสมัครการแข่งขันในแบบเอ็กซ์คลูซีพ ที่สนามกอล์ฟระดับเวิล์ดคลาส “Riverdale Golf Club” ในวันที่ 16-19 พฤศจิกายน 2564 โดยการแข่งขันจะรับจำนวนจำกัด 6 ทีมต่อวันเท่านั้น ส่วนอัตราค่าสมัคร เพียง 5,000 บาทต่อท่าน ซึ่งรายได้จากการสมัครทั้งหมด จะมอบสมทบทุนให้แก่ “แพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล” โดยไม่หักค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น” สำหรับผู้ร่วมแข่งขันในครั้งนี้ จะได้ร่วมออกรอบกับโปรกอล์ฟสาวระดับมืออาชีพ พร้อมร่วมชิงรางวัล Hole in one เป็นรถยนต์ Mercedes-Benz รุ่น GLA 200 AMG Dynamic มูลค่า 2,399,000 บาท, รางวัลตีไกล – ใกล้ธง และรางวัลอื่น ๆให้ร่วมสนุกอีกมากมาย ทั้งยังมีกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่จัดขึ้นสำหรับงานนี้โดยเฉพาะ อาทิ -กิจกรรม Golf Clinic ที่โปรกอล์ฟจะให้คำแนะนำและตอบคำถามด้านเทคนิคต่าง ๆ รวมทั้งสาธิตการตีกอล์ฟแบบมืออาชีพอย่างใกล้ชิด -กิจกรรมพิเศษ Demo & Fitting จาก Transview Golf โปรช็อปชื่อดัง ที่จะนำไม้กอล์ฟจากแบรนด์ Callaway HONMA มาให้ทดสอบ และทำการ Fitting ไม้กอล์ฟ โดยทีมงานมืออาชีพ นอกจากนี้ ได้นำรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ และเมอร์เซเดส-เอเอ็มจี หลากหลายรุ่นให้ลูกค้าได้ร่วมทดลองขับอย่างใกล้ชิด พร้อมร่วมสังสรรค์พบปะพูดคุยอย่างใกล้ชิดระหว่างผู้บริหาร “เบนซ์ไพรม์มัส” กับลูกค้ารถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์และรับมอบ Golf Collection เป็นของที่ระลึกสำหรับผู้เข้าร่วมการแข่งขันทุกท่านอีกด้วย ผู้สนใจสมัครร่วมงานแข่งขันกอล์ฟการกุศล “PRIMUS PRO-AM CHAIRTY INVITATION” ได้ตั้งแต่วันนี้ เป็นต้นไป หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่หมายเลข 02 095 5555 หรือ www.benzprimus.com
ORA Good Cat เริ่มต้นราคาที่ 989,000 บาท
เกรท วอลล์ มอเตอร์ ประกาศราคา ORA Good Cat รุ่น 400 TECH ที่ 989,000 บาท รุ่น 400 PRO ราคา 1,059,000บาท และรุ่น 500 ULTRA ที่ 1,199,000 บาท ย้ำนโยบาย “ONE PRICE” ราคาเดียวกันในทุกช่องทางการขาย พร้อมส่งมอบรถล็อตแรกในเดือนพฤศจิกายนนี้ หลังการประกาศราคา ORA Good Cat ทุกรุ่น มาพร้อมกับแคมเปญสุดพิเศษ ORA Good Cat PREMIERE DEAL ด้วยดอกเบี้ยพิเศษ 1.79% นาน 48 เดือน ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง 1 ปีเต็ม ฟรี GWM โฮมชาร์จเจอร์พร้อมติดตั้ง แพ็กเกจบำรุงรักษา GWM PRO Service Inclusive (GPSI) 5 ครั้ง ภายใน 5 ปี หรือ 75,000 กิโลเมตร บริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง และสิทธิพิเศษอื่นๆ อีกมากมาย รวมมูลค่ากว่า 125,000 บาท เตรียมเปิดสถานีชาร์จ แห่งแรกในประเทศไทยต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ พร้อมขยายสาขา GWM Store หลังเปิดให้บริการแล้วกว่า 21 แห่ง ทั่วประเทศ ยืนยันเปิดครบ 30 แห่ง ภายในปีนี้ และเพิ่มเป็น 50 แห่งภายในไตรมาสแรกปีหน้า ย้ำภาพลักษณ์ผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้า (xEV Leader) ในไทยอย่างเต็มรูปแบบ เดินหน้าสร้าง EV Ecosystem พร้อมยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ให้เกิดขึ้นในไทยอย่างเป็นรูปธรรม เกรท วอลล์ มอเตอร์ เปิดตัว ORA Good Cat รถยนต์ไฟฟ้า 100% จาก แบรนด์ ORA ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ภายใต้แนวคิด “Future Ready, Enable Your Life with ORA Good Cat” โดยประกาศราคารุ่น 400 TECH ที่989,000 บาท รุ่น 400 PRO ราคา 1,059,000 บาท และรุ่น 500 ULTRA ที่ 1,199,000 บาท การันตีส่งมอบรถล็อตแรกเดือนพฤศจิกายนนี้เป็นต้นไป พร้อมจัดแคมเปญ ORA Good Cat PREMIERE DEAL ที่อัดแน่นด้วยสิทธิประโยชน์มากมายรวมมูลค่ากว่า 125,000 บาท ให้ลูกค้าคนพิเศษในช่วงการเปิดตัว และเตรียมเปิดสถานีชาร์จจาก เกรท วอลล์ มอเตอร์ แห่งแรกในประเทศไทย พร้อมขยาย GWM Store กว่า 30 แห่งทั่วประเทศภายในสิ้นปี ตอกย้ำความมั่นใจให้ผู้บริโภคในการใช้และการดูแลรักษารถยนต์ในระยะยาว เกรท วอลล์ มอเตอร์ เปิดตัวและประกาศราคาจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า 100% ORA Good Cat จากแบรนด์ ORA ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ พร้อมกันทั้ง 3 รุ่น ได้แก่ รุ่น 400 TECH รุ่น 400 PRO และรุ่น 500 ULTRA โดยมี มร. สตีเว่นหวัง รองประธาน เกรท วอลล์ มอเตอร์ ภูมิภาคอาเซียนและประเทศไทย และนายณรงค์ สีตลายน กรรมการผู้จัดการ เกรทวอลล์ มอเตอร์ ประเทศไทย ร่วมให้ข้อมูลและเผยราคา พร้อมตอกย้ำกลยุทธ์การเป็นผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้า (xEV Leader) ในประเทศไทย ควบคู่ไปกับการส่งมอบประสบการณ์ใหม่ในด้านการขับขี่อัจฉริยะที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และการดำเนินธุรกิจเพื่อช่วยยกระดับมาตรฐานการขายและบริการหลังการขายแบบ Online-To-Offline (O2O) รูปแบบใหม่อย่างครบวงจรให้กับผู้บริโภค พร้อมร่วมขับเคลื่อน EV Ecosystem ให้กับประเทศไทย มร.สตีเว่น หวัง รองประธาน เกรท วอลล์ มอเตอร์ ภูมิภาคอาเซียนและประเทศไทย กล่าวว่า “เกรท วอลล์ มอเตอร์พร้อมก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านยานยนต์ระดับโลก ด้วยเป้าหมายยอดขายรถยนต์ทั่วโลก 4 ล้านคัน ในปี พ.ศ.2568 ซึ่งมุ่งหวังให้เป็นสัดส่วนรถยนต์พลังงานใหม่กว่า 80% ดังนั้น การเปิดตัว ORA Good Cat ในประเทศไทยในวันนี้ จึงเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่ช่วยให้เราเข้าใกล้เป้าหมายนี้มากยิ่งขึ้น ประเทศไทยนับเป็นประเทศที่มีศักยภาพและความพร้อมทั้งในด้านบุคลากรและกำลังการผลิตรถยนต์ที่สำคัญในภูมิภาคอาเซียน และเหนือสิ่งอื่นใด คือ ผู้บริโภคชาวไทยที่เปิดใจและให้การต้อนรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า โดยเฉพาะ ORA Good Cat อย่างล้นหลาม เราขอขอบคุณทุกๆ การสนับสนุนจากทุกๆ ท่านที่ให้ความไว้วางใจและเชื่อมั่นใน เกรท วอลล์ มอเตอร์ เสมอมา ทั้งนี้ ORA Good Cat ได้รับการออกแบบและสร้างสรรค์จากทีมงานและผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายประเทศทั่วโลก ทั้งเยอรมนี ออสเตรีย สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ จนกลายมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์สไตล์ Retro Futuristic ที่ผสานกับเทคโนโลยีการขับขี่อัจฉริยะอย่างลงตัว ซึ่งเราเชื่อว่า ORA Good Cat จะเป็นที่ชื่นชอบและสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยได้เป็นอย่างดี และเราเชื่อมั่นว่า การเปิดตัวของ ORA Good Cat ในวันนี้ จะเป็นอีกหนึ่งประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยที่พร้อมจะเติบโตและก้าวไปสู่ตลาดรถยนต์ในระดับโลกในอนาคตได้อย่างแน่นอน” หลังประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามในประเทศจีนในช่วงหลายปีที่ผ่าน ประเทศไทยนับเป็นประเทศแรกที่ เกรทวอลล์ มอเตอร์ ได้นำรถยนต์ ORA Good…
Lamborghini ไขข้อสงสัย! เพราะอะไร Aventador จึงเป็นซูเปอร์สปอร์ตคาร์
Aventador รหัสสุดท้ายของ Lamborghini คือความลับที่ส่งให้ซูเปอร์สปอร์ตคาร์อย่าง Aventador กลายเป็นไอคอนนิคความแรงที่เป็นกระแสชั่วพริบตา ทั้งยังสร้างปรากฏการณ์น่าจดจำให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา วันนี้ Lamborghini พามาย้อนดูหน้าประวัติศาสตร์ของ Aventador กับเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่คุณอาจไม่รู้เกี่ยวกับเครื่องยนต์ V12 รุ่นนี้ 1.อะเวนทาดอร์เปิดตัวครั้งแรกในปี 2011 ได้สร้างประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ให้กับแบรนด์ลัมโบร์กินีได้อย่างสมศักดิ์ศรี ด้วยยอดขายกว่า 10,000 คันในเวลาเพียง 9 ปี โดย Aventador ใช้เวลาเพียง 5 ปี ก็มียอดจองมากกว่าจำนวนรถยนต์ V12 ที่ลัมโบร์กินีเคยผลิตรวมกันทั้งหมดเสียอีก และนี่คือ Aventador คันไฮไลต์ในรอบทศวรรษที่คุณไม่ควรพลาด ในปี 2011 Aventador LP 700-4 ถือกำเนิดขึ้น ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยอย่างโครงสร้างตัวถังแบบโมโนค๊อกที่ผลิตขึ้นจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ทั้งหมด เครื่องยนต์ V12 เจเนเรชั่นใหม่ถูกพัฒนาขึ้นมาสำหรับอะเวนทาดอร์โดยเฉพาะด้วยกำลัง 700 แรงม้า และคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์สำคัญอย่างประตูแบบเปิดปีกนก ในปี 2012 ลัมโบร์กินีได้เปิดตัว Aventador Roadster ซึ่งเป็นอะเวนทาดอร์เปิดประทุนรุ่นแรก โดยที่หลังคารถแต่ละฝั่งถูกออกแบบมาให้มีน้ำหนักเบาน้อยกว่า 6 กก. ด้วยการใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์เพื่อการถอดเข้าออกที่สะดวก และในปีเดียวกันนี้เพื่อเป็นการตอกย้ำความโดดเด่นของอะเวนทาดอร์ ลัมโบร์กินีได้รังสรรค์อะเวนทาดอร์รุ่นพิเศษอย่างAventador J อะเวนทาดอร์ที่ถูกผลิตมาคันเดียวในโลก ถูกออกแบบตกแต่งภายนอกและภายในให้เข้ากัน โดยเน้นให้เห็นถึงเทคโนโลยีคาร์บอนไฟเบอร์ที่ลัมโบร์กินีเชี่ยวชาญ และสามารถทำความเร็วได้มากกว่า 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เรียกได้ว่ารวมความเป็นที่สุดแห่งประสบการณ์ไว้ในรถคันนี้ ปี 2016 Aventador Miura Homage ซีรีส์พิเศษที่ผลิตเพื่อเป็นเกียรติให้กับซูเปอร์สปอร์ตคาร์ในตำนานอย่างMiura ในโอกาสฉลองครบรอบ 50 ปี โดยสะท้อนจิตวิญญาณของ Miura ต้นแบบ ทั้งในแง่สีสันและฟีเจอร์ไว้อย่างครบครัน ผลิตจำกัดเพียง 50 คันเท่านั้น ในปีเดียวกันนี้ ลัมโบร์กินีได้ทำการปรับโฉมให้กับอะเวนทาดอร์ โดยใช้ชื่อ Aventador S ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนทั้งในเรื่องของรูปลักษณ์ สมรรถนะการขับขี่ และความสะดวกสบายในการใช้งานทุกวัน ปี 2018 Aventador SVJ กับตำแหน่งราชันแห่ง Nürburgring – ถือเป็นสถิติใหม่ที่สร้างชื่อเสียงให้กับ SVJ ในฐานะรถยนต์แบบโปรดักชั่นที่ทำเวลาได้เร็วที่สุดในสนามแข่งระดับโลกด้วยเวลาเพียง 6:44.97 นาที โดยผลิตออกมาเพียง 900 คัน ขณะที่สเปเชี่ยล อิดิชั่น อย่าง SVJ 63 ผลิตจำกัดเพียง 63 คันเท่านั้น เพื่อระลึกถึงการก่อตั้ง Lamborghini ในปี 1963 นั่นเอง โดยทั้ง 2 รุ่น ถูกออกแบบให้ใช้หลักอากาศพลศาสตร์ขั้นสูงอย่าง ระบบ ALA ที่ได้รับการจดสิทธิบัตรโดยLamborghini อีกด้วย ปี 2019 Aventador S by Skyler Grey ถือเป็น one-off ที่สร้างสีสันให้กับงาน Monterey Car Week เลยก็ว่าได้ ผลงานคอลลาบอเรชั่นกับศิลปินดาวรุ่ง Skyler Grey ที่หลอมรวมศิลปะแห่งโลกยนตรกรรมและศิลปะแนวสตรีทอาร์ต ภายใต้คอนเซปต์ “splash-effect” ไว้ได้อย่างมีสไตล์ ที่สำคัญยังเป็น Lamborghini คันแรกที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในการรับรองและปกป้องในฐานะงานศิลปะอีกด้วย 2.Lamborghini Aventador กลายเป็นซูเปอร์สปอร์ตคาร์อันยอดเยี่ยมในโลกแห่งจินตนาการ จะเห็นได้ว่าเป็นรถที่มาพร้อมกับฮีโร่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในภาพยนตร์ฮอลลีวูด รถเครื่องยนต์ V12 นี้ร่วมแสดงในภาพยนตร์ที่สร้างประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ระดับโลกหลากหลายเรื่องด้วยกัน ซึ่งคู่หูของอัศวินรัตติกาล อย่าง Aventador ที่เป็น BatMobile ให้กับ Bruce Wayne ในภาพยนตร์ “The Dark Knight Rises” (2012) โดยรถที่นำมาเข้าฉากคือ Aventador LP 700-4 ที่มาพร้อมป้ายทะเบียนเมืองสุดเท่ห์อย่าง “Gotham – 649 8227″ อีกด้วย 3.Aventador ถือเป็นซูเปอร์สปอร์ตคาร์คันแรกของ Lamborghini ที่ส่งมอบประสบการณ์การขับขี่ที่สนุกเร้าใจด้วยโหมดการขับขี่ที่สามารถปรับแต่งได้อย่างอิสระ มีให้เลือกถึง 4 แบบ – STRADA, SPORT, CORSA และ EGO ซึ่งในโหมดEGO นี้เองที่ผู้ขับขี่สามารถตั้งค่าโปรไฟล์ต่าง ๆ เพื่อให้เข้ากับไลฟ์สไตล์การขับขี่ ณ ขณะนั้นมากที่สุด อาทิ ระบบส่งกำลัง(เครื่องยนต์, 4WD), การบังคับเลี้ยว และชุดควบคุมระบบช่วงล่าง Magneride adaptive ที่สามารถปรับระดับตามโหมดการขับขี่ในทุกสถานการณ์ 4.แม้จะเดินทางมาถึงรหัสสุดท้ายของ Aventador แต่เชื่อเถอะว่า Aventador LP 780-4 Ultimae (แอลพี 780-4 อูลติเม) คือ Aventador ที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์การผลิตรถของ Lamborghini โดยคอนเซปต์หลักของรุ่นนี้คือการหลอมรวมสุดยอดสมรรถนะของ Aventador SVJ กับสไตล์ที่สง่างามเหนือกาลเวลาของ Aventador S ไว้ในหนึ่งเดียว มร.สเตฟาน วิงเคิลแมน ประธานบริหาร Automobili Lamborghini ได้กล่าวไว้ว่า “Aventador LP 780-4 Ultimae เป็นตัวแทนของความสำเร็จสำหรับเครื่องยนต์ V12 ของ Lamborghini ตัวรถสามารถส่งต่อประสบการณ์การขับขี่สูงสุดและตอบโจทย์ในการเป็นตัวแทนส่งท้ายของรุ่นทั้งในเรื่องของสมรรถนะและดีไซน์อันเป็นตำนาน Aventador นั้นถูกออกแบบมาให้เป็นรถที่จะเป็นตำนานไว้อยู่แล้วตั้งแต่เปิดตัว และ Aventador LP 780-4 คือการส่งต่อตำนานที่เหมาะสมที่สุด” พละกำลังและสมรรถนะ Aventador LP 780-4 Ultimae มาพร้อมกับเครื่องยนต์ V12 6.5 ลิตร สร้างพละกำลังสูงสุด 780 แรงม้า โดยเพิ่มขึ้นมากถึง 40 แรงม้าเมื่อเทียบกับ Aventador S และ 10 แรงม้าเมื่อเทียบกับ SVJ จุดเด่นของ Ultimae คือการรวบรวมสิ่งที่ดีที่สุดจากการพัฒนากว่า 10 ปี ไม่ว่าจะเป็นความรู้ที่ได้รับจากการทำสถิติในสนามอย่าง Nürburgring-Nordschleife บนSVJ ในเดือนกรกฎาคม ปี 2018 ระบบการขับขี่ที่ก้าวหน้าและเพิ่มความสะดวกสบายใน Aventador S หรือความดิบของตัวรถที่มีมาตั้งแต่ Aventador โฉมแรก…
BMW ยอดเติบโตอย่างต่อเนื่องในไตรมาสที่สาม
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังคงครองตำแหน่งผู้นำตลาดรถยนต์พรีเมียมด้วยผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในไตรมาสที่สามของปี 2564 โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ยอดจดทะเบียนรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูและมินิ อยู่ที่ 8,600 คันโดยบีเอ็มดับเบิลยูมียอดการจดทะเบียนรถยนต์ที่ 7,759 คัน ในขณะที่มินิก็ประสบความสำเร็จเช่นเดียวกันกับยอดจดทะเบียนถึง 841 คัน บีเอ็มดับเบิลยูจึงยังครองตำแหน่งผู้นำในตลาดรถยนต์นั่งระดับพรีเมียมด้วยส่วนแบ่งการตลาดที่41.3% ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ มร.อเล็กซานเดอร์ บารากา ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า “ความสำเร็จของเราในไตรมาสที่ผ่านมายังคงสะท้อนให้เห็นถึงความไว้วางใจของลูกค้าชาวไทยทั่วประเทศที่มีต่อแบรนด์ ของเรา ซึ่งเป็นผลจากความมุ่งมั่นที่เรามีให้กับตลาดในประเทศไทยมาโดยตลอด ภารกิจหลักของเราคือการส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าอย่างเช่นที่ทำมา และเราก็มีความภาคภูมิใจในคุณภาพและการบริการ ซึ่งมอบความสุขบนทุกเส้นทางให้กับลูกค้าของเรามาโดยตลอด ด้วยการสรรค์สร้างประสบการณ์การขับขี่ระดับโลก นอกจากนั้น เรายังได้นำโซลูชันต่าง ๆ มาใช้เพื่อยกระดับความพึงพอใจของลูกค้า ในขณะที่ยังสามารถตอบสนองต่อมาตรฐานและความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นด้านสุขอนามัยและความปลอดภัยของลูกค้าไปพร้อมกัน ผลลัพธ์เหล่านี้ตอกย้ำให้เห็นอีกครั้งถึงความสามารถของเราในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ และนำพาเรามาอยู่ในจุดที่แข็งแกร่ง พร้อมที่จะสร้างสีสันต่อไปในช่วงที่เหลือของ ปี 2564 แนวคิด The Power of Choice ยังคงเป็นรากฐานสำคัญสำหรับกลยุทธ์ของเรา และนี่คือเหตุผลว่าทำไมเรายังคงมอบโอกาสพิเศษสุดมากมายให้ลูกค้าได้เป็นเจ้าของรถยนต์ในฝัน นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยูยังเข้าสู่ยุคใหม่ของเทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้า ด้วยบีเอ็มดับเบิลยู iX และบีเอ็มดับเบิลยู iX3 รถยนต์ SAV พลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นแรก ที่จะสร้างนิยามใหม่ของประสบการณ์การขับขี่แห่งอนาคตของตลาดยานยนต์ในไทย บีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive50 Sport จะมาถึงประเทศไทยเป็นครั้งแรกในไตรมาสที่ 4 นี้ พร้อมนำความสุขในการขับขี่ ความปราดเปรียวแบบสปอร์ต และการออกแบบที่ล้ำสมัยโดยไม่ปล่อยมลพิษได้สูงสุด 630 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTP ในขณะที่บีเอ็มดับเบิลยู iX3 M Sport รุ่นใหม่ ยังผสานสองสิ่งที่ดีที่สุดคือ พลังแห่งการขับขี่และคุณภาพระดับพรีเมียมในแบบฉบับของบีเอ็มดับเบิลยู X3 และประสิทธิภาพของเทคโนโลยี eDrive เจนเนอเรชั่นที่ 5 ซึ่งมีระยะทางขับขี่ได้สูงสุด 460 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTP เรายังคงมีไฮไลท์ความตื่นเต้นใหม่ ๆ ที่จะมาพร้อมกับข้อเสนอสุดพิเศษที่มากขึ้นช่วงเดือนพฤศจิกายน ในงาน BMW Premium Selection Festival ก่อนที่จะปิดท้ายปีอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการเปิดตัวรถยนต์รุ่นล่าสุดในงาน Motor Expo” ในด้านการผลิต บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย สามารถสร้างสถิติใหม่ด้วยยอดการประกอบรถยนต์และมอเตอร์ไซค์รวมกว่า 200,000 คันจากการดำเนินงานกว่า 21 ปี ขณะที่ยอดการผลิตรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ในปี 2564 ก็เพิ่มสูงขึ้นถึง 10.4% โดยหลังจากที่บรรลุเป้าหมายในการผลิตรถยนต์ 100,000 คันในปี 2561 บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ปแมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ยังคงเพิ่มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่องและสามารถทำยอดการผลิตรวมให้เพิ่มขึ้นถึงเท่าตัวความสำเร็จนี้สะท้อนให้เห็นถึงความยืดหยุ่นในการปรับตัวและความมุ่งมั่นในการพัฒนา ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่นำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนและโมเมนตัมที่แข็งแกร่งสำหรับธุรกิจของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ในประเทศไทย ด้วยศักยภาพการผลิตที่โดดเด่นในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ในขณะที่ประเทศไทยค่อย ๆ ปรับตัวเข้ากับวิถีชีวิตแบบใหม่ หรือ New Normal บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทยได้เร่งดำเนินงานด้านบริการเพื่อสร้างความอุ่นใจให้กับลูกค้าและพนักงานทุกคน ด้วยมาตรฐานด้านสุขภาพและความปลอดภัยที่ยอดเยี่ยม โดยปัจจุบันนี้ มีผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการรวม 8 รายที่ได้ผ่านการรับรองอย่างเต็มรูปแบบภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย (Safety and Health Administration (SHA)) ที่เข้มงวด และยังมีอีก 4 รายที่อยู่ในระหว่างการประเมินดังกล่าว นอกจากนั้น บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย ยังพร้อมเดินหน้าฉลองครบรอบ 20 ปีด้วยแคมเปญพิเศษแห่งปีสำหรับทุกแบรนด์ในเครือบีเอ็มดับเบิลยู นำเสนอรางวัลที่น่าตื่นเต้นและข้อเสนอสุดพิเศษสำหรับลูกค้าทุกท่านที่ซื้อรถยนต์ภายใต้สัญญา BMW Financial Services ในปีที่ 20 ซึ่งเป็นก้าวย่างที่สำคัญนี้ BMW Financial Services จัดกิจกรรมชิงรางวัลใหญ่ ซึ่งผู้โชคดีจะได้มีโอกาสสัมผัสกับสุดยอดประสบการณ์ในทุก ๆ เดือนกับบีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด พร้อมลุ้นรับรางวัลใหญ่จากทั้งสามแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ บีเอ็มดับเบิลยู 2 Series Gran Coupe และ MINI Cooper SE รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% หรือมอเตอร์ไซค์ บีเอ็มดับเบิลยู C 400 GT ข้อเสนอที่น่าตื่นเต้นเหล่านี้จะเพิ่มอัตราการเติบโตของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ในไตรมาสสุดท้ายของปี2564 โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ได้ปิดฉากความสำเร็จอย่างท่วมท้นจากงาน BMW Xpo 2021 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 7-10 ตุลาคมที่ผ่านมา ทั้งนี้ ลูกค้ายังสามารถเพลิดเพลินกับข้อเสนอจากงาน BMW Xpo ทั้งอัตราดอกเบี้ยสุดพิเศษและโปรแกรมการบำรุงรักษา BSI ที่ยกระดับให้เป็นพิเศษถึง 10 ปี หรือ 100,000 กม. สำหรับ BMW X1 และอื่น ๆ อีกมากมายตลอดเดือนตุลาคมนี้
ฮอนด้า ซีวิค ใหม่ เจเนอเรชันที่ 11 คว้ามาตรฐานความปลอดภัย
รางวัล ASEAN NCAP 2021 ระดับ 5 ดาว ในด้านสมรรถนะการขับขี่ที่มาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยอันล้ำสมัยตอกย้ำอีกหนึ่งความสำเร็จเกินกว่าใครจะตามทัน ทุกรุ่นย่อย มาพร้อมเครื่องยนต์ VTEC TURBO 1.5 ลิตร และเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ Honda SENSING ครบครันด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยล้ำสมัย สำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร เพื่อความมั่นใจในทุกการเดินทาง บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศความสำเร็จของ ฮอนด้า ซีวิค ใหม่ เจเนอเรชันที่ 11 ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับ 5 ดาวจากการทดสอบการชนของ ASEAN NCAP 2021 ครั้งล่าสุด ซึ่งเป็นการทดสอบเพื่อวัดสมรรถนะด้านความปลอดภัยของยานยนต์รุ่นใหม่ที่วางจำหน่ายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (New Car Assessment Program for Southeast Asia) หลังจากการเปิดตัวอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ประเทศไทย เมื่อเดือนสิงหาคม 2564 พร้อมกระแสตอบรับที่ดีเกินคาดด้วยยอดจองกว่า 6,200 คัน ภายในระยะเวลาเกือบ 3 เดือนหลังเปิดตัว ฮอนด้า ซีวิค ใหม่ เจเนอเรชันที่ 11 ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับ 5 ดาว ด้วยคะแนนรวม 83.47 คะแนน จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน จากหลักเกณฑ์การประเมินที่ประกอบด้วยการทดสอบการชนจากด้านหน้า การชนจากด้านข้าง และการประเมินเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัย โดยได้รับคะแนนในส่วนการปกป้องผู้โดยสารที่เป็นผู้ใหญ่ (Adult Occupant Protection: AOP) สูงถึง 29.28 คะแนน จากคะแนนเต็ม 32 คะแนน การปกป้องผู้โดยสารที่เป็นเด็ก (Child Occupant Protection: COP) 46.72 คะแนน จากคะแนนเต็ม 51 คะแนน เทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัย (Safety Assist Technologies: SATs) 19.07 คะแนน จากคะแนนเต็ม 21 คะแนน และความปลอดภัยต่อผู้ขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ (Motorcyclist Safety: MS) 8.32 คะแนน จากคะแนนเต็ม 16 คะแนน โดยฮอนด้า ซีวิค ใหม่ ที่ใช้ในการทดสอบครั้งนี้ ได้แก่ รุ่น EL+ และรุ่น RS ที่ผลิตและจำหน่ายในประเทศไทย ฮอนด้า ซีวิค ใหม่ เจเนอเรชันที่ 11 ไอคอนของยนตรกรรมสปอร์ตพรีเมียมซีดาน ครอบคลุมทุกมิติความ สปอร์ตพรีเมียม สมรรถนะทรงพลัง และเทคโนโลยีความปลอดภัยล้ำสมัยเหนือระดับ โดยในทุกรุ่นย่อยขับเคลื่อนด้วยขุมพลังเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร DOHC VTEC TURBO ใหม่ 4 สูบ 16 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 178 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที ตอบสนองได้ทันใจด้วยแรงบิดสูงสุด 240 นิวตัน–เมตร ที่ 1,700 – 4,500 รอบต่อนาที ผสานการทำงานกับระบบเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง CVT ให้อัตราเร่งและอัตราการประหยัดน้ำมันที่ดีเยี่ยมสูงถึง 17.2 กิโลเมตร/ลิตร และรองรับพลังงานทางเลือก E85 อีกทั้งยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ Honda SENSING ใหม่ ที่ทำงานผ่านกล้องมุมมองกว้างด้านหน้า ช่วยตรวจจับรถยนต์และคนเดินถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยมีฟังก์ชันการทำงานประกอบไปด้วย ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS) ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้า ที่ความเร็วต่ำ (Adaptive Cruise Control with Low-Speed Follow: ACC with LSF) ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS) ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning: RDM with…
ฮอนด้าแสดงความยินดีกับแอนชิลี สาวงามผู้คว้ามงกุฎเวที Miss Universe Thailand 2021
เตรียมส่งมอบ ฮอนด้า ซีวิค ใหม่ เจเนอเรชันที่ 11 รุ่น RS ให้แก่ผู้ชนะ ก่อนเดินหน้าลุ้นมงกุฎที่ 3 ให้ประเทศไทย ซึ่ง ในฐานะหนึ่งในผู้สนับสนุนหลักเวทีการประกวด มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ (Miss Universe Thailand 2021) บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด นำโดยนายโนริยุกิ ทาคาคุระ ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอร่วมแสดงความยินดีกับแอนชิลี สก๊อต–เคมมิส สาวงามหมายเลข 27 ผู้ชนะเวทีการประกวด Miss Universe Thailand 2021 และรองชนะเลิศทั้ง 4 คน พร้อมมอบรางวัลพิเศษรถยนต์ ฮอนด้า ซีวิค ใหม่ เจเนอเรชันที่ 11 รุ่น RS สีขาวแพลทินัม (มุก) มูลค่า 1,209,900 บาท ให้แก่ผู้ชนะเลิศ ในเวทีการประกวดรอบสุดท้าย ณ โรงละครนงนุชเธียร์เตอร์ สวนนงนุชพัทยา จ.ชลบุรี สำหรับรางวัลรถยนต์ ฮอนด้า ซีวิค ใหม่ เจเนอเรชันที่ 11 รุ่น RS เป็นไอคอนยนตรกรรมสปอร์ต พรีเมียมซีดาน ที่สามารถสะท้อนตัวตนคนรุ่นใหม่อย่างแอนชิลี ที่มีความมุ่งมั่นและเต็มเปี่ยมไปด้วย แรงบันดาลใจในการเดินหน้าทำตามความฝัน จนสามารถคว้ามงกุฎ Miss Universe Thailand 2021 ไปครองได้สำเร็จ ก่อนที่จะเดินทางไปแสดงศักยภาพและ“Power of Passion” อันทรงพลังของสาวไทย บนเวทีระดับโลก เพื่อคว้ามงกุฎที่ 3 กลับมาให้ประเทศไทยในการประกวดMiss Universe 2021 ณ เมืองเอลัต ประเทศอิสราเอล ในเดือนธันวาคม 2564 #HondaThailand #AllnewHondaCivic #DrivetheUnrivaled #MissUniverseThailand2021
โตโยต้า ถนนสีขาว ประกวดแผนรณรงค์สร้างความปลอดภัย
“Toyota Campus Challenge 2020” โดย คุณนันทวัฒน์ ศรีวรัตน์อัชกุล รักษาการผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ร่วมเป็นประธานในการประกาศผลรางวัลรอบชิงชนะเลิศกิจกรรม “Campus Challenge ครั้งที่ 7 ประจำปี 2020” ภายใต้โครงการโตโยต้าถนนสีขาว เพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนได้แสดงออกถึงความรู้ความสามารถและศักยภาพของตนเองอย่างสร้างสรรค์ รวมถึงการก่อให้เกิดการรับรู้และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้รถใช้ถนนของคนรุ่นใหม่ ร่วมสร้างรอยยิ้มและลดการสูญเสียแก่สังคมไทย โดยได้จัดกิจกรรม ผ่านช่องทางออนไลน์ (Zoom Meeting) โครงการโตโยต้าถนนสีขาว ได้ดำเนินกิจกรรม Campus Challenge มาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านพฤติกรรมการใช้รถใช้ถนนของกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งเป็น ช่วงอายุที่มีสถิติการเกิดอุบัติเหตุสูงโดยสนับบสนุนให้นิสิตนักศึกษาได้มีโอกาส และประสบการณ์ ในการวางแผนรณรงค์ความปลอดภัยบนท้องถนนภายในมหาวิทยาลัยของตน ซึ่งโตโยต้าเล็งเห็นว่า การแสดงออกและความคิดสร้างสรรค์ของกลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งจะกลายมาเป็นผู้ขับรถบนท้องถนนในอนาคตข้างหน้า จะเป็นพลังขับเคลื่อนในการสร้างสังคมคนขับรถดี อันจะนำไปสู่ถนนสีขาวหรือถนนปลอดอุบัติเหตุ ได้อย่างแท้จริง โดยกิจกรรม Campus Challenge 2020 ได้เริ่มดำเนินการมา ตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยมีโจทย์การวางแผนประชาสัมพันธ์สร้างความปลอดภัยทางถนนในสถานศึกษา ภายใต้แนวคิด ”จุดประกายไอเดียที่ใช่ เพื่อการใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัยในสถานศึกษาของคุณ” ซึ่งมุ่งเน้นการจัดกิจกรรม ในรูปแบบออนไลน์ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน นอกเหนือจากการประกวดแผนประชาสัมพันธ์ดังกล่าวแล้ว ทีมที่สมัครเข้าร่วมโครงการ มีโอกาสในการเรียนรู้เทคนิคและวิธีการนำเสนอผลงาน โดยผู้เชี่ยวชาญ และผู้ทรงคุณวุฒิในด้านต่างๆ เพื่อให้การรณรงค์ขับขี่ปลอดภัยในครั้งนี้เป็นไป อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด อาทิ ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาบุคลิกภาพและทักษะการนำเสนอสมัยใหม่ อย่าง”ครูลูกกอล์ฟ คณาธิป สุนทรรักษ์” ที่มาช่วยจุดประกายไอเดียสร้างสรรค์แก่ทุกทีมที่เข้าประกวด และสำหรับทีมที่ได้รับการคัดเลือก จำนวน 20 ทีม ได้เข้าร่วมอบรมเทคนิคการตลาดและการประชาสัมพันธ์ โดย ดร.ธีรพันธ์ โล่ห์ทองคำ ที่ปรึกษาและนักกลยุทธ์การตลาดชื่อดัง รวมถึงบริษัทชั้นนำต่างๆ อาทิ Infographic Thailand, Tencent Thailand, Happenn และDentsu X นอกจากนี้ ยังได้เข้าอบรมความรู้เรื่องอุบัติเหตุบนท้องถนน โดย รศ.ดร.กัณวีร์ กนิษฐ์พงศ์ ผู้จัดการศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทย ผู้เชี่ยวชาญด้านอุบัติเหตุบนท้องถนน ที่จะมาให้ความรู้ เพื่อพัฒนาต่อยอดในด้านการขับขี่ปลอดภัย กิจกรรม Campus Challenge 2020 มีนิสิตและนักศึกษาสนใจส่งผลงานเข้าร่วมประกวดทั้งสิ้น กว่า 700 ทีม ซึ่งหลังจากที่ได้นำเสนอแผนในการรณรงค์ขับขี่ปลอดภัยทางท้องถนนในสถานศึกษา แก่คณะกรรมการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงได้ทำการคัดเลือก 10 ทีมสุดท้าย ไปเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ที่ผ่านมา ซึ่งแต่ละทีมได้รับทุนสนับสนุนมูลค่า 21,050 บาท ไปใช้ในการจัดทำโครงการประชาสัมพันธ์ความปลอดภัยทางถนนในสถานศึกษาผ่านช่องทางออนไลน์ และจัดทำวีดีโอรณรงค์ขับขี่ปลอดภัย เป็นระยะเวลา 2 เดือน (18 สิงหาคม – 18 ตุลาคม 2564) และในรอบชิงชนะเลิศ ทั้ง 10 ทีมได้นำเสนอผลงานต่อคณะกรรมการ ผ่านช่องทางการประชุมออนไลน์ (Zoom Meeting) เพื่อคัดเลือกผู้ชนะเลิศ โดยได้รับเกียรติจากคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ดังนี้ 1) ดร.ธีรพันธ์ โล่ห์ทองคำ ที่ปรึกษาและนักกลยุทธ์ชื่อดังด้านการสื่อสาร 2) รศ.ดร.กัณวีร์ กนิษฐ์พงศ์ ผู้จัดการศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทย 3) คุณพรหมมินทร์ กัณธิยะ ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ 4) คุณคมสันต์ ทรัพย์เอนกนันต์ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายบริหารงานกลาง บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด 6) คุณวุฒิชัย เชาว์เมธีวุฒิ Creative Director บริษัท dentsu MCGARRYBOWEN 7) คุณภาณุพงศ์ เลิศรัศมีจิต ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวางแผนสื่อโฆษณา บริษัท เด็นท์สุ เอ็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด โดยทีมที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ จะได้รับทุนการศึกษาจำนวน 100,000 บาท และโล่รางวัล พร้อมทั้งได้เปิดประสบการณ์ทัศนศึกษา อบรมด้านการขับขี่ปลอดภัยภายในประเทศ เป็นเวลา 4 วัน พร้อมได้รับอุปกรณ์การศึกษา สำหรับทีมนิสิตนักศึกษาและอาจารย์ที่ปรึกษา มูลค่ารวมทั้งสิ้นกว่า 500,000 บาท รวมถึงโอกาสสัมภาษณ์ฝึกงานที่ บริษัท โตโยต้ามอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด หรือพันธมิตร ผลการตัดสิน Campus Challenge 2020 ภายใต้โครงการโตโยต้าถนนสีขาว มีดังนี้ รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ ทีม “คอร์กี้หยุดโลก” มหาวิทยาลัยขอนแก่น – นางสาว ธณัฐยาภรณ์ เพียรชนะ – นาย ธีระพันธ์ สุทธิประภา – นาย อัษฎายุธ ใสภิรมย์ – นาย ศุภชัย ศรีคำ รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ ทีม “Focus Group” จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย – นาย ภูรี ปรียปวัตน์ – นาย สารินทร์ ตงศิริ – นางสาว รติมาส จิรพงศานานุรักษ์ รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ ทีม “ราตรีปลอดภัย” มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ – นาย วีรพล ขนานเภา – นางสาว พิชญ์นรี มนจริง – นางสาว ศุภนิดา เกติยะ รางวัลวีดีโอยอดเยี่ยม (จำนวน 3 รางวัล)ได้แก่ ทีม “งามผี้หลี้ CMRU” มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ – นาย เอกชัย พุทธยศ – นาย ศราวุธ รัตนวงศ์ – นาย ชนที เงินดี – นาย ธวัชชัย คนสนิท ทีม “วงเวียนจ๋า พี่มาแล้ว” มหาวิทยาลัยบูรพา – นาย วาริส สำมะเนี๊ยะ – นาย รัฐศาสตร์ ธรรมบัวชา – นาย ศิวาพัชร์ วัชรภินันท์พล – นางสาว ภัณฑิลา กองศรี ทีม “Banana…