ยามาฮ่า ทดสอบใช้งานจริง “E01”

ยามาฮ่า โชว์สมรรถนะสกู๊ตเตอร์แห่งอนาคต โดย ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ ได้อวดโฉมสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า“ยามาฮ่า E01” ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการภายในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ผ่านมาและเป็นหนึ่งในไฮไลท์ของยานยนต์แห่งอนาคตภายในงาน ส่งผลให้ได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม สำหรับผู้ชื่นชอบเทคโนโลยีมาตรฐานระดับโลก ซึ่งการพัฒนาสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าจากยามาฮ่า ไม่ได้ริเริ่มในช่วงเวลาเพียง 1-2 ปีที่ผ่านมา ทว่าเริ่มต้นกันมายาวนานนับตั้งแต่ปี ค.ศ.1995  “ยามาฮ่า E01” มีจุดเด่นในด้านการชาร์จไฟฟ้าเข้าแบตเตอรี่ปริมาณตั้งแต่ 0-90% ในเวลาเพียง 1 ชั่วโมงทั้งยังมีสมรรถนะการใช้งานเทียบเท่าสกู๊ตเตอร์ขนาด 125 ซีซี ให้พละกำลัง 8.1 กิโลวัตต์ สามารถวิ่งได้ระยะทางสูงสุดถึง 104 กิโลเมตร* ต่อการชาร์จไฟฟ้าเต็มหนึ่งครั้ง เมื่อวิ่งด้วยความเร็วคงที่ 60 กม./ชม. และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 100 กม./ชม. ส่งผลให้ ยามาฮ่า E01 สามารถตอบสนองการใช้งานในสไตล์ที่หลากหลาย สำหรับการทดสอบขับขี่ “ยามาฮ่า E01” เริ่มการทดสอบใช้งานในจังหวัดเชียงใหม่ บนเส้นทางที่แบ่งออกเป็นการขับขี่ขึ้น-ลงเขา เพื่อทดสอบการขับขี่ในทางลาดชัน ซึ่งต้องใช้กำลังของมอเตอร์ไฟฟ้ามากกว่าปกติ โดยทดสอบทั้งแบบขับขี่คนเดียว และทดสอบขับขี่แบบมีผู้ซ้อนท้าย เพื่อทดสอบว่าพละกำลังของตัวรถเมื่อมีน้ำหนักมากขึ้นจะส่งผลให้สมรรถนะลดลงหรือไม่ ทั้งยังได้ทดสอบขับขี่ขณะฝนตกบนสภาพพื้นถนนที่มีความเปียกลื่น ซึ่ง “ยามาฮ่า E01” ยังคงสามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ ด้วยโหมดการขับขี่ 3 ระดับ เพื่อความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมขณะใช้งาน และไลฟ์สไตล์การขับขี่ที่แตกต่างกัน ได้แก่ – PWR (โหมดเพาเวอร์): สำหรับการขับขี่ที่ดึงกำลังสูงสุดของมอเตอร์ออกมา เหมาะสำหรับการขี่ขึ้นเนิน และการเร่งแซง ฯลฯ – STD (โหมดมาตรฐาน): สำหรับการขับขี่ทั่วไปที่ใช้บ่อยที่สุดในช่วงความเร็ว 30 – 80 กม./ชม. – ECO (โหมดอีโค): สำหรับการขับขี่ระยะไกล เพื่อจำกัดการใช้พลังงานแบตเตอรี่และจำกัดความเร็วสูงสุด อยู่ที่ประมาณ 60 กม./ชม. ด้านการตอบสนองของผู้ขับขี่กับตัวรถมีความเหมาะสมเป็นอย่างดี สามารถควบคุมรถในโค้งได้อย่างนุ่มนวลและมั่นใจ ด้วยดีไซน์ของตัวรถที่ออกแบบภายใต้แนวคิดที่คำนึงถึงผู้ขับขี่เป็นศูนย์กลาง ทั้งรถและผู้ขับขี่ต้องมีการเชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกันส่งผลให้การควบคุมเป็นไปได้อย่างใจต้องการ สามารถติดตามการทดสอบขับขี่ครั้งต่อไปของ “ยามาฮ่า E01” ว่าจะมีการทดสอบใช้งานในรูปแบบไหน เพื่อให้เหมาะสมกับผู้ใช้งานจริง ที่มีไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันมากที่สุด เพื่อให้ “ยามาฮ่า E01” เป็นที่สุดของสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าที่เหมาะสมกับผู้ใช้ทุกท่านมากที่สุด  

 
Read More

Lexus Amazing Showcase

เลกซัสประเทศไทย ขอเชิญลูกค้าภาคใต้ทุกท่านสัมผัสมหกรรมยนตรกรรมสุดหรู พร้อมทดลองขับ และรับข้อเสนอสุดพิเศษในงาน “Lexus Amazing Showcase” ณ แกรนด์ฮอลล์ ชั้น 1 ฝั่งเฟสติวัล เซ็นทรัลภูเก็ต หลังจากประสบความสำเร็จในงาน “Lexus Amazing Showcase” ที่สยามพารากอน และเซ็นทรัลขอนแก่น เมื่อเดือนเมษายน และพฤษภาคมที่ผ่านมา เลกซัสประเทศไทยเดินหน้าต่อในการนำสุดยอดยนตกรรมไฟฟ้า 100% สุดหรูจากเลกซัส UX 300e และรถยนต์เลกซัสอีกหลากหลายรุ่นไม่ว่าจะเป็น IS 300h ES 300h UX 250h และ RX 300 ไปให้ลูกค้าชาวภูเก็ต และจังหวัดใกล้เคียงได้สัมผัสอย่างใกล้ชิด พร้อมทดลองขับได้อย่างเต็มที่ พิเศษสุดภายในงาน รับของที่ระลึกและข้อเสนอสุดพิเศษมากมายที่พลาดไม่ได้ พบข้อเสนอพิเศษมากมายภายในงาน “Lexus Amazing Showcase” ·      จอง Lexus UX 300e ภายในงาน รับฟรี Lexus Wall box Charger มูลค่า 80,000 บาท พร้อมบริการติดตั้งถึงบ้าน โปรแกรม Lexus Exclusive Package ครอบคลุมการรับประกัน 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง พร้อมรับประกันแบตเตอรี่ 10ปี ไม่จำกัดระยะทาง* ·      จอง Lexus UX 250h และ Lexus IS 300h ภายในงาน รับฟรีประกันภัยชั้น 1 และ Lexus Exclusive Package* ·      จอง Lexus ES 300h ภายในงานรับ Lexus Exclusive Package* ·      จอง Lexus RX 300 ภายในงานเลือกรับข้อเสนอสุดพิเศษ Ø ฟรีดอกเบี้ย 0% ส่วนลดสูงสุด 200,000บาท รับฟรีประกันภัย ชั้น1 และLXP แพ๊คเกจ บำรุงรักษา (เมื่อดาวน์เริ่มต้นที่ 30% และผ่อนชำระ 48 เดือน)* Ø หรือ เลือกรับส่วนลดเงินสดสูงสุด 500,000บาท ทุกรุ่นภายในงานมาพร้อมกับข้อเสนอสุดพิเศษ ·      ดาวน์เริ่มต้น 0 บาท หรือเลือกรับดอกเบี้ยต่ำสุด 1.59%* สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ·      จองรถภายในงานรับ Lexus Amazing Showcase รับฟรี Central Gift Card มูลค่า 50,000 บาท และDiffuser จาก Jo Malone มูลค่า 4,100 บาท* ·      ลงทะเบียนทดลองขับรับฟรี Lexus Care Set (ชุดสเปรย์แอลกอฮอล์และหน้ากากผ้า)* * เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ พิเศษ! สำหรับลูกค้าคนพิเศษผู้ครอบครองเลกซัส เพียงเข้าชมงานรับทันที Service Voucher มูลค่า 1,000 บาท พร้อมพบไฮไลท์สุดพิเศษ ในวันที่ 8 กรกฎาคม 2565 ตั้งแต่เวลา 17.30 น. กับมินิคอนเสิร์ต “ไอซ์ ศรัณยู” ที่เอ็กซ์คลูซีฟสำหรับลูกค้าเลกซัสเท่านั้น! และพลาดไม่ได้! สำหรับลูกค้าเลกซัสในพื้นที่ภาคเหนือ เตรียมพบกับงาน “Lexus Amazing Showcase”ที่จะยกขบวนยนตรกรรมไฟฟ้า xEV ภายใต้ Lexus Electrified ไปจัดแสดงพร้อมข้อเสนอ และกิจกรรมสุดพิเศษมากมายภายในงาน เร็วๆ นี้ที่จังหวัดเชียงใหม่ ณ เซ็นทรัล เชียงใหม่ 21-24 กรกฎาคม 2565 นี้  

 
Read More

Honda Dream School

บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด สานต่อโครงการ “Honda Dream School โรงเรียนสร้างสรรค์สิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยกับฮอนด้า” เป็นปีที่ 17 เพราะฮอนด้าเชื่อว่าการปลูกฝังเรื่องความใส่ใจในสิ่งแวดล้อมและความมีวินัยจราจรเพื่อความปลอดภัยบนท้องถนนควรเริ่มตั้งแต่วัยเด็ก ทั้งยังช่วยสร้างความมั่นใจให้นักเรียนและผู้ปกครองในการกลับมาใช้ชีวิตวิถีใหม่รับการเปิดเรียนอย่างเต็มรูปแบบ อนึ่ง โครงการฯ มีเป้าหมายในการสร้างและปลูกฝังจิตสำนึกในการรักษาสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยแก่เยาวชนและชุมชนในพื้นที่ใกล้เคียงที่บริษัทฯ ดำเนินการอยู่ ปีนี้ พนักงานฮอนด้าจิตอาสาได้รวมกลุ่มทำการปรับปรุงภูมิทัศน์และพัฒนาสิ่งแวดล้อมของ 3 โรงเรียน ทั้งโรงเรียนวัดบำเพ็ญเหนือ จ.กรุงเทพมหานคร โรงเรียนวัดสะแก จ.พระนครศรีอยุธยา และโรงเรียนบ้านหนองปรือน้อย จ.ปราจีนบุรี เพื่อให้โรงเรียนมีบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของนักเรียนทั้งภายในและภายนอกห้องเรียน พร้อมทั้งเพิ่มความปลอดภัยในการจราจรและการใช้ชีวิตของนักเรียนในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งกิจกรรมนี้ ยังถือเป็นส่วนหนึ่งของการก้าวไปสู่เป้าหมายฮอนด้าในปี2593 ในด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย  เพื่อสร้างสังคมปลอดมลพิษ (Carbon Neutrality) และสร้างสังคมปลอดอุบัติเหตุและลดการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับรถจักรยานยนต์และรถยนต์ฮอนด้าทั่วโลกให้เป็นศูนย์  (Zero Traffic Collision Fatalities) กิจกรรมในปีนี้ ประกอบด้วย 1.ด้านสิ่งแวดล้อม พัฒนาและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมภายในโรงเรียนและชุมชน อาทิ การเพิ่มพื้นที่สีเขียวของโรงเรียนทั้งสวนหย่อมสมุนไพร ศูนย์เรียนรู้ทางเกษตร และห้องเรียนธรรมชาติ เพื่อสนับสนุนให้นักเรียนได้เรียนรู้ในสถานที่จริง รวมถึงการส่งเสริมจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม โดยจัดตั้ง “ธนาคารขยะ” เพื่อส่งเสริมการแยกขยะให้ถูกต้องและเพิ่มมูลค่าด้วยการนำกลับมาใช้ใหม่ได้อย่างถูกวิธี ฯลฯ 2.ด้านความปลอดภัย เพิ่มความปลอดภัยในการใช้ถนนและเส้นทางจราจรต่างๆ ในช่วงการเข้าเรียนและเลิกเรียนอาทิ ปรับปรุงและทาสีทางม้าลายและฟุตบาทบริเวณหน้าโรงเรียน สร้างรั้วกั้นริมถนนหน้าโรงเรียน ติดตั้งป้ายจราจรเพิ่มเติม ฯลฯ นอกจากนี้ ยังให้การสนับสนุนเงินทุนสำหรับการดำเนินโครงการที่ริเริ่มและดำเนินการเองในแต่ละโรงเรียนโดยยึดหลักความปลอดภัยในการใช้ชีวิตช่วงสถานการณ์โควิด-19 อาทิ โครงการอาหารกลางวัน ด้วยอาหารที่มีคุณค่าครบ 5 หมู่ สะอาดและถูกสุขอนามัย การสร้างฉากป้องกันสำหรับโต๊ะรับประทานอาหาร การสร้างจุดล้างมือเพิ่มความสะอาดหลังทำกิจกรรมต่าง ๆ การปรับปรุงห้องสมุดให้เอื้อต่อการค้นคว้า รวมถึงพื้นที่สันทนาการสำหรับทำกิจกรรมนอกห้องเรียน และโรงเรือนน้ำหมักชีวภาพ ฯลฯ  

 
Read More

วอลโว่ ขึ้นบัลลังก์อันดับ 3 รถหรู ในเมืองไทยอย่างไม่ต้องสงสัย

-จุดเด่น ยอดขาย วอลโว่ เติบโตขึ้นถึง 94% -วอลโว่ ในปีที่ผ่านมาจำหน่ายไปร่วม 2 พันคัน มีสัดส่วนรถ EV ถึง 30% -XC40 นับเป็นรถธงรุ่นเดียวของ วอลโว่ ที่มีทั้งรุ่นไฮบริด และรุ่น EV ที่ใช้ไฟฟ้า 100% -XC40 ของ วอลโว่ เป็นรถ EV ที่ขายดีอันดับ 1 จนต้องปิดรับการจอง -C40 นับเป็นรถ EV ตัวใหม่ของ วอลโว่ ประจำปี 2565 -ขณะนี้ EV ทุกรุ่นของ วอลโว่ ต้องจองไม่ต่ำกว่า 6 เดือน หรือได้รถอย่างต่ำต้นปีหน้า -รถไฮบริดของ วอลโว่ นำเข้าจากโรงงานในมาเลเซีย และรถ EV นำเข้าจากโรงงานในจีน แต่รถทั้งสองประเภท มียอดจองมากกว่ายอดนำเข้า -ตลาดรวมรถ EV วอลโว่ มียอดจำหน่ายเป็นอันดับ 2 ของประเทศขณะนี้ -ภายในปี 2030 หรืออีก 7 ปีครึ่ง วอลโว่ จะจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า 100% เพราะแนวโน้มในปีที่ผ่านมา วอลโว่ จำหน่ายรถ EV ถึง 40% และในปี 2565 จะมียอดจำหน่าย EV ราว 45-50%  -ประเด็นน่าสนใจ เพราะ XC40 ในรุ่นไฮบริดราคาจำหน่ายประมาณ 2.3 ล้านบาท ขณะที่ XC40 แบบ EV ราคาอยู่ที่ ประมาณ 2.6 ล้านบาท ด้วยสภาวะน้ำมันแพง จึงทำให้ตัดสินใจเป็นเจ้าของรถ EV มีน้ำหนักมากขึ้น -รถ EV ของ วอลโว่ ได้รับการจองทาง on line คิดเป็น 100% แต่ยังคงไปดูรถตัวจริง ทดลองขับ ที่โชว์รูมของ ดีลเลอร์ วอลโว่ -ถึงแม้จะยังไม่มี วอลโว่ ลิซซิ่ง แต่ วอลโว่ ยืนยัน การปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์กับ กรุงศรี และธนชาติ ลูกค้ามีความแฮปปี้เป็นอย่างมาก -ปัจจุบันการจำหน่ายรถยนต์ วอลโว่…

 
Read More

อีซูซุสร้างแรงบันดาลใจรถโมดิฟายพรีเมียมไลฟ์สไตล์

บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด จัดทัพยนตรกรรมคุณภาพ นำโดย “ออลนิว อีซูซุมิว-เอ็กซ์” และ “ใหม่! อีซูซุดีแมคซ์” หลากรุ่น พร้อมนำเสนอรถแข่งและรถแต่งจากโมดิฟายช็อปชื่อดังของประเทศ ร่วมโชว์ใน “งานบางกอกออโต ซาลอน 2022” มหกรรมแสดงและจำหน่าย         ยนตรกรรม พร้อมอุปกรณ์แต่งรถยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน วันที่ 29 มิถุนายน – 3 กรกฎาคม นี้     ณ ชาเลนเจอร์ฮอลล์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี กลุ่มตรีเพชร โดย คุณวิชัย สินอนันต์พัฒน์ กรรมการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด เผยว่า “ภายในงานบางกอก ออโต ซาลอน ปีนี้ อีซูซุได้สร้างแรงบันดาลใจโชว์รถแต่งสุดพิเศษ  นำโดย ใหม่! อีซูซุ วี-ครอส 4×4 ปิกอัพพรีเมี่ยม สปอร์ตออฟโรด คันแกร่งตัวจริงที่ใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์สั้นชุดพิเศษ ISUZU V-CROSS 4x4MASTER OF ALL ROADS…ตัวจริงทุกเส้นทาง พร้อมด้วยยนตรกรรมระดับหรู นำโดย “ออลนิว อีซูซุมิว-เอ็กซ์” รุ่นActive สีขาวมุกโดโลไมท์ และรถปิกอัพ “ใหม่! อีซูซุดีแมคซ์ พลานุภาพ…ไร้ขีดจำกัด” รวมถึงนำรถแข่งอีซูซุดีแมคซ์3.0 Ddi Blue Power ตัวจริงจากการแข่งขันชื่อดัง Isuzu One Make Race และรถอีซูซุโมดิฟาย เครื่องยนต์ 1.9 Ddi Blue Power แต่งซิ่ง ขุมพลังเทอร์โบ 4 ลูก (อนุกรมคู่) จากโมดิฟายช็อปชั้นนำของเมืองไทย เต็มเปี่ยมด้วยรูปลักษณ์ภายนอกอันสง่างาม และขุมพลังที่ร้อนแรงถึงขั้นสุด มาจัดแสดงในบูธโทนสีแดง-ดำ สะท้อนถึงภาพลักษณ์ความเท่สปอร์ตอย่างมีสไตล์ สมเป็นปิกอัพยอดนิยมแห่งวงการมอเตอร์สปอร์ตเมืองไทย รวมทั้งสิ้น 7 คัน เพื่อให้ผู้ที่สนใจได้เปิดประสบการณ์พร้อมเลือกชมได้อย่างจุใจที่บูธอีซูซุ ระหว่างวันที่ 29 มิถุนายน – 3 กรกฎาคม นี้  ณ ชาเลนเจอร์ฮอลล์ 3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี”             ทั้งนี้อีซูซุได้จัดทัพยนตรกรรมรุ่นมาตรฐานและโมดิฟายคาร์ มาร่วมจัดแสดงในงาน “บางกอก ออโต ซาลอน 2022” รวมทั้งสิ้น 7 คัน ดังนี้ ·     “ออลนิว อีซูซุมิว–เอ็กซ์” 1.9 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์ รุ่น Active สีขาวมุกโดโลไมท์ (Dolomite White Pearl) ยนตรกรรมอเนกประสงค์ระดับหรู ครบครันทุกประโยชน์การใช้งาน ในราคาเริ่มต้นเพียง 1,119,000 บาท เสริมเอกลักษณ์ให้โดดเด่นสไตล์สปอร์ตของคนรุ่นใหม่ ด้วยฝากระโปรงหน้า Carbon Composite และชุดครอบกระจกมองข้างดีไซน์พิเศษ จาก Monza Factory ดุดัน สง่างามด้วยชุดล้อแต่งจากแบรนด์ Rays รุ่น TE37 ขนาดใหญ่ 9×18 นิ้ว พร้อมยางTOYO TIRES (ST-3) ขนาด 265/60R18 เสริมความสนุกในการขับขี่ทุกเส้นทางด้วยชุดช่วงล่าง Race Series จากExplorer เร่งแรงแซงเหนือสปีดด้วยคันเร่งไฟฟ้า Alpha Tech รุ่น Spark 3 พร้อมกล่องพ่วงเพิ่มแรงม้า Alpha Tech รุ่น Super Storm พร้อม Plug & Play รวมมูลค่าชุดแต่ง 274,790 บาท  ·    “ใหม่! อีซูซุ วี–ครอส 4×4” รุ่น 4 ประตู สีเทาโอเพคใหม่! (Islay Gray Opaque) พรีเมี่ยม สปอร์ตออฟโรด คันแกร่งตัวจริงที่ใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์สั้นพิเศษ ชุด “ISUZU    V-CROSS 4×4 MASTER OF ALL ROADS…ตัวจริงทุกเส้นทาง” จัดเต็มอุปกรณ์ตกแต่ง เพิ่มความดุดัน มีเอกลักษณ์ในระดับ TOP CLASS ด้วยผลิตภัณฑ์ชุดแต่งจาก ARB อาทิ กันชนหน้า (Summit Bull Bar) ชุดกันกระแทกด้านข้าง (Side Rail) และบันไดข้าง (Side Step) ไฟสปอร์ตไลท์ Solis ขนาด 9 นิ้ว, ชุดแผ่นกันกระแทกใต้ท้องรถ มาพร้อมชุดช่วงล่าง ARB ตัวท็อปสุด รุ่น BP-51 เติมเต็มฟังก์ชั่นสไตล์ออฟโรดด้วยชุดขอลากเรือด้านหลัง, ล้ออัลลอย Fuel รุ่น Warp ขนาด 9×17 นิ้ว คู่กับยาง TOYO TIRES (M/T) รหัส 265/70R17, ฟิล์มกรองแสง Lamina รอบคัน พร้อมสติกเกอร์ดีไซน์พิเศษ “MASTER OF ALL ROADS…ตัวจริงทุกเส้นทาง” รอบคัน รวมมูลค่าชุดแต่ง 347,300 บาท ·      “ใหม่! อีซูซุ เอ็กซ์–ซีรี่ส์” (Infinite X-Life) ขีดสุดแห่งความเร้าใจสไตล์สปอร์ต เร่งแรง แซงเกินต้านด้วยขุมพลังสุดประหยัด อีซูซุ 1.9 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์ Gen 2 รุ่น RZ4E-TC ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน–เมตร ที่ 1,800–2,600 รอบ/นาที ขับสนุก สั่งได้ทุกอัตราเร่งกับชุดเกียร์ธรรมดาและอัตโนมัติ 6 สปีด (รายละเอียดตามแต่ละรุ่น) มั่นใจทุกการเข้าโค้งกับ ช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระปีกนก 2 ชั้นพร้อมคอยล์สปริง และตำแหน่งจุดยึด ปลอดภัยทุกการตอบโจทย์ของไลฟ์สไตล์ด้วยเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยอย่างเต็มระบบ นำมาจัดแสดงในงาน รวม 2 รุ่น ได้แก่ –              ใหม่! อีซูซุ เอ็กซ์–ซีรี่ส์ รุ่น HI-Lander 4 ประตู สีขาวมุกโดโลไมท์ (Dolomite White Pearl) ปิกอัพสปอร์ตสุดหรู สะท้อนเสน่ห์แห่งความเร้าใจในทุกรายละเอียด บ่งบอกสไตล์ที่ไม่เหมือนใคร กับดีไซน์ภายในสุดพรีเมียม ด้วยชุดแต่ง X-Stylish Package คมเข้ม ดุดัน ด้วยกระจังหน้า Double Dimension ดีไซน์แบบทูโทน สีดำGlossy Black ผสานสีแดงเข้ม Garnet Red พร้อมไฟท้ายโทนสีเข้มเป็นเอกลักษณ์ แตกต่างด้วยสัญลักษณ์ ISUZU สีแดง โฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้นด้วยสเกิร์ตกันชนหน้า ชุดสปอร์ตบาร์ดีไซน์ลู่ลมสีเดียวกับตัวรถ และบันไดข้างแบบชิ้นเดียวสีเงิน Silver Grey เรียบหรู มีสไตล์ ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว สีดำ Glossy…

 
Read More

TTC Motor เดินหน้าสปอร์ตมาร์เก็ตติ้ง

ในการสนับสนุน 5 โปรกอล์ฟสาวไทย ของ TTC Motor สานต่อนโยบาย เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) กับสปอร์ต มาร์เก็ตติ้ง โดยให้การสนับสนุน 5 โปรกอล์ฟสาวไทย โปรแพรว-ภัทราพร ศรีภัทรประสิทธิ์ , โปรเชอรี่-ธิรนันท์ อยู่ปาน , โปรมินนี-มนัสชยา ซีมากร , โปรแอร์-ศรุตยา งามอุษาวรรณ และ โปรเบนซ์-โชติกา ศุภภิญโญ  ร่วมชิงชัยการแข่งขันทุกทัวร์นาเม้นท์ ในปี 2565 พร้อมด้วยกิจกรรมกระชับมิตรกับสื่อมวลชนยานยนต์ ‘TTC Motor Pro-Am Media Golf Invitation 2022’ ณ.สนามกอล์ฟนวธานี คุณอัครินทร์ ตั้งทวีสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีทีซี มอเตอร์  จำกัด ผู้จำหน่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่างเป็นทางการ กล่าวถึงวัตถุประสงค์ที่ TTC Motor ให้การสนับสนุนกีฬากอล์ฟ เพราะบริษัทแม่ เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ว่า “มองว่ากอล์ฟเป็นกีฬายอดนิยมและได้รับความสนใจในวงกว้าง เข้าถึงคนได้ทุกกลุ่ม ทุกช่วงอายุ และเคยมีการจัดเมอร์เซเดส โทรฟี่ มาอย่างต่อเนื่อง ยาวนาน ตั้งแต่ปี 2542 จนถึงปัจจุบัน เว้นวรรคเพียงช่วงที่มีการระบาดโควิด-19 เท่านั้น ทั้งนี้ภาพลักษณ์ของกีฬากอล์ฟถือเป็นกีฬาที่ทรงคุณค่าและควรคู่กับแบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ สามารถสะท้อนปรัชญาของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ในด้านสุนทรียและความชาญฉลาด(Emotion and Intelligence) ได้เป็นอย่างดีและลงตัว ด้วยปัจจัยดังกล่าว TTC Motor ในฐานะผู้จำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์อย่างเป็นทางการ เล็งเห็นถึงคุณค่าของกีฬากอล์ฟ จึงได้ให้การสนับสนุน 5 โปรกอล์ฟสาวไทย คือ โปรแพรว–ภัทราพร ศรีภัทรประสิทธิ์ , โปรเชอรี่–ธิรนันท์อยู่ปาน , โปรมินนี–มนัสชยา ซีมากร , โปรแอร์–ศรุตยา งามอุษาวรรณ และ โปรเบนซ์–โชติกา ศุภภิญโญ  ร่วมชิงชัยการแข่งขันทุกทัวร์นาเม้นท์ ในปี 2565 นี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้บริหาร TTC Motor , 5โปรกอล์ฟสาวและสื่อมวลชน ตนขอใช้โอกาสพิเศษที่ให้การสนับสนุน 5 โปรกอล์ฟสาวไทยในวันนี้ ด้วยการออกรอบกระชับมิตรกับสื่อมวลชนสายยานยนต์ ‘TTC Motor Pro-Am Media Golf Invitation 2022’ ที่สนามกอล์ฟนวธานีเสรีไทย อีกด้วย”  TTC Motor ครบครันในทุกมิติของผู้จำหน่ายรถยนต์จาก 4 ซับแบรนด์ Mercedes-Maybach, Mercedes-EQ, Mercedes-AMG และ Mercedes-Benz   

 
Read More

นิสสัน ประกอบแบตเตอรี่สำหรับเครื่องยนต์ อี-พาวเวอร์ในประเทศไทย

นิสสัน ประเทศไทย เริ่มการประกอบแบตเตอรี่สำหรับเครื่องยนต์แบบอี-พาวเวอร์ ที่โรงงาน นิสสัน พาวเวอร์เทรน ประเทศไทย (Nissan Powertrain Thailand – NPT) ซึ่งตั้งอยู่ภายในโรงงานผลิตของ นิสสัน จังหวัดสมุทรปราการ โดยสายการประกอบแบตเตอรี่ อี-พาวเวอร์ ใหม่นี้ ทำให้ นิสสัน พาวเวอร์เทรน ประเทศไทย เป็นสายการประกอบแห่งแรกนอกประเทศญี่ปุ่น และเป็น 1 ในโรงงานนิสสัน 4 แห่งทั่วโลกที่มีศักยภาพในการประกอบแบตเตอรี่สำหรับระบบขับเคลื่อนอี-พาวเวอร์   “ประเทศไทยเป็นตลาดที่สำคัญของนิสสันในภูมิภาคอาเซียน และภายใต้แผนการปฏิรูป Nissan NEXT ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตที่สำคัญของนิสสันในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และหลังจากการลงทุนในปี2563 เพื่อผลิตนิสสัน คิกส์ อี-พาวเวอร์ สำหรับตลาดในประเทศ และตลาดส่งออก ซึ่งรวมถึงการส่งออกไปสู่ประเทศญี่ปุ่น นิสสันได้เริ่มการประกอบแบตเตอรี่สำหรับระบบขับเคลื่อนแบบ อี-พาวเวอร์ ในประเทศไทย”  มร.อิซาโอะ เซคิกุจิ ประธานนิสสัน ประเทศไทย (Isao Sekiguchi, president of Nissan Thailand) กล่าวว่า“การดำเนินการเชิงกลยุทธ์ในครั้งนี้ ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของนิสสันที่มีต่อประเทศไทย ในฐานะตลาดยานยนต์ที่มีศักยภาพและเติบโตอย่างต่อเนื่อง นิสสันได้ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมาเป็นเวลากว่า 70 ปี ประเทศไทยยังเป็นศูนย์กลางความเป็นเลิศในด้านการผลิตสำหรับภูมิภาค และหนึ่งในศูนย์กลางการส่งออกระดับโลกของนิสสัน”  สายการผลิตที่ประกอบแบตเตอรี่ไฟฟ้าแรงสูงสำหรับระบบขับเคลื่อน อี-พาวเวอร์ ณ โรงงาน 
นิสสัน พาวเวอร์เทรน ประเทศไทย (NPT) มีการจัดการควบคุมคุณภาพที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูง ด้วยการประยุกต์ใช้ระบบการผลิตแบบ Interlocking 100% ทั้งระบบ มาพร้อมอุปกรณ์ที่ใช้ในกระบวนการผลิตและตรวจสอบคุณภาพที่มีความแม่นยำสูงที่ช่วยจัดการข้อผิดพลาดในการประกอบทุกขั้นตอนให้เป็นศูนย์ นอกจากนี้ยังมีการจัดการควบคุมการผลิตแบบเรียลไทม์และเก็บบันทึกข้อมูลการประกอบได้ 100% เพื่อสามารถตรวจสอบติดตามได้ในภายหลัง นิสสัน พาวเวอร์เทรน ประเทศไทย (NPT) มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการผลิตเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2531 ด้วยระบบการผลิตที่มีความยืดหยุ่น รองรับการผลิตเครื่องยนต์ได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 1.0 ลิตรใน นิสสัน อัลเมร่า และเครื่องยนต์ขนาด 1.2 ลิตรที่เป็นแหล่งกำเนิดพลังงานไฟฟ้าในนิสสัน คิกส์ อี-พาวเวอร์ เครื่องยนต์ดีเซลแบบทวินเทอร์โบ 2.3 ลิตรในนิสสัน นาวาราและนิสสัน เทอร์ร่า ระบบส่งกำลังแบบเกียร์ธรรมดาในนิสสัน นาวารา และล่าสุด แบตเตอรี่ไฟฟ้าแรงสูงสำหรับระบบขับเคลื่อนแบบ อี-พาวเวอร์ โดยทางบริษัทฯ มีกำลังการผลิตเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังทุกรุ่นรวมสูงสุด580,000 หน่วยต่อปี  

 
Read More

ฮอนด้า ตอกย้ำความเชื่อมั่นในคุณภาพผลิตภัณฑ์

ฮอนด้าได้กำหนดทิศทางการดำเนินธุรกิจตามเป้าหมายฮอนด้าปี พ.ศ. 2593 (Honda Target 2050) ภายใต้ 2 ทิศทางหลัก ทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและด้านความปลอดภัย โดยภายในปี พ.ศ. 2593 มุ่งมั่นที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์และกิจกรรมต่างๆ ของฮอนด้า มีปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่สังคมปลอดมลพิษ (Carbon Neutrality) รวมถึงมุ่งมั่นที่จะสร้างสังคมปลอดอุบัติเหตุและลดการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับรถจักรยานยนต์และรถยนต์ฮอนด้าทั่วโลกให้เป็นศูนย์  (Zero Traffic Collision Fatalities) ซึ่งสถานการณ์ปัจจุบันขณะที่ทั่วโลกเกิดความเปลี่ยนแปลงทางด้านสิ่งแวดล้อมทรัพยากรธรรมชาติ และภูมิอากาศ ทำให้ทุกภาคส่วนต้องตระหนักและมีการปรับตัว สำหรับฮอนด้า เรามุ่งมั่นรักษาสมดุลในการดำเนินธุรกิจเพื่อสังคมและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องในทุกขั้นตอนการผลิต เพื่อสร้างสรรค์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้คนที่เปลี่ยนแปลงไป มร.โนริยุกิ ทาคาคุระ ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ บริษัท ฮอนด้า 
ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัดกล่าวว่า “ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) ยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจควบคู่กับการดูแลสภาพแวดล้อมอย่างสมดุล เราให้ความสำคัญตั้งแต่ต้นน้ำไปถึงปลายน้ำ ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ วิจัยและพัฒนา การผลิตครอบคลุมถึงการขายและบริการ โดยเน้นใน 3 ด้าน ได้แก่ ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นศูนย์ ใช้พลังงานสะอาด และการหมุนเวียนทรัพยากรเพื่อใช้ประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งยังมีการนำเทคโนโลยีอันล้ำสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้ในกระบวนการผลิต รวมถึงนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มาพร้อมเทคโนโลยีอันล้ำสมัยและยังคงเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อย่างเทคโนโลยีการขับเคลื่อน อี:เอชอีวี (e:HEV) ระบบฟูลไฮบริดประสิทธิภาพสูง 
ที่มอบสมรรถนะการขับขี่ทรงพลัง ประหยัดน้ำมัน และมีอัตราการปล่อยมลพิษที่ต่ำ โดยติดตั้งอยู่ใน
ยนตรกรรมหลากหลายรุ่น อาทิ ฮอนด้า เอชอาร์–วี อี:เอชอีวี ใหม่ และฮอนด้า ซีวิค อี:เอชอีวี ใหม่
โดยมาพร้อมกับเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ Honda SENSING  ซึ่งเป็นระบบที่ช่วยป้องกันและ
ลดโอกาสการเกิดอุบัติเหตุในท้องถนน โดยฮอนด้าจะยังคงมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจโดยตระหนักถึงสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง” ที่โรงงานผลิตรถยนต์ฮอนด้าทั้งที่ จ.ปราจีนบุรี และจ.พระนครศรีอยุธยา ในทุกขั้นตอนมีการเปลี่ยนทรัพยากรธรรรมชาติและนำเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการผลิตเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยมีการดำเนินงานบางส่วน ได้แก่ เปลี่ยน…แสงอาทิตย์ให้เป็นพลังงานที่ยั่งยืน ฮอนด้าได้มีการติดตั้งโซลาร์ รูฟท็อป บนหลังคาทั้งที่โรงงานฮอนด้าอยุธยาและปราจีนบุรีในเฟส 1 รวม 5 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นโรงงานฮอนด้าอยุธยาติดตั้ง 2.5 เมกะวัตต์ และโรงงานฮอนด้าปราจีนบุรีติดตั้ง 2.5 
เมกะวัตต์เพื่อนำกระแสไฟฟ้าที่ได้จากพลังงานสะอาดไปใช้ในกระบวนการผลิต รวมถึงใช้เป็นไฟส่องสว่างในช่วงกลางคืนแทนการใช้พลังงานไฟฟ้า สามารถลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 7,862 ตันต่อปี หรือเทียบเท่าการปลูกต้นไม้ถึง 875,539 หรือคิดเป็นการปลูกต้นไม้มากกว่า 8,800 ไร่ (ข้อมูลอ้างอิงปี พ.ศ. 2564) และมีแผนขยายการติดตั้งในเฟส 2 ให้ครอบคลุมการใช้ไฟฟ้าทั้ง 2 โรงงาน ภายในปี 2566 โดยแบ่งเป็นโรงงานฮอนด้าอยุธยา ติดตั้ง8.6 เมกะวัตต์ และโรงงานฮอนด้าปราจีนบุรี ติดตั้ง 3.8 เมกะวัตต์ รวมการติดตั้งทั้ง 2 เฟส กว่า 17 เมกะวัตต์ โรงงานผลิตรถยนต์ฮอนด้าทั้ง 2 โรงงาน มีระบบบำบัดน้ำเสียที่ทันสมัย เพื่อให้น้ำที่ผ่านการบำบัด มีคุณภาพ พร้อมหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่เพื่อประโยชน์สูงสุด อาทิ การนำน้ำที่บำบัดได้คุณภาพแล้วมาใช้รดน้ำต้นไม้ในโรงงาน และอีกส่วนหนึ่งนำไปผลิตน้ำ RO (RO recycle water) เพื่อใช้ในกระบวนการหล่อเย็นเครื่องจักร(Cooling Tower) นอกจากนี้ ยังมีการนำพลังงานน้ำมาช่วยในการขับเคลื่อนระบบสายพานลำเลียงชิ้นส่วน (Water Conveyor) ในสายการผลิต ซึ่งช่วยลดแรงงานคนในการขับเคลื่อนเครื่องจักร โดยน้ำที่ถูกปล่อยจากโรงงานฮอนด้าจะเป็นน้ำดีที่ผ่านการบำบัดแล้ว ซึ่งไม่ส่งผลกระทบต่อชุมชน เปลี่ยน…อนาคตให้ดีขึ้นด้วยเทคโนโลยี
โรงงานฮอนด้ามีพนักงานในสายการผลิตที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ และปฏิบัติงานภายใต้มาตรฐานอันเข้มงวดในเรื่องความปลอดภัยอย่างสูงสุด โดยได้นำเอาเทคโนโลยีอันล้ำสมัยมาใช้ ทำให้การผลิตมีความรวดเร็ว แม่นยำ และมีประสิทธิภาพสูง อาทิ ·      สายงานการพ่นสี Painting Line ใช้เทคโนโลยี Waterborne Paint ซึ่งใช้น้ำเป็นตัวทำละลายแทนการใช้ทินเนอร์ และใช้กระบวนการเคลือบสี 3 ชั้น อบสีให้แห้ง 2 ครั้ง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการพ่นสี ลดการปล่อยสารระเหยที่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ และช่วยประหยัดพลังงาน ·      สายงานการฉีดขึ้นรูปพลาสติก Polymer Injection ใช้เครื่องฉีดขึ้นรูป มีการใช้ระบบ Eco-Servo Pump ช่วยลดพลังงานไฟฟ้าและมีความแม่นยำในการฉีดขึ้นรูปชิ้นงาน ·      สายงานการควบคุมการรับ–ส่งชิ้นส่วน Material Service Line มีการใช้ระบบ Digital Picking System ลำเลียงชิ้นส่วนสู่สายการผลิตอย่างรวดเร็วแม่นยำ ·      สายงานการประกอบรถยนต์ Assembly Line & Arc Line มีการนำแนวคิดการทำงานแบบ Kaizen มาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ทำให้พนักงาน 1 คนสามารถประกอบได้หลายขั้นตอน ประหยัดเวลา ลดการเคลื่อนไหวที่สูญเปล่าในสายงานประกอบรถยนต์ ·      สายงานการผลิตเครื่องยนต์ Engine Plant ยังมีระบบ Automated Guided Vehicles ช่วยลำเลียงเครื่องยนต์สำเร็จรูปสู่สายการประกอบอย่างรวดเร็ว และนี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งจากหลายสิ่งที่ฮอนด้าได้ลงมือทำ เพื่อดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงมุ่งมั่นในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มีการใช้พลังงานสะอาดและหมุนเวียนการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด พร้อมยึดมั่นในความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพราะฮอนด้าเชื่อว่า อนาคต คือการเริ่มต้นทำทุกสิ่งในวันนี้ด้วยความมุ่งมั่นทุ่มเท เพื่อสิ่งที่ดีกว่าในวันข้างหน้าด้วยกันและยั่งยืนตลอดไป  

 
Read More

ก้อง-สมเกียรติ รั้งท็อปเท็น คะแนนสะสม โมโตทู

นักบิด “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา ยอดนักบิดไทยจากโครงการ “ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ ดรีม” เดินหน้าคว้าแต้มต่อเนื่องหลังเข้าป้ายอันดับ 13 ในศึก โมโตทู สนาม 11 ดัตช์ กรังด์ปรีซ์ รั้งท็อปเท็นบนตารางคะแนนสะสมก่อนพักครึ่งฤดูกาล ขณะ ทาคาอากิ นาคากามิ นักบิดญี่ปุ่นจาก แอลซีอาร์ ฮอนด้า ซิวอันดับ 12 ในรุ่นโมโตจีพี ที่ ทีที เซอร์กิต แอสเซน เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ศึกจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก โมโตจีพี 2022 สนามที่ 11 รายการ ดัตช์ กรังด์ปรีซ์ ดวลความเร็วรอบชิงชนะเลิศเมื่อวันอาทิตย์ 26 มิถุนายนที่ผ่านมา ที่ ทีที เซอร์กิต แอสเซ่น ประเทศเนเธอร์แลนด์ เกมในรุ่น โมโตทู ชิงแชมป์โลก ชิงชัยทั้งสิ้น 24 รอบสนาม “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา นักบิดไทยจาก อิเดมิตสึ ฮอนด้า ทีม เอเชีย ออกสตาร์ตจากกริดที่ 16 ขยับขึ้นไปถึงอันดับ 13 ในรอบแรก ก่อนจะบิดเข้าป้ายในอันดับดังกล่าว ด้วยเวลา 39 นาที 24.576 วินาที ตามหลัง ออกุสโต้ เฟร์นันเดซ ผู้ชนะชาวสแปนิชเพียง 17.443 วินาที ผ่าน 11 สนามแรก เจ้าของรถแข่งหมายเลข 35 เก็บเพิ่ม 3 แต้มเป็น 69 คะแนน รั้งอันดับ 10 บนตารางคะแนนสะสม ส่วนผลในรุ่น โมโตจีพี ปรากฏว่า ทาคาอากิ นาคากามิ ยอดนักบิดญี่ปุ่นหมายเลข 30 จาก แอลซีอาร์ฮอนด้า ไต่ขึ้นมาถึงอันดับ 7 ก่อนโดนโทษ “ลอง แล็ป” ร่วงลงไปจบเรซในอันดับ 12 ตามหลังผู้ชนะ 10.671 วินาทีตามด้วยทีมเมทชาวสแปนิชอย่าง อเล็กซ์ มาร์เกซ หมายเลข 73 ในอันดับ 15 ตามหลัง 25.866 วินาที ขณะที่ สเตฟาน แบรเดิล นักบิดเยอรมันหมายเลข 6 จาก เรปโซล ฮอนด้า รั้งอันดับ 18 ตามหลัง 32.225 วินาที ผ่าน 11 สนามแรก มาร์ค มาร์เกซ ยังคงเป็นนักบิดฮอนด้าที่เก็บแต้มได้มากที่สุด รั้งอันดับ 13 มีทั้งสิ้น 60 คะแนน ตามด้วย นาคากามิ ในอันดับ 16 มีทั้งสิ้น 42 คะแนน, โปล เอสปาร์กาโร อันดับ 17 มีทั้งสิ้น 40 คะแนน ตามด้วย อเล็กซ์ มาร์เกซ ในอันดับ 18 มี 27 คะแนน ส่วน แบรเดิล ยังไม่มีแต้ม ทั้งนี้ ศึกโมโตจีพี 2022 จะพักครึ่งฤดูกาลแรก 5 สัปดาห์ ก่อนกลับมาแข่งขันสนามที่ 12 ในวันที่ 5-7 สิงหาคมนี้ ที่ ซิลเวอร์สโตน เซอร์กิต สหราชอาณาจักร ในรายการ บริติช กรังด์ปรีซ์ แฟนความเร็วสามารถติดตามข่าวสารของนักบิดฮอนด้าได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ เรซ ทู เดอะ ดรีม : www.facebook.com/HondaRacingTeamTH #WhatStopsYou  #มุ่งไปอย่าให้อะไรมาหยุด #MotoGP  #RepsolHonda  #HRC #SC35  #Moto2  #RaceToTheDream  #HondaRacingThailand  #IdemitsuHondaTeamAsia  

 
Read More

Have a Good Ride

ศูนย์ฝึกขับขี่ปลอดภัยฮอนด้า เปิดตัว “Have a Good Ride” ศูนย์ฝึกขับขี่ปลอดภัยฮอนด้า ที่เปิดตัวแนวคิด “Have a Good Ride ขับขี่ไปข้างหน้า ด้วยทักษะที่ปลอดภัย” ชวนผู้ใช้รถจักรยานยนต์มาร่วมเรียนรู้ทักษะการขับขี่ที่ถูกต้อง เพื่อช่วยส่งเสริมทุกประสบการณ์การขับขี่ของคุณให้มีความสนุกและปลอดภัย เปลี่ยนมุมมองใหม่ “ขี่ได้” ไม่ใช่ “ขี่เป็น” ที่ไบค์เกอร์ตัวจริงทุกคนควรเรียนรู้การขับขี่อย่างถูกต้องจากครูฝึกและศูนย์ฝึกขับขี่ที่ได้มาตรฐาน เปิดกว้างสำหรับทุกคนด้วยคอร์สอบรมที่หลากหลาย ทั้งรถจักรยานยนต์ขนาดเล็ก รถบิ๊กไบค์ รถวิบาก รวมไปถึงคอร์สการขับขี่รถยนต์  นางจุฑามาศ  อินปริงกานันท์ ผู้จัดการทั่วไป สายงานส่งเสริมการขับขี่ปลอดภัย และกีฬายานยนต์ บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด กล่าวว่า “ปัญหาเรื่องอุบัติเหตุจราจรเป็นปัญหาใหญ่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะในหัวเมืองใหญ่ที่มีการจราจรพลุกพล่าน จากการศึกษากรณีอุบัติเหตุทางถนนที่เกิดขึ้นในประเทศไทย เราพบว่าพื้นฐานความคิดส่วนหนึ่งของคนไทยต่อรถจักรยานยนต์ คือ ‘ถ้าขี่จักรยานได้ก็ขับมอเตอร์ไซค์ได้’ และ ‘แค่หัดขับจะให้ใครสอนก็ได้’ ซึ่งฮอนด้าในฐานะที่เป็นผู้นำในการขับเคลื่อนความรู้ขับขี่ปลอดภัยในประเทศไทย เราอยากแบ่งปันความรู้ ทักษะการขับขี่ที่ถูกต้องให้กับผู้ใช้รถจักรยานยนต์ไทย อยากให้เปลี่ยนความคิดมาให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ทักษะที่ถูกต้อง” “เหตุนี้จึงเป็นที่มาของแนวคิด Have a Good Ride ที่สื่อถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของศูนย์ฝึกขับขี่ปลอดภัยฮอนด้า ในฐานะโรงเรียนฝึกทักษะขับขี่ปลอดภัยสำหรับทุกคน ที่ต้องการให้ผู้ใช้รถจักรยานยนต์ได้ ‘ขับขี่ไปข้างหน้าด้วยทักษะที่ปลอดภัย’ โดยเฉพาะกลุ่มบิ๊กไบค์ที่ต้องใช้ทักษะการขับขี่ขั้นสูง เพื่อช่วยให้ทุกการขับขี่เต็มไปด้วยความสนุกและปลอดภัยตลอดเส้นทางการขับขี่”   ปัจจุบันศูนย์ฝึกขับขี่ปลอดภัยฮอนด้าได้พัฒนาคอร์สการเรียนการสอนที่หลากหลาย ตอบสนองความต้องการลูกค้าได้มากขึ้น อาทิ คอร์สบิ๊กไบค์ที่มีตั้งแต่คอร์สพื้นฐาน (Basic) คอร์สฝึกความชำนาญ (Skilled Riding) และคอร์สบิ๊กไบค์ขั้นสูง…

 
Read More
Visit Us On FacebookVisit Us On TwitterVisit Us On YoutubeCheck Our Feed