ฟอร์ดห่วงใยลูกค้าประสบภัยน้ำท่วม

ฟอร์ด ประเทศไทย ส่งแคมเปญบรรเทาความเดือดร้อนของลูกค้าฟอร์ดที่ประสบภัยน้ำท่วมด้วยการมอบส่วนลดอะไหล่ น้ำมันเครื่องและค่าแรง 30% พร้อมตรวจเช็คสภาพรถยนต์ทั่วไปฟรี 30 รายการให้กับลูกค้าฟอร์ดที่ประสบภัยน้ำท่วมตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ที่ศูนย์บริการฟอร์ด ทั่วประเทศ คุณสันติ จิตพิชิตชัย ผู้อำนวยการฝ่ายบริการลูกค้า ฟอร์ด ประเทศไทย กล่าวว่า “การดูแลลูกค้าเป็นสิ่งที่ฟอร์ดให้ความสำคัญสูงสุดมาโดยตลอด จากเหตุการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ของประเทศไทย ฟอร์ดขอส่งความห่วงใยไปยังผู้ประสบอุทกภัยในทุกพื้นที่ ซึ่งเราหวังว่ามาตรการความช่วยเหลือจากฟอร์ดในครั้งนี้จะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายและบรรเทาความเดือดร้อนแก่ลูกค้าฟอร์ดได้อีกทางหนึ่ง”  สำหรับรถยนต์ฟอร์ดที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม สามารถเข้ารับบริการเช็คสภาพทั่วไปฟรี 30 รายการ อาทิเครื่องยนต์ เบรก ช่วงล่าง ระบบส่งกำลัง ระบบไฟฟ้าและตัวถัง พร้อมรับส่วนลดค่าอะไหล่ น้ำมันหล่อลื่น และ ส่วนลดค่าแรง30% โดยสิทธิประโยชน์นี้จะไม่ครอบคลุมรายการความเสียหายที่อยู่ภายใต้ความคุ้มครองของบริษัทประกันภัย ส่วนลดค่าอะไหล่ ไม่ครอบคลุมถึงผลิตภัณฑ์ยาง เบรก และ แบตเตอรี่ทุกรุ่นทุกยี่ห้อ โดยลูกค้าสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์www.ford.co.th  

 
Read More

“คนไทยไม่เคยทิ้งกัน” MOTOR EXPO ช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม

ผู้บริหาร บริษัท สื่อสากล จำกัด ผู้จัดงาน “มหกรรมยานยนต์” หรือ “Thailand International Motor Expo” ส่งมอบน้ำดื่ม 3,600 ขวดให้อาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จุด สน.บางยี่ขัน และชมรมบรรเทารวมใจมิตรประชา เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ที่ผ่านมา  

 
Read More

มูลนิธิ มิตซูบิชิ อิเล็คทริคไทย

มูลนิธิมิตซูบิชิ อิเล็คทริคไทย นำโดย นายฮิโระอากิ คอนโด้ รองประธานกรรมการ พร้อมด้วยผู้แทนจากกลุ่มบริษัทMitsubishi Electric ในประเทศไทย ร่วมถวายเงินจำนวน 270,000 บาท แด่ พระครูปลัดสุวัฒนพรหมมงคลคุณ (เสริมพรธมฺมวโร) เพื่อสมทบทุนสร้างศูนย์พัฒนาเด็กเล็กให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศไทย ใน “โครงการประทีปเด็กไทย” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ณ วัดป่าเลิศธรรมนิมิต จังหวัดปทุมธานี   จากซ้ายไปขวา –    นายฮิเดะยูกิ นากาตะ ที่ปรึกษาฝ่ายทรัพยากรมนุษย์และธุรการ บริษัท มิตซูบิชิ อิเล็คทริค เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด –    นายฮิโระอากิ คอนโด้ รองประธานกรรมการ มูลนิธิมิตซูบิชิ อิเล็คทริคไทย –    พระครูปลัดสุวัฒนพรหมมงคลคุณ (เสริมพร ธมฺมวโร)  ประธานกรรมการมูลนิธิประทีปเด็กไทย หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร   –    นายกริช ทองนาค กรรมการมูลนิธิมิตซูบิชิ อิเล็คทริคไทย  

 
Read More

นิสสัน พร้อมจำหน่าย จีที-อาร์ ที-สเปค

นิสสัน ประเทศไทย พร้อมจำหน่าย นิสสัน จีที-อาร์ ที-สเปค (GT-R T-spec) ในประเทศไทย โดยเปิดให้จองแล้ววันนี้ที่นิสสัน กรุงไทย ผู้จำหน่าย จีที-อาร์ อย่างเป็นทางการแห่งเดียวในประเทศไทย ตามมาตรฐานศูนย์บริการรถยนต์สมรรถนะสูงของนิสสัน หรือ นิสสัน ไฮเพอร์ฟอร์มแมนซ์ เซ็นเตอร์ (Nissan High-Performance Center – NHPC) โดย จีที-อาร์ ที-สเปค คันแรก พร้อมส่งมอบให้กับลูกค้าชาวไทยภายในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2564 โดยลูกค้าสามารถพบนิสสัน จีที-อาร์ ที-สเปค ในงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 38 (Thailand International Motor Expo 2021) นิสสัน จีที-อาร์ ที-สเปค เป็นรุ่นพิเศษที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการในญี่ปุ่นเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา มีการปรับปรุงสมรรถนะและดีไซน์ ด้วยเบรกคาร์บอนเซรามิก สปอยเลอร์หลังแบบคาร์บอนไฟเบอร์ ฝาครอบเครื่องยนต์พิเศษสำหรับรุ่นลิมิเต็ด อิดิชั่น และตราสัญลักษณ์รุ่น ที-สเปค ลิมิเต็ด อิดิชั่น ที่ด้านหน้าและด้านหลัง ล้ออัลลอยฟอร์จจาก RAYS สีบรอนซ์ขนาด20 นิ้ว และสีตัวถังใหม่ 2 สี ได้แก่ สีม่วง มิดไนท์ เพอร์เพิล (Midnight Purple) และสีเขียว มิลเลนเนียม เจด (Millennium Jade) ควบคู่ไปกับสีหลักอื่น ๆ อีก 4 สี ภายในตกแต่งเฉพาะด้วยสีเขียว โมริ กรีน (Mori Green) และมีเบาะนั่งหุ้มด้วยหนังกลับภายในหลังคาใช้วัสดุอัลคันทาร่า (Alcantara) และสัญลักษณ์ T-spec บริเวณคอนโซล  

 
Read More

ลมหายใจไร้มลทิน

มูลนิธิ ลมหายใจวไร้มลทิน มอบชุดตรวจ ATK สนับสนุนการตรวจหาเชื้อ COVID-19 โดยงานนี้ มูลนิธิลมหายใจไร้มลทิน มอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ Antigen Test Kit หรือ ATK  จำนวน 200 ชุด ให้ศูนย์ปฏิบัติการป้องกัน และแก้ไขสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) องค์การบริหารส่วนตำบลท่าศาลา โดยได้รับเกียรติจาก คุณกันตพงศ์ ช้างนิล ปลัดอำเภอท่าศาลา คุณธนกร มะโนสงค์ รักษาราชการแทนปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลท่าศาลา และ คุณจิรวรรณ ทิศคงทอง ผู้อำนวยการศูนย์พักคอย อบต.ท่าศาลา รับมอบเพื่อนำไปตรวจเชิงรุกป้องกันการแพร่ระบาดในพื้นที่ ท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช ผู้สนใจสามารถติดตามข่าวสาร และรายละเอียดมูลนิธิลมหายใจไร้มลทินได้ที่ www.lomhaijai.org  facebook.com/lomhaijaimotorexpo  

 
Read More

คาลเท็กซ์ จัดโปรฯ เด็ดรับคลายล็อก

บริษัท เชฟรอน (ไทย) จำกัด ผู้นำอุตสาหกรรมด้านพลังงานระดับโลก เจ้าของแบรนด์น้ำมันเครื่องคาลเท็กซ์ ฮาโวลีน      คาลเท็กซ์ เดโล่ และผลิตภัณฑ์เทครอนสำหรับเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล จัดโปรโมชั่นเด็ดรับคลายล็อกดาวน์ เพียงซื้อผลิตภัณฑ์น้ำมันเครื่องคาลเท็กซ์ที่ร่วมรายการ ทั้งเดโล่ สปอร์ต เดโล่ โกลด์ อัลตร้า และฮาโวลีนที่สถานีบริการน้ำมัน     คาลเท็กซ์ รับทันทีส่วนลดค่าน้ำมันเชื้อเพลิงทุกประเภท สูงสุด 200 บาท  (จำกัดการใช้ส่วนลด 1 สิทธิ์ ต่อ 1 ใบเสร็จ ต่อ  การเติมน้ำมัน 1 ครั้ง) ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 หรือจนกว่าสินค้าที่มีคูปองส่วนลดใต้ฉลากบรรจุภัณฑ์จะหมด(สามารถใช้คูปองส่วนลดได้ถึง 31 มีนาคม 2565) ทั้งนี้ เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรโมชั่นได้ที่ https://bit.ly/3AQZRoI เติมพลังการปกป้องเครื่องยนต์ พร้อมรับส่วนลดง่าย ๆ ได้แล้ววันนี้ ที่สถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์สาขาที่ร่วมรายการสอบถามเพิ่มเติมที่ ศูนย์บริการลูกค้าน้ำมันคาลเท็กซ์ โทร 02 081 4123 หรืออีเมล thcsc@chevron.com (เปิดทำการทุกวันเวลา 08.00 – 20.00 น.) บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขโปรโมชั่นโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ติดตามข่าวสารและโปรโมชั่นดี ๆ จากคาลเท็กซ์ได้ที่ www.caltex.co.th และ LINE official : @iLoveCaltex  

 
Read More

นิสสันช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม

นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย ร่วมกับสื่อมวลชน และตัวแทนลูกค้านิสสัน รวม 4 ครอบครัว ร่วมเดินทางในคาราวานNissan Care For You เพื่อส่งมอบน้ำดื่ม 9,000 ขวด หน้ากากอนามัย 5,000 ชิ้น อาหารแห้ง และสิ่งของจำเป็นอื่นๆ ให้กับผู้ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดสุโขทัย ชัยภูมิ และลพบุรี มร.อิซาโอะ เซคิกุจิ ประธาน นิสสัน ประเทศไทย กล่าวว่า “ประเทศไทยกำลังเผชิญกับอุทกภัยในหลายพื้นที่ซึ่งกระทบต่อการดำเนินชีวิต นิสสัน พร้อมกับ เพื่อน สื่อมวลชน และลูกค้าของเราได้พร้อมใจกันนำสิ่งของจำเป็นมาช่วยเหลือพร้อมส่งกำลังใจให้พี่น้องผู้ประสบอุทกภัยแทนความห่วงใยภายใต้โครงการ Nissan Care For You ซึ่งเราสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือพี่น้องผู้ประสบภัยให้ผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกัน ถึงแม้ในบางพื้นที่ ระดับน้ำจะลดลงแล้ว แต่การเยียวยาช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยยังจำเป็นต้องทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ประสบภัยกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้อย่างเร็วที่สุดนอกจากนี้นิสสันยังให้ความช่วยเหลือแก่ลูกค้าที่รถยนต์ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในครั้งนี้ ด้วยบริการรถลาก/รถยกจากบริเวณน้ำท่วมไปยังศูนย์บริการนิสสันที่ใกล้ที่สุดฟรี พร้อมมอบส่วนลด 30 % สำหรับค่าอะไหล่แท้, เคมีภัณฑ์, น้ำมันหล่อลื่น, ยาง และอุปกรณ์ตกแต่ง ให้แก่ลูกค้านิสสันที่ประสบภัยทุกคน ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึง 31 ธันวาคม 2564 นิสสัน กำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ 70 แห่งการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย บริษัทฯและผู้จำหน่ายกว่า 178 แห่งทั่วประเทศมีความผูกพันกับคนไทย เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยเหลือพี่น้องชาวไทยในช่วงเวลาที่ยากลำบากเช่นนี้”   

 
Read More

MAZDA เปิดตัว CX-5 ครอสโอเวอร์ใหม่

มาสด้าปลุกกระแสตลาดรถอเนกประสงค์เอสยูวี พร้อมเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจไทยไตรมาสสุดท้ายของปีให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง เตรียมแผนเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่เสริมทัพตลอด 3 เดือน เริ่มต้นด้วยการเปิดตัวแนะนำ NEW MAZDA CX-5 กับแนวคิดใหม่ “พลังความสุข ที่เร้าใจทุกเส้นทาง” ประกาศชัดพร้อมผงาดขึ้นเป็นผู้นำตลาดรถอเนกประสงค์เอสยูวีด้วยเทคโนโลยีที่ใส่มาให้จนล้นคันตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น ผนวกกับดีไซน์ที่เรียบหรูสง่างามทุกมุมมอง ส่งมอบพลังแห่งความสุขที่เร้าใจไปทุกเส้นทาง ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์วิถีชีวิตกับครอบครัว มีให้เลือกถึง 3 เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 คุ้มค่ามากที่สุดเครื่องยนต์เบนซิน 2.5 เทอร์โบ ทรงพลังแรงมากที่สุด และเครื่องยนต์คลีนดีเซล 2.2 แรงและประหยัดน้ำมันมากที่สุด เติมเต็มความคุ้มค่ามากกว่าเดิมด้วยการปรับราคาจำหน่ายใหม่เพียง 1.3 ล้านบาท และพิเศษสุดในช่วงเปิดตัว ดอกเบี้ยต่ำสุด 0% หรือดอกเบี้ย 1.99% ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี หรือฟรี Mazda Care 3 ปี หรือโปรแกรมบำรุงรักษา ฟรีค่าแรง ค่าอะไหล่ และผลิตภัณฑ์ของเหลวที่ต้องเปลี่ยนถ่ายตามระยะทาง คุณชาญชัย ตระการอุดมสุข ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “หลังจากที่มาสด้าเริ่มบุกตลาดรถอเนกประสงค์เอสยูวี ด้วยการส่ง 4 โมเดลหลัก หรือเรียกว่า CX-Series ประกอบด้วย CX-3, CX-5, CX-8 และ CX-30 ส่งผลให้รถยนต์ประเภทนี้ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับมีผู้เล่นรายใหม่ๆ เข้ามาทำตลาดมากขึ้นทำให้ตลาดเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยตลาดรถอเนกประสงค์เอสยูวีตั้งแต่เดือนมกราคมถึงกันยายน 2564 มียอดขายรวมสะสมประมาณ 57,000 คัน ส่วนมาสด้ามียอดขายสะสมรวมทั้งสิ้นประมาณ 9,700 คันเพิ่มสูงขึ้นถึง 27% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา จำนวน 7,653 คัน ครองส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ประมาณ17% ซึ่งการปรับโฉมและการกำหนดกลยุทธ์ด้านราคาจำหน่ายใหม่ที่เกิดความคุ้มค่าคุ้มราคามากขึ้น จะส่งผลทำให้มาสด้ากลับมาครองส่วนแบ่งการตลาดได้มากขึ้น ปัจจุบันอันดับหนึ่งในเซ็กเมนต์รถอเนกประสงค์ครองส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 23% รองลงมาอยู่ที่ 20% ในขณะที่มาสด้าขยับขึ้นมารั้งอันดับสาม และเป้าหมายสำคัญคือเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดให้ได้มากที่สุด การเปิดตัวแนะนำมาสด้า CX-5 ใหม่ ในครั้งนี้ ได้รับการพัฒนาปรับปรุงเพิ่มเติมเพื่อให้มีความโดดเด่นยิ่งขึ้นโดยเฉพาะเทคโนโลยีที่ใส่มาให้อย่างครบครันตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น ทำให้เกิดความคุ้มค่ามากยิ่งกว่าเดิม แต่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของการออกแบบทั้งภายนอกและภายใน ตามแนวคิด โคโดะ ดีไซน์ เรียบง่ายแต่งดงาม ระบบความปลอดภัยครบครัน ระบบเชื่อมต่อการสื่อสารแบบไร้ขีดจำกัด เพื่อให้เหมาะกับการใช้งานในสังคมยุคปัจจุบัน และยังนำเสนอทางเลือกให้กับลูกค้าด้วย 3 เครื่องยนต์อันทรงพลัง ให้เหมาะสมกับการใช้งานในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น ผู้ชื่นชอบสมรรถนะความแรงกับเครื่องยนต์ 2.5 เทอร์โบ สำหรับผู้ที่ชื่นชอบทั้งแรงและประหยัดน้ำมันกับเครื่องยนต์คลีนดีเซล 2.2 ลิตร หรือผู้ที่ต้องการใช้งานภายในเมืองที่กำลังมองหารถที่คุ้มค่าคุ้มราคากับเครื่องยนต์ 2.0 นี่คือเอกลักษณ์ของมาสด้าที่เป็นผู้ผลิตรถยนต์หนี่งเดียวที่มีหลากหลายเครื่องยนต์ให้เลือกมากที่สุดในตลาด ในขณะที่ยอดการจำหน่ายรถยนต์มาสด้านับตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงเดือนกันยายน 2564 มีจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 25,800 คัน ลดลงเล็กน้อยเพียง 1% จากตัวเลข26,000 คัน ซึ่งสถานการณ์ในปีนี้ถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่งที่ต้องประคับประคองธุรกิจให้เดินหน้าก้าวผ่านวิกฤตโควิด-19 ไปให้ได้ โดยเฉพาะการทำงานระบบหลังบ้านให้พร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบดิจิทัล ซึ่งผลลัพธ์ถือว่าเป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง หลังจากนี้ไปมาสด้าจะเดินหน้าอย่างเต็มรูปแบบโดยเฉพาะแผนการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่เข้าสู่ตลาดให้ครบทุกเซ็กเมนต์ ซึ่งผมมั่นใจอย่างยิ่งว่าการปรับกลยุทธ์สำหรับการแนะนำมาสด้า CX-5 ใหม่ ในครั้งนี้ จะเข้ามาเติมเต็มความต้องการของลูกค้าให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น กลายเป็นโมเดลหลักสำคัญที่จะสร้างยอดขายให้กับมาสด้าในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ผลักดันให้มาสด้าก้าวสู่เป้าจำหน่ายของปีงบประมาณ 2564 ได้อย่างแน่นอน”  คุณธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารอาวุโส กล่าวถึงแนวทางการสื่อสารการตลาดว่า “NEW MAZDA CX-5 มาพร้อมกับแนวคิดใหม่ “พลังความสุข ที่เร้าใจทุกเส้นทาง” เป็นหนึ่งในตระกูลเอสยูวีจากมาสด้า เพื่อเข้ามาเติมเต็มการใช้ชีวิตให้ก้าวไปสู่ความเป็นที่สุด ใช้ชีวิตให้มีความสุขในทุกๆ วันกับครอบครัว Enjoy Driving  โดยเป็นยนตรกรรมที่ได้รับการพัฒนาให้ลูกค้าได้สัมผัสถึงประสบการณ์การขับขี่ที่ล้ำหน้า กำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน ใส่เทคโนโลยีและออฟชั่นเพิ่มมากขึ้นแต่ปรับราคาขายเพื่อให้เป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น เริ่มต้น 1.3 ล้านบาทเท่านั้น ปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลทำให้CX-5 ประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้นและได้รับการตอบรับจากลูกค้าชาวไทย คือ เป็นรถอเนกประสงค์ที่มีเทคโนโลยีขั้นสูงการออกแบบที่สง่างาม เป็นรถที่แรงและประหยัดน้ำมัน ระบบความปลอดภัยระดับโลก และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ครบครัน ใช้งานง่ายและมีความจำเป็นสำหรับผู้ขับขี่เพื่อใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน มาสด้า CX-5 รถอเนกประสงค์เอสยูวีที่เป็นต้นกำเนิดของเทคโนโลยีสกายแอคทีฟ และการออกแบบภายใต้แนวคิด โคโดะ ดีไซน์ ที่ได้รับความนิยมจากลูกค้านับตั้งแต่ปรากฏโฉมเป็นครั้งแรก จนถึงปัจจุบันมียอดขายสะสมกว่า 8 ล้านคันทั่วโลก สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของเทคโนโลยีสกายแอคทีฟและความนิยมต่อรถประเภทนี้ โดยมาสด้า CX-5 เจเนอเรชั่นแรก ได้เปิดตัวแนะนำในประเทศไทยเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2556 มียอดขายสะสมสูงถึง 17,000 คัน ตามมาด้วยเจเนอเรชั่นที่ 2 เปิดตัวเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2560 มียอดจำหน่ายถึงปัจจุบันกว่า 15,000 คัน และครั้งนี้คือการกลับมาครั้งสำคัญของ CX-5 เพื่อกลับมาทวงคืนบัลลังก์ผู้นำตลาดรถอเนกประสงค์เอสยูวี และสร้างปรากฏการณ์ของการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี และความสง่างามของการออกแบบตามแนวคิด โคโดะ ดีไซน์ ที่ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นในระดับโลก กลยุทธ์ด้านราคาถือเป็นปัจจัยหลักสำคัญที่จะส่งผลทำให้ CX-5 ใหม่ ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ด้วยการวางราคาจำหน่ายเริ่มต้นเพียง1,320,000 บาท ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบคุณสมบัติ ออฟชั่น ผนวกกับเทคโนโลยีที่ใส่เข้ามาจะส่งผลทำให้เกิดความคุ้มค่า คุ้มราคา มากที่สุดในตลาด และเมื่อรวมกับโปรโมชั่น อัตราดอกเบี้ย ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง และการบำรุงรักษาตลอดระยะเวลาที่ครอบครองแล้วยิ่งทำให้ CX-5 ใหม่ควรค่าแก่การครอบครองมากที่สุด”  แนวคิดในการพัฒนามาสด้า CX-5 ใหม่ ยังคงคำนึงถึงการใช้งานและอรรถประโยชน์การใช้สอยเป็นหลัก ด้วยการออกแบบฟังก์ชั่นและการจัดวางอุปกรณ์ต่างๆ ภายในตัวรถให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมตามหลักปรัชญามนุษย์เป็นศูนย์กลาง HMI (Human-Machine Interface) เพื่อให้สัมผัสได้ถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างคนกับรถ รวมถึงการเชื่อมต่อการสื่อสารแบบไร้ขีดจำกัดผ่านระบบ Mazda Connect ที่มาพร้อม Apple CarPlay® และระบบ Android Auto™ ด้วยหน้าจอสี Center Display แบบทัชสกรีน ขนาด 8 นิ้ว ควบคุมด้วย Center Commander ปุ่มควบคุมอัจฉริยะที่หรูหราและจัดวางในตำแหน่งที่ใช้งานสะดวกมากยิ่งขึ้น หน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่แบบสีบนกระจกหน้า(Windshield Active Driving Display) ช่วยให้ผู้ขับไม่ต้องละสายตาจากถนนเพิ่มความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น การตกแต่งภายในของยังความหรูหรามีเอกลักษณ์เฉพาะตัว พิถีพิถันในทุกรายละเอียดเสมือนงานทำมือ และให้ผิวสัมผัสอย่างประณีต โดยการคัดสรรเลือกใช้วัสดุเกรดพรีเมี่ยมในทุกจุดสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นเบาะหนังสีดำตกแต่งด้วยด้ายสีน้ำตาล และใช้วัสดุตกแต่งภายในแบบ Real Wood และสีเงินซาตินโครม หรือเบาะหนัง Nappa สีแดง Deep Red ตกแต่งด้วยด้ายสีน้ำตาลเข้ม ในรุ่น 2.5 Turbo SP ที่เพิ่มความหรูหราและสะท้อนไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างของผู้ขับขี่ได้อย่างดีเยี่ยม มาสด้า CX-5 ใหม่ มาพร้อมกับระบบควบคุมสมรรถนะการขับขี่อัจฉริยะขั้นสูง GVC Plus ในทุกรุ่นย่อย ซึ่งเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีภายใต้ SKYACTIV-Vehicle Dynamics ที่ผสานและควบคุมการทำงานของรถทั้งคันให้ทำงานประสานกันอย่างมีประสิทธิภาพ โดยได้พัฒนาต่อยอดจากระบบ GVC เพื่อให้สามารถควบคุมสมรรถนะในการขับขี่ได้อย่างแม่นยำและสมดุลมากยิ่งขึ้น ทั้งในขณะเข้าโค้ง ขณะอยู่ในโค้ง หรือขณะออกจากโค้ง หรือแม้กระทั่งในสถานการณ์ฉุกเฉินก็ตาม ช่วยให้ผู้ขับขี่และรถเป็นหนึ่งเดียวกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ และมอบความสะดวกสบายให้ผู้โดยสารไปตลอดการเดินทาง มาสด้าคือหนึ่งเดียวในตลาดที่มีเครื่องยนต์ให้ลูกค้าได้เลือกตามความต้องการและการใช้งานถึง 3 เครื่องยนต์เครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซิน ขนาด 2.0 ลิตร เครื่องยนต์สกายแอคทีฟคลีนดีเซล ขนาด 2.2 ลิตร และเครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซิน ขนาด 2.5 เทอร์โบ โดยมีให้ลูกค้าเลือกทั้งหมด 4 รุ่นย่อย ประกอบด้วย –รุ่น 2.0 S ราคาจำหน่ายเพียง 1,320,000 บาท ส่งมอบความคุ้มค่าคุ้มราคามากที่สุดในคลาส ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน SKYACTIV-G 2.0 มาพร้อมเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด SKYACTIV-Drive ที่ได้รับการพัฒนาให้สามารถตอบสนองต่ออัตราเร่งได้อย่างดีเยี่ยม ให้พละกำลังสูงสุด 165 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 210 นิวตัน-เมตร พร้อมระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงแบบอิเล็กทรอนิกไดเร็คอินเจ็คชั่น รองรับน้ำมันเชื้อเพลิง E85 ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงสูงถึง 13.9 กิโลเมตร/ลิตร และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพียบพร้อมไปด้วยเทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวกสบายและความปลอดภัยครบครัน อาทิ ระบบเบรกมือไฟฟ้าระบบAuto Hold ไฟหน้าโปรเจคเตอร์แบบ LED เปิด-ปิด และปรับระดับสูง-ต่ำ แบบอัตโนมัติ ไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่เวลากลางวัน Daytime Running Light และไฟท้ายแบบ LED Signature เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า พร้อมระบบปรับเบาะดันหลังไฟฟ้า มาตรวัดความเร็วแบบอนาล็อค พร้อมจอแสดงข้อมูลการขับขี่ กระจกมองหลังปรับลดแสงอัตโนมัติ ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติแบบ Dual Zone พร้อมช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ช่อง USB สำหรับชาร์จไฟด้านหน้า 2 ช่อง และด้านหลังอีก 2 ช่อง หน้าจอสี Center Display แบบทัชสกรีนขนาด 8 นิ้ว ประตูท้ายเปิด-ปิด ด้วยระบบไฟฟ้าระบบควบคุมความเร็วคงที่ (Cruise Control) ระบบปรับองศาไฟหน้าตามการเลี้ยวของรถ AFS และถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง พร้อมล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว รุ่น 2.0 SP ราคาจำหน่ายที่ 1,470,000 บาท เสริมสร้างภาพลักษณ์ให้โดดเด่นยิ่งขึ้น ด้วยล้ออัลลอย ขนาด 19 นิ้ว, หลังคาซันรูฟแบบไฟฟ้า มาตรวัดความเร็วแบบดิจิตอล พร้อมจอแสดงผลแบบสีขนาด 7 นิ้ว ระบบบันทึกตำแหน่งสำหรับเบาะนั่งคนขับ เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า มอบสุนทรียภาพตลอดการเดินทางด้วยระบบเสียง Bose® รอบทิศทาง พร้อมลำโพง 10 ตำแหน่ง ระบบแสดงภาพ 360 ̊ รอบทิศทาง และเทคโนโลยีความปลอดภัยสุดล้ำ i-Activsense ครบครัน  อาทิ ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง RCTA ระบบควบคุมความเร็วรถอัตโนมัติ MRCC ระบบเตือนการชนด้านหน้าและช่วยเบรกอัตโนมัติ SBS (เพิ่มเติมจากรุ่น 2.0 S) –รุ่น XDL ราคาจำหน่าย 1,770,000 บาท เครื่องยนต์คลีนดีเซล SKYACTIV-D 2.2 มาพร้อมระบบเทอร์โบแปรผัน2 ขั้น ที่สามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำยิ่งกว่าเดิมในทุกรอบความเร็ว ทั้งแรงและประหยัด ให้กำลังถึง 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัตโนมัติ i-ACTIV AWD รวมถึงระบบวาล์วไอเสียแปรผันอัจฉริยะ VVT สามารถประหยัดน้ำมันได้ถึง 16.1 กิโลเมตร/ลิตร  และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม –รุ่น 2.5T SP ราคาจำหน่าย 1,830,000 บาท เครื่องยนต์เบนซิน SKYACTIV-G 2.5 เทอร์โบ ให้พละกำลังสูงถึง231 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 420 นิวตัน-เมตร พร้อมระบบเทอร์โบ แบบ Dynamic Pressure ระบบวาล์วแปรผันคู่อัจฉริยะDual S-VT ให้การตอบสนองที่รวดเร็วและแม่นยำ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัตโนมัติ i-ACTIV AWD เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดSkyactiv-Drive ที่มอบความสนุกในการขับขี่ได้อย่างแท้จริง มาพร้อมล้ออัลลอยดีไซน์พิเศษขนาด 19 นิ้ว เบาะหนังNappa สีแดง Deep Red ตกแต่งด้วยด้ายสีน้ำตาลเข้ม วัสดุตกแต่งภายในห้องโดยสารแบบ Real Wood และสีเงินซาตินโครม เพิ่มความหรูหราด้วยวัสดุตกแต่งแผงควบคุมกระจกไฟฟ้าแบบสีดำเปียโน และสีเงินซาตินโครม รวมถึงวัสดุตกแต่งสวิตซ์ปรับเบาะ และที่เปิดกล่องเก็บของด้านหน้าแบบสีเงินซาตินโครม เพดานหลังคาสีดำ ระบบระบายอากาศสำหรับเบาะคู่หน้า Seat Ventilation ที่ช่วยระบายอากาศได้อย่างดีเยี่ยม กระจกมองหลังปรับลดแสงอัตโนมัติแบบไร้กรอบ ไฟอ่านแผนที่ ไฟห้องโดยสารและห้องเก็บสัมภาระแบบ LED ไฟสร้างบรรยากาศบริเวณคอนโซลกลางแบบ Down Light ไฟส่องสว่างบริเวณที่วางเท้าหน้า-หลัง ไฟส่องสว่างในกล่องเก็บของด้านหน้า (เพิ่มเติมจากรุ่น XDL)…

 
Read More

MAZDA TRIPLE BONUS

มาสด้าเปิดเผยยอดจำหน่ายรถยนต์มาสด้าประจำเดือนกันยายนที่ผ่านมา เติบโตเพิ่มขึ้นถึง 64% ที่สำคัญเติบโตเพิ่มขึ้นทุกรุ่นทั้งครอสโอเวอร์เอสยูวี CX-Series และรถยนต์นั่ง ชี้เศรษฐกิจไทยเริ่มส่งสัญญาณปรับตัวดีขึ้น ประกาศเดินหน้าเต็มกำลังเตรียมส่งรถใหม่ลุยไตรมาสสุดท้ายของปี พร้อมอัดแคมเปญพิเศษ “MAZDA TRIPLE BONUS รับดีลสุดคุ้ม คว้าโบนัส 3 ต่อ” ให้กับลูกค้าใหม่ ระหว่างวันที่ 9 – 17 ตุลาคม 2564 กับ ดอกเบี้ยต่ำสุด 0% ขับฟรี 3 เดือน ฟรีของพรีเมี่ยมสุดพิเศษ และมอบความคุ้มอีก 3 ต่อ ให้ลูกค้าปัจจุบันที่นำรถเข้ารับบริการ ระหว่างวันที่ 1 – 31 ตุลาคม 2564 เมื่อซื้อยาง 3 เส้น แถมฟรี 1 เส้น หรือรับส่วนลดสูงสุด 1,200 บาท ผ่อน 0% นานสูงสุด 10 เดือน ทุกสินค้าและบริการ และส่วนลดค่าแรงสูงสุด 50% ที่โชว์รูมและศูนย์บริการมาสด้า คุณธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารอาวุโส บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันลดลง ประกอบกับการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์จากภาครัฐที่เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564 ล้วนเป็นปัจจัยบวกที่ทำให้ผู้บริโภคเกิดความเชื่อมั่นและเริ่มกลับมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น รวมถึงรถยนต์ที่ยังคงเป็นปัจจัยที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญและเป็นสินค้าที่มีโอกาสขยายตัวเนื่องจากผู้บริโภคหันมาใช้รถยนต์ส่วนตัวแทนการเดินทางด้วยรถยนต์สาธารณะมากขึ้น จึงทำให้ตลาดรถยนต์ในเดือนกันยายนที่ผ่านมามีภาพรวมอยู่ในทิศทางที่ดีขึ้น รวมถึงมาสด้า ที่ยอดขายรวมในเดือนกันยายน 2564 เติบโตขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2564 ถึง 64% ซึ่งเราเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยได้ผ่านจุดที่ต่ำที่สุดมาแล้ว และถือเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับประชาชนชาวไทยทุกคนที่เศรษฐกิจเริ่มกลับมาเดินหน้าได้อีกครั้ง สำหรับเดือนกันยายน 2564 ที่ผ่านมา ยอดขายรถยนต์มาสด้ามีการเติบโตเพิ่มขึ้นทุกรุ่น เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนสิงหาคม 2564 โดยมาสด้า2 ยังคงเป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมมากที่สุด มียอดขายที่ 1,799 คัน หรือเติบโตขึ้นถึง 86% ตามมาด้วย มาสด้า CX-30 จำนวน 484 คัน เพิ่มขึ้น 47% มาสด้า CX-3 จำนวน 350 คัน เพิ่มขึ้น 24% รถปิกอัพมาสด้า บีที-50 จำนวน 144 คัน เพิ่มขึ้น 106% มาสด้า3 จำนวน 122 คัน เพิ่มขึ้น 28% มาสด้า CX-5 จำนวน 46 คัน เพิ่มขึ้น 7% และมาสด้า CX-8 จำนวน 35 คัน เพิ่มขึ้น 35% ตามลำดับ จึงทำให้เดือนที่ผ่านมามาสด้ามียอดขายรถยนต์รวมทุกรุ่นอยู่ที่ 2,980 คัน หรือเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 64% ในขณะที่ยอดขายสะสมตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนกันยายน 2564 มีจำนวนทั้งสิ้น 25,813 คัน ลดลงเล็กน้อยเพียง 1% โดยแบ่งออกเป็นรถอเนกประสงค์ตระกูล CX-Series จำนวน 9,698 คัน หรือเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 27% ในขณะที่รถยนต์นั่งมียอดขายรวมที่15,155 คัน ลดลงเล็กน้อยเพียง 9% ส่วนรถปิกอัพ มาสด้า บีที-50 เริ่มกลับมาได้รับความนิยมเพิ่มสูงขึ้น มียอดสะสมจำนวน 960 คัน มาสด้ามั่นใจว่าภาพรวมเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมยานยนต์ในช่วงไตรมาสสุดท้ายจะกลับมาสดใสเนื่องจากเป็นช่วงที่ลูกค้าจับจ่ายใช้สอยกันมากที่สุด ประกอบกับกำลังเข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตร ภาคธุรกิจและประชาชนต่างขานรับต่อนโยบายของภาครัฐต่อการเปิดประเทศ จึงเชื่อว่าจะช่วยให้เศรษฐกิจกลับมาหมุนเวียนและส่งผลดีต่อภาพรวมอุตสาหกรรมรถยนต์ ซึ่งมาสด้าได้เตรียมความพร้อมเพื่อเดินหน้าขับเคลื่อนอุตสาหกรรมรถยนต์อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งความพร้อมด้านกลยุทธ์ในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านผลิตภัณฑ์ การขาย การบริการ กิจกรรมส่งเสริมการตลาด รวมถึงการเปิดตัวโมเดลธุรกิจแบบใหม่ ซึ่งลูกค้าจะได้สัมผัสในเร็วๆ นี้ เชื่อว่าจะมาเติมเต็มและตอบรับความต้องการของลูกค้าในยุคปัจจุบัน และช่วยให้มาสด้าเดินหน้าไปสู่เป้าหมายที่วางไว้” พร้อมกันนี้ เพื่อเป็นการตอบรับต่อกำลังซื้อที่กำลังจะกลับมาและมอบความคุ้มค่ายิ่งขึ้นให้กับลูกค้า มาสด้าได้เตรียมโปรโมชั่นสุดพิเศษกับแคมเปญ ”MAZDA TRIPLE BONUS รับดีลสุดคุ้ม คว้าโบนัส 3 ต่อ” โดยมอบข้อเสนอให้กับทั้งลูกค้าที่ต้องการออกรถใหม่และลูกค้าปัจจุบันถึง 3 ต่อ ได้แก่ 1.ลูกค้าที่ต้องการออกรถใหม่ พบกับข้อเสนอสุดพิเศษที่โชว์รูมมาสด้า ในระหว่างวันที่ 9–17 ตุลาคม 2564 กับความคุ้ม ต่อที่ 1 ดอกเบี้ยต่ำสุด 0% หรือ ต่อที่ 2 ขับฟรี 3 เดือน เมื่อซื้อรถยนต์มาสด้าทุกรุ่น และต่อที่ 3 สำหรับลูกค้า800 ท่านแรก ที่จองรถภายในงาน 3,000 บาท และออกรถภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2564 รับฟรีของพรีเมี่ยมสุดพิเศษกล่องฆ่าเชื้อโรค UV-C จาก Philips มูลค่า 1,590 บาท 2.ลูกค้าปัจจุบันที่นำรถเข้ารับบริการที่ศูนย์บริการมาสด้า รับโปรโมชั่นพิเศษ ต่อที่ 1 เมื่อซื้อยาง 3 เส้น แถมฟรี 1 เส้น หรือ รับส่วนลดสูงสุด 1,200 บาท4 ต่อที่ 2 ผ่อน 0% นานสูงสุด 10 เดือน ทุกสินค้าและบริการ5 และต่อที่ 3 ส่วนลดค่าแรงสูงสุด 50%6 ระหว่างวันที่ 1-31 ตุลาคม 2564 ณ ศูนย์บริการมาตรฐานมาสด้าทั่วประเทศ สำหรับลูกค้าที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการมาสด้าทั่วประเทศ หรือมาสด้าสปีดไลน์ 02 030 5666 หรือศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์มาสด้า www.mazda.co.th  

 
Read More

ฟอร์ด ใช้คอมพิวเตอร์ ร่นระยะเวลาการพัฒนารถ

ฟอร์ด การออกแบบพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่แต่ละรุ่นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะกว่าจะออกแบบรถสักคันต้องผ่านหลายขั้นตอนที่ซับซ้อน ตั้งแต่การสร้างรถต้นแบบและการระดมพลังจากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจากหลายแผนกทั่วโลก จนกว่ารถที่อยู่ในภาพร่างสเก็ตช์จะกลายเป็นรถจริงที่พร้อมจำหน่ายในโชว์รูม รถยนต์รุ่นใหม่ต้องได้รับการพัฒนาต่อยอดและยกระดับฟีเจอร์ต่างๆ ให้ดียิ่งขึ้น ฟอร์ด เรนเจอร์ และเอเวอเรสต์เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาไลน์อัพที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนและมาพร้อมกับตัวเลือกที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ ระบบส่งกำลัง ช่วงล่าง และการออกแบบตัวรถ แต่ก่อน การพัฒนารถยนต์หนึ่งคัน นับตั้งแต่การออกแบบบนภาพร่างสเก็ตช์ จนสำเร็จเป็นรถที่พร้อมจำหน่ายในโชว์รูม ใช้เวลามากกว่า 5 ปี นั่นคือสาเหตุที่ทำให้ฟอร์ด ออสเตรเลีย ฐานผลิตสำคัญของฟอร์ด เรนเจอร์ และเอเวอเรสต์ลงทุนมหาศาลไปกับการนำโปรแกรมที่ใช้คอมพิวเตอร์มาช่วยในงานออกแบบ (Computer-Aided Design หรือ CAD) และคอมพิวเตอร์มาช่วยในงานด้านวิศวกรรม (Computer-Aided Engineering หรือ CAE) เพื่อนำมาพัฒนารถยนต์ เนื่องจากเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เหล่านี้จะช่วยร่นระยะเวลาในการออกแบบและขั้นตอนทางวิศวกรรม อีกทั้งยังช่วยลดค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างมาก รถยนต์หนึ่งคันประกอบด้วยชิ้นส่วนมากกว่า 1,500 ชิ้น รถยนต์รุ่นใหม่จึงต้องได้รับการออกแบบและพัฒนาให้ออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด ทั้งในด้านความปลอดภัย ความทนทาน ไปจนถึงมาตรฐานด้านการออกแบบ และขั้นตอนอื่นๆ อีกมากมาย ดังนั้น CAE จึงมีส่วนเข้ามาช่วยวิศวกรในการจำลองเชิงวิเคราะห์ ซึ่งต้องใช้เวลาที่ใช้ในการคำนวณหลายหมื่นชั่วโมง นับเป็นเวลาหลายเดือน ก่อนที่จะเริ่มสร้างรถต้นแบบ มร.เจสัน โนกูเอรา วิศวกรด้าน CAE แชสซีรถยนต์ ฟอร์ด ออสเตรเลีย กล่าวว่า “เทคโนโลยี CAE ช่วยให้เราสามารถยกระดับผลิตภัณฑ์แบบเสมือนจริง ด้วยข้อมูลที่รวบรวมสะสมมาจากการทดสอบรถจริงมานานหลายปี ไปจนถึงขั้นตอนการทดสอบรถต้นแบบบนถนนและบนเส้นทางออฟโรด ซึ่งถือเป็นความละเอียดของผลิตภัณฑ์และเป็นการตรวจสอบผลลัพธ์ของการจำลอง ดังนั้น CAE จึงเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้เราไม่ต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ทุกครั้งที่พัฒนารถรุ่นใหม่คอมพิวเตอร์สามารถจำลองสถานการณ์และคำนวณผลลัพธ์จากสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้เร็วกว่าการรอผลจากการทดสอบจริงกับรถต้นแบบ เนื่องจากการทดสอบทางกายภาพต้องใช้เวลานานหลายวัน ในขณะที่ CAE สามารถประมวลผลลัพธ์ได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง นอกจากนี้ วิธีนี้ยังช่วยลดการปรับเปลี่ยนด้านการออกแบบในระหว่างขั้นตอนภายหลังซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายสูง เนื่องจาก CAE จะช่วยให้เราค้นพบสิ่งที่ต้องแก้ไขตั้งแต่แรกระหว่างการพัฒนาแบบเสมือนจริง ในระหว่างการจำลองเพื่อพัฒนารถโดยใช้ CAE เราสามารถทดลองน้ำหนักบรรทุกและอัตราเร่งกับแบบจำลองเสมือนจริงเพื่อทำความเข้าใจถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับรถ ในขั้นตอนการออกแบบ ซึ่งช่วยให้เราสามารถการพัฒนารถได้ตั้งแต่ขั้นตอนของ CAE ก่อนการทดสอบความทนทานทางกายภาพ ถึงแม้ว่า CAD และ CAE จะช่วยลดระยะเวลาในการพัฒนารถยนต์ แต่การทดสอบกับรถจริงก็ยังสำคัญและจำเป็น เพื่อการตรวจสอบความถูกต้องแม่นยำของผลลัพธ์ที่ได้จาก CAE และการออกแบบรถยนต์ขั้นสุดท้าย CAD และ CAE ได้เข้ามาเปลี่ยนวิธีการออกแบบและขั้นตอนทางวิศวกรรมรถของเราเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า เทคโนโลยีนี้เหล่านี้มีส่วนช่วยในการนำไอเดียสุดล้ำมาทำให้เกิดขึ้นจริงได้ ทั้งนี้ยังไม่มีสิ่งไหนที่สามารถมาทดแทนการทดสอบจริงเพื่อให้มั่นใจได้ว่ารถจากฟอร์ดจะตอบโจทย์การใช้งานได้มาากกว่าที่ลูกค้าคาดหวังไว้” การพัฒนาและการทดสอบรถยนต์ฟอร์ดในการขับขี่จริง ยังต้องอาศัยวิศวกรฟอร์ดในการทดสอบรถทั่วโลกในสภาพแวดล้อมสุดหฤโหด ฟอร์ด เรนเจอร์ และเอเวอร์เรสต์ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ฟอร์ดที่วางจำหน่ายทั่วโลกจึงได้รับการพัฒนาและทดสอบในภูมิอากาศและเส้นทางที่โหดที่สุดใน 5 ทวีปทั่วโลก และผ่านการทดสอบในระยะทางมากกว่า 600,000 กิโลเมตร ตั้งแต่ทะเลทรายในออสเตรเลียและภูมิภาคตะวันออกกลาง  ไปจนถึงเส้นทางสุดขรุขระในแอฟริกาใต้ และภูเขาในทวีปอเมริกา ฝ่าภูมิอากาศสุดขั้วจาก -40 องศาเซลเซียส ไปจนถึง 50 องศาเซลเซียส จึงมั่นใจได้ว่า ฟอร์ด เรนเจอร์ และเอเวอเรสต์ ได้รับการพัฒนาและผ่านการทดสอบมาเพื่อพร้อมลุยทุกเส้นทางในทุกสภาวะ  

 
Read More
Visit Us On FacebookVisit Us On TwitterVisit Us On YoutubeCheck Our Feed