เคล็ดลับดูแลรถเงาฉ่ำ เข้ม ทั้งคันแบบ Extreme

การล้างรถ เชื่อว่าหลายคนต้องเคยเจอปัญหารถเริ่มดูเก่าไม่ฉ่ำเงาเหมือนก่อน จะล้างเองทุกวันมันก็เหนื่อย ทำเคลือบแก้วเงินในกระเป๋าไม่เอื้อเท่าไหร่ ยิ่งหน้าฝนรถยิ่งดูโทรมง่ายเข้าไปอีก วันนี้เราเลยมีเคล็ดลับให้รถดูใหม่  ฉ่ำวาวแบบมืออาชีพแถมประหยัดค่าใช้จ่าย ไม่ง้อคาร์แคร์ไปอีกนาน ไม่ยุ่งยากเพียง 3 ขั้นตอน!! ทำเองง่าย ๆ ได้ที่บ้าน แถมประหยัดเวลาอีกต่างหาก 1.ล้างรถให้สะอาด เป็นพื้นฐานสำคัญ ขั้นตอนการ “ล้าง” เป็นสิ่งแรกที่ต้องทำในการทำความสะอาดรถยนต์ ยิ่งโดนฝนมา ยิ่งต้องรีบล้างเพื่อป้องกันคราบฝังเข้าไปในสีรถยนต์ และถึงแม้ว่ารถคุณจะไม่ได้บุกตะลุยอะไรมาเยอะ แต่ก็ต้องล้างเพื่อให้สิ่งสกปรก คราบฝุ่น ที่เกาะอยู่บนสีผิวรถยนต์หลุดออกไป และยังเป็นการเตรียมพื้นผิวในขั้นต่อไปด้วยโดยเคล็ดลับง่ายๆ ในการล้าง คือฉีดไล่ตั้งแต่ด้านบนลงมาด้านข้างและด้านล่าง และโดยเลือกใช้แชมพูล้างรถที่ออกแบบมาสำหรับรถยนต์ที่มีค่า pH Balance โดยเริ่มลงแชมพูขัดที่ล้อ ทั้ง 4 ล้อ ก่อนอันดับแรก เพื่อไม่ให้คราบสกปรกจากล้อกระเด็นไปเปรอะตัวรถ จากนั้นให้ล้างตั้งแต่บนหลังคาลงมาด้านข้างตัวรถ ไปจนถึงฝากระโปรง และด้านหลัง โดยใช้ฟองน้ำขัดเน้นไปที่สิ่งสกปรกตามจุดต่างๆ 2.ลงแว็กซ์ ให้รถเอี่ยม ล้างรถอย่างเดียวอาจจะไม่ได้ช่วยทำให้รถฉ่ำวาวได้ ยิ่งออกไปเจอฝุ่น ควัน สภาพอากาศที่แปรปรวน ฝนตก แดดออก รถที่ล้างมาไม่กี่วันก็หมอง ฉะนั้น การลงแว็กซ์เคลือบสี จะเป็นการเพิ่มเสน่ห์ความเงางามรถได้ดี อย่าง 3M Extreme Spray Wax ผลิตภัณฑ์เคลือบเงาสีรถยนต์ ที่มีส่วนผสมของคานูบาให้ความเงาฉ่ำลึก ผิวสัมผัสลื่นช่วยลดการจับเกาะของฝุ่น พร้อมนวัตกรรมที่เหนือชั้น อย่าง Water Beading Performance รีดน้ำได้ดี ทำให้เม็ดน้ำกลม ไม่ว่าจะฝุ่นหนา ฝนตกหนักแค่ไหน รถก็ยังเงางาม แถมยังใช้งานง่ายเพียงแค่เขย่าขวด ฉีดสเปรย์ลงบนผิวรถ และเช็ดให้ขึ้นเงา เพียงแค่นี้รถคุณไม่หมองอีกต่อไป สนใจสั่งซื้อสินค้าได้ที่ Lazada 3.อย่าลืมล้อรถ!! การเคลือบล้อดำ ที่คนมักจะมองข้ามไป เพราะเข้าใจว่าทำให้รถดูดีเท่านั้น แต่จริง ๆ แล้วการเคลือบล้อรถดำช่วยรักษาการเสื่อมสภาพของล้อรถ โดยเฉพาะรักษาแก้มยางรถไม่ให้แตกลาย แถมยืดอายุการใช้งานของล้อรถอีกด้วย 3M Extreme Spray Tire ผลิตภัณฑ์เคลือบเงายางรถยนต์ มาในสูตรเสริมความเงาพิเศษ อัปเกรดความเงางามให้ยางรถยนต์ดำ เข้ม เหมือนใหม่ ติดทนนาน หมดปัญหาล้อรถยนต์ซีดจาง ไม่กัดกร่อนยางของรถ และไม่ทิ้งรอยคราบด่าง วิธีใช้หลังจากที่ล้างล้อรถแล้ว ก็ฉีดสเปรย์บริเวณแก้มยาง  ระวังอย่าให้น้ำยาเคลือบไปโดนล้อแม็ก หรือจานเบรก แล้วใช้ฟองน้ำเช็ดลูบให้ทั่ว แค่นี้ก็ได้ล้อรถดำเข้มแล้ว สามารถหาซื้อได้ง่ายได้ที่ Lazada การดูแลรถให้ฉ่ำเงาเหมือนใหม่ทำเองได้ง่าย ๆ ที่บ้าน อีกทั้งยังไม่ต้องเสียเวลาล้างบ่อยอีกด้วย ประหยัดทั้งเงิน ทั้งเวลา และถ้าอยากได้ความคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น สามารถสั่งซื้อ 3M Extreme Spray Wax หรือ 3M Extreme Spray Tire ได้ที่Lazada มีโปรโมชันแถมฟรี!! ชามัวร์ซับน้ำ Chamois ขนาด 66x43cm 1 ผืน ในทุกการสั่งซื้อ  ห้ามพลาด!   

 
Read More

Subaru The All-New Outback คว้ารางวัล

ซูบารุ ตอกย้ำความมั่นใจด้านเทคโนโลยีความปลอดภัยอีกครั้ง เมื่อ Subaru The All-New Outback (รุ่นจำหน่ายในทวีปยุโรป) ได้รับรางวัลความปลอดภัยสูงสุดระดับ 5 ดาวประจำปีพ.ศ.2564 จาก องค์กรทดสอบมาตรฐานความปลอดภัยของยานยนต์ Euro NCAP (European New Car Assessment Programme—Euro NCAP) การทดสอบความปลอดภัยโดย Euro NCAP เป็นการทดสอบระบบความปลอดภัยต่างๆ ในรถยนต์แต่ละรุ่น ได้แก่“ระบบการปกป้องผู้โดยสารผู้ใหญ่” “ระบบการปกป้องผู้โดยสารเด็ก”n “ระบบการปกป้องกลุ่มผู้สัญจรบนถนน” “ระบบช่วยเหลือเพื่อเพิ่มความปลอดภัยโดยรวม” โดย The All-New Outback ได้คะแนนในการประเมินทั้ง 4 ด้านสูงกว่าคะแนนมาตรฐานความปลอดภัยระดับ 5 ดาว   อีกทั้งยังได้รับรางวัลสูงสุดด้านระบบช่วยเหลือเพื่อเพิ่มความปลอดภัยโดยรวม*2 และระบบการปกป้องกลุ่มผู้สัญจรบนถนน*3  ในการทดสอบความปลอดภัยของยานยนต์ทุกกลุ่ม รางวัลระดับ 5 ดาวจาก Euro NCAP ที่มอบ The All-New Outback ครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จจากความพยายามอย่างไม่หยุดยั้งของซูบารุที่มุ่งให้ทุกการขับขี่คือความปลอดภัย ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที่ 9 ของซูบารุที่ได้รับรางวัลความปลอดภัยสูงสุดในการทดสอบจากสถาบันแห่งนี้ The All-New Outback ในประเทศไทย ที่เปิดตัวในเดือนมีนาคม ปีพ.ศ.2564 มาพร้อมกับเทคโนโลยีความปลอดภัยอายไซต์รุ่นใหม่ (EyeSight Driver Assist) ที่เพิ่มประสิทธิภาพการตรวจจับด้วยการขยายมุมรับภาพให้กว้างขึ้นกว่า 2 เท่า พร้อมเพิ่มฟังก์ชั่นการใช้งานหลากหลาย อีกทั้งยังเพิ่มสมรรถนะของระบบความปลอดภัยเมื่อเกิดการชน ซึ่งไม่เพียงมุ่งลดความเสียหายเฉพาะต่อผู้โดยสารเท่านั้น แต่ยังลดความเสียหายของคู่กรณี ด้วยโครงสร้างตัวถัง ซูบารุโกลบอล แพลตฟอร์ม ที่ช่วยกระจายแรงกระแทก The All-New Outback ได้ติดตั้งระบบควบคุมเบรกหลังเกิดการชน (Post Collision Brake Control) เป็นครั้งแรกในรถยนต์ซูบารุ โดยระบบจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อนด้วยการเบรกและลดความเร็วของรถอัตโนมัติเมื่อเกิดการชน The All-New Outback (รุ่นจำหน่ายในไทย) ที่ได้นำเอาเทคโนโลยีความปลอดภัยโครงสร้างตัวถังแบบกระจายแรงกระแทก (ซูบารุ โกลบอล แพลตฟอร์ม) พร้อมระบบควบคุมเบรกหลังเกิดการชนเช่นเดียวกับรุ่น ที่จำหน่ายในทวีปยุโรปและได้รับเสียงตอบรับที่ดีเกินคาดจากแฟนซูบารุ โดยโควต้าการนำเข้าครั้งแรกกว่า 50 คัน อยู่ในกระบวนการการส่งมอบสำหรับลูกค้าที่จองไว้ตั้งแต่ช่วงเปิดตัว นอกจากนี้เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องซูบารุได้มีการขอโควตาเพื่อนำเข้า The All-New Outback จากญีปุ่นเพิ่มเติมอีก 50 คันภายในปีนี้ ด้วยความมุ่งมั่นในจุดยืน “ความปลอดภัยของลูกค้าคือหัวใจของเรา” ซูบารุยังคงพัฒนาระบบความปลอดภัยอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งระบบความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน ระบบขับขี่ ระบบความปลอดภัยเชิงแก้ไข (passive safety) ระบบความปลอดภัยเชิงป้องกัน ตลอดจนเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้นภายใต้หลักการ All-around safety ที่เน้นสุนทรียภาพในการขับขี่ไปพร้อมกับความมั่นใจของผู้ขับและผู้โดยสารทุกคน   

 
Read More

New HONDA CB500X

แอดเวนเจอร์ไบค์ของนักบิดสายลุยตัวจริง ไลฟ์สไตล์ของผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่หรือบิ๊กไบค์ในปัจจุบันล้วนมีความแตกต่างที่ชัดเจนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสายสปอร์ตที่ชื่นชอบความเร็ว แรง แบบรถแข่งในสนาม สายเน็กเก็ตที่เน้นความคล่องตัวกับการขับขี่ในเมือง และสายแอดเวนเจอร์ที่ชื่นชอบการผจญภัย โดยเฉพาะในกลุ่มนี้กำลังได้รับความนิยมและขยายตัวอย่างต่อเนื่อง สำหรับรถคู่ใจของนักเดินทางรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง New CB500X หลังการเปิดตัวได้สร้างความตื่นเต้นให้กับนักบิดสายลุยเป็นอย่างมาก เพราะด้วยออปชันที่เติมเต็มเข้ามาใหม่ ทั้งโช้กอัพหน้าแบบหัวกลับขนาดใหญ่ 41 มม. และดิสก์เบรกหน้าคู่พร้อมคาลิปเปอร์แบบ Twin Piston 2 Pots ถือว่าเป็นการยกระดับให้แอดเวนเจอร์ไบค์รุ่นนี้โดดเด่นและเหนือชั้นที่สุดในคลาสเดียวกัน ด้วยฟิลลิ่งการขับขี่ในสไตล์แอดเวนเจอร์ของ New CB500X จากตำแหน่งท่านั่งที่ถูกออกแบบมาอย่างเหมาะสมการวางองศาของแฮนด์ยกสูงและมีความกว้างกำลังพอดี ทำให้ควบคุมรถได้ง่าย ขับขี่สบาย ไม่เมื่อยล้า แม้ขับขี่ในระยะทางไกล และพร้อมลุยทุกอุปสรรคกับการออกแบบความสูงของตัวรถจากพื้นดิน สูงถึง 181 มม. รวมกับการใช้ล้อแม็กหน้าดีไซน์ใหม่ ขนาดใหญ่ 19 นิ้ว และมีน้ำหนักเบา เช่นเดียวกับสวิงอาร์มที่พัฒนาขึ้นใหม่ มีน้ำหนักที่เบากว่าเดิม ส่งผลให้การใช้งานพร้อมลุยทั้งแบบออนโรดและออฟโรดได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ ระบบส่องสว่างของไฟหน้าแบบ Full LED ก็ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพความสว่างได้มากขึ้นถึง 25% ช่วยให้ทัศนวิสัยการขับขี่ในเวลากลางคืนทำได้ดียิ่งขึ้น ขณะที่ในด้านสมรรถนะของ New CB500X เป็นที่ยอมรับของเหล่าไบค์เกอร์สายลุยอยู่แล้ว จากขุมพลังเครื่องยนต์2 สูบ แบบ Parallel Twin DOHC ขนาด 500 ซีซี ระบายความร้อนด้วยน้ำ ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์ 6 สปีด โดดเด่นในเรื่องการตอบสนองแรงบิดในรอบต่ำ ขับขี่ท่องเที่ยวเดินทางขึ้นเขาได้อย่างคล่องตัว ประสานการทำงานกับ Assist Slipper Clutch ที่ช่วยลดแรงกระชากของล้อหลัง เพิ่มความนุ่มนวลขณะเปลี่ยนเกียร์ สำหรับนักบิดสายแอดแวนเจอร์ที่ชื่นชอบการขับขี่ผจญภัยในสไตล์ทัวริ่ง New CB500X คือ คำตอบที่ใช่และพร้อมลุยในทุกเส้นทาง ด้วยออปชันจัดเต็มระดับท็อปคลาส แต่ราคาเท่าเดิม หรือ 224,900 บาท สนใจ New CB500X สามารถไปพบกับรถคันจริงได้ที่ Honda Big Wing ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ : www.hondabigbike.comเฟซบุ๊กรถจักรยานยนต์ฮอนด้า : fb.com/hondabigbiketh #New500Series  #NewCB500X  #HondaBigBike  #WhatStopsYou  #มุ่งไปอย่าให้อะไรมาหยุด #รถจักรยานยนต์ฮอนด้า #ThaiHonda  #HondaThailand  

 
Read More

นิสสัน ช.เอราวัณมอเตอร์ ศาลายา โชว์รูมแห่งแรกในประเทศไทย

ภายใต้ “Nissan Retail Concept – NEXT” ดีลเลอร์อย่าง ช.เอราวัณ เปิดโชว์รูมแห่งแรกที่นำเสนอแนวคิดนวัตกรรมระดับโลก NRC-NEXT ตอกย้ำความมุ่งมั่นเพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง นิสสัน ช.เอราวัณมอเตอร์ ผู้จำหน่ายรถยนต์นิสสัน ขยายสาขาใหม่ โดยเป็นแห่งแรกในประเทศไทยที่ออกแบบภายใต้มาตรฐานโชว์รูม และศูนย์บริการ Nissan Retail Concept – NEXT (NRC-NEXT) ตั้งอยู่ ณ อำเภอศาลายา จังหวัดนครปฐม เพื่อมอบบริการคุณภาพและมาตรฐานระดับโลกให้แก่ลูกค้านิสสัน และตอกย้ำความมุ่งมั่นที่จะนำนวัตกรรมการดูแลลูกค้าที่ทันสมัยและการนำเสนอดิจิทัลในประเทศอย่างต่อเนื่อง การเปิดตัวโชว์รูมโฉมใหม่ในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของแผนระดับโลกของนิสสัน ในการสร้างสรรค์โชว์รูมโฉมใหม่มาตรฐาน NRC-NEXT เพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า หรือ customer journey โดดเด่นด้วยการออกแบบที่ปรับเปลี่ยนใหม่และการจัดวางสิ่งอำนวยความสะดวกใหม่เพื่อสร้างพื้นที่ที่สะดวกสบายและอบอุ่น เช่น ภายนอกใหม่พร้อมสัญลักษณ์แบรนด์โลโก้ใหม่ของนิสสันที่โดดเด่นเมื่อลูกค้ามาถึงโชว์รูม ภายในโซน ‘Nissan Drive’ พื้นที่ขายและให้คำปรึกษาให้การต้อนรับลูกค้าอย่างอบอุ่น พร้อมทั้งจัดแสดงผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีล่าสุดของนิสสัน พื้นที่ส่งมอบรถสร้างความประทับใจโดยเฉพาะเมื่อลูกค้าออกรถใหม่ อีกทั้งภายนอกศูนย์บริการที่ได้รับการออกแบบภูมิสถาปัตย์อย่างมีสไตล์เพื่อให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุดตามมาตรฐานนิสสัน และเพื่อตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้า มร.อิซาโอะ เซคิกุจิ ประธาน นิสสัน ประเทศไทย กล่าวย้ำบทบาทสำคัญของผู้จำหน่ายของนิสสันมีต่อการพัฒนาบริการเพื่อสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่องว่า “โชว์รูมใหม่ และเป็นแห่งแรกของประเทศไทยที่ได้รับการออกแบบมาตรฐาน NRC-NEXT เป็นแผนของนิสสันในการมอบประสบการณ์ และสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าของเราเพื่อตอบสนองทุกความต้องการของพวกเขา โดยตลอดระยะเวลา 21 ปีที่ผ่านมา ช.เอราวัณมอเตอร์ และนิสสัน มีเป้าหมายร่วมกันในการส่งมอบผลิตภัณฑ์ และการให้บริการที่เกินความคาดหมายให้แก่ลูกค้าของเรามาอย่างต่อเนื่อง โชว์รูมและศูนย์บริการแห่งใหม่ที่น่าตื่นเต้นนี้คือตัวอย่างล่าสุดของเรื่องนี้ นอกจากนี้ นิสสัน ยังมีการนำเทคโนโลยี และระบบดิจิทัลเข้ามาใช้ในการจำหน่ายและให้บริการรถยนต์นิสสัน ในการให้ข้อมูลผลิตภัณฑ์ ไปจนถึงบริการหลังการขาย ระบบอัปเดตสถานะการซ่อมเรียลไทม์และการสั่งซื้ออะไหล่ เพื่อเพิ่มความอุ่นใจ ตลอดอายุการใช้งานรถยนต์นิสสัน” โชว์รูมนิสสันแห่งใหม่ ช.เอราวัณมอเตอร์ ศาลายา จ.นครปฐม ตั้งอยู่ในโซนพื้นที่ของเมืองที่กำลังขยาย มีทั้ง ที่อยู่อาศัย สถานศึกษา แหล่งการค้า แหล่งท่องเที่ยว รวมถึงกลุ่มธุรกิจและอุตสาหกรรมต่าง ๆ รองรับความต้องการและการเจริญเติบโตของกลุ่มลูกค้าปัจจุบันและในอนาคต รวมถึงเป็นเส้นทางสู่ภาคตะวันตกของประเทศไทย สามารถให้บริการรถยนต์สูงสุดกว่า 380 คันต่อเดือน พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น ห้องรับรองลูกค้าที่ทันสมัยและให้ความรู้สึกผ่อนคลาย พร้อมต้อนรับทุกกลุ่มลูกค้าที่สนใจรถยนต์นิสสัน โดยมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายที่ได้รับการฝึกอบรม และมีความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เป็นอย่างดี ทั้งนี้สาขาศาลายาเป็นโชว์รูมและศูนย์บริการนิสสันแห่งที่ 4 ของกลุ่ม ช.เอราวัณมอเตอร์ ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ ช.เอราวัณมอเตอร์ ในการนำเสนอบริการที่เป็นเลิศ เพื่อยกระดับประสบการณ์ลูกค้า นอกจากนี้ช.เอราวัณมอเตอร์ ยังได้รับรางวัลต่าง ๆ ของนิสสัน อาทิ Best Dealer Award สำหรับผู้จำหน่ายยอดเยี่ยมของภาคกลางและภาคตะวันออก คุณวิวัฒน์ จันทร์วาววาม ประธานกรรมการ บริษัท ช.เอราวัณมอเตอร์ จำกัด กล่าวเสริมเพื่อยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับนิสสัน เพื่อยกระดับประสบการณ์ลูกค้าว่า “เรามีความมั่นใจในผลิตภัณฑ์และการทำงานร่วมกันกับนิสสัน จึงได้ลงทุนเพื่อสร้างโชว์รูมใหม่ตามแนวคิดในระดับโลกของนิสสัน เพื่อมอบความสะดวกสบายและบริการที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าของเราทุกคน ไม่ว่าจะซื้อรถใหม่ หรือนำรถเข้ารับบริการ  สำหรับกลุ่มบริษัท ช.เอราวัณมอเตอร์ จำกัด เรามุ่งมั่นในนโยบาย “Happiness Guaranteed” ซึ่งหมายความว่าลูกค้าจะได้รับความสะดวกสบาย ความมั่นใจ และความสุขทุกครั้งเมื่อเลือกซื้อผลิตภัณฑ์และบริการนิสสันจากเรา” ในช่วงที่สถานการณ์ของโรคโควิด-19 มาตรการเพื่อช่วยเหลือป้องกันการแพร่ระบาดและอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้านิสสัน ภายใต้โครงการ “Care for You”  พร้อมเดินหน้ายกระดับประสบการณ์ของลูกค้านับตั้งแต่เลือกซื้อรถ ขับรถยนต์ออกไปจากโชว์รูมจนถึงการนำรถยนต์กลับมารับบริการ ทั้งหมดจะต้องได้รับการดูแลและปรนนิบัติด้วยความใส่ใจอย่างสูงสุดตลอดช่วงเวลาที่เป็นเจ้าของรถยนต์นิสสัน ปัจจุบัน นิสสัน มีเครือข่ายโชว์รูมและศูนย์บริการ 178 แห่งครอบคลุมทั่วประเทศ โดยตั้งเป้าหมายการพัฒนาโชว์รูมทั้งหมดภายใต้แนวคิด NRC-NEXT ใหม่นี้ให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566  

 
Read More

BMW R 18 Transcontinental และ R 18 B ใหม่

บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ประเทศไทย เผยโฉมมอเตอร์ไซค์ครูสเซอร์รุ่นใหม่ล่าสุดที่พร้อมออกโลดแล่นบนท้องถนน กับการเปิดตัวบีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental และบีเอ็มดับเบิลยู R 18 B “Bagger” ที่ผสมผสานความหรูหราความมีสไตล์ และสมรรถนะเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว โดยมอเตอร์ไซค์ทั้งสองรุ่นมาพร้อมกับพลังเต็มเปี่ยมจากเครื่องยนต์”บิ๊กบ็อกเซอร์” ที่ใจกลางแชสซีสุดคลาสสิก ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากประวัติศาสตร์อันยาวนานของบีเอ็มดับเบิลยูมอเตอร์ราด มอเตอร์ไซค์ BMW R 18 Transcontinental ได้รับการออกแบบและวางโครงสร้างทางวิศวกรรมเพื่อรองรับการขับขี่ทางไกล เพียบพร้อมด้วยความสบาย ปราดเปรียว และลุคที่โดดเด่นที่จะยกระดับทุกการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางเพียงลำพัง หรือพร้อมผู้โดยสารซ้อนท้ายและกระเป๋าสัมภาระก็ตาม ส่วนบีเอ็มดับเบิลยู R 18 B ได้รับการออกแบบให้เป็นมอเตอร์ไซค์สำหรับผู้รักการขับขี่ มอบประสบการณ์ความพึงพอใจที่เหนือกว่าสำหรับแฟนมอเตอร์ไซค์พันธุ์แท้ เติมเต็มที่สุดแห่งการขับขี่บนท้องถนน มร.มิเกล ญาเบรส-โปห์ล ผู้อำนวยการ บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และผู้นำเข้าประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า “บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental และบีเอ็มดับเบิลยู R 18 B นับว่าเป็นดาวดวงใหม่ในในครอบครัวมอเตอร์ไซค์ทัวริ่งของเรา ด้วยการดีไซน์ที่สมบูรณ์แบบสำหรับการขับขี่อย่างเพลิดเพลินทั้งทางใกล้และทางไกล บีเอ็มดับเบิลยู R 18 ทั้งสองรุ่นใหม่นี้ จึงสะท้อนจิตวิญญาณเสรีของบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ได้เป็นอย่างดี ด้านการออกแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากระบบสรีรศาสตร์ ช่วยให้มอเตอร์ไซค์ทั้งสองรุ่นเหมาะแก่การขับขี่แบบครูสซิ่งและทัวริ่งอย่างสะดวกสบายได้ในทุกสภาพอากาศ  และเช่นเดียวกับมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู R 18 รุ่นก่อนหน้านี้ บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental และบีเอ็มดับเบิลยู R 18 B ยังคงมาพร้อมกับสมรรถนะที่โดดเด่น ด้วยขุมกำลังเครื่องยนต์บ็อกเซอร์ของบีเอ็มดับเบิลยูขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาส่งพลังสู่สองล้อ และด้วยทรวดทรงของตัวรถที่มาในมาดเข้มดุดัน ผมจึงมั่นใจว่ามอเตอร์ไซค์ทั้งสองรุ่นนี้จะสามารถสะกดทุกสายตาบนท้องถนนทั้งการขับขี่ในตัวเมืองและต่างจังหวัดได้อย่างแน่นอน”  บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental “First Edition” ใหม่: 
ราคาจำหน่าย 1,640,000 บาท บีเอ็มดับเบิลยู R 18 B “First Edition” ใหม่: ราคาจำหน่าย 1,500,000 บาท มอเตอร์ไซค์ BMW R 18 Transcontinental ใหม่ โดดเด่นด้วยความเป็นมอเตอร์ไซค์ทัวริ่งหรูหรา ขณะที่บีเอ็มดับเบิลยู R 18 B ใหม่ มาพร้อมความเป็นมอเตอร์ไซค์สไตล์แบกเกอร์เต็มตัวด้วยรูปลักษณ์ที่ดูทั้งเรียบง่ายและปราดเปรียว พร้อมด้วยกระเป๋าสัมภาระข้างรถที่เข้ากันได้เป็นอย่างดีกับฝาครอบไฟหน้ารถ และสำหรับรุ่น R 18Transcontinental จะมีกล่องสัมภาระท้ายรถ (top case) อีกด้วย  ส่วนประกอบเพื่อการใช้งานและดีไซน์ต่างๆ อาทิเช่นโครงสร้างเหล็กกล้าสองชั้น ถังน้ำมันทรงหยดน้ำขนาด 24 ลิตร เพลาแบบเปิดเปลือย พร้อมลูกเล่นการทำสีแบบลายเส้นคู่ล้วนสะท้อนถึงเอกลักษณ์เฉพาะตัวของมอเตอร์ไซค์แบบทัวริ่งและครูสเซอร์ยอดนิยม และด้วยระบบสวิงอาร์มคู่ขนาบข้างและคานรับน้ำหนักแบบยื่น โครงสร้างตัวรถอันแข็งแกร่งจากมอเตอร์ไซค์ระดับตำนานอย่างบีเอ็มดับเบิลยู R 5 จึงถูกถ่ายทอดสู่ยุคปัจจุบันได้อย่างดีเยี่ยม หัวใจหลักของมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental และ R 18 B ใหม่ คือเครื่องยนต์บ็อกเซอร์ 2 สูบที่เรียกว่า “บิ๊กบ็อกเซอร์” ซึ่งนับเป็นเครื่องยนต์แบบ 2 สูบวางเรียงที่มีสมรรถนะสูงสุดในรถมอเตอร์ไซค์ที่ผลิตออกจำหน่ายในตลาดทั่วไป ด้วยความจุ 1,802 ซีซี ส่งพละกำลังสูงสุด 67 กิโลวัตต์ (91 แรงม้า) ที่ 4,750 รอบต่อนาที ส่งแรงบิดมากกว่า150 นิวตันเมตรตลอดในช่วง 2,000 ถึง 4,000 รอบต่อนาที พร้อมพลังขับเคลื่อนและเสียงเครื่องยนต์กระหึ่มเร้าใจ ด้านแชสซีของบีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental และ R 18 B ใหม่ เป็นโครงสร้างเหล็กกล้าสองชั้น พร้อมแกนหลักชิ้นส่วนขึ้นรูปจากแผ่นเหล็ก ทั้งยังโดดเด่นด้วยมาตรฐานการผลิตคุณภาพสูงและความประณีตในรายละเอียดต่างๆเช่น การเชื่อมข้อต่อระหว่างโครงสร้างเหล็กและการขึ้นรูปชิ้นส่วนเหล็กหล่อต่างๆ  นอกจากนี้ สวิงอาร์มหลังยังยึดต่อกับเพลาหลังด้วยข้อต่อสลักเกลียวแบบดั้งเดิม ระบบช่วงล่างของบีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental และ R 18 B ใหม่ ใช้ช่วงล่างแบบเทเลสโคปิก และระบบสวิงอาร์มที่ติดตั้งโดยตรงบนคานรับน้ำหนักแบบยื่นที่สามารถปรับตั้งค่าความหนืดและการยุบตัวของสปริงได้ เพื่อให้ควบคุมล้อที่หล่อด้วยวัสดุอัลลอยน้ำหนักเบาชั้นเลิศได้อย่างแม่นยำ พร้อมมอบการขับขี่ที่นุ่มสบาย คานรับน้ำหนักด้านหลังสามารถปรับตั้งค่าความหนืดได้และมีระบบชดเชยโหลดอัตโนมัติเพื่อตอบสนองการขับขี่ที่เหนือระดับ  และเช่นเดียวกับรถรุ่นตำนานอย่างบีเอ็มดับเบิลยู R 5 แกนโช้คหน้าแบบเทเลสโคปิกของ R 18 ทั้งสองรุ่นก็มาพร้อมกับปลอกหุ้มโช้คนอกจากนี้ ทั้งสองรุ่นยังมาพร้อมกับระบบดิสก์เบรกคู่ที่ล้อหน้า และดิสก์เบรกเดี่ยวที่ล้อหลัง ทำงานร่วมกับคาลิเปอร์เบรกแบบตายตัว 4 ลูกสูบ และระบบเบรกเอบีเอสของบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental และ R 18 B ติดตั้งอุปกรณ์มาตรฐานอย่างครบครัน เช่น ระบบควบคุมการขับขี่แบบอิเล็กทรอนิกส์ DCC (Dynamic Cruise Control) และระบบควบคุมการขับขี่แบบ Active Cruise Control (ACC) ทั้งนี้ ระบบ DCC จะเป็นการควบคุมระดับความเร็วในการขับขี่อัตโนมัติที่ผู้ขับขี่สามารถตั้งค่าได้ด้วยตัวเอง ส่วนระบบACC จะช่วยให้สามารถขับขี่ได้อย่างสะดวกสบายด้วยระบบควบคุมระยะห่างจากคันหน้า โดยระบบตรวจจับด้วยเรดาร์ที่ติดตั้งบนฝาครอบไฟหน้ารถจะช่วยกำหนดให้มอเตอร์ไซค์เร่งความเร็วเพื่อปรับระดับความเร็วได้โดยอัตโนมัติ หรือเปิดใช้งานระบบเบรกมาตรฐานใหม่เพื่อลดความเร็ว  นอกจากนี้ ระบบ ACC ยังช่วยเสริมความปลอดภัยในการเข้าโค้ง และในยามจำเป็น ระบบควบคุมการเข้าโค้งจะชะลอความเร็ว เพื่อให้ผู้ขับขี่ใช้ความเร็วที่เหมาะสมกับมุมเอียงของถนนเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่และเข้าโค้งได้อย่างมั่นใจ มอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental ติดตั้งเบาะที่นั่งที่นุ่มสบายพร้อมระบบอุ่นเบาะที่นั่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เพื่อความสบายในการขับขี่ทางไกลแม้มีคนนั่งซ้อนท้าย  ส่วนเบาะที่นั่งในรุ่น R 18 B เป็นเบาะที่นั่งสำหรับสองคนที่มีขนาดเล็กลง บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental ใหม่ มาพร้อมบันไดข้างเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ส่วนรุ่น R 18 B ใหม่ มากับที่พักเท้าที่กว้างขึ้นและสะดวกสบายยิ่งขึ้นกว่า R 18 รุ่นก่อนหน้า ส่วนขับขี่ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษทั้งสองรุ่น มาพร้อมกับมาตรวัดแบบอนาล็อก หน้าปัดทรงกลม 4 ช่อง และจอสีแสดงผลแบบ TFT ขนาด 10.25 นิ้ว พิมพ์ตัวอักษร “BERLIN BUILT” เสริมความคลาสสิกให้บีเอ็มดับเบิลยู R 18Transcontinental และ R 18 B ใหม่ จอสีแสดงผลแบบ TFT ยังสามารถอ่านได้ง่าย และสามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่าน BMW Connected App เสริมความสะดวกในการใช้งานและแสดงข้อมูลการขับขี่อย่างเต็มที่ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแต่ละราย มอเตอร์ไซค์ทั้งสองรุ่นยังมาพร้อมกับโหมดการขับขี่มาตรฐาน 3 โหมด ได้แก่ “Rain”, “Roll” และ “Rock”  อุปกรณ์มาตรฐานอื่นๆ ได้แก่ ระบบไฟหน้าปรับตามทิศทางการขับขี่ ระบบควบคุมการทรงตัวแบบอัตโนมัติ (ASC) และระบบป้องกันการลื่นไถลของล้อหลัง (MSR) เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ส่วนระบบเกียร์ถอยหลังจะช่วยให้การกลับรถเป็นเรื่องง่าย ทั้งยังมีระบบช่วยออกตัวในทางลาดชัน (Hill Start Control) ที่จะช่วยให้การออกตัวขึ้นเขาเป็นไปได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้มอเตอร์ไซค์ทั้งสองรุ่นยังมาพร้อมกับระบบป้องกันการโจรกรรมและระบบเซ็นทรัลล็อคมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental และ R 18 B ใหม่ มาพร้อมกับประสบการณ์เครื่องเสียงคุณภาพ โดยพัฒนาร่วมกับผู้ผลิตเครื่องเสียงสัญชาติอังกฤษอย่าง Marshall และลำโพงแบบ two-way (แยกซับวูฟเฟอร์) ที่ติดตั้งบนหน้าปัดของฝาครอบไฟหน้ารถ พร้อมด้วยหน้ากากลำโพงสีดำที่แต่งด้วยตัวอักษร Marshall สีขาว เสริมลุคคลาสสิกให้กับมอเตอร์ไซค์  โดยบีเอ็มดับเบิลยู R 18 B มาพร้อมกับระบบเครื่องเสียง Marshall Gold Series Stage 1 ซึ่งประกอบด้วยลำโพง 2 ตัว และซับวูฟเฟอร์ 2 ตัว ในขณะที่บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental ติดตั้งระบบเครื่องเสียง Marshall Gold Series Stage 2 มาพร้อมลำโพง 4 ตัว และซับวูฟเฟอร์ 2 ตัว ด้วยกำลัง 280 วัตต์ ในการเปิดตัวครั้งนี้ มอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental และ R 18 B ใหม่จะวางจำหน่ายแบบเอ็กซ์คลูซีฟ ในรุ่น “First Edition” ที่ผสมผสานลุคมาตรฐานของบีเอ็มดับเบิลยู R 18 เข้ากับเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วยการเลือกใช้สีดำคลาสสิกตัดกับลายเส้นคู่สีขาว โดดเด่นด้วยพื้นผิวที่ออกแบบเป็นพิเศษ (สีโครเมียม) เบาะที่นั่งปักลวดลายด้วยวัสดุคุณภาพสูง พร้อมอักษร “First Edition” นอกจากนี้ ลูกค้าที่ซื้อมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental “First Edition” หรือ บีเอ็มดับเบิลยู R 18 B “First Edition” ยังจะได้รับ Welcome Box สุดพิเศษ ที่มาพร้อมกับไอเท็มสุดเอ็กซ์คลูซีฟ เพื่อต้อนรับการมาถึงของมอเตอร์ไซค์ทั้งสองรุ่นสู่ประเทศไทยอีกด้วย สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental และ R 18 B ใหม่ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.bmw-motorrad.co.th หรือติดต่อผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการของบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ทั่วประเทศ     

 
Read More

ยามาฮ่า จัดหนัก

ยามาฮ่า แจกโชคใหญ่ผ่านแคมเปญ “ยามาฮ่า ใจดี…ช่วยผ่อน” ซีซั่น 2 มอบโชคครั้งที่ 1 มูลค่า 8.6 ล้านบาท คุณภาณุพล กิตติคำรณ รองผู้จัดการใหญ่ด้านการขายและการตลาด บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ร่วมจับรางวัลมอบโชคใหญ่ผ่านแคมเปญ “ยามาฮ่า ใจดี…ช่วยผ่อน” ซีซั่น 2 สำหรับผู้ที่ซื้อรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าทุกรุ่น(เครื่องยนต์ต่ำกว่า 400 ซีซี) จากร้านผู้จำหน่ายรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าทุกสาขาทั่วประเทศ รับโชคช่วยผ่อนสูงสุด 50,000 บาท จำนวน 40 รางวัล รวมมูลค่า 2,000,000 บาท พร้อมทั้งรางวัลอื่นๆ อีก 2,380 รางวัล รวมมูลค่า 8,600,000 บาท แคมเปญ “ยามาฮ่า ใจดี…ช่วยผ่อน” ซีซั่น 2 จะจับรางวัลครั้งต่อไปในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2564 เวลา 14.00 น. ร่วมลุ้นเป็นผู้โชคดีผ่านแคมเปญนี้ได้ง่ายๆ เพียงซื้อรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าทุกรุ่น (เครื่องยนต์ต่ำกว่า 400 ซีซี) จากร้านผู้จำหน่ายรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าทุกสาขาทั่วประเทศ โดยของรางวัลตลอดทั้งรายการรวม 5,000 รางวัล มูลค่า 20 ล้านบาท สำหรับการมอบโชคผ่านแคมเปญ “ยามาฮ่า ใจดี…ช่วยผ่อน” ซีซั่น 2 ครั้งที่ 1 จำนวน 2,380 รางวัล รวมมูลค่า8,600,000 บาท ในครั้งนี้มีขึ้น ณ อาคารสำนักงาน บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด  ร่วมตรวจรายชื่อผู้โชคดีได้ที่ https://www.yamaha-motor.co.th ลูกค้าที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแคมเปญ “ยามาฮ่าใจดี ช่วยผ่อน ซีซั่น 2” ได้ที่ ร้านผู้จำหน่ายรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าทั่วประเทศ , Yamaha Call Center : 02-263-9999 และสามารถติดตามข่าวสารกิจกรรมได้ที่ Facebook : Yamaha Society Thailand และเว็บไซต์www.yamaha-motor.co.th  

 
Read More

บริดจสโตน ใช้แสงอาทิตย์ผลิตยาง

บริษัท บริดจสโตน ไทร์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ได้เริ่มดำเนินการใช้ระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ตามแผนดำเนินการในเฟสที่ 1 เพื่อสนับสนุนกระบวนการผลิตภายในโรงงานผลิตยางสำหรับรถบรรทุกและรถโดยสาร จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นครั้งแรกของการใช้ระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของบริดจสโตนในประเทศไทย ระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดกำลังผลิต 1 เมกะวัตต์ ที่ใช้ในเฟสที่ 1 ประกอบด้วยแผงโซลาร์เซลล์ทั้งหมด 2,160 แผง ซึ่งถูกติดตั้งบนหลังคาของโรงงาน สำหรับในเฟสที่ 2 บริษัทจะดำเนินการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดกำลังผลิต 4 เมกะวัตต์เพิ่มเติม พร้อมการใช้พลังงานหมุนเวียนให้มีสัดส่วน 40% ของพลังงานไฟฟ้าในการผลิตทั้งหมด โดยจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี 2566 ทั้งนี้ บริดจสโตน ไทร์ แมนูแฟคเจอริ่ง คาดว่าจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 30,000 ตันต่อปี *1 (ลดลงประมาณ 50% จากระดับในปี 2554) และยังช่วยเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนได้ถึง 45% *2 ภายในปี 2566         

 มร.โชสุเกะ นามิยามา กรรมการผู้จัดการ บริษัท บริดจสโตน ไทร์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “นอกเหนือจากการหาโซลูชั่นเพื่อนำมาปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการใช้พลังงานแล้วบริดจสโตนยังมุ่งมั่นส่งเสริมความยั่งยืนและความเสมอภาคให้มีมากยิ่งขึ้นในสังคม การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์นี้เป็นอีกก้าวสำคัญในการมุ่งสู่เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมในระยะยาวของบริดจสโตน (ภายในปี 2593 และปีต่อๆ ไป) เพื่อขับเคลื่อนความเป็นกลางทางคาร์บอน”                   กลุ่มบริษัทในเครือบริดจสโตนเดินหน้าด้วยกรอบแนวคิดการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนตามแผนการดำเนินธุรกิจระยะกลาง (ปี 2564 – 2566) *3 ยกระดับวิสัยทัศน์เพื่อส่งมอบคุณค่าให้แก่สังคมและลูกค้า ในฐานะองค์กรผู้ส่งมอบโซลูชั่นอย่างยั่งยืนก้าวสู่ปี 2593 ซึ่งกรอบแนวคิดการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน *4 ได้กำหนดขึ้นเพื่อสนับสนุนการหมุนเวียนทรัพยากร, การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์, การใช้เศรษฐกิจหมุนเวียน และความเป็นการทางคาร์บอนในการดำเนินธุรกิจ นอกจากนี้ เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมระยะยาวของกลุ่มบริษัทในเครือบริดจสโตน คือการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593 ในขณะที่เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมระยะกลางภายในปี2573* 5 กำหนดเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 50% ภายในปี 2573 จากระดับในปี2554       
 ตามเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมระยะกลาง บริดจสโตนยังวางแผนดำเนินการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่บริษัท ไทยบริดจสโตน จำกัด และอีกสองบริษัทในเครือ คือ บริษัท บริดจสโตน สเปเชียลตี้ ไทร์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท บริดจสโตน เมตัลฟา(ประเทศไทย) จำกัด ภายในปี 2566 และเมื่อเร็วๆ นี้ ไทยบริดจสโตนได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์กับบริษัท อิมแพคท์ โซล่าร์ กรุ๊ป ผู้ให้บริการรายแรกและผู้นำในการให้บริการด้านโซลูชั่นระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ในการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดกำลังผลิตขนาดใหญ่ถึง 9.9 เมกะวัตต์ ที่โรงงานหนองแค และเมื่อดำเนินการแล้วเสร็จ ไทยบริดจสโตนจะเป็นบริษัทที่ใช้ระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ด้วยกำลังผลิตขนาดใหญ่ที่สุดของกลุ่มบริษัทในเครือบริดจสโตนทั่วโลก  

 
Read More

มิตซูบิชิ รับใบประกาศเกียรติคุณ

บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด นำโดย มร. โมะริคาซุ ชกกิ ประธานคณะกรรมการ บริษัท มิตซูบิชิมอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และ ประธาน มูลนิธิ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย พร้อมด้วย มร. เออิอิชิ โคอิโตะกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด รับใบประกาศเกียรติคุณ ผู้ช่วยเหลือราชการกรมป่าไม้ สาขาส่งเสริมและพัฒนาป่าชุมชน ประจำปี พ.ศ. 2564 จากกรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเนื่องในงานวันสถาปนากรมป่าไม้ ครบรอบ 125 ปี “รัฐมีป่า ประชามีสุข ยุควิถีใหม่” โดยรางวัลดังกล่าวมอบให้เพื่อเชิดชูเกียรติของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย และมูลนิธิฯ  ที่สนับสนุนการสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนในการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ สร้างความรู้ความเข้าใจในด้านการจัดการทรัพยากรป่าไม้และสิ่งแวดล้อมในชุมชน ตลอดจนพัฒนาพื้นที่สาธารณะประโยชน์ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ด้านป่าไม้และนันทนาการ  ซึ่งบริษัทฯ และมูลนิธิฯ ได้ผ่านหลักเกณฑ์การคัดเลือกจากประกาศและความเห็นชอบของคณะกรรมการการคัดเลือก    นำโดย นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มร.โมะริคาซุ ชกกิ ประธานคณะกรรมการ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และ ประธานมูลนิธิ            มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย กล่าวว่า “เรารู้สึกภาคภูมิใจและเป็นเกียรติที่ได้เป็นส่วนสำคัญของสังคมในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของประเทศ โดยเราได้จัดตั้ง “มูลนิธิ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย” ขึ้น เพื่อเป็นส่วนหนึ่งใน
พันธสัญญาระยะยาวที่เราจะขับเคลื่อนสังคมไทยให้เติบโตไปข้างหน้า ซึ่งความทุ่มเทของเราต่อการใส่ใจสิ่งแวดล้อมนั้นสอดคล้องกับหนึ่งใน 3 แกนหลักสำคัญของมูลนิธิ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ได้แก่ 1) ด้านสิ่งแวดล้อม 
2) ด้านสุขภาพและชีวอนามัย และ 3) ด้านการศึกษาและจริยธรรม ซึ่งรางวัลที่เราได้รับในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของเราที่จะขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทยเพื่อความเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน และในโอกาสพิเศษครบรอบ 60 ปี ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ในประเทศไทย เราได้จัดโครงการ “ปลูกป่า 60 ไร่” โดยผนึกพลังความร่วมมือระหว่าง 4 หน่วยงาน ได้แก่ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย มูลนิธิ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย กรมป่าไม้ และองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. เติมความสมบูรณ์สู่ป่าที่ชุมชนบ้านอ่างกระพงศ์ อำเภอบ่อทองจังหวัดชลบุรี จำนวน 20 ไร่ และ อีก 40 ไร่ ที่ชุมชนบ้านนางาม อำเภอวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว รวมถึงสร้างการมีส่วนร่วมและสำนึกรักผืนป่าให้แก่ชาวบ้านในชุมชนจากรุ่นสู่รุ่น ได้ช่วยกันปลูกและดูแลรักษาผืนป่าให้คงความอุดมสมบูรณ์ โดยจุดประสงค์ของการปลูกป่าในครั้งนี้ เกิดจากพันธกิจของเราที่มุ่งมั่นจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศ และต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจะส่งผลดีต่อ    ทั่วทั้งภูมิภาค ในด้านการรักษาสมดุลของธรรมชาติรวมถึงรักษาแหล่งกักเก็บน้ำได้อย่างสมบูรณ์” มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ยังคงเดินหน้าสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดอย่างเต็มที่ โดยโครงการปลูกป่าดังกล่าวถือเป็นหนึ่งในโครงการความริเริ่มของบริษัทฯ ที่จะช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ในอากาศ ควบคู่ไปกับการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาของศูนย์การผลิตรถยนต์มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ที่แหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี รวมถึงเปิดตัวรถยนต์ มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดสัญชาติญี่ปุ่นรุ่นแรกที่ผลิตขึ้นในประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2563 ซึ่งจากการศึกษาการประเมินการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ตามวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment – LCA) ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น พบว่า ตราบจนปัจจุบัน รถยนต์ประเภทปลั๊กอินไฮบริดเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ดีที่สุดเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เมื่อพิจารณาปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ไม่เฉพาะจากปลายท่อไอเสียรถยนต์ แต่หมายรวมถึงทั้งกระบวนการการผลิตทั้งหมด ทั้งจากการผลิตกระแสไฟฟ้า และจากกระบวนการการผลิตรถยนต์อีกด้วย  

 
Read More

เอ็มจี ย้ำภาพผู้นำ

บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย ย้ำภาพผู้นำตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้า เผยความนิยมรถยนต์พลังงานไฟฟ้าขยายตัวมากขึ้น หลังเอ็มจีแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่เข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง และเดินหน้าปูพรมสร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า (EV Ecosystem) ด้วยการเพิ่มจำนวนสถานีอัดประจุไฟฟ้าให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อสร้างความมั่นใจในการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าอันเป็นการสร้างพื้นฐานความแข็งแกร่ง เตรียมความพร้อมให้กับประเทศไทยสู่สังคมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างสมบูรณ์แบบในอนาคตอันใกล้ โชว์ความเป็นตัวจริงด้านอีวี หลัง MG EP รถสเตชั่นแวกอนพลังงานไฟฟ้า 100% กระแสตอบรับดีในกลุ่มลูกค้าทั่วไป อีกทั้งยังพารถยนต์พลังงานไฟฟ้าสู่ความนิยมและการยอมรับในกลุ่มลูกค้าองค์กร ล่าสุดส่งมอบล็อตใหญ่กว่า100 คัน ให้กับบริษัทชั้นนำในหลากหลายอุตสาหกรรม สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในการเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าคุณภาพ ที่ไม่ได้มีดี แค่ดีไซน์แต่ออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานได้จริงในทุกรูปแบบ พร้อมอรรถประโยชน์ที่สามารถตอบโจทย์ได้อย่างครบครัน คุณพงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “MG EPเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นที่สองที่เรานำเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ในการทำให้ตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้ามีสีสันมากยิ่งขึ้นและสร้างตัวเลือกให้กับผู้ที่สนใจในรถยนต์พลังงานทางเลือก อีกทั้งยังสะท้อน ให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของเอ็มจีในฐานะแบรนด์รถยนต์ผู้บุกเบิกและเอาจริงเอาจังกับการทำตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าให้เกิดขึ้นในประเทศไทย จุดประกายให้คนไทยเปิดใจในการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าและค่อยๆ ปรับเปลี่ยน พฤติกรรมการใช้รถให้สอดคล้องกับเทรนด์โลก หลังจากเปิดตัวในช่วงปลายปีที่ผ่านมา เราได้เดินหน้าทำตลาด โดยเจาะทั้งกลุ่มลูกค้าทั่วไปที่นำรถไปใช้ในชีวิตประจำวัน ควบคู่ไปกับการเจาะตลาดในกลุ่มลูกค้าองค์กรที่มองหารถยนต์พลังงานทางเลือกที่ตอบโจทย์การใช้งานตามลักษณะของกิจการนั้นๆ”  ล่าสุด เอ็มจี ได้บรรลุเป้าหมายอีกขั้น ในการเพิ่มสัดส่วนยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศให้ขยายตัวสูงขึ้น อันจะเป็นหนึ่งแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้สังคมไทยเกิดการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้ยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มตัว ด้วยการส่งมอบ รถ MG EP รวมกว่า 100 คัน ให้กับบริษัทชั้นนำในหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็น บริษัท ทีโอเอ เพอฟอร์มมานซ์ โค๊ทติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสีอุตสาหกรรม สีพ่นซ่อมรถยนต์ บริษัท โซล่า เอ็กซ์เพรส เทรดดิ้ง จำกัด ผู้ให้บริการออกแบบ จำหน่าย และติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ รวมไปถึงธุรกิจรถเช่าในพื้นที่เมืองเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวทั้งในภูเก็ต และหาดใหญ่ การที่รถ MG EP ได้รับความเชื่อมั่นและไว้วางใจจากลูกค้ากลุ่มลูกค้าองค์กรที่เลือกใช้รถในการประกอบธุรกิจเนื่องมาจากจุดเด่นของรถรุ่นนี้ ที่สร้างสรรค์ขึ้นภายใต้แนวคิด “EVeryone ตอบโจทย์ทุกฟังก์ชัน รถยนต์พลังงานไฟฟ้าของทุกคน” ถือเป็นมาตรฐานขั้นต้นของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่จะเข้ามาในประเทศไทยที่ไม่ใช่มีดีแค่ดีไซน์  แต่จะต้องตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลายได้อย่างแท้จริง ด้วยองค์ประกอบพื้นฐานของการเป็นรถยนต์ พลังงานไฟฟ้า ได้แก่ ขนาดของห้องโดยสารและพื้นที่ใช้สอย ที่กว้างขวางรองรับการบรรทุกทั้งคนและสิ่งของ สมรรถนะของ EV ที่ตอบสนองได้อย่างทันใจไม่ต้องรอรอบ ระบบความปลอดภัย ที่ให้มาอย่างครบครัน เสริมความมั่นใจให้กับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร รวมถึงความคุ้มค่าในการเป็นเจ้าของ ด้วยค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน และค่าบำรุงรักษาที่ต่ำช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ในระยะยาว  

 
Read More

ตลาดรถยนต์กันยายนชะลอตัว

ยอดขายรวมของตลาดรถยนต์ในเดือนที่ผ่านมา 64,122 คัน เท่ากับลดลง 17.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ทั้งๆ ที่ในช่วงเดือนกันยายนของปีนี้ ประเทศไทยมีการ​ฉีดวัคซีนเพิ่มมากขึ้นกว่าปีที่แล้วเสียอีก คุณสุรศักดิ์ สุทองวัน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด รายงานสถิติการขายรถยนต์ประจำเดือนกันยายน 2564 ชะลอตัวต่อเนื่องในทุกเซ็กเมนท์ โดยมียอดขายรวมทั้งสิ้น 64,122 คัน ลดลง17.7%ประกอบด้วย รถยนต์นั่ง 25,255 คัน ลดลง 13.5% รถยนต์เพื่อการพาณิชย์ 38,867 คัน ลดลง 20.2% ขณะที่ รถกระบะขนาด 1 ตัน ในเซกเมนท์นี้ มีจำนวน 30,164 คัน ลดลง 21% ประเด็นสำคัญ ตลาดรถยนต์เดือนกันยายน 2564 มีปริมาณการขาย 64,122 คัน ลดลง 17.7% โดยตลาดรถยนต์นั่งมีอัตราการเติบโตลดลง 13.5% ตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์มีอัตราการเติบโตลดลง 20.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา สืบเนื่องจากความวิตกกังวลต่อภาวะการระบาดของไวรัส COVID-19 ที่ยังคงเกิดขึ้นทั่วประเทศยังคงส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน การทำธุรกิจ และภาวะเศรษฐกิจของประเทศในอนาคตโดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยว และบริการต่างๆ ที่สำคัญสถานการณ์น้ำท่วมได้ลุกลามหลายจังหวัดในเขตพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง สร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินของประชาชน รวมทั้งผลผลิตทางการเกษตร ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจฐานราก และความสามารถในการซื้อของลูกค้าเป็นจำนวนมาก ตลาดรถยนต์ในเดือนตุลาคมมีแนวโน้มดีขึ้นเนื่องจากศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด–19 (ศบค.) ผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด–19 ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด เพื่อให้ธุรกิจและประชาชนสามารถดำเนินชีวิต และประกอบธุรกิจได้สะดวกยิ่งขึ้น รวมถึงการผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์เพื่อควบคุมโรคโดยอนุญาตให้สถานประกอบการบางแห่งเปิดบริการ หรือสามารถดำเนินกิจกรรมต่างๆ เพิ่มขึ้น ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด ตลอดจนการฉีดวัคซีนให้กับคนไทยเริ่มทั่วถึงมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดียังมีความหวังว่าสถานการณ์ต่างๆ จะฟื้นตัวดีขึ้นจากความพยายามอย่างเต็มที่ของภาครัฐ ในการส่งเสริมมาตรการทางเศรษฐกิจ และการสนับสนุนกำลังซื้อของผู้บริโภค ตลอดจนการเริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยวในโครงการนำร่องอย่าง Phuket sandbox Samui plus และ Pattaya move on จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างกำลังซื้อของผู้บริโภคให้ฟื้นคืนกลับมา รวมทั้งสถานการณ์น้ำท่วมที่คลี่คลายในหลายพื้นที่ และการเดินหน้าเข้าสู่ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่เป็น Hi-season จะช่วยให้สถานการณ์ตลาดรถยนต์ดีขึ้นไปจนถึงสิ้นปี ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ เดือนกันยายน 2564 1.ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 64,122 คัน ลดลง 17.7% อันดับที่ 1 โตโยต้า     19,971 คัน   ลดลง        15.9%               ส่วนแบ่งตลาด 31.1% อันดับที่ 2 อีซูซุ         13,649 คัน   ลดลง        11.6%               ส่วนแบ่งตลาด 21.3% อันดับที่ 3 ฮอนด้า      6,311 คัน    ลดลง        30.5%             ส่วนแบ่งตลาด   9.8% 2.ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 25,255 คัน ลดลง 13.5% อันดับที่ 1 ฮอนด้า       5,849 คัน    ลดลง        23.0%               ส่วนแบ่งตลาด 23.2% อันดับที่ 2 โตโยต้า     5,237 คัน    ลดลง         3.6%                ส่วนแบ่งตลาด 20.7% อันดับที่ 3 มาสด้า      1,921 คัน    ลดลง         6.2%                ส่วนแบ่งตลาด  7.6% 3.ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 38,867 คัน ลดลง 20.2% อันดับที่ 1 โตโยต้า     14,734 คัน   ลดลง       19.6%               ส่วนแบ่งตลาด 37.9% อันดับที่ 2 อีซูซุ         13,649 คัน   ลดลง       11.6%               ส่วนแบ่งตลาด 35.1% อันดับที่ 3 ฟอร์ด       2,101 คัน    ลดลง       26.2%               ส่วนแบ่งตลาด  5.4% 4.ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน  (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV*) ปริมาณการขาย 30,164 คัน ลดลง 21% อันดับที่ 1 โตโยต้า     12,504 คัน  ลดลง     18.4%                ส่วนแบ่งตลาด 41.5% อันดับที่ 2 อีซูซุ         12,254 คัน   ลดลง     13.4%                ส่วนแบ่งตลาด 40.6% อันดับที่ 3 ฟอร์ด       2,101 คัน    ลดลง     26.2%                ส่วนแบ่งตลาด  7.0% ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง (ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน) 3,037 คัน โตโยต้า 1,461 คัน – อีซูซุ 804 คัน – ฟอร์ด 329 คัน – มิตซูบิชิ 328 คัน – นิสสัน 115 คัน 5.ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 27,127 คัน ลดลง 20.9% อันดับที่ 1 อีซูซุ         11,450 คัน  ลดลง       17.5%               ส่วนแบ่งตลาด 42.2% อันดับที่ 2 โตโยต้า     11,043 คัน  ลดลง       16.2%               ส่วนแบ่งตลาด 40.7% อันดับที่ 3 ฟอร์ด       1,772 คัน    ลดลง       24.0%               ส่วนแบ่งตลาด  6.5%                สถิติการจำหน่ายรถยนต์ เดือนมกราคม – กันยายน 2564 1.ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 531,931 คัน ลดลง 0.5%                             อันดับที่ 1 โตโยต้า     166,560 คัน เพิ่มขึ้น        6.0%             ส่วนแบ่งตลาด 31.3% อันดับที่ 2 อีซูซุ         131,529 คัน เพิ่มขึ้น        6.5%               ส่วนแบ่งตลาด  24.7% อันดับที่ 3 ฮอนด้า      61,329 คัน  ลดลง          5.7%             ส่วนแบ่งตลาด 11.5% 2.ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 176,140 คัน ลดลง 6.7%                                  อันดับที่ 1 ฮอนด้า      53,406 คัน  ลดลง       1.9%                 ส่วนแบ่งตลาด 30.3% อันดับที่ 2 โตโยต้า     43,101 คัน  ลดลง        5.6%                ส่วนแบ่งตลาด 24.5% อันดับที่ 3 มาสด้า      15,156 คัน  ลดลง        9.1%                ส่วนแบ่งตลาด  8.6% 3.ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 355,791 คัน เพิ่มขึ้น 2.8%                             อันดับที่ 1 อีซูซุ         131,529 คัน เพิ่มขึ้น       6.5%               ส่วนแบ่งตลาด 37.0% อันดับที่ 2 โตโยต้า     123,459 คัน เพิ่มขึ้น     10.8%              ส่วนแบ่งตลาด 34.7% อันดับที่ 3 ฟอร์ด       22,530 คัน  เพิ่มขึ้น     16.7%              ส่วนแบ่งตลาด  6.3% 4.ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน  (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV)ปริมาณการขาย 276,789 คัน เพิ่มขึ้น0.9%                             อันดับที่ 1 อีซูซุ         119,314 คัน เพิ่มขึ้น        4.4%              ส่วนแบ่งตลาด 43.1% อันดับที่ 2 โตโยต้า     104,962 คัน เพิ่มขึ้น        9.8%     ส่วนแบ่งตลาด 37.9% อันดับที่ 3 ฟอร์ด        22,530 คัน  เพิ่มขึ้น      16.7%     ส่วนแบ่งตลาด  8.1% ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง (ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน) 36,160 คัน    โตโยต้า 15,986 คัน – อีซูซุ 11,826 คัน – มิตซูบิชิ 4,532 คัน – ฟอร์ด 3,344 คัน – นิสสัน 472 คัน…

 
Read More
Visit Us On FacebookVisit Us On TwitterVisit Us On YoutubeCheck Our Feed