German Auto Pop Up Showroom แห่งแรก

เยอรมัน ออโต้ ผู้จำหน่ายรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู มินิ และมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด อย่างเป็นทางการเปิดตัว German Auto Pop Up Showroom โชว์รูมครบวงจรแบบชั่วคราวเป็นครั้งแรก ณ ศูนย์การค้าเมกาบางนา พร้อมเสนอประสบการณ์รูปแบบใหม่ในการเลือกซื้อยนตรกรรมหรูรุ่นล่าสุด และการบริการหลังการขายที่ลูกค้าให้ความไว้วางใจได้อย่างสะดวกสบายยิ่งกว่า เปิดให้บริการแล้วตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 4 มกราคม 2565 ที่บริเวณทางเข้าอิเกีย ชั้น 1ศูนย์การค้าเมกาบางนา มร.ราล์ฟ บิสซินเกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เยอรมัน ออโต้ จำกัด กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลา 14 ปีที่ผ่านมาเยอรมัน ออโต้ ได้พัฒนาการให้บริการเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ด้วยการนำเสนอยนตรกรรมหรูหลากหลายรุ่นจากแบรนด์บีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด พร้อมบริการหลังการขายที่
ครบวงจรจากทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่เปี่ยมประสบการณ์กว่าหลายสิบปี ทั้งยังได้ขยายสาขาครอบคลุมพื้นที่ย่านบางนาและแจ้งวัฒนะ ไปจนถึงสาขาพัทยา และในครั้งนี้นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของ เยอรมัน ออโต้ ที่พร้อมเสนอโชว์รูมรูปแบบใหม่เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ได้มากยิ่งขึ้น” คุณปิยวิทย์ เขมะรังสรรค์ ประธานกรรมการ บริษัท เยอรมัน ออโต้ จำกัด กล่าวว่า “เยอรมัน ออโต้ พร้อมแล้วที่จะให้บริการเลือกซื้อยนตรกรรมแบบครบวงจรผ่าน Pop Up Showroom ที่จะทำให้การเลือกซื้อยนตรกรรมหรูสะดวกสบายยิ่งกว่าเคย และเพื่อเตรียมรองรับกลุ่มลูกค้าเดิมในพื้นที่ เนื่องจากการปรับโฉมโชว์รูมเยอรมัน ออโต้ สาขาบางนา ครั้งใหญ่ในรอบสิบปีที่จะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ เพื่อพัฒนาการให้บริการให้มีความทันสมัยยิ่งกว่าเดิม” German Auto Pop Up Showroom เปิดให้บริการแล้ววันนี้ ที่บริเวณทางเข้าอิเกีย ชั้น 1 ศูนย์การค้าเมกาบางนา นำเสนอบริการเลือกซื้อยนตรกรรมแบบครบวงจร จัดแสดงรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู 5 คัน รถยนต์มินิ 2 คัน และมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด อีก 1 คัน พร้อมยกขบวนรถยนต์ทั้งบีเอ็มดับเบิลยูและมินิหลากหลายรุ่นมาให้ลูกค้าทดลองขับถึงเมกาบางนา เติมเต็มประสบการณ์แบบ Pop Up Showroom ได้อย่างครบถ้วน ทั้งยังอุ่นใจได้กับมาตรการรักษาความสะอาด ด้วยการเช็ดทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรครถยนต์ทั้งก่อนและหลังลูกค้าใช้บริการ ทั้งที่จัดแสดงและทดลองขับ เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของลูกค้า นอกจากนี้ลูกค้าที่เป็นเจ้าของรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูและมินิ ยังจะได้รับสิทธิพิเศษ กับBMW & MINI Privilege Parking บริเวณชั้น 1 อาคารจอดรถอิเกีย ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกและประหยัดเวลาในการจอดรถสำหรับลูกค้าอีกด้วย สัมผัสความหรูหราของยนตรกรรมเหนือระดับที่ German Auto Pop Up Showroom ได้แล้ววันนี้ถึงวันที่ 4 มกราคม2565 ณ ชั้น 1 บริเวณทางเข้าอิเกีย ศูนย์การค้าเมกาบางนา หรือติดต่อรับบริการจากโชว์รูมเยอรมัน ออโต้ ทั้ง 3 สาขาได้แก่ สาขาบางนา โทร 02-396-1199, สาขาแจ้งวัฒนะ โทร 02-119-0999, และสาขาพัทยา โทร 038-235-600  

 
Read More

FORD เผย 5 เคล็ดลับ

การขับออฟโรดบนเส้นทางออฟโรดสุดโหดต้องใช้ทั้งความรู้ ทักษะ และความมั่นใจในการเดินทาง นักขับบางคนจึงอาจรู้สึกไม่มั่นใจว่าตนเองพร้อมสำหรับการขับรถออกนอกเส้นทางอันสะดวกสบายและทางเรียบที่คุ้นเคย แม้จะมีรถที่ขับเคลื่อน 4 ล้ออยู่ในครอบครองแล้วก็ตาม   อนึ่ง กุญแจสำคัญในการปลดล็อกประสบการณ์การขับขี่ออฟโรด พร้อมตะลุยในสภาพแวดล้อม​สมบุกสมบันอย่างปลอดภัยคือการเตรียมตัวและความเข้าใจในยานพาหนะและศักยภาพของยานพาหนะอย่างถ่องแท้ โดยรถกระบะอย่างเช่น ฟอร์ด เรนเจอร์ ได้รับการออกแบบมาโดยคำนึงถึงการใช้งานบนเส้นทางออฟโรดเป็นสำคัญ ด้วยความสูงจากพื้นถนนและมุมเงย มุมจาก ที่ออกแบบมาให้เอื้ออำนวยต่อการตะลุยผ่านสิ่งกีดขวาง รวมถึงระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออันทรงพลังพร้อมตอบโจทย์การใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ในทุกด้าน ด้วยคุณสมบัติข้างต้นประกอบกับสมรรถนะที่จะช่วยให้คุณบรรทุก ลากจูง หรือขับรถออกผจญภัยบนเส้นทางสุดโหด จึงทำให้ฟอร์ด เรนเจอร์ กลายเป็นเพื่อนคู่ใจของคอออฟโรดให้บุกตะลุยไปทุกที่ได้อย่างสนุกสนานและมั่นใจ คุณนิดา ชัชวรัตน์ ผู้จัดการแบรนด์รถกระบะ ฟอร์ด ประเทศไทย กล่าวว่า “การขับรถบนเส้นทางออฟโรดเป็นการเปิดประสบการณ์ให้เราได้ค้นพบสิ่งเราไม่เคยรู้มาก่อน เมื่อมีรถกระบะอย่างฟอร์ด เรนเจอร์ ที่พร้อมตะลุยไปกับเราได้ในทุกเส้นทางแล้ว เราก็พร้อมเดินทางสร้างประสบการณ์ใหม่ๆได้อย่างสะดวกสบายและมั่นใจมากขึ้น” สำหรับผู้ที่เพิ่งเป็นเจ้าของรถขับเคลื่อน 4 ล้อ การทำความเข้าใจว่าเมื่อไหร่ควรใช้อัตราทดความเร็วสูงหรือต่ำ หรือการทำความรู้จักระบบล็อกเฟืองท้ายว่ามีวิธีการใช้งานอย่างไรนั้น อาจไม่ใช่เรื่องง่าย ฟอร์ดจึงขอแบ่งปันเคล็ด (ไม่) ลับง่าย ๆ 5 ข้อที่จะช่วยให้คุณดึงศักยภาพของฟอร์ด เรนเจอร์ ออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่ในการขับขี่แบบออฟโรด 1.ทำความเข้าใจการใช้อัตราทดความเร็วสูงและต่ำ (High and Low Range) ฟอร์ด เรนเจอร์ มีระบบส่งกำลัง 2 ชุดด้วยกัน ทำให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกใช้ระบบขับเคลื่อนสองล้ออัตราทดความเร็วสูง (2H) ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัตราทดความเร็วสูง (4H) หรือระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัตราทดความเร็วต่ำ  (4L) ให้เหมาะสมกับสภาพเส้นทาง เมื่ออยู่ในระบบ 2H รถจะขับเคลื่อนด้วยล้อหลังเท่านั้น ซึ่งถือเป็นโหมดการขับเคลื่อนปกติบนพื้นผิวเรียบ แต่เมื่อขับบนเส้นทางลูกรัง หรือบนพื้นผิวถนนที่ลื่น เช่นหลังฝนตก การเลือกระบบขับเคลื่อนแบบสี่ล้อจะช่วยให้รถยึดเกาะถนนได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ ฟอร์ดเรนเจอร์ ยังมาพร้อมระบบ Shift on the fly ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนจากแบบสองล้อ (2H) เป็น 4H ได้โดยไม่ต้องหยุดรถ อย่างไรก็ดี เมื่อผู้ขับขี่ต้องเดินทางผ่านเส้นทางที่ท้าทายมากขึ้น การเปลี่ยนมาใช้ระบบเกียร์แบบ 4L จะเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้รถค่อยๆ ขับเคลื่อนผ่านพื้นผิวขรุขระได้ดีกว่าด้วยอัตราทดเกียร์ต่ำที่ช่วยเพิ่มกำลังและแรงบิดมากขึ้น 2.เลือกโอกาสในการใช้อัตราทดความเร็วต่ำ การเลือกใช้อัตราทดความเร็วต่ำเป็นกุญแจสำคัญของการขับบนพื้นที่ลาดชัน ทรายลึก หิน หรือโคลนลึก เนื่องจากการใช้อัตราทดความเร็วต่ำหมายถึงการใช้งานที่เกียร์ต่ำ จึงเหมาะกับการขับบนทางขรุขระที่ใช้ความเร็วน้อยกว่าการขับบนพื้นผิวเรียบ หรือที่ความเร็วต่ำกว่า 40 กม. ต่อชั่วโมง ในการเลือกระบบ 4L ให้จอดรถนิ่งสนิทแล้วขึงเปลี่ยนเกียร์ไปที่ N ก่อน จากนั้นจึงหมุนปุ่มเพื่อเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนซึ่งติดตั้งอยู่บริเวณส่วนล่างของกระปุกเกียร์ (สัญลักษณ์ 2H, 4H และ 4L) เมื่อมีไฟสัญญาณ 4L ขึ้นที่หน้าปัดควบคุมหลังพวงมาลัยแล้วจึงเปลี่ยนเกียร์ไปที่ D แล้วออกรถอย่างช้าๆ 3.ใช้ระบบล็อคเฟืองท้ายแบบ Rear Differential Lock เมื่อไหร่ เฟืองท้ายช่วยให้ล้อรถแต่ละล้อหมุนด้วยความเร็วที่ต่างกันได้เมื่อเข้าโค้ง โดยล้อฝั่งด้านนอกโค้งจะใช้วงเลี้ยวกว้างกว่าล้อที่อยู่ด้านในโค้ง แต่เมื่อขับบนทางออฟโรด เฟืองท้ายทั่วไปอาจเป็นปัญหาในการขับขึ้นเนินหรือข้ามสิ่งกีดขวาง เนื่องจากเมื่อล้อยกลอยจากพื้นแล้ว เฟืองท้ายจะให้ความสำคัญกับล้อที่ลอยอยู่ ทำให้ล้อนั้นหมุนไปเรื่อยๆ อย่างไร้ประโยชน์ ส่วนล้อที่อยู่บนพื้นก็ไม่มีแรงพอที่จะขับเคลื่อนต่อไปได้ระบบล็อคเฟืองท้ายแบบ Rear Differential Lock ของฟอร์ด เรนเจอร์ คือตัวช่วยล็อคล้อหลังทั้งสองด้านให้ได้รับแรงขับเคลื่อนเท่ากัน ดังนั้น เมื่อมีล้อใดล้อหนึ่งลอยอยู่ ล้ออีกข้างจะยังช่วยขับเคลื่อนให้รถเดินหน้าต่อไปได้ อย่างไรก็ตาม การใช้ระบบล็อกเฟืองท้ายอาจไม่เหมาะในบางสถานการณ์ เช่น เมื่อต้องใช้วงเลี้ยวแคบๆ หรือเมื่อทั้งสี่ล้อสามารถรับน้ำหนักได้เท่ากัน รวมถึงการขับด้วยความเร็วสูงขึ้น และเมื่อขับบนทางลาดเอียง 4.ใช้ระบบควบคุมความเร็วขณะลงเขา (Hill Descent Control: HDC) เมื่อไหร่ เมื่อต้องขับลงเนินลาดชัน เราขอแนะนำให้คุณเลือกใช้ระบบควบคุมความเร็วขณะลงเขาของฟอร์ด เรนเจอร์ (ปุ่มที่มีสัญลักษณ์รถขับลงเนิน) โดยผู้ขับขี่ต้องจอดรถและเปลี่ยนเกียร์ไปที่ P ก่อนเปิดใช้งาน จากนั้นจึงเปลี่ยนเกียร์ไปที่ D แล้วค่อย ๆ ยกเท้าขึ้นจากแป้นเบรก ปล่อยให้รถคลานลงเนินช้าๆ แล้วเน้นใช้พวงมาลัยควบคุมทิศทางของรถ หากต้องการปรับความเร็ว ให้ใช้ปุ่ม Cruise Control (+/-) เพื่อเพิ่มหรือลดความเร็ว โดยระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชันจะเหมาะสำหรับการขับขี่ด้วยความเร็วที่ไม่สูงนัก ที่ความเร็ว 5-32 กม. ต่อ ชม.  5.การลดแรงดันลมยาง หนึ่งในวิธีที่ง่ายที่สุดในการเพิ่มความสามารถในการขับบนเส้นทางออฟโรด และเพิ่มความนุ่มสบายภายในห้องโดยสารคือการลดแรงดันลมยาง โดยปริมาณลมยางที่จะปล่อยออกมานั้นขึ้นอยู่กับเส้นทางที่ขับ เราจึงแนะนำให้ผู้ขับขี่ตรวจสอบค่าแรงดันลมที่เหมาะสมกับเส้นทาง โดยข้อดีของการลดแรงดันลมยาง คือ พื้นผิวของล้อจะสัมผัสพื้นดินมากขึ้น ช่วยให้เกิดการกระจายน้ำหนักอย่างเท่าเทียมและทั่วถึงมากขึ้น เหมาะกับการขับบนพื้นทรายหรือพื้นโคลน พื้นผิวยางดูดซับแรงกระแทกได้ดีขึ้น ช่วยป้องกันล้อและส่วนต่างๆ ของล้อเมื่อขับบนพื้นที่ที่เป็นหินขรุขระ ช่วยมอบประสบการณ์การขับขี่ที่นุ่มนวลและสะดวกสบายมากขึ้นเมื่อขับบนเส้นทางออฟโรด ยางที่อ่อนลงเล็กน้อยจะยึดเกาะพื้นผิวขรุขระเล็กๆ ได้ดีกว่า และลดแรงกระแทกภายในห้องโดยสารได้ หากคุณมีแผนจะปล่อยลมยางเพื่อขับบนเส้นทางออฟโรด อย่าลืมนำเครื่องเติมลมยางติดไปด้วยเพื่อเติมลมยางก่อนกลับมาขับบนถนนทางเรียบ การขับรถบนทางเรียบด้วยลมยางต่ำจะทำให้ควบคุมรถได้ยากทำให้ไม่ปลอดภัย อีกทั้งยังลดอายุการใช้งานของยางและส่งผลต่ออัตราการประหยัดน้ำมันอีกด้วย  

 
Read More

TTC Motor Body & Paint

การเสริมศักยภาพบุคลากรและเครื่องมือพิเศษรองรับรถยนต์รุ่นใหม่ จาก TTC Motor Body & Paint  เติมศักยภาพการบริการ เสริมความรู้ให้บุคลากรและพัฒนาการใช้เครื่องมือพิเศษ เพื่อรองรับรถยนต์รุ่นใหม่ๆ โดยเฉพาะMercedes-Benz S-Class ที่มีโครงสร้างเป็นอะลูมิเนียม พร้อมคุมเข้มการตรวจสอบคุณภาพ บริการซ่อมสีและตัวถัง ด้วยอุโมงค์ไฟค่าความสว่างกว่า 3,400 ลักส์ ช่วยให้เห็นจุดบกพร่องของชิ้นงานได้ชัดเจน ก่อนทำการส่งมอบถึงมือลูกค้า คุณอัครินทร์ ตั้งทวีสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีทีซี มอเตอร์ จำกัด  ผู้จำหน่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์และเมอร์เซเดส-เอเอ็มจีอย่างเป็นทางการ เปิดเผยว่า “จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา ในระลอกนี้ ทำให้การดำเนินธุรกิจในหลากหลายประเภท ต้องปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตรูปแบบใหม่ เว้นวรรคทางสังคม เน้นการสื่อสารผ่านออนไลน์มากขึ้น ในขณะเดียวกันทางบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ยังคงเดินหน้าเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องTTC Motor และ TTC Motor Body & Paint  ในฐานะผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการต้องพัฒนาศักยภาพของบุคลากรและเครื่องมือพิเศษไว้รองรับการบริการรถยนต์รุ่นใหม่ๆดังกล่าวอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะรถยนต์รุ่นล่าสุด Mercedes-Benz S-Class ที่มีโครงสร้างส่วนใหญ่เป็นอะลูมิเนียม การซ่อมแซมวัสดุดังกล่าว ต้องใช้เครื่องมือเฉพาะทางและบุคลากรที่ผ่านการอบรมการซ่อมวัสดุอะลูมิเนียมเท่านั้น เพื่อให้คุณภาพการซ่อมแซมเป็นไปตามมาตรฐานที่บริษัทแม่กำหนด นอกจากนี้บริษัทต้องเข้มข้นในทุกขั้นตอนการซ่อมแซมสี และตัวถังรถยนต์ ก่อนถึงมือลูกค้า เจ้าหน้าที่ต้องตรวจสอบอย่างพิถีพิถันหนัก TTC   จึงมีอุปกรณ์มาตรฐาน อุโมงค์ไฟค่าความสว่างกว่า 3,400 ลักส์ ไว้ตรวจสอบการทำงานกระบวนการสุดท้ายก่อนนำรถส่งถึงมือลูกค้า   เพื่อให้ลูกค้าได้รับสิ่งที่ดีที่สุด ไม่เพียงเท่านั้น เรายังต้องให้ความสำคัญกับประเภทของสีเช่นกันดังนั้น TTC  เลือกใช้ สีประเภท 2K PPG สูตรน้ำ ซึ่งเป็นสีที่ดีที่สุดสำหรับรถยนต์ ความทนทาน รถยนต์ที่ซ่อมสีโดยใช้ระบบสี 2K สามารถใช้งานได้นานกว่า 5 ปี,ความคงทนต่อสภาพดินฟ้าอากาศ,สามารถทนทานต่อสารเคมีต่างๆ ได้ดี เช่นทินเนอร์ น้ำมันเบรก,สามารถคงสภาพสีเดิม ไม่ซีดจางจากเดิมง่าย,มีความเงางามสูงให้คุณสมบัติเหมือนสีรถที่ออกจากโรงงานประกอบรถยนต์ O.E.M (Original Equipment Manufacturing) ทำให้คุณมั่นใจได้ว่า ซ่อมสีกับเรา จะทำให้คุณเหมือนได้รับรถคันใหม่เลยทีเดียว สิ่งสำคัญที่สุด ในการบริการลูกค้า ช่วงสถานการณ์โควิด -19 เช่นนี้คือ การให้บริการแบบ Delivery Service บริการรับ-ส่งรถยนต์ถึงบ้านของคุณ ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย จาก TTC Motor Body & Paint  ต้องการมอบประสบการณ์ การดูแลรถยนต์ของคุณที่เหนือระดับ บริษัทพร้อมให้บริการลูกค้าทุกท่านให้มีความสะดวกสบาย และรู้สึกอุ่นใจเมื่อได้ใช้บริการกับเรา คือสิ่งที่ด้รับการตอบรับจากลูกค้ามากที่สุด บริการ Delivery Service สะดวก ปลอดภัยประหยัดเวลา , การันตี ซ่อมสีและตัวถังภายใน 3 วัน และบริการรับ-ส่งรถของท่านฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ” ทั้งนี้สามารถ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือนัดหมายเข้ารับบริการที่ : TTC MOTOR BODY & PAINT CERTIFIED BY Mercedes-Benzโทร. 02-322-2222Facebook : https://www.facebook.com/ttcbpcenter Official Line : http://bit.ly/2kI5ios  IG : http://bit.ly/2kRsuR1 https://www.benzttcmotor.com  

 
Read More

MAZDA3 กับ 9 เหตุผลที่ต้องเป็นเจ้าของ

ทำไม?มาสด้า3 จึงเป็นพรีเมี่ยมคาร์ที่ควรค่าแก่การครอบครอง ประวัติศาสตร์ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน แต่ต้องใช้เวลาบ่มเพาะจนก่อเกิดเป็นเรื่องราวเล่าขานจากรุ่นสู่รุ่นจากอดีตจวบจนปัจจุบัน เฉกเช่นเดียวกับการเดินทางมาถึงเมืองไทยครั้งแรกของเจ้ามาสด้า3 ที่เข้ามาสร้างตำนานประดับวงการรถยนต์ของประเทศไทย จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีรถยนต์รุ่นใดกล้าเทียบรัศมี การเปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อปี 2547 มาสด้า3 กลายเป็นหนึ่งในกรณีศึกษาที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเปิดประเด็นกันอยู่เสมอ เมื่อรถยนต์รุ่นนี้ได้สร้างกระแสฟีเวอร์เกิดเสียงตอบรับจากลูกค้าอย่างถล่มทลายจนต้องรอคิวรับรถกันนานข้ามปี ก่อเกิดปรากฏการณ์ใหม่ของการจองรถสร้างความมหัศจรรย์ให้กับตลาดรถยนต์เป็นอย่างมาก โดยเจเนอเรชั่นแรกออกวางจำหน่ายระหว่างปี พ.ศ. 2547 – 2554 มียอดขายสะสมกว่า 30,000 คัน ส่วนเจนฯ 2 ปี2554 – 2557 มียอดขาย 15,000 คัน และเจนฯ 3 ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีสกายแอคทีฟ ปี 2557 – 2562 มียอดขายสะสมสูงถึง 32,000 คัน ปัจจุบันก้าวเข้าสู่เจเนอเรชั่นที่ 4 ซึ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนกันยายน 2562 ภายใต้ตัวถังสองรูปแบบมีทั้งซีดานและฟาสท์แบคที่เพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติเหนือกว่ารถยนต์ในระดับเดียวกันหลายๆ ด้าน จนทำให้สามารถคว้ารางวัลThailand Car of the Year 2019 ในปีนั้นมาครอง และชนะเลิศเวทีระดับโลกอย่าง World Car Design of the Year 2020 รวมถึงรางวัลอื่นอีกมากมายจากนานาประเทศ เราจะมาวิเคราะห์กันว่ามาสด้า3 มีคุณสมบัติโดดเด่นอะไรบ้างถึงเป็นที่ยอมรับจากลูกค้าทั่วโลกรวมทั้งลูกค้าชาวไทย ตลอดจนการคว้ารางวัลการันตีความสำเร็จมากมายเช่นนี้ 1.ยืนหนึ่งเรื่องดีไซน์จาก โคโดะ เจเนอเรชั่นที่ 2 ต้นแบบแห่งความสง่างาม สิ่งแรกที่โดดเด่นและสะดุดตามากที่สุดของมาสด้า3 ที่ใครๆ ต่างก็เหลียวมองต้องยกให้กับการออกแบบดีไซน์ภายนอกอันสวยงาม ซึ่งเกิดจากการถ่ายทอดแนวคิด โคโดะ ดีไซน์ มาผสมผสานกับ “การเคลื่อนไหวที่เป็นหนึ่งเดียว” โดยรวมทิศทางของแสงและเงาที่สะท้อนลงบนตัวรถให้ความรู้สึกเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ด้วยการออกแบบที่แตกต่างส่งผลให้มาสด้า3 มีสองบุคลิกที่น่าดึงดูดใจ บุคลิกแรก คือ จิตวิญญาณอิสระ มุ่งมั่นที่จะทำตามความเชื่อมั่น และไม่ถูกจำกัดอยู่กับภูมิปัญญาแบบดั้งเดิม ถูกถ่ายทอดผ่านการออกแบบรุ่น ฟาสท์แบค ที่ให้อารมณ์สปอร์ตทรงพลังมีเสน่ห์ดึงดูดทุกสายตาและกระตุ้นความรู้สึกตื่นเต้น อีกบุคลิกหนึ่งผสมผสานศักดิ์ศรีกับแนวคิดปัจเจกชน การยึดมั่นในสไตล์ดั้งเดิมที่ซ่อนความงามอันน่าทึ่งเมื่อแรกเห็นผ่านรูปแบบ ซีดาน หรูหราสง่างามดุจงานศิลปะชิ้นเอก พิถีพิถันประณีตใส่ใจในทุกรายละเอียด เพื่อให้เกิดความเรียบง่ายที่สุดในทุกองค์ประกอบ การออกแบบโดยลดทอนองค์ประกอบที่ไม่จำเป็นลงและเพิ่มการเล่นแสงที่ตกกระทบบนตัวรถ จึงทำให้ดูเรียบง่าย โฉบเฉี่ยว หรูหรา สง่างามในทุกมุมมอง สะกดทุกสายตาแก่ผู้พบเห็น จนถึงกระทั่งได้รับการตัดสินให้เป็นรถยนต์ที่มีการออกแบบยอดเยี่ยมของโลก ประจำปี 2020 หรือ World Car Design of the Year 2.คัดสรรเฉพาะวัสดุคุณภาพพรีเมี่ยม เรียบหรู ประณีตในทุกจุดสัมผัส ไม่เพียงแค่การออกแบบภายนอกที่น่าหลงใหลเท่านั้น แต่ภายในห้องโดยสารก็มีความสวยงามเรียบหรูไม่แพ้กัน โดยมาสด้าเลือกใช้แต่วัสดุคุณภาพสูงที่ได้รับการคัดสรรอย่างประณีตและพิถีพิถันในทุกรายละเอียดเสมือนงานที่ทำจากมือ จึงทำให้การตกแต่งภายในดูมีชีวิตชีวาและมีความพรีเมี่ยม อีกทั้งยังจัดวางอุปกรณ์ต่างๆ ในตำแหน่งที่เหมาะสมและเน้นหลัก “เรียบง่ายแต่งดงาม” หรือ less is more เช่นเดียวกับภายนอก เพื่อลดความซับซ้อนและเพิ่มความสะดวกในการใช้งานของห้องโดยสาร สร้างคุณค่าและความภาคภูมิใจในการได้ครอบครอง 3.ขับสะดวก นั่งสบาย ด้วยการออกแบบโดยยึดหลักมนุษย์เป็นศูนย์กลาง รถยนต์รุ่นนี้ถูกพัฒนาขึ้นจากท่วงท่าการเดินของมนุษย์ และนำมาต่อยอดเพื่อสร้างความเป็นหนึ่งเดียวระหว่างผู้ขับขี่กับรถตามหลักปรัชญา Jinba-Ittai เพื่อให้ตำแหน่งการขับขี่เป็นธรรมชาติและเหมาะสมกับสรีระมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบเบาะนั่งเพื่อรองรับกระดูกเชิงกรานและรักษาแนวของกระดูกสันหลังให้เป็นรูปตัว S ตามธรรมชาติของมนุษย์ การวางตำแหน่งของแป้นเหยียบ การปรับเบาะนั่ง การบังคับพวงมาลัย รวมถึงรูปแบบคอนโซลกลาง และพนักวางแขนก็ถูกออกแบบเพื่อช่วยลดความเหนื่อยล้าของผู้ขับขี่ นอกจากนั้นยังมาพร้อมกับเบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 10 ทิศทาง ช่วยให้สามารถปรับตำแหน่งการขับขี่ให้เหมาะสมกับสรีระมากที่สุด 4.ช่วงล่างหนึบ ยึดเกาะถนนเยี่ยม ควบคุมได้อย่างมั่นใจแม้เป็นมือใหม่ สิ่งสำคัญที่ทำให้มาสด้า3 สามารถครองใจใครหลายต่อหลายคนได้นั้นต้องยกให้กับกับฟีลลิ่งในการขับขี่ที่ดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนน ระบบเบรกที่แม่นยำ และยังมาพร้อมกับระบบการควบคุมการขับขี่อัจฉริยะขั้นสูงG-Vectoring Control Plus (GVC Plus) เพิ่มเสถียรภาพในการควบคุมรถให้การเข้าโค้งและออกจากโค้งเป็นไปอย่างราบรื่นและยึดเกาะถนนได้ดียิ่งขึ้น จึงช่วยลดความเมื่อยล้าสะสมจากการขับรถทางไกลและการโคลงตัวไปมาของผู้โดยสารรวมถึงเพิ่มความมั่นใจในทุกสถานการณ์การขับขี่ได้อย่างดีเยี่ยม เรียกได้ว่าทั้งนั่งสบายและขับขี่ง่ายแม้จะเป็นมือใหม่ก็ตาม 5.เครื่องยนต์แรง ขับสนุก อัตราเร่งต่อเนื่อง แถมประหยัดน้ำมัน เครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซินขนาด 2.0 ลิตร ถูกพัฒนาก้าวขึ้นไปอีกระดับด้วยเทคโนโลยีที่ฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าสู่ห้องเผาไหม้โดยตรง ผนวกกับหัวฉีดดีไซน์ใหม่ จึงส่งผลให้มีอัตราส่วนกำลังอัดสูง แรงบิดเพิ่มขึ้น และประหยัดน้ำมันมากขึ้นโดยให้กำลังสูงสุด 165 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 213 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที ประหยัดน้ำมันสูงสุด 15.9 กิโลเมตรต่อลิตร รองรับน้ำมันเชื้อเพลิง E85 และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มาพร้อมเกียร์อัตโนมัติสกายแอคทีฟ6 สปีด 6.ห้องโดยสารเงียบ ลดการสั่นสะเทือน และเสียงรบกวนจากภายนอก ถูกออกแบบโดยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันเสียงเข้าสู่ห้องโดยสารและลดการสั่นสะเทือนให้มากยิ่งขึ้น โดยเลือกใช้โครงสร้างผนังสองชั้น ใช้แผงหลังคาและพรมปูพื้นที่สามารถดูดซับเสียงความถี่สูงได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว รวมถึงใช้ยางและสปริงที่ช่วยดูดซับแรงสั่นสะเทือนจากพื้นถนน จึงทำให้ห้องโดยเงียบและผู้โดยสารทุกคนสามารถเพลิดเพลินไปตลอดการเดินทาง 7.โครงสร้างตัวถังทำจากเหล็กกล้าแข็งแรงเป็นพิเศษ ลดการบาดเจ็บจากการชน เป้าหมายของการพัฒนารถยนต์ของมาสด้า คือ เพื่อให้ผู้โดยสารได้รับความปลอดภัยสูงสุด มาสด้าจึงได้เลือกใช้โครงสร้างตัวถังที่ทำจากเหล็กกล้าที่มีความแข็งแรงพิเศษ (Ultra-high-tensile steel) สามารถดูดซับและกระจายแรงกระแทกจากด้านหน้า ด้านข้าง และด้านหลัง เพื่อให้เกิดการเสียรูปของห้องโดยสารน้อยที่สุด ลดการบาดเจ็บในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ นอกจากนี้ การตกแต่งภายในยังใช้โครงสร้างป้องกันที่ถูกพัฒนาขึ้นตามลักษณะทางกายภาพของมนุษย์สามารถลดการบาดเจ็บได้อย่างดีเยี่ยม สิ่งเหล่านี้ถือเป็นวิวัฒนาการที่สำคัญด้านมาตรฐานความปลอดภัย 8.พรั่งพร้อมด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัย i-Activsense อุ่นใจทุกการเดินทาง มาสด้า3 มอบความปลอดภัยและคุ้มค่าให้กับผู้โดยสารทุกคน ด้วยระบบความปลอดภัยเชิงป้องกันและลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุบนถนนมากมาย อาทิ ระบบควบคุมความเร็วและพวงมาลัยตามรถคันหน้า (CTS), ระบบเตือนการชนด้านหน้าและช่วยเบรกอัตโนมัติแบบ Advance, ระบบช่วยหยุดรถเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง SBS-RC, ระบบเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง RCTA, ระบบช่วยเบรกและหยุดรถอัตโนมัติขณะถอยหลัง SBS-R เป็นต้น พร้อมยังมีระบบแสดงภาพ 360° รอบทิศทาง ถุงลมนิรภัยถึง 7 ตำแหน่ง และระบบความปลอดภัยเชิงปกป้องอีกเพียบเพื่อเสริมความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น 9.เพิ่มความสุนทรีย์ตลอดการเดินทางด้วยระบบ Infotainment แบบจัดเต็ม เพิ่มความสะดวกสบายตอบรับสังคมยุคดิจิทัล มาพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบสีบนกระจกหน้าที่มีความละเอียดสูง เชื่อมต่อการสื่อสารอย่างไร้ขีดจำกัดด้วยระบบ Mazda Connect ที่สามารถรองรับระบบ Apple CarPlay และระบบAndroid Auto พร้อมหน้าจอสี Center Display แบบ Widescreen ขนาด 8.8 นิ้ว ควบคุมง่ายด้วยปุ่มควบคุมอัจฉริยะ Center Commander ช่วยให้ผู้ขับขี่ไม่ต้องละสายตาจากถนนและยังเพิ่มสุนทรียะให้กับผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้วยระบบเสียงจากBose® รอบทิศทาง พร้อมลำโพง 12 ตำแหน่ง ช่วยให้ช่วงเวลาบนรถเต็มไปด้วยความสุข สนุกสนาน และความเพลิดเพลินตลอดการเดินทาง ส่วนหนึ่งของอีกหลายๆ เหตุผลที่ลูกค้าต่างชื่นชอบและการันตีความยอดเยี่ยมจากการใช้งานจริง ด้วยคุณสมบัติอันโดดเด่นเหล่านี้จึงส่งผลให้รถยนต์มาสด้า3 กลายเป็นหนึ่งในตัวเลือกอันดับแรกที่ตอบโจทย์และเป็นที่ปรารถนาของใครหลายๆ คน สนนราคาเริ่มต้นเพียง 969,000 บาท เรียกได้ว่าคุ้มค่าแก่การครอบครองในทุกมิติ ซึ่งจะเพิ่มสีสันและความสดใสในทุกๆ วัน ทำให้การเดินทางในแต่ละวันของคุณรู้สึกเหมือนการเดินทางเพื่อค้นพบสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ และช่วยให้ค้นพบความสุขของการใช้ชีวิตอย่างแท้จริง จากมาสด้า ประเทศไทย  

 
Read More

FORD RANGER FX4 Max

ฟอร์ด ประเทศไทย เปิดตัวฟอร์ด เรนเจอร์ FX4 Max สีใหม่ สีเทา คองเกอร์ เกรย์ (Conquer Grey) ซึ่งเป็นสีเดียวกับฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ พร้อมให้ลูกค้าที่ชอบความเท่ ดุดัน สไตล์สปอร์ต สามารถจับจองเป็นเจ้าของได้แล้ววันนี้ที่โชวรูมฟอร์ด ทั่วประเทศไทย  ด้วยราคาสุดเร้าใจ เพียง 1,199,000 บาท พร้อมฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Ford Ensure และการรับประกันเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังนาน 10 ปี หรือ150,000 กม.   ฟอร์ด เรนเจอร์ FX4 Max เป็นรถกระบะที่ออกแบบมาเพื่อออฟโรดตัวจริง ได้รับแรงบันดาลใจจากรถกระบะออฟโรดสมรรถนะสูง ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่สนุกเร้าใจ ตามแบบฉบับของฟอร์ด เรนเจอร์  มาพร้อมช่วงล่างที่ได้รับการออกเป็นพิเศษด้วยล้อแม็กลายใหม่และยางออลเทอร์เรนเพื่อการขับขี่แบบออฟโรดเต็มพิกัดมอบสมรรถนะอันโดดเด่นสำหรับผู้ที่ชื่นชอบความสมบุกสมบันในวันหยุด แต่ยังคงความสะดวกสบาย อัดแน่นด้วยระบบความปลอดภัย และรองรับการใช้งานในชีวิตประจำวันที่หลากหลายอันเป็นเอกลักษณ์ของฟอร์ด เรนเจอร์ คุณวิชิต ว่องวัฒนาการ กรรมการผู้จัดการ ฟอร์ด ประเทศไทย กล่าวว่า “ฟอร์ด ประเทศไทย ประสบความสำเร็จและได้รับกระแสตอบรับที่ดีมากจากลูกค้าจากการเปิดตัว ฟอร์ด     เรนเจอร์ FX4 Max ใหม่ เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาด้วยรูปลักษณ์ที่เท่และดุดัน แต่งหล่อมาจากโรงงาน รวมถึงสมรรถนะที่ตอบโจทย์ทั้งการทำงานและการใช้ชีวิตแบบพร้อมลุย และวันนี้ ฟอร์ด ประเทศไทย พร้อมนำเสนอฟอร์ด เรนเจอร์ FX4 Max ใหม่ สีเทา คองเกอร์ เกรย์ ซึ่งเป็นสีเดียวกับฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าที่ชื่นชอบความเข้ม มีสไตล์ ที่บ่งบอกความเป็นตัวตนของผู้ขับขี่ตามแบบฉบับของฟอร์ด เรนเจอร์ อย่างแท้จริง”   ภายนอกของฟอร์ด เรนเจอร์ FX4 Max ใหม่ ตกแต่งด้วยกระจังหน้าสะกดด้วยตัวพิมพ์ใหญ่ F-O-R-D ตามแบบฉบับของฟอร์ด เพอร์ฟอร์แมนซ์ พร้อมอุปกรณ์ตกแต่งภายนอกสีเทาเข้มตั้งแต่ฝาครอบกระจกมองข้าง มือจับประตู ซุ้มล้อไปจนถึงกันชนท้าย ด้านหลังตกแต่งด้วยโรลบาร์สีดำยาวทอดตลอดกระบะท้าย บันไดข้างได้รับการออกแบบใหม่ให้ดูเท่และดุดัน พร้อมพื้นผิวกันลื่นสำหรับการใช้งานออฟโรดFX4 Max ใหม่ สะท้อนสมรรถนะและความสมบุกสมบัน ด้วยการปรับจูนระบบกันสะเทือนและช่วงล่างใหม่เพื่อตอบสนองการขับขี่ออฟโรดที่ดีเยี่ยม พร้อมยางออลเทอร์เรน KO2 จาก BF Goodrich เช่นเดียวกับรถกระบะดีเอ็นเอฟอร์ด เพอร์ฟอร์มานซ์ อย่างฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ ด้วยยางขนาด 265/70 R17มอบความมั่นคงในการยึดเกาะถนนที่มีพื้นผิวขรุขระ และพื้นผิวด้านข้างที่คงทนยิ่งขึ้น เข้ากับล้ออัลลอยขนาด 17 x 8 นิ้ว ทั้งด้านหน้าและหลัง ออฟเซ็ท +42 มม. ทำให้ฐานล้อกว้างขึ้นถึง 26 มม. ขณะที่ล้ออะไหล่เป็นล้ออัลลอยพร้อมยางออลเทอร์เรนเช่นกัน ล้ออัลลอยของฟอร์ด เรนเจอร์ FX4 Max ใหม่ โดดเด่นด้วยสีเทาเข้มดุดัน ซึ่งเป็นสีเดียวกับกระจังหน้า และรายละเอียดภายนอก พร้อมติดตั้งคิ้วล้อดีไซน์ใหม่เพื่อเน้นความโดดเด่นของฐานล้อที่กว้างขึ้น ทำให้ส่วนประกอบภายนอกทั้งหมดดูเข้ากันอย่างลงตัว  การปรับแต่งช่วงล่างและแชสซีที่เป็นเอกลักษณ์ของ FX4 Max ใหม่ เป็นผลงานการพัฒนาอันยอดเยี่ยมจากวิศวกรของฟอร์ดในประเทศออสเตรเลีย เช่นเดียวกับฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ และฟอร์ด เรนเจอร์รุ่นอื่นๆ โดยแต่ละส่วนประกอบของช่วงล่างแต่ละชิ้นทำให้รถกระบะคันนี้พร้อมมอบประสบการณ์การขับขี่ออฟโรด ควบคู่กับการบรรทุกสัมภาระได้อย่างดีเยี่ยม  ช่วงล่างของฟอร์ด เรนเจอร์ FX4 Max ใหม่ พร้อมพิชิตเส้นทางสมบุกสมบันด้วยระบบกันสะเทือน FOX Shock แบบโมโนทิวบ์ขนาด 2 นิ้ว ทั้งด้านหน้าและหลัง โดยโช้คหลังมาพร้อมกับ Sub-Tank ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซับแรงกระแทกและเพิ่มความทนทานในการใช้งานแบบออฟโร้ด ผสานกับคอยล์สปริงด้านหน้าที่มีการปรับจูนใหม่และการควบคุมความสะเทือนด้านหลังแบบโช้คไขว้เพื่อรองรับการบรรทุกสัมภาระ ด้านแหนบรองน้ำหนักได้รับการพัฒนาให้เหมาะทั้งกับการขับขี่แบบออฟโรดและยังพร้อมรับน้ำหนักในการบรรทุกและลากจูง ด้วยระบบกันสะเทือนที่ยกสูงขึ้น 20 มม. บวกกับการใช้ยางออลเทอร์เรน ทำให้ฟอร์ด เรนเจอร์ FX4 Max ใหม่ มี ระยะต่ำสุดจากพื้น (Ground clearance) ยกสูงจากพื้นถนนมากถึง 256 มม. ซึ่งสูงกว่ารุ่น XLT ยิ่งไปกว่านั้น ฟอร์ด เรนเจอร์ FX4 Max ใหม่ ยังมีมุมเงยและมุมจากที่ถูกยกระดับขึ้นจากรุ่น XLT เพื่อตอบสนองการทำงานของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อได้อย่างเต็มที่ ด้านระบบส่งกำลัง ฟอร์ด เรนเจอร์ FX4 Max ใหม่ ทำงานด้วยขุมพลังเดียวกับฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ ด้วยเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.0 ลิตร พร้อมเทอร์โบคู่ ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ให้กำลังสูงสุด 213 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร สามารถบรรทุกน้ำหนักได้ถึง 981 กก. และลากจูงได้สูงสุดถึง 3,500 กก.   ภายในห้องโดยสารของฟอร์ด เรนเจอร์ FX4 Max ใหม่ มาพร้อมกับการออกแบบอันโดดเด่น จากบันไดข้างโลหะสีดำแบบออฟโรดพร้อมผิวกันลื่น จนถึงชุดผ้ายางปูพื้นภายในห้องโดยสารที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานแบบออฟโรดโดยเฉพาะ เบาะนั่งพิเศษเฉพาะฟอร์ด เรนเจอร์ FX4 Max ใหม่ ใช้วัสดุหนังแท้ หนัง Alcantara และหนังสังเคราะห์ใหม่ที่แตกต่างจากรุ่นอื่นๆ รวมถึงการปักสัญลักษณ์ FX4 Max ที่เป็นเอกลักษณ์บนเบาะคู่หน้า แป้นเหยียบคันเร่งสไตล์สปอร์ตแบบเดียวกับฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ ไปจนถึงพวงมาลัยหุ้มด้วยหนังสีดำ สีเดียวกับลวดลายตกแต่งแผงคอนโซลและขอบประตู ยกระดับความโดดเด่นและความรู้สึกที่โฉบเฉี่ยวดุดัน ฟอร์ด เรนเจอร์ FX4 Max ใหม่ มอบความสะดวกสบายที่เหนือชั้นด้วยระบบ Keyless Entry/ Push Start หน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว มาพร้อมระบบนำทาง และระบบเชื่อมต่อ Apple CarPlay ผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ ด้านบนแผงคอนโซลของ FX4 Max ใหม่ พร้อมรองรับการใช้งานของคนรักการขับขี่แบบออฟโรดตัวจริง ด้วยช่องต่อพ่วงอุปกรณ์ออฟโรด Upfitter Switch พร้อมช่องต่อ AUX 6 ตำแหน่ง เพิ่มความสะดวกในการเชื่อมต่อและควบคุมการใช้งานอุปกรณ์เสริมต่างๆ อาทิ ชุดไฟ วินซ์ และไฟสปอตไลท์ พร้อมติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาด250 แอมป์ เพื่อรองรับการจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์เสริม ลดการพึ่งพาแบตเตอรีภายในรถฟอร์ด เรนเจอร์ FX4 Max ใหม่พร้อมเติมเต็มทุกความต้องการในการพิชิตทุกเส้นทางอันท้าทาย ด้วยสมรรถนะการขับเคลื่อน 4 ล้อที่เหนือชั้น มอบความมั่นใจให้กับผู้ขับขี่รถกระบะสายออฟโรดได้ออกไปใช้ชีวิตให้สนุกและมีความสุขตามนิยามการใช้ชีวิตแบบเรนเจอร์ ‘Live The Ranger Life’   ฟอร์ด เรนเจอร์ FX4 Max ใหม่ ปัจจุบันมาพร้อมตัวเลือกสีภายนอก 5 สี ได้แก่ สีน้ำเงิน ไลท์นิ่ง บลู, สีแดง ทรูเรด, สีขาวอาร์กติก ไวท์, สีดำ แอบโซลูท แบล็ค และสีเทา คองเคอร์ เกรย์ พร้อมให้คุณเป็นเจ้าของได้แล้ววันนี้ที่โชว์รูม ฟอร์ด ทั่วประเทศไทย ด้วยราคาสุดเร้าใจ 1,189,000 บาท (สีเทา คองเกอร์ เกรย์ ราคาเพิ่มจากสีปกติ 10,000 บาท)  สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ฟอร์ด www.ford.co.th/truck/ranger/fx4-max/  

 
Read More

เอ็ม เอ เอ็น แบรนด์รถบรรทุกจากเยอรมัน

ยี่ห้อรถบรรทุก MAN หรือ เอ็ม เอ เอ็น ในประเทศไทย เป็นที่รู้จักมานานหลายทศวรรษ เพราะ เอ็ม เอ เอ็น ผู้นำนวัตกรรมด้านยานยนต์เพื่อการพาณิชย์ชั้นนำของโลกจากประเทศเยอรมนี ที่ได้ก้าวสู่การเป็นแบรนด์รถบรรทุกอันดับหนึ่งด้านสมรรถนะของเครื่องยนต์ เน้นความทนทานและการประหยัดน้ำมัน โดยรถบรรทุกทุกรุ่นของ เอ็ม เอเอ็น ถูกออกแบบและพัฒนาด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ จนได้รับความเชื่อมั่นจากผู้ประกอบการในวงการขนส่งทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย การันตีความสำเร็จด้วยรางวัลด้านดีไซน์และเครื่องยนต์ ไม่ว่าจะเป็น รางวัล “International Truck of the Year” และ “iF Design award”  เอ็ม เอ เอ็นได้เข้ามาตีตลาดในประเทศไทยและส่งมอบรถบรรทุกสัญชาติเยอรมันให้กับผู้ประกอบการไทยครั้งแรกในปี 2550 โดยปัจจุบัน เอ็ม เอ เอ็น ได้เปิดตัวรถบรรทุกเรือธงทั้งหมด 3 รุ่น ได้แก่ TGS 6×4 360 แรงม้า TGS 6×4 400 แรงม้า และ TGS 6×4 440 แรงม้า ซึ่งมีจุดเด่นทั้งด้านสมรรถนะและฟังก์ชั่นที่มุ่งเน้นการมอบประสิทธิภาพและความคุ้มค่าสูงสุดแก่ผู้ประกอบการ ทำให้รถบรรทุก เอ็ม เอ เอ็น ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ประกอบการไทยมากมายอย่างต่อเนื่องและเป็นที่รู้จักในฐานะแบรนด์รถบรรทุกคุณภาพเยี่ยม จนกลายมาเป็นโซลูชั่นด้านการขนส่งของวงกางผู้ประกอบการไทย รถบรรทุกทุกคันของเอ็ม เอ เอ็น นำเข้าแบบ CBU 100% จากเยอรมนี ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะประเทศผู้นำด้านการผลิตยานยนต์ของโลก โดยชิ้นส่วนอะไหล่ของรถบรรทุกของ เอ็ม เอ เอ็น ผ่านการใส่ใจในการเลือกวัสดุ และผ่านขั้นตอนการผลิตและประกอบชิ้นส่วนด้วยเทคโนโลยีที่รับประกันด้านความทนทาน ป้องกันการเสื่อมสภาพและการเกิดสนิมของชิ้นส่วนอะไหล่ต่างๆ โดยรถบรรทุกของเอ็ม เอ เอ็น ได้รับการการันตีว่ามีอายุการใช้งานยาวนานกว่า 10 ปี เพราะนอกจากวัสดุต่างๆจะแข็งแรงทนทานแล้ว ผู้ใช้งานยังสามารถดูแลด้วยตนเองได้ง่าย เพื่อยืดอายุของรถบรรทุกทั้งตัวรถและอะไหล่ให้ทรงประสิทธิภาพตลอดการใช้งาน ความปลอดภัย ถือเป็นหัวใจสำคัญของ เอ็ม เอ เอ็น โดยแบรนด์ได้นำนวัตกรรมที่ออกแบบโดยเทคโนโลยีพิเศษที่ช่วยในการป้องกันอุบัติเหตุและรองรับการขับขี่บนทุกสภาพผิวถนน เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้ขับขี่ ระบบ MAN BrakeMatic ระบบล้อเบรกลมล้วน ควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (EBS) แบบดิสค์เบรคทั้งด้านหน้าและล้านหลัง ติดตั้งมาพร้อมกับระบบป้องกันล้อล็อกอัตโนมัติ (ABS) ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเบรกรถได้อย่างแม่นยำทันทีที่สั่งการ ป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ ระบบ Electronic Brake Assitance (EBA) ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ ที่ช่วยประมวลผลระยะห่างของสิ่งกีดขวางหน้าตัวรถ และสามารถตอบสนองได้อย่างฉับไวหากมีรถวิ่งตัดหน้าหรือเบรกกะทันหัน โดยระบบจะทำการแจ้งเตือนในรูปแบบเสียง และแสดงไฟสัญญาณบนหน้าปัด พร้อมสั่งการให้รถเบรกอัตโนมัติหากประมวลว่ามีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุสูง ระบบเบรกเครื่องยนต์ มาพร้อมเบรกวาล์วไอเสีย EVB (Exhausted Valve Brakes) ช่วยลดความเร็วของรถบรรทุกในขณะวิ่งหรือเข้าโค้งได้มากถึง 60% เมื่อเทียบกับรถบรรทุกอื่นที่มีขนาดเดียวกัน ช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพของผ้าเบรกและเพิ่มความปลอดภัยขณะขับขี่บนท้องถนน ระบบ MAN Easy Start อุปกรณ์มาตรฐานที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการออกตัวบนทางลาดชัน กรณีที่รถบรรทุกจำเป็นต้องหยุดรถ-ออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน โดยเฉพาะหากบรรทุกสินค้าที่มีน้ำหนักมาก นอกจากฟังก์ชั่นต่างๆที่ออกแบบให้ผู้ชับขี่สามารถขับรถบรรทุกได้อย่างสะดวกสบาย ปลอดภัยแล้ว เอ็ม เอ เอ็น ยังได้สร้างพื้นที่ภายในหัวรถให้มีขนาดกว้างมากขึ้น โดยหัวรถบรรทุก เอ็ม เอ เอ็น จะเป็นหัวเก๋งที่มีลักษณะเป็นทรง L และLX หรือหลังคาสูง แต่มีน้ำหนักเบา มาพร้อมระบบลดแรงสั่นสะเทือนและแรงกระแทก ทำให้สามารถสามารถบรรทุกน้ำหนักได้มากขึ้น เคลื่อนไหวคล่องแคล่ว และเพิ่มประสิทธิภาพด้านความปลอดถภัย ลดการเกิดอุบัติเหตุ รวมถึงเพิ่มความสะดวกสบายให้ผู้ขับขี่ไม่ว่าจะเป็นการขับระยะทางใกล้หรือไกล เอ็ม เอ เอ็น  ให้ความสำคัญกับการลดการใช้พลังงานน้ำมัน เพื่อช่วยผู้ประกอบการลดต้นทุนด้านธุรกิจรวมถึงเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งระบบต่างๆของรถบรรทุกได้ถูกออกแบบมาเพื่อให้รถบรรทุกสามารถวิ่งได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยที่ลดการใช้พลังงานให้มากที่สุด โดยรถบรรทุกหัวลากเอ็ม เอ เอ็น ทั้ง 3 รุ่น ที่เปิดตัวในประเทศไทย ผลิตด้วยเครื่องยนต์ 6 สูบเรียง ขนาด 10,518 ซีซี เครื่องยนต์รุ่น D20 ผสมผสานเทคโนโลยีคอมมอนเรล ช่วยลดการบริโภคน้ำมันและยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ให้รองรับการใช้งานระยะทางสูงสุด 1.5 ล้านกิโลเมตร เมื่อตรวจเช็คระยะทุก120,000 กิโลเมตร นอกจากนี้ เอ็ม เอ เอ็น ยังออกแบบรถบรรทุกด้วยการใช้แนวคิดการเคลื่อไหวของอากาศ โดยแรงต้านอากาศที่ไม่จำเป็นในรถจะถูกคำนวณและลบออก เพื่อให้รถสามารถเคลื่อนตัวได้อย่างเต็มที่และประหยัดน้ำมันสูงที่สุดนอกจากนี้ เอ็ม เอ เอ็นยังมีระบบ  MAN Adaptive Cruise Control ที่ช่วยควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ซึ่งเป็นอุปกรณ์เสริมของรถบรรทุก MAN TGS ที่มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขับขี่ ตรวจจับระยะห่างรถคันหน้าด้วยกล้องมัลติเซนเซอร์ที่คำนวณผลแบบเรียลไทม์ รวมทั้งช่วยลดภาระคันเร่งและเบรก ด้วยการช่วยควบคุมความเร็วและการเบรกของรถให้เหมาะสม และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันอีกด้วย  

 
Read More

All New HAVAL H6 จัดเต็ม

เกรท วอลล์ มอเตอร์ สร้างปรากฏการณ์ใหม่อีกครั้งให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย เปิดข้อเสนอสุดพิเศษผ่าน“ULTRA DEAL Campaign” สำหรับลูกค้ากลุ่มแรก ในการจองสิทธิ์ลงทะเบียนเพื่อซื้อ  All New HAVAL H6 Hybrid SUV โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ พร้อมมอบข้อเสนอสุดพิเศษก่อนการประกาศราคาอย่างเป็นทางการ ผ่านช่องทาง GWM Application และเว็บไซต์ WWW.GWM.CO.TH ในระหว่างวันที่ 15 มิถุนายน 2564 – 28 มิถุนายน 2564 นี้เท่านั้น จัดเต็มทั้งแพ็กเกจ 5 Years GWM ULTRA INCLUSIVE SERVICE ดอกเบี้ย 0% นาน 48 เดือน พร้อมประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 และบริการส่งมอบรถยนต์ถึงหน้าบ้าน รวมถึงเอกสิทธิ์เหนือระดับอื่นๆ อีกมากมาย เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยังเดินหน้าส่งข่าวความเคลื่อนไหวและสร้างปรากฎการณ์ใหม่ๆ ให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยอย่างต่อเนื่อง หลังจากเปิดตัว “New Retail Concept” รูปแบบใหม่ ภายใต้กลยุทธ์ New User Experience 
ที่ GWM Store แห่งแรกของโลกในประเทศไทยที่เซ็นทรัลบางนา ต่อด้วยการเปิดโรงงานอัจฉริยะ (Smart Factory) 
ที่จังหวัดระยองอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นโรงงานผลิตแบบเต็มรูปแบบแห่งที่สองนอกประเทศจีนของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ พร้อมเผยโฉม All New HAVAL H6 Hybrid SUV คันแรกจากสายการผลิตไทยไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาล่าสุด เกรท วอลล์ มอเตอร์ ประกาศ เปิดจองสิทธิ์ลงทะเบียนเพื่อซื้อ All New HAVAL H6 Hybrid SUV ในระหว่างวันที่ 15 มิถุนายน 2564 เวลา 00.01 น. ไปจนถึงวันที่ 28 มิถุนายน 2564 เวลา18.00 น. ก่อนที่จะ
มีการเปิดตัวและประกาศราคาอย่างเป็นทางการในวันที่ 28 มิถุนายน 2564 นี้ มอบเซอร์ไพรส์แคมเปญสุดพิเศษ
กว่าใคร! ให้ผู้บริโภคชาวไทยสามารถจองสิทธิ์ลงทะเบียนเพื่อซื้อ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ผ่านช่องทาง GWM Application และเว็บไซต์ WWW.GWM.CO.TH มอบข้อเสนอที่มาพร้อมเอกสิทธิ์ที่เหนือกว่า เพื่อสร้างความมั่นใจในการเป็นเจ้าของรถ สร้างประสบการณ์ใหม่ในการขับขี่ และบริการเหนือระดับในระยะยาว อาทิ 1.ดอกเบี้ยพิเศษ 0% นาน 48 เดือน มูลค่าสูงสุด 85,000 บาท 2.ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 เป็นระยะเวลา 1 ปี มูลค่าสูงสุด 25,000 บาท 3.ฟรี 5 ปีเต็ม ค่าอะไหล่และค่าแรงบำรุงรักษาตามระยะทาง พร้อมอะไหล่สิ้นเปลือง เช่น แบตเตอรี่ 
ผ้าเบรค ใบปัดน้ำฝน (5 Years GWM Ultra Service Inclusive) เพิ่มความอุ่นใจในการใช้งาน การบำรุงดูแลรักษารถยนต์ และการเป็นเจ้าของรถในระยะยาว รวมมูลค่า 65,000 บาท 4.ฟรี 5 ปีเต็ม บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน ( Roadside Assistance ) ตลอด 24 ชั่วโมงผ่าน GWM Application มูลค่า 10,000บาท 5.บริการส่งมอบรถถึงบ้านทั่วประเทศ พร้อมน้ำมันเต็มถัง มูลค่าสูงสุด 10,000 บาท 6.สิทธิ์ในการเรียกใช้บริการรับหรือส่งรถยนต์เพื่อเข้ารับบริการ จำนวน 4 ครั้ง มูลค่า 3,000 บาท 7.สิทธิ์ในการใช้รถบริการเคลื่อนที่ (GWM Mobile Service) จำนวน 2 ครั้ง มูลค่า 1,500 บาท 8.รับ GWM point 30,000 คะแนน เพื่อแลกของสมมนาคุณและบริการต่างๆ บน GWM Application  รวมมูลค่าข้อเสนอสุดพิเศษภายใต้ ULTRA DEAL Campaign กว่า 200,000 บาท นอกจากนี้ All New HAVAL…

 
Read More

เอาท์แลนเดอร์ เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน

มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี ยานยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริด เพื่อการขับเคลื่อนที่ยั่งยืน ตามรายงานสภาพภูมิอากาศโลกขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ระบุว่าอุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกในปี 2563 ที่ผ่านมา มีอัตราเพิ่มสูงขึ้นเกินกว่าค่าเฉลี่ยของระดับที่ปลอดภัยประมาณ 1.2 องศาเซลเซียส โดยตัวเลขดังกล่าวหมายถึง ‘ระดับที่ใกล้อันตราย’ ที่ต้องไม่สูงเกินกว่า 1.5 องศาเซลเซียส ตามที่เหล่านักวิทยาศาสตร์ได้กำหนดไว้ เพื่อป้องกันผลกระทบเชิงลบที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ทั้งนี้ตลอดระยะเวลาหกปีนับตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา เป็นช่วงเวลาที่โลกมีอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นมากเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่ช่วงต้นของทศวรรษจนถึงปีนี้ยังถือเป็นปีที่โลกมีอุณหภูมิสูงที่สุดเท่าที่เคยปรากฏมาอีกด้วย อนึ่ง ที่ผ่านมา มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ได้ดำเนินการนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อร่วมรณรงค์ในการลดภาวะโลกร้อนและยังมุ่งมั่นส่งเสริมการขับเคลื่อนในแบบที่ยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของบริษัทฯ ที่ต้องการ‘สร้างสรรค์สังคมให้ดีขึ้นด้วยสมรรถนะแห่งการขับเคลื่อน’ พร้อมด้วยพันธกิจด้าน ‘ความมุ่งมั่นพัฒนาเพื่อตอบแทนสังคมในแบบที่ยั่งยืน’ ด้วยเหตุผลดังกล่าว มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น จึงได้กำหนดแผนงานด้านสิ่งแวดล้อมฉบับใหม่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดทิศทางในการสร้างสรรค์สังคมให้ดียิ่งขึ้นในอีก 30 ปีข้างหน้า ทั้งนี้แผนงานด้านสิ่งแวดล้อมฉบับใหม่ ยังได้คำนึงถึงการประเมินวัฏจักรของยานยนต์ (Life Cycle Assessment หรือ LCA) ที่พิจารณาถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตลอดกระบวนของขั้นตอนการผลิตรถยนต์ โดยการพิจารณาจะเริ่มตั้งแต่การผลิตชิ้นส่วนของรถยนต์ หรือ รถยนต์ทั้งคัน ตั้งแต่กระบวนการจัดหาวัตถุดิบสำหรับขั้นตอนการผลิตชิ้นส่วน การผลิตรถยนต์ การประกอบรถยนต์ การขับขี่ การผลิตเชื้อเพลิง และการกำจัด เพื่อทราบถึงปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งหมดจากกระบวนการต่างๆ โดยการประเมินวัฏจักรของยานยนต์ดังกล่าว ถูกนำมาใช้เพื่อการพัฒนาปรับปรุงในด้านความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้มีมากยิ่งขึ้น ทั้งในด้านกระบวนการผลิตชิ้นส่วน เทคโนโลยีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งรถยนต์รุ่นใหม่ต่างๆโดยเปรียบเทียบกับปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากกระบวนการผลิตชิ้นส่วนและรถยนต์แบบดั้งเดิม มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี คือ ตัวอย่างสำคัญของรถยนต์ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้น้อยลงเมื่อเทียบกับรถยนต์แบบทั่วไป และยังช่วยรักษาสมดุลระหว่างการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของมนุษยชาติ ทั้งนี้การประเมินวัฏจักรของยานยนต์ยังได้ถูกนำไปใช้กับกระบวนการผลิตรถยนต์รุ่นปัจจุบันเพื่อใช้ในการศึกษาถึงแนวทางการพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ๆ ในอนาคต รวมทั้งการปรับลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย และเมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) ได้กำหนดแนวคิดในปีนี้ ได้แก่ ‘การฟื้นฟูระบบนิเวศ‘ โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อส่งเสริมให้ทุกคนปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ที่มุ่งเน้นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และตระหนักถึงความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมร่วมฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมให้คงอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์สำหรับคนรุ่นต่อๆ ไป โดยอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต เพื่อร่วมกันลดการใช้ทรัพยากรทางธรรมชาติและหยุดการทำลายสิ่งแวดล้อม มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี เป็นหนึ่งในรถยนต์ที่มีอัตราการปล่อยไอเสียที่ต่ำ และยังถูกออกแบบขึ้นบนพื้นฐานของเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วยอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเพียง 52.6 กม.ต่อลิตร(3) หรือ 1.9 ลิตรต่อ 100 กม.(3) ตามมาตรฐาน NEDC  และยังมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระดับที่ต่ำเพียง 43 กรัมต่อกม. อย่างไรก็ดี มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี ยังเป็นรถยนต์แบบปลั๊กอินไฮบริดที่ขายดีที่สุดในโลก ที่มีจำหน่ายแล้วกว่า 60 ประเทศทั่วโลก ด้วยยอดจำหน่ายสะสมทั่วโลกมากกว่า 283,000 คัน เมื่อสิ้นสุดเดือนพฤษภาคมปี 2564 ที่ผ่านมา จึงถือเป็นยานยนต์ทางเลือกที่ดีที่สุดในปัจจุบันสำหรับการขับเคลื่อนที่ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพราะด้วยอุปสรรคและข้อจำกัดในด้านระยะทางการขับขี่ กอปรกับสถานีชาร์จไฟฟ้าที่มีอยู่อย่างจำกัด จึงส่งผลให้การใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า (BEV) ยังคงมีอุปสรรคและข้อจำกัดอยู่มากมาย แม้ว่าจะปลอดจากมลภาวะทางอากาศก็ตาม มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี ยังเป็นรถยนต์รุ่นแฟล็กชิพที่สำคัญและแสดงถึงความเชี่ยวชาญของ  มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ทั้งในด้านเทคโนโลยีนวัตกรรมด้านพลังงานไฟฟ้า ยานยนต์อเนกประสงค์ และเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่ส่งผลให้ มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี มอบประสบการณ์การขับขี่ที่นุ่มนวล มีความต่อเนื่องและเงียบ พร้อมอัตราการเร่งแซงที่ยอดเยี่ยมและทรงพลัง ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) และโดดเด่นด้วยเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี สามารถขับขี่ได้ทั้งในโหมดไฟฟ้า (EV) สำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน และยังสามารถเป็นรถยนต์แบบไฮบริด (HEV) สำหรับการเดินทางระยะไกล พร้อมสร้างความเพลิดเพลินให้แก่ผู้ขับขี่โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการหาสถานีชาร์จไฟฟ้า มั่นใจยิ่งขึ้นด้วยสมรรถนะอันยอดเยี่ยมของเทคโนโลยีมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ ที่ทำงานร่วมกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ซูเปอร์–ออลวิลล์คอนโทรล (S-AWC) ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมรถยนต์ได้อย่างมั่นใจในทุกสภาพอากาศและทุกสภาพถนน มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าจากตัวรถมาใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ที่มีขนาดสูงสุดถึง 1,500 วัตต์ ด้วยการเสียบปลั๊กเข้ากับช่องจ่ายกระแสไฟฟ้าภายในตัวรถที่มีอยู่ 2 จุด เพื่อให้สามารถสัมผัสกับไลฟ์สไตล์กลางแจ้งรูปแบบใหม่ และยังสามารถใช้เป็นแหล่งพลังงานไฟฟ้าสำรองเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน หรือ กรณีที่ไฟฟ้าดับเพราะ มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้เอง และยังสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่ที่พักอาศัยด้วยเทคโนโลยีระบบพลังงานแบบ Vehicle-to-Home (V2H) ได้นานถึง 10 วัน(5) สำหรับครัวเรือนทั่วไป โดยแบตเตอรี่ต้องถูกชาร์จไฟเต็มและมีน้ำมันเต็มถัง ดังนั้น มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี จึงถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการขับเคลื่อนในแบบที่ยั่งยืน เพราะเป็นยานยนต์ที่สามารถใช้งานได้จริง มีความทนทาน มีประสิทธิภาพ มีค่าใช้จ่ายที่ต่ำ และเป็นรถยนต์พีเอชอีวี สัญชาติญี่ปุ่นรุ่นแรกที่ถูกผลิตขึ้นในประเทศไทย เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าชาวไทยที่กำลังมองหารถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม   

 
Read More

อีซูซุ ได้รับรางวัลจากประเทศ ออสเตรเลีย

“อีซูซุดีแมคซ์” คว้ารางวัลรถยนต์แห่งปี 2021 ประเภทรถปิกอัพ 4 ประตูยอดเยี่ยม จากสื่อดังในประเทศออสเตรเลียdrive.com.au ซึ่งเป็นสื่อออนไลน์ด้านรถยนต์ชื่อดังในประเทศออสเตรเลีย  drive.com.au ตัดสินให้ “อีซูซุ ดีแมคซ์” เป็นผู้ชนะรางวัล “รถยนต์แห่งปี 2021” ประเภทรถปิกอัพ 4 ประตูยอดเยี่ยม จากไดร์ฟ (“2021 Drive Car of the Year Awards”, Best Dual Cab Ute Category) จากการตัดสินของคณะกรรมการซึ่งเป็นสื่อมวลชนผู้เชี่ยวชาญในวงการรถยนต์ออสเตรเลีย ด้วยการทดสอบสมรรถนะรถยนต์ทั้งบนสภาพถนนปกติและในสนามแข่ง โดยมีเกณฑ์การให้คะแนนด้านเทคโนโลยี ความปลอดภัย ประสบการณ์และความสะดวกสบายในการขับขี่ รวมถึงสมรรถนะ และการควบคุมรถ เป็นต้น ไดร์ฟ (Drive) กล่าวชื่นชม “อีซูซุดีแมคซ์” ว่าเป็นรถปิกอัพที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากที่สุดที่จำหน่ายในออสเตรเลียในขณะนี้ โดยมีการติดตั้งระบบความปลอดภัยอย่างครบครันเป็นมาตรฐาน และ “อีซูซุดีแมคซ์” ยังเป็นรถปิกอัพรายแรกในประเทศออสเตรเลียที่ได้รับการประเมินระดับสูงสุดห้าดาวจากสถาบันทดสอบความปลอดภัยหรือ ANCAP ซึ่งใช้หลักเกณฑ์การทดสอบล่าสุดที่เข้มงวดกว่าเดิม  นอกจากนี้ “อีซูซุดีแมคซ์” ยังช่วยสร้างสุนทรียภาพในการขับขี่ที่เหนือชั้น และสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการขับขี่ปิกอัพสไตล์ออฟโรด “อีซูซุดีแมคซ์” ยังมีสมรรถนะการปีนไต่ทางชันที่ดีเยี่ยมอีกด้วย  

 
Read More

บริดจสโตน ประเทศไทย สมทบทุนในการจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์

บริดจสโตน ประเทศไทย ร่วมบริจาคเงินสมทบทุนในการจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ สนับสนุนการทำงานของบุคลากร และอาสาสมัครในทุกภาคส่วนที่ปฏิบัติหน้าที่ในการรับมือกับวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในครั้งนี้ ให้แก่โรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ (โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ) สำหรับเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครในชุมชนคลองเตย มูลนิธิดวงประทีป และสำหรับรถ SWAB Mobile Unit มูลนิธิโรงพยาบาล   พระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร โดยบริดจสโตนขอร่วมเดินทางเคียงข้างคนไทยอย่างปลอดภัยร่วมฝ่าวิกฤตโควิด-19 ไปด้วยกัน    คุณนันธกา สาตราภัย ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล บริษัท ไทยบริดจสโตน จำกัด กล่าวว่า “ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด–19 ระลอกที่สามในประเทศไทย ที่มีปริมาณผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ทุกภาคส่วนของประเทศโดยต้องรับมือกับภาวะวิกฤตนี้อย่างเต็มกำลัง ทั้งความต้องการจากโรงพยาบาลสนามเพื่อให้พร้อมรองรับและดูแลผู้ป่วยอย่างดีที่สุด รวมถึงความต้องการด้านอุปกรณ์​ทางการแพทย์​ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งในตอนนี้ โดย บริดจสโตนประเทศไทย เราได้ดำเนินการสนับสนุนทางด้านการแพทย์อย่างต่อเนื่อง โดยครั้งนี้ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งกำลังใจให้บุคลากรและอาสาสมัครทุกภาคส่วนเพื่อให้สามารถปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังและปลอดภัย รวมทั้งขอเป็นอีกพลังใจให้คนไทยทุกคนฝ่าวิกฤตโควิด–19 ครั้งนี้ไปด้วยกัน”  ทั้งนี้ บริดจสโตน ประเทศไทย พร้อมทั้งพนักงานในเครือบริดจสโตน 4 บริษัทฯ คือ บริษัท ไทยบริดจสโตน จำกัดบริษัท บริดจสโตนเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท บริดจสโตน เอ.ซี.ที. (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท ทีบีเอสซีโลจิสติกส์จำกัด ได้ร่วมกันบริจาคเงินเพื่อสมทบทุนจัดซื้ออุปกรณ์ป้องกันโควิด-19 และชุด PPE สำหรับโรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์(โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ) จำนวน 219,750.50 บาท สำหรับเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครในชุมชนคลองเตยมูลนิธิดวงประทีป จำนวน 218,150.50 บาท และมอบเงินสมทบทุนสำหรับรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัย SWAB Mobile Unit ให้แก่ มูลนิธิโรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร จำนวน 115,651 บาท รวมทั้งสิ้นเป็นจำนวนเงิน 553,552 บาท  

 
Read More
Visit Us On FacebookVisit Us On TwitterVisit Us On YoutubeCheck Our Feed