นิสสัน อัลเมร่า แนะวิธีเตรียมรถ

การเตรียมความพร้อมก่อนการเดินทาง หลังจอดนานช่วงล็อกดาวน์ มีผลทำให้รถเสียหายได้ นิสสัน อัลเมร่า แนะวิธีเตรียมรถ เมื่อเริ่มคลายล็อกดาวน์ รวมถึงได้ฉีดวัคซีนกันบ้างแล้ว หลายคนเตรียมพร้อมอยากขับรถออกเดินทาง  นิสสัน อัลเมร่า จึงขอแนะนำการดูแลรถของเรา หลังจอดทิ้งไว้ที่บ้านเป็นเวลานาน เพื่อเตรียมตัว เตรียมรถให้พร้อมออกเดินทาง ปลอดภัยตลอดทริป ตรวจสอบรถสภาพรวมเบื้องต้น ก่อนที่จะนำรถออกมาใช้งาน ตรวจสอบด้วยสายตาอย่างรวดเร็วเพื่อให้แน่ใจว่ารถของคุณไม่มีรอยรั่ว ลมยาง หรือความเสียหายอื่น ๆ นอกจากนี้ ให้ตรวจสอบใต้ฝากระโปรงหน้าเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีน้ำมันเครื่องรั่ว รวมถึงน้ำมันเบรกและน้ำหล่อเย็นอยู่ในระดับที่เหมาะสม เช็กน้ำมันเครื่อง หากจอดรถเป็นเวลานาน ส่วนประกอบน้ำมันหล่อลื่นจะจมลงสู่ก้นถัง จึงควรดูให้แน่ใจว่าน้ำมันเครื่องมีเพียงพอก่อนที่จะออกเดินทาง และที่สำคัญควรสตาร์ทเครื่องยนต์เพื่อให้แน่ใจว่าการอ่านค่าต่างๆ และการทำงานยังแม่นยำก่อนที่น้ำมันจะหมุนเวียนอีกครั้ง ทำความสะอาดกระจกและที่ปัดน้ำฝน สละเวลาเล็กน้อยดูความเรียบร้อยของกระจกรอบคัน มองหารอยแยกบนใบปัดน้ำฝนด้วย ที่ปัดน้ำฝนอาจมีใบไม้หรือสิ่งสกปรกติดอยู่ ตรวจสอบกระจกว่าไม่มีรอยขีดข่วนหรือแตกร้าว เพราะการจอดรถทิ้งไว้นาน ๆ  อาจมีเศษฝุ่นติดอยู่ที่บานกระจก และค้างอยู่ที่ปัดน้ำฝน เจ้าของรถจึงควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าเมื่อใช้งานกระจกรถจะใสสะอาด เพื่อวิสัยทัศน์ที่ดีเมื่อออกเดินทาง ตรวจเช็กสภาพยางและลมยางให้พร้อม ตรวจสอบแรงดันลมยางและดูว่ายางสามารถขับได้หรือไม่ เมื่อจอดรถนานๆ ลมยางก็อาจลดลง ทำให้ยางแบน หากคิดว่าจะต้องจอดรถทิ้งไว้เป็นเวลานาน ทางที่ดีรถอาจควรเติมลมให้มากกว่าปกติ ประมาณ 5-10 PSI ก่อนนำรถไปจอดทิ้งไว้ กรณีที่ต้องจอดทิ้งไว้นานเกิน 1 เดือน ควรใช้แม่แรงยกรถให้สูงจากตัวพื้นทิ้งไว้เลย เพื่อป้องกันยางเสียรูป สัญญาณไฟ ไฟส่องสว่างของรถยนต์นั้นมีความสำคัญในการเดินทางเป็นอย่างมาก ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยในการขับขี่ของคุณให้ดียิ่งขึ้น ป้องกันอุบัติเหตุ ในบางครั้งเรายังจำเป็นต้องใช้สัญญาณไฟเพื่อขอความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมทางอีกด้วย ฉะนั้น เราจึงควรตรวจสอบหลอดไฟรอบคันว่าติดครบทุกดวง มีหลอดไฟขาดหรือไม่ ถ้าหลอดไฟขาดให้ทำการถอดเปลี่ยน ภายในรถ และแผงหน้าปัด ตรวจสอบการใช้งานกุญแจรถหรือปุ่มสตาร์ท และตรวจสอบไฟที่แผงหน้าปัด หากไฟไม่ติด แสดงว่าแบตเตอรี่หมด หรือมีขั้วต่อหลวมอยู่ใต้ฝากระโปรง ถ้าทุกอย่างเรียบร้อยดี ก็ถึงเวลาสตาร์ทรถแล้ว สำหรับ นิสสัน อัลเมร่า ถือเป็นรถซีดานอัจฉริยะให้ความคล่องตัว ด้วยเครื่องยนต์เทอร์โบ 1.0 ลิตร ตอบโจทย์การขับขี่ด้านการเร่งแซงที่ตอบสนองทันใจ  รวมถึงการประหยัดน้ำมันที่ดีเยี่ยม ภายในกว้างขวาง นั่งสบายที่เป็นมาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูงครบครัน เทียบเท่ารถยนต์ในเซ็กเมนต์ระดับพรีเมียม พร้อมดูแลความปลอดภัยไปกับคุณทุกเส้นทาง โดยล่าสุดยังได้เปิดตัวรุ่นตกแต่งพิเศษ “อัลเมร่า สปอร์ตเทค” ที่เพิ่มความสปอร์ตและพรีเมียม ทั้งภายนอกและภายใน ซึ่งลูกค้าที่สนใจ สอบถามเพิ่มเติมที่โชว์รูมนิสสันทั่วประเทศ หรือติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Nissan Call Center หมายเลข 02 401 9600  นอกจากการเช็กสภาพรถเบื้องต้นด้วยตัวเองแล้ว อย่าลืมนำรถของคุณตรวจเช็กสภาพรถยนต์จากผู้เชี่ยวชาญโดยตรงหรือการบำรุงรักษาตามระยะทางเมื่อครบกำหนดเวลา  สำหรับลูกค้านิสสัน สามารถนำรถเข้าตรวจเช็กที่ศูนย์บริการนิสสัน ทั่วประเทศ ซึ่งทางนิสสันได้มีการผ่อนผันโยบายการรับประกันรถยนต์ และการบำรุงรักษาตามระยะในช่วงที่มีสถานการณ์โควิด-19 เพื่อช่วยเหลือลูกค้าที่ต้องลดการเดินทางและการใช้รถยนต์อีกด้วย ดูรายละเอียดได้ที่https://bit.ly/3kJ0hIf  

 
Read More

Toyota Gazoo Racing GT Cup 2021 Thailand

ในรอบคัดเลือกตัวแทนประเทศไทย Toyota Gazoo Racing GT Cup 2021 โตโยต้า ประกาศผลผู้ชนะการแข่งขัน พร้อมสนับสนุนกีฬา e-Motorsports สู่การแข่งขันระดับโลก คุณสุรศักดิ์ สุทองวัน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัดร่วมแสดงความยินดีกับนักกีฬา e-Motrorsports ที่ผ่านเข้ารอบคัดเลือกตัวแทนประเทศไทย ในรายการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบเสมือนจริง “Toyota Gazoo Racing GT Cup 2021 Thailand” เพื่อเป็นตัวแทนประเทศไทย เข้าร่วมแข่งขันระดับเอเซียแปซิฟิค ณ Toyota Driving Experience Park บางนา กม.3 บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด มีนโยบายส่งเสริม และสนับสนุนการกีฬาของประเทศอย่างต่อเนื่อง ทั้งในรูปแบบของการสนับสนุนนักกีฬา ตั้งแต่ระดับเยาวชนต่อเนื่องไปจนถึงนักกีฬาระดับอาชีพ รวมไปถึงการเป็นผู้จัดการแข่งขัน และหนึ่งในนั้นคือกีฬา Motor Sport ที่โตโยต้าเป็นผู้บุกเบิกในประเทศไทย มากว่า 35 ปี ด้วยวัตถุประสงค์ในการสร้างประสบการณ์อันสนุกสนาน ให้แก่ผู้รักกีฬา Motor Sport พร้อมความมุ่งมั่นที่จะยกระดับวงการ Motor Sport ของไทยให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย  ส่งผลให้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำในวงการ Motor Sport ของไทยได้อย่างแท้จริง คุณสุรศักดิ์ สุทองวัน กล่าวว่า “โตโยต้ามีความเกี่ยวข้องกับกีฬามอเตอร์สปอร์ตมาอย่างยาวนาน โดยถือเป็นส่วนหนึ่งของปรัชญาโตโยต้าทั่วโลกในการ “พัฒนายนตรกรรมที่ดียิ่งกว่า” ตามแนวคิดที่ว่า “ถนนฝึกฝนคน และคนสร้างรถ” หรือ “Roads build people, and people build cars” จากแนวคิดดังกล่าวของ Toyota Gazoo Racing ได้เปิดมุมมองในการผลิตรถยนต์ให้เหนือความคาดหวังของลูกค้า ซึ่งความคิดริเริ่มนี้ได้รับการถ่ายทอดมาจาก DNA ของมอเตอร์สปอร์ตเพื่อส่งต่อไปยังการพัฒนารถยนต์รุ่นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรุ่น GR Series ในวันนี้โตโยต้าได้ต่อยอดความสำเร็จสู่วงการ  e-Motorsports เพื่อตอบรับกับการเปลี่ยนแปลงของเทรนด์โลก พร้อมเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ ผู้มีความชื่นชอบในกีฬาแข่งรถ ได้สัมผัสประสบการณ์อันตื่นเต้น    เร้าใจ กับความท้าทายใหม่ๆ ในโลกเสมือนจริง ภายใต้กิจกรรม e-Motorsports ของ ผ่านการแข่งขัน Toyota Gazoo Racing GT Cup 2021 ในเกม Gran Turismo Sport บน Play Station 4 และ 5 ด้วยการทดสอบสมรรถนะ ความสมดุล และความคล่องตัวของรถ Toyota GR ในหลากหลายรุ่น อาทิ รถสปอร์ตในตำนาน Toyota GR Supra หรือ รถสปอร์ตสายพันธุ์แชมป์แรลลี่โลก Toyota GR Yaris จนสามารถหานักแข่งที่ทำคะแนนสะสมได้สูงสุด  3 คน เป็นตัวแทนประเทศไทย เข้าร่วมการแข่งขันระดับ Asia pacific ในเดือนตุลาคม พร้อมรับเงินรางวัลพิเศษ รวมมูลค่าทั้งสิ้นกว่า 60,000 บาท”  การแข่งขัน e-Motorsports ถือเป็นหนึ่งในเสาหลักของ Toyota Gazoo Racing ซึ่งนำความเร้าใจมาสู่ผู้ที่ชื่นชอบรถและความตื่นเต้นให้กับผู้คนที่มองหาความท้าทายใหม่ๆ ในโลกเสมือนจริง และยังเป็นการสร้างประสบการณ์ และการเรียนรู้แบบ Real time จากกิจกรรม Motor sport ของ TOYOTA GAZOO Racing ผ่านระบบออนไลน์ สำหรับการแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศระดับประเทศ คือการแข่งขันในรูปแบบ One Make Race ในเกมส์ Gran Turismo Sport ของเครื่องPlayStation 4 และ 5 ซึ่งการแข่งขันชิงแชมป์ระดับประเทศนั้น จัดขึ้นใน 8 ประเทศ ได้แก่ ไทย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ อินเดียมาเลเซีย รวมถึง 3 ประเทศใหม่ที่เข้าร่วมแข่งขันในปีนี้ คือ เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย และพม่า โดยผู้ที่ผ่านรอบคัดเลือกในระดับประเทศ จะได้สิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันในระดับ Asia Pacific และระดับโลกในลำดับต่อไป สำหรับรายการ GR Supra GT Cup ถือเป็นรายการแข่งขันที่เฟ้นหานักแข่งรถในโลกเสมือนจริงที่มีฝีมือดีที่สุด รวมถึงยังเป็นรายการที่ได้รับความนิยมจากแฟนมอเตอร์สปอร์ต และ Gamer ตัวยงจากทั่วโลก มารวมตัวกันเพื่อสัมผัสประสบการณ์การแข่งขันรถยนต์กับโตโยต้าซึ่งในปีที่ผ่านมามีผู้เข้าชมการแข่งขันจากทั่วโลกกว่า 2.7 ล้านครั้ง ผลการแข่งขันกีฬา e-Motrorsports รอบคัดเลือกตัวแทนประเทศไทย…

 
Read More

ตลาดรถยนต์สิงหาคมอยู่ในช่วง Low season ยอดลดลง 38.8%

ตลาดรถยนต์เดือนสิงหาคม 2564 มีปริมาณการขาย 42,176 คัน ลดลง 38.8% โดยตลาดรถยนต์นั่งมีอัตราการเติบโตลดลง 35% ตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์มีอัตราการเติบโตลดลง 40.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาสืบเนื่องจากความวิตกกังวลต่อภาวะการระบาดของไวรัส COVID-19 ซึ่งเป็นการระบาดของสายพันธุ์ Delta ที่แพร่กระจายได้เร็วกว่าสายพันธุ์เดิม โดยจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ศูนย์บริหารสถานการณ์การโควิด-19 (ศบค.)ขยายพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดมากขึ้น เพื่อควบคุมการระบาดของไวรัส COVID-19 ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน และภาคธุรกิจต่างๆ ส่งผลให้ผูบริโภคส่วนใหญ่มีความวิตกกังวลต่อสถานการณ์ภายในประเทศและรัดกุมเรื่องการใช้จ่ายมากยิ่งขึ้น ประกอบกับช่วงฤดูฝนซึ่งเป็นช่วง Low season ที่เป็นอุปสรรคสำคัญในการขายรถยนต์อีกด้วย          ตลาดรถยนต์ในเดือนกันยายนมีแนวโน้มดีขึ้น เนื่องจากความกังวลต่อสถานการณ์การระบาดของไวรัส COVID-19 รวมทั้งการออกมาตรการควบคุมการระบาดของไวรัส COVID-19 เป็นปัจจัยสำคัญที่กระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้ต้องชะลอ หรือเลื่อนกำหนดการออกไป รวมไปถึงสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัดทำให้ประชาชนเดือดร้อนด้วยหลายเหตุปัจจัยต่างๆ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อเศรษฐกิจโดยรวม และกระทบความสามารถในการซื้อรถยนต์ของลูกค้าด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ดียังมีความหวังว่าสถานการณ์ต่างๆ จะฟื้นตัวดีขึ้นจากความพยายามของภาครัฐในการแก้ไขปัญหา และการประกาศผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ที่จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564 รวมทั้งมาตรการทางเศรษฐกิจ ที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน กระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างกำลังซื้อของผู้บริโภคให้ฟื้นคืนกลับมาโดยเร็ว คุณสุรศักดิ์ สุทองวัน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด รายงานสถิติการขายรถยนต์ประจำเดือนสิงหาคม 2564 ชะลอตัวทุกเซ็กเมนท์ในช่วง Low Season โดยมียอดขายรวมทั้งสิ้น 42,176 คันลดลง 38.8%ประกอบด้วย รถยนต์นั่ง 13,845 คัน ลดลง 35% รถยนต์เพื่อการพาณิชย์ 28,331 คัน ลดลง 40.5% ขณะที่ รถกระบะขนาด 1 ตัน ในเซกเมนท์นี้ มีจำนวน 21,875 คัน ลดลง 40.9% ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ เดือนสิงหาคม 2564 1.ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 42,176 คัน ลดลง 38.8% อันดับที่ 1 โตโยต้า     12,364 คัน   ลดลง        42.8% ส่วนแบ่งตลาด 29.3% อันดับที่ 2 อีซูซุ         11,035 คัน   ลดลง        33.4%   ส่วนแบ่งตลาด 26.2% อันดับที่ 3 ฮอนด้า      5,345 คัน    ลดลง        37.9%     ส่วนแบ่งตลาด 12.7% 2.ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 13,845 คัน ลดลง 35% อันดับที่ 1 ฮอนด้า       4,906 คัน    ลดลง       30.9%        ส่วนแบ่งตลาด 35.4% อันดับที่ 2 โตโยต้า     3,694 คัน    ลดลง       30.0%   ส่วนแบ่งตลาด 26.7% อันดับที่ 3 มาสด้า      1,061 คัน    ลดลง       49.6%   ส่วนแบ่งตลาด  7.7% 3.ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 28,331 คัน ลดลง 40.5% อันดับที่ 1 อีซูซุ         11,035 คัน   ลดลง       33.4%      ส่วนแบ่งตลาด 39.0% อันดับที่ 2 โตโยต้า     8,670 คัน    ลดลง      46.9%       ส่วนแบ่งตลาด 30.6% อันดับที่ 3 ฟอร์ด       2,012 คัน    ลดลง      23.3%       ส่วนแบ่งตลาด  7.1% 4.ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน  (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV*) ปริมาณการขาย 21,875 คัน ลดลง 40.9% อันดับที่ 1 อีซูซุ         9,638 คัน     ลดลง     36.9%       ส่วนแบ่งตลาด 44.1% อันดับที่ 2 โตโยต้า     7,754 คัน    ลดลง     42.8%       ส่วนแบ่งตลาด 35.4% อันดับที่ 3 ฟอร์ด       2,012 คัน    ลดลง     23.3%       ส่วนแบ่งตลาด  9.2% ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง (ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน) 2,487 คัน          โตโยต้า 1,114 คัน – อีซูซุ 687 คัน – มิตซูบิชิ 278 คัน – ฟอร์ด 250  คัน – นิสสัน 158 คัน 5.ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 19,388 คัน ลดลง 41.7% อันดับที่ 1 อีซูซุ         8,951 คัน     ลดลง       39.8%      ส่วนแบ่งตลาด 46.2% อันดับที่ 2 โตโยต้า     6,640 คัน    ลดลง       43.8%      ส่วนแบ่งตลาด 34.2% อันดับที่ 3 ฟอร์ด       1,762 คัน    ลดลง      15.7%       ส่วนแบ่งตลาด  9.1%                สถิติการจำหน่ายรถยนต์ เดือนมกราคม – สิงหาคม 2564 1.ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 467,809 คัน เพิ่มขึ้น 2.4%                             อันดับที่ 1 โตโยต้า     146,589 คัน เพิ่มขึ้น        9.9%     ส่วนแบ่งตลาด 31.3% อันดับที่ 2 อีซูซุ         117,880 คัน เพิ่มขึ้น        9.1%  ส่วนแบ่งตลาด  25.2% อันดับที่ 3 ฮอนด้า      55,018 คัน  ลดลง          1.7%     ส่วนแบ่งตลาด 11.8% 2.ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 150,885 คัน ลดลง 5.4%                                  อันดับที่ 1 ฮอนด้า      47,557 คัน  เพิ่มขึ้น       1.5%      ส่วนแบ่งตลาด 31.5% อันดับที่ 2 โตโยต้า     37,864 คัน  ลดลง        5.9%       ส่วนแบ่งตลาด 25.1% อันดับที่ 3 มาสด้า      13,235 คัน  ลดลง        9.4%       ส่วนแบ่งตลาด  8.8% 3.ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 316,924 คัน เพิ่มขึ้น 6.6%                             อันดับที่ 1 อีซูซุ         117,880 คัน เพิ่มขึ้น      9.1%       ส่วนแบ่งตลาด 37.2% อันดับที่ 2 โตโยต้า     108,725 คัน เพิ่มขึ้น     16.7%     ส่วนแบ่งตลาด 34.3% อันดับที่ 3 ฟอร์ด       20,429 คัน  เพิ่มขึ้น     24.1%     ส่วนแบ่งตลาด  6.4% 4.ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน  (Pure Pick up และ PPV) ปริมาณการขาย 246,625 คัน เพิ่มขึ้น4.4%                             อันดับที่ 1 อีซูซุ         107,060 คัน เพิ่มขึ้น       6.9%      ส่วนแบ่งตลาด 43.4% อันดับที่ 2 โตโยต้า     92,458 คัน   เพิ่มขึ้น      15.2% ส่วนแบ่งตลาด 37.5% อันดับที่ 3 ฟอร์ด       20,429 คัน   เพิ่มขึ้น      24.1% ส่วนแบ่งตลาด  8.3%          ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง (ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน) 33,123 คัน          โตโยต้า 14,525 คัน – อีซูซุ 11,022 คัน – มิตซูบิชิ 4,204 คัน – ฟอร์ด 3,015 คัน – นิสสัน 357 คัน 5.ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 213,502 คัน เพิ่มขึ้น 0.5% อันดับที่ 1 อีซูซุ         96,038 คัน   ลดลง          0.3%     ส่วนแบ่งตลาด 45.0% อันดับที่ 2 โตโยต้า     77,933 คัน   เพิ่มขึ้น        9.9%     ส่วนแบ่งตลาด 36.5% อันดับที่ 3 ฟอร์ด       17,414 คัน   เพิ่มขึ้น      30.0%     ส่วนแบ่งตลาด  8.2%     …

 
Read More

HONDA COME BACK

“ฮอนด้า” คัมแบ็กโพเดี้ยม “เบาติสต้า” แซงระห่ำคว้าที่ 3 เวิลด์ ซูเปอร์ไบค์ สนาม 10 อัลวาโร่ เบาติสต้า ยอดนักบิดสแปนิชจาก ทีม เอชอาร์ซี สร้างผลงานสุดร้อนแรงควบรถแข่ง Honda CBR1000RR-R หมายเลข 19 สตาร์ทกริดที่ 8 แซงระห่ำผงาดคว้าโพเดี้ยมอันดับ 3 ในศึก เวิลด์ ซูเปอร์ไบค์ แชมเปี้ยนชิพ สนาม 10 เรซที่ 2 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ที่ เซอร์กิโต เดเฆเรซ ประเทศสเปน ศึกจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก รายการ เวิลด์ ซูเปอร์ไบค์ แชมเปี้ยนชิพ 2021 สนาม 10 ต้องยกเลิกการแข่งขันในวันเสาร์เนื่องจากความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับนักบิดวัย 15 ปีชาวสแปนิชอย่าง ดีน เบร์ตา บีลาเลส ซึ่งเกิดอุบัติเหตุในรุ่น เวิลด์ ซูเปอร์สปอร์ต 300 ซีซี จนเสียชีวิตในช่วงค่ำของวันดังกล่าว โดยฝ่ายจัดการแข่งขันต้องยกเรซมาดวลกันในวันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน ที่ผ่านมา ซึ่งผลปรากฏว่า เบาติสต้า คว้าอันดับ 5 ในเรซแรกมาครอง ด้วยเวลาตามหลังผู้ชนะ 8.652 วินาที ส่วนทีมเมทชาวอังกฤษอย่าง ลีออน ฮาสลัม พารถแข่งหมายเลข 91 เข้าป้ายในอันดับ 11 ตามหลังแชมป์ 24.783 วินาที ส่วนในเรซที่ 2 ซึ่งดวลกันในช่วงค่ำตามเวลาประเทศไทย เบาติสต้า ที่แม้จะออกตัวจากกริดที่ 8 แต่สร้างผลงานสุดร้อนแรง ไล่แซงคู่แข่ง ทะยานเข้าป้ายอันดับ 3 คว้าโพเดี้ยมให้กับทีมได้อย่างยิ่งใหญ่ ตามหลังแชมป์เพียง 4.247 วินาที ส่วนฮาสลัม จบการแข่งขันในอันดับ 12 ตามหลังผู้ชนะ 27.266 วินาที ผ่านการแข่งขัน 10 สนาม เบาติสต้า ขยับขึ้นมารั้งอันดับ 9 บนตารางแชมเปี้ยนชิพ มีทั้งสิ้น 169 คะแนน ส่วน ฮาสลัมรั้งอันดับ 13 มี 104 คะแนน โดยสนามถัดไปของศึก เวิลด์ ซูเปอร์ไบค์ แชมเปี้ยนชิพ 2021 จะดวลความเร็วกันที่ อัลการ์ฟอินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ประเทศโปรตุเกส ระหว่างวันที่ 1-3 ตุลาคมนี้ พร้อมติดตามข่าวสารของนักบิดฮอนด้าได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ เรซ ทู เดอะ ดรีม : www.facebook.com/HondaRacingTeamTH #WhatStopsYou  #มุ่งไปอย่าให้อะไรมาหยุด #Honda  #HRC  #WSBK  #CBR1000RRR  #RaceToTheDream  #HondaRacingThailand  #MotorSport  

 
Read More

เหตุผลที่ มิตซูบิชิ แอททราจ และมิราจ เป็นซิตี้คาร์ที่เหมาะสำหรับไลฟ์สไตล์ในยุคชีวิตวิถีใหม่

นับจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้การใช้ชีวิต การทำงาน และการเดินทางสัญจรของเราไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป การดำเนินชีวิตทั้งหมดของเรามีการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่เราเรียกว่า ‘ความปกติใหม่’ หรือ ‘New Normal’ เราต้องเพิ่มการป้องกันตนเองในด้านสุขอนามัย และการเว้นระยะห่างทางสังคมเมื่ออยู่ในพื้นที่สาธารณะ พร้อมความเปลี่ยนแปลงในด้านการเดินทางสัญจร ที่ต้องหลีกเลี่ยงจากระบบขนส่งมวลชนที่ผู้ใช้บริการอย่างแออัด จึงส่งผลให้การเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนบุคคลมีความจำเป็นและสำคัญเพิ่มมากขึ้น และนี่คือ 5 เหตุผลที่ยืนยันว่าเพราะเหตุใด มิตซูบิชิ แอททราจ และมิราจ จึงเป็นซิตี้คาร์ที่เหมาะสำหรับไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ในช่วงเวลาแบบชีวิตวิถีใหม่นี้ 1.การเดินทางที่เหมาะสมในยุค ‘ชีวิตวิถีใหม่’ ถึงแม้ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยมีแนวโน้มที่ชะลอตัว แต่การเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนบุคคลกลับมีความสำคัญมากขึ้นเนื่องจากมีความปลอดภัยและเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในยุค ‘ชีวิตวิถีใหม่’ ที่ผู้คนต่างต้องรักษาระยะห่างทางสังคม เพื่อตอบสนองความต้องการรถยนต์ส่วนบุคคลที่เพิ่มสูงขึ้น มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย จึงขอแนะนำวิธีการเดินทางที่ชาญฉลาด ปลอดภัย และคุ้มค่าด้วย มิตซูบิชิ แอททราจ และมิราจ รถยนต์ซิตี้คาร์ที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้แก่คนเมืองในทุกช่วงอายุที่กำลังมองหาวิธีการเดินทางที่สะดวกสบายและคุ้มค่า มิตซูบิชิ แอททราจ และมิราจ ได้รับการออกแบบให้ตัวรถมีขนาดรถที่พอเหมาะสม มีความคล่องตัว และยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.2 ลิตร DOHC พร้อมระบบวาล์วแปรผัน MIVEC ที่ให้ความประหยัดและมีประสิทธิภาพสูงสุด   2.ครบครันด้วยสมาร์ทฟังก์ชั่นและเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ทันสมัย มิตซูบิชิ แอททราจ และมิราจ โดดเด่นด้วยฟังก์ชั่นอำนวยความสะดวกที่ครบครันสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันและการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงสุดสัปดาห์ ซิตี้คาร์ทั้งสองรุ่นมาพร้อมกับหน้าจอระบบสัมผัส Smartphone – Link Display Audio (SDA) ขนาด 7 นิ้ว ใหม่ ที่สามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนและรองรับระบบแอปเปิล คาร์เพลย์ พร้อมระบบสั่งการด้วยเสียง Siri และการเชื่อมต่อด้วยระบบบลูทูธ มิตซูบิชิ แอททราจ และมิราจ ยังครบครันและสะดวกสบายด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากมายเทียบเท่ากับรถซีดานระดับบน อาทิ ระบบล็อกความเร็วบนพวงมาลัย ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ ระบบกุญแจอัจฉริยะ KOS พร้อมปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ กล้องมองภาพหลังขณะถอยจอด กระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติ และระบบไฟหน้าอัตโนมัติ มิตซูบิชิแอททราจ และมิราจ ครบครันด้วยเทคโนโลยีระบบความปลอดภัยที่ทันสมัย ได้แก่ ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรงพร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว (FCM-LS) ระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะเมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็วเฉพาะด้านหน้า (RMS-Forward) ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (HSA) ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (ASC) และระบบป้องกันการลื่นไถล (TCL) มิตซูบิชิ แอททราจ และมิราจ มาพร้อมกับถุงลมนิรภัยคู่หน้าสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหน้ารวมถึงระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรก (ABS) พร้อมระบบกระจายแรงดันน้ำมันเบรกอิเล็กทรอนิกส์ (EBD) และระบบเสริมแรงเบรก (BA) ซึ่งทำงานประสานกันเพื่อมอบความมั่นใจให้ผู้ขับขี่บนทุกเส้นทาง รถยนต์ทั้งสองรุ่นยังติดตั้งระบบไฟกะพริบฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน (ESS) อีกด้วย 3.มั่นใจได้ทุกการขับขี่ รถยนต์ทุกรุ่นของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย มาพร้อมกับความมั่นใจทั้งในด้านคุณภาพ และค่าใช้จ่ายด้านบริการหลังการขายที่เหมาะสมภายใต้สโลแกน ‘เราดูแล คุณแค่ขับ’ ที่พร้อมให้บริการแก่ลูกค้าด้วยผู้จำหน่ายทั่วประเทศกว่า 240 แห่ง ด้วยการให้บริการที่ได้มาตรฐาน คุณภาพอะไหล่แท้ ให้บริการด้วยเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญและผ่านการฝึกอบรม ตลอดจนความสะดวกสบายในการเข้ารับบริการด้วยเครือข่ายผู้จำหน่ายที่ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ พร้อมกันนี้ลูกค้ายังจะได้รับแพ็คเกจบริการหลังการขาย ‘Mitsubishi Service Package’ประกอบด้วย ฟรีค่าบริการเช็คระยะ 5 ปี และฟรีบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 5 ปี โดยบริษัทฯ พร้อมยกระดับมาตรฐานการให้บริการหลังการขายเพิ่มขึ้นด้วยการมอบการรับประกัน 5 ปี และฟรีค่าแรงอีก 5 ปี ให้เป็นการรับประกันมาตรฐาน หรือมั่นใจยิ่งขึ้นด้วยออฟชั่นพิเศษ โปรแกรมขยายการรับประกันคุณภาพ Warranty Plus นานสูงสุดรวม 7 ปี เพื่อช่วยเพิ่มความมั่นใจให้แก่ลูกค้ามากยิ่งขึ้นด้วยค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาที่ไม่แพง และราคาขายต่อที่เหมาะสม 4.รางวัลการันตีความสำเร็จ มิตซูบิชิ แอททราจ และมิราจ สามารถคว้ารางวัล รถยนต์อีโคคาร์ 4 ประตู ราคาคุ้มค่ายอดเยี่ยม และรางวัล รถยนต์อีโคคาร์ ประหยัดน้ำมันยอดเยี่ยม ตามลำดับ โดยรถยนต์ซิตี้คาร์ทั้งสองรุ่นยังคงครองตำแหน่งรถยนต์ที่ได้รับรางวัลดังกล่าวมากที่สุดในเซกเมนต์จากการประกวดรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปีที่จัดขึ้นโดย บริษัทกรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเจ็ดรางวัลรถยอดเยี่ยมแห่งปี 2564 ที่ มิตซูบิชิ มอเตอร์สประเทศไทย ได้รับในปี 2564 นี้ ซึ่งครอบคลุมรถยนต์ทุกรุ่นที่จำหน่ายในประเทศไทย สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ที่มุ่งมั่นนำเสนอรถยนต์ที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าชาวไทย ทั้งในด้านสมรรถนะ ความปลอดภัย และคุณภาพ 5.ร่วมกันช่วยเหลือสังคมของพวกเรา ลูกค้าสามารถเลือกซื้อรถยนต์ มิตซูบิชิ ซิตี้คาร์ เพื่อการเดินทางที่คุ้มค่าพร้อมมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือสังคม เนื่องในโอกาสฉลองการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยครบ 60 ปี ของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ลูกค้าทุกท่านสามารถมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนของเราในแบบที่ยั่งยืน ด้วยการซื้อรถยนต์ มิตซูบิชิแอททราจ และมิราจ ‘สเปเชียล เอดิชั่น’ โดยบริษัทฯ จะบริจาคเงินจำนวน 2,000 บาทต่อคัน เพื่อร่วมบริจาคเงินให้แก่องค์กรการกุศลต่างๆ ตามปณิธาน 3 หัวข้อหลัก ได้แก่ ด้านการศึกษา ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านสุขอนามัยและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของคนไทย มิตซูบิชิ แอททราจ และมิราจ ยังคงมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ยอดเยี่ยมและตอบโจทย์ทุกการใช้งานด้วยคุณสมบัติที่เหนือกว่าและครบครันทั้งในด้านเทคโนโลยีระบบความปลอดภัย อุปกรณ์อำนวยความสะดวก พร้อมด้วยความมั่นใจในการขับขี่และยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยรถยนต์ซิตี้คาร์ทั้งสองรุ่นนี้ยังได้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยสร้างแรงบันดาลใจและร่วมค้นหาความสำเร็จใหม่ๆ ภายใต้แนวคิดแบรนด์ระดับโลก ‘Drive your Ambition’ มิตซูบิชิ มอเตอร์สประเทศไทย ขอนำเสนอรถยนต์ซิตี้คาร์ทั้ง มิตซูบิชิ แอททราจ และมิราจ รุ่นต่างๆ ดังนี้ ราคาจำหน่ายของมิตซูบิชิ แอททราจ        มิตซูบิชิ แอททราจ ACTIVE (M/T) 494,000 บาท        มิตซูบิชิ แอททราจ ACTIVE 529,000 บาท        มิตซูบิชิ แอททราจ Special Edition 543,000 บาท        มิตซูบิชิ แอททราจ SMART 584,000 บาท ราคาจำหน่ายของมิตซูบิชิ มิราจ        มิตซูบิชิ มิราจ ACTIVE (M/T) 474,000 บาท        มิตซูบิชิ มิราจ ACTIVE 509,000 บาท        มิตซูบิชิ มิราจ Special Edition 523,000 บาท        มิตซูบิชิ มิราจ SMART 579,000 บาท  

 
Read More

Mobil℠ Fleet Care

บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดตัวโปรแกรมระบบบริหาร ฟลีท Mobil℠ Fleet Care (MFC) พิเศษสำหรับลูกค้าผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นโมบิลแล้ววันนี้ เพื่อตอบโจทย์ผู้ประกอบการธุรกิจฟลีทด้วยข้อมูลที่ครอบคลุม ทั้งในด้านประสิทธิภาพการซ่อมบำรุงที่ตรงเวลา และ  เพื่อช่วยเพิ่มผลกำไรอีกด้วย คุณแยป เพ็ง อัน ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายขาย ผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า “การเปิดตัวโปรแกรม Mobil℠ Fleet Care  คือส่วนหนึ่งของคำมั่นสัญญาของเราในอุตสาหกรรมการขนส่งในหลายประเทศเพราะเราเข้าใจถึงปัญหาที่ผู้ประกอบการรถฟลีทพบเจอในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ประสิทธิภาพการทำงานของรถฟลีท และความปลอดภัยของคนขับ ดังนั้นเราจึงออกแบบโปรแกรมนี้ขึ้นโดยมีเป้าหมายเพื่อมอบระบบบริหารฟลีทที่ครบวงจร ทั้งด้านผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า และช่วยในการบริหารจัดการประสิทธิภาพและธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่หลายประเทศพบเจอวิกฤติจากโรคระบาด ที่เอ็กซอนโมบิล ลูกค้าคือหัวใจหลักของเรา เราจึงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาโปรแกรม อย่างรวดเร็วเพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถดูแลธุรกิจฟลีทอย่างครอบคลุมในโปรแกรมเดียว สามารถตอบโจทย์ความต้องการของอุตสาหกรรมการขนส่งในประเทศได้ นอกจากนั้น จากประสบการณ์อันยาวนาน พร้อมทั้งความร่วมมือของพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ เราจึงสามารถมอบระบบที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้รถฟลีท เพิ่มผลกำไรและเพิ่มการบริหารจัดการคนขับรถได้ดียิ่งขึ้น” โปรแกรม Mobil℠ Fleet Care เปิดตัวแล้วในประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ และไทย โดยคาดว่าจะขยายการใช้โปรแกรมในอนาคตไปยังประเทศอื่นๆในภูมิภาค โดย Mobil℠ Fleet Care เป็นโปรแกรมพิเศษสำหรับผู้ประกอบการที่ซื้อผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นโมบิลจากผู้แทนจำหน่ายโมบิลอย่างเป็นทางการเท่านั้น สอบถามรายละเอียด และข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรแกรม Mobil℠ Fleet Care ได้ที่ http://mobil.com/fleet-care-asean  

 
Read More

จีที-อาร์ซูเปอร์สปอร์ตคาร์

นิสสัน กรุงไทย ส่งมอบรถยนต์ระดับตำนานอย่างนิสสัน จีที-อาร์ ผู้ชื่นชอบในความเป็นซูเปอร์สปอร์ตคาร์ ที่มาจากงานวิศวกรรมยานยนต์ชั้นสูง และมีสมรรถนะระดับแนวหน้าเช่นเดียวกับซูเปอร์คาร์ นิสสัน จีที-อาร์ ผลิตด้วยความพิถีพิถันโดยวิศวกรผู้ชำนาญการโดยเฉพาะ และผู้จำหน่ายซูเปอร์สปอร์ตคาร์ของนิสสันอย่างเป็นทางการ จะต้องผ่านมาตรฐานการฝึกอบรมพิเศษเพื่อดูแลรถยนต์สมรรถสูงตลอดอายุการใช้งานเท่านั้น คุณสมิทธ์ จุฑานุกาล ลูกค้านิสสัน จีที–อาร์ ของนิสสัน กรุงไทย มั่นใจการเป็นผู้จำหน่าย และบริการของ NHPC อย่างเป็นทางการ ในวันส่งมอบรถ ณ นิสสัน กรุงไทย รามอินทรา กม.4 ซึ่งเป็นผู้ประกอบการธุรกิจนำเข้า และจำหน่ายนาฬิกาไฮเอน และเชี่ยวชาญในการดูแลงานฝีมือระดับมาสเตอร์พีซ เล่าถึงความชื่นชอบใน จีที-อาร์ ว่า “ผมและครอบครัวชื่นชอบ จีที-อาร์ มานานแล้ว โดยเฉพาะเรื่องของสมรรถนะที่ทำให้ประสบการณ์การขับขี่เร้าใจ ถึงแม้ดีไซน์ทั้งภายนอกและภายในจะเน้นที่ความสปอร์ต และความปลอดภัย แต่ก็ยังขับ ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวันได้อย่างสบาย และที่สำคัญ จีที-อาร์ เปรียบเสมือนที่สุดของวิศวกรรมยานยนต์ของประเทศญี่ปุ่น มีกรรมวิธีการผลิตอย่างประณีตพิถีพิถัน และยังเป็นรถยนต์ซูเปอร์สปอร์ตคาร์ที่เกียรติประวัติและชื่อเสียงมาอย่างยาวนานทั้งจากวงการมอเตอร์สปอร์ต และกลุ่มคนรักรถยนต์สมรรถนะสูง”  

 
Read More

BMW ผลิตยนตรกรรมครบ 200,000 คัน

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ผลิตยนตรกรรมรวมทั้งรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ครบ 200,000 คันหลังจากเปิดไลน์การผลิตมายาวนานกว่า 21 ปี นับเป็นยอดการผลิตที่ก้าวกระโดดขึ้นมาอย่างน่าประทับใจ หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการผลิตยนตรกรรรมครบ 100,000 คัน ในปี 2561 หรือภายในเวลาเพียงสามปีที่ผ่านมาเท่านั้น สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการอย่างต่อเนื่องที่เพิ่มขึ้นทั้งในและนอกประเทศ นอกจากนี้ โรงงานบีเอ็มดับเบิลยูในจังหวัดระยองยังยกระดับมาตรการป้องกันการแพร่เชื้อสูงสุดทั้งสำหรับพนักงานและการดำเนินการภายในพื้นที่เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของพนักงานและสามารถดำเนินการผลิตได้อย่างต่อเนื่อง มร.เอริค รูเก้ กรรมการผู้จัดการ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย กล่าวว่า “แม้ในปีที่ผ่านมาจะมีความท้าทายหลายประการ แต่เราได้เรียนรู้ที่จะปรับวิธีการทำงานในช่วงเวลาที่ห่วงโซ่อุปทานได้รับผลกระทบเป็นวงกว้างเช่นนี้ ด้วยการจัดการด้านการผลิตที่มีประสิทธิภาพและมีความยืดหยุ่น พร้อมมาตรการอันรัดกุมเพื่อปกป้องพนักงานและพาร์ทเนอร์ของเรา หมุดหมายการผลิตครบ 200,000 คันนี้ คือสัญลักษณ์ของความเข้มแข็งและความมุ่งมั่นของเรา ที่จะส่งมอบยนตรกรรมที่ดีที่สุดสู่ตลาดไทยและตลาดอื่น ๆ ในภูมิภาค”  

 
Read More

MAZDA CX-5 ต้นกำเนิดเทคโนโลยีสกายแอคทีฟ

รถอเนกประสงค์เอสยูวีมาสด้า CX-5 เจเนอเรชั่นแรก เผยโฉมสู่สาธารณชนครั้งแรกของโลกเมื่อเดือนพฤศจิกายน2555 ณ ประเทศญี่ปุ่น ทั่วโลกต่างตั้งข้อสงสัยว่าเหตุใดมาสด้าจึงเริ่มต้นการพัฒนาเทคโนโลยีและดีไซน์ใหม่ทั้งหมดลงไปยังรถอเนกประสงค์ ซึ่งขณะนั้นเป็นเซ็กเมนต์เล็กๆ แต่ในทางตรงกันข้ามมาสด้ากลับมองถึงโอกาสในอนาคตที่ต้องการสร้างความแตกต่าง กล้าที่ฉีกจะออกจากกฎเกณฑ์แบบเดิมๆ ที่สำคัญคือต้องเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคทั่วโลกให้หันมานิยมรถอเนกประสงค์มากขึ้น วันนี้สิ่งที่มาสด้าเล็งเห็นและลงมือบุกเบิกนั้นได้ส่งผลลัพธ์ต่อผู้บริโภคให้หันมานิยมรถอเนกประสงค์เอสยูวีมากขึ้นจนถึงปัจจุบันอย่างชัดเจน จากวันนั้นถึงวันนี้ การมุ่งพัฒนาครอสโอเวอร์เอสยูวีรุ่นแรกที่ถูกพัฒนาขึ้นภายใต้เทคโนโลยีสกายแอคทีฟ และการออกแบบจาก “โคโดะ ดีไซน์” Soul of Motion หรือจิตวิญญาณแห่งการเคลื่อนไหว เกิดจากการแสดงออกถึงความแข็งแกร่งมีพลังและความคล่องแคล่วปราดเปรียวของเสือซีต้าห์ที่กำลังตระคุบเหยื่อซึ่งเป็นทวงท่าที่สง่างาม นั่นคือแรงบันดาลใจของการออกแบบ รวมถึงความยอดเยี่ยมในทุกมิติจึงได้รับการตอบรับอย่างดียิ่งจากลูกค้าทั่วโลกภายในเวลาอันรวดเร็ว รวมถึงการคว้ารางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมจากประเทศญี่ปุ่น และรางวัลอันทรงเกียรติจากทั่วทุกมุมโลกมาครองได้มากมาย เดือนพฤศจิกายน 2556 คือการเดินทางมาถึงประเทศไทยเป็นครั้งแรกของ CX-5 เจเนอเรชั่นแรก พร้อมสร้างชื่อเสียงอย่างรวดเร็วเพียง 4 ปี มียอดขายสูงถึง 17,000 คัน Mazda CX-5 เจเนอเรชั่นแรกที่เปิดตัวในประเทศไทยถัดมาเดือนพฤศจิกายน 2560 คือการเดินทางมาของเจเนอเรชั่นที่ 2 ซึ่งแน่นอนว่าได้รับการตอบรับอย่างดีเช่นกัน กลายเป็นหนึ่งในรถอเนกประสงค์ที่ขายดีที่สุดของมาสด้า จนถึงปัจจุบันขายไปแล้วกว่า 15,000 คัน ที่สำคัญนอกจากในประเทศไทยแล้ว ลูกค้าทั่วโลกต่างให้การยอมรับสูงสุดเช่นเดียวกัน และมียอดขายสะสมมากกว่า 8 ล้านคัน Mazda CX-5 รุ่นปัจจุบันอะไรคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้มาสด้า CX-5 ประสบความสำเร็จมากมายเช่นนี้ แน่นอนว่าเกิดจากการนำเอาความสมบูรณ์แบบของเทคโนโลยีสกายแอคทีฟแพลตฟอร์มเจเนอเรชั่นใหม่ที่มาสด้าคิดค้นขึ้น เพื่อพัฒนาสมรรถนะของรถและเครื่องยนต์ที่ให้พละกำลังแรงแต่ประหยัดน้ำมัน มาผนวกเข้ากับการทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์ ระบบเกียร์ โครงสร้างตัวถัง และแชสซี ไว้ด้วยกัน เพื่อให้ทุกส่วนทำงานประสานสอดคล้องกันและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมกับการศึกษาเชิงสรีระ และธรรมชาติการเดินของมนุษย์มาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มความเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างคนกับรถที่สมบูรณ์แบบ และมอบความสะดวกสบายให้ผู้โดยสารตลอดการเดินทาง ด้วยเทคโนโลยีสกายแอคทีฟที่สร้างชื่อให้มาสด้า CX-5 ประกอบด้วยหัวใจหลักสำคัญดังต่อไปนี้ 1.จุดเริ่มต้นของความสำเร็จ ปฏิเสธไม่ได้ว่า แม่เหล็กสำคัญที่ดึงผู้บริโภคให้เข้าหามาสด้า คือ การนำเอาเทคโนโลยีสกายแอคทีฟมาใส่ไว้ในรถยนต์ทุกรุ่นในเจเนอเรชั่นที่ 6 ควบคู่ไปกับการนำแนวคิดการออกแบบที่เรียกว่า “โคโดะ ดีไซน์” (KODO Design) มาใช้ตั้งแต่ปี 2556 จนทำให้รถยนต์ของมาสด้าได้รับเสียงตอบรับอย่างดียิ่ง ทำให้มาสด้าสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้เกิดขึ้นในตลาดรถยนต์เมืองไทยและอาเซียนได้อย่างน่าสนใจต่อมามาสด้าได้นำเสนอธีมการออกแบบใหม่ล่าสุด คือ การสร้างเอกลักษณ์แบบเรียบหรูสง่างาม ELEGANCE เพื่อแสดงถึงคุณค่าแห่งสุนทรียศาสตร์สไตล์ญี่ปุ่น หรือความงดงามที่ละเอียดอ่อน หรูหรา สมบูรณ์แบบ ลดทอนองค์ประกอบที่มากเกินไปคงเหลือไว้แต่สิ่งที่สำคัญ ตามคอนเซ็ปต์ Less is more ซึ่งเป็นรากฐานทางวัฒนธรรมประเพณีของญี่ปุ่น เพื่อแสดงออกถึงความสง่าผ่าเผย มีเสน่ห์ดึงดูดใจ จนกลายเป็นภาพลักษณ์ยุคใหม่ของมาสด้า 2.เครื่องยนต์ SKYACTIV ENGINE มาสด้าเป็นค่ายแรกที่มีเครื่องยนต์ให้เลือกมากที่สุดถึง 3 เครื่องยนต์ เพิ่มทางเลือกให้ลูกค้าได้มากยิ่งขึ้นนอกจากเหนือจากกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบรถสไตล์เอสยูวี ขยายไปสู่กลุ่มลูกค้าที่ต้องการรถยนต์สมรรถนะสูงและการตอบสนองได้ดั่งใจ ประกอบด้วย SKYACTIV-G 2.5T เครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซิน เทอร์โบ 2.5 ให้กำลังสูงถึง 231 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 420 นิวตัน-เมตร มาพร้อมระบบเทอร์โบแบบ Dynamic Pressure ตอบสนองได้รวดเร็วและแม่นยำ อีกทั้งยังมีระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัตโนมัติ i-ACTIV AWD ที่ช่วยปรับระบบการขับขี่ให้เหมาะสมกับสภาพถนน นับเป็นอีกก้าวของความสำเร็จในการพัฒนาเครื่องยนต์สกายแอคทีฟ SKYACTIV-G 2.0 เครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซิน 2.0 เป็นนวัตกรรมของมาสด้าที่ใช้เทคโนโลยีที่ทำให้เครื่องยนต์สันดาปภายในฉีดเชื้อเพลิงเข้าสู่ห้องเผาไหม้โดยตรง ทำให้เกิดการเผาไหม้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยอัตราส่วนการอัดสูงถึง 14.0:1 ทำให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้น ได้แรงบิดเพิ่มขึ้นจากการทำงานของระบบ Direct Injection Spark Ignitions ที่เพิ่มประสิทธิภาพของส่วนผสมระหว่างน้ำมันกับอากาศจนได้การเผาไหม้ที่สมบูรณ์ ให้พละกำลังแรงถึง 165 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 210 นิวตัน-เมตร ประหยัดน้ำมันถึง 13.9 กม./ลิตร SKYACTIV-D 2.2 เครื่องยนต์สกายแอคทีฟคลีนดีเซลขนาด 2.2 ลิตร พร้อมเทอร์โบแปรผันแบบ 2 ขั้น ให้พละกำลังถึง 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร ประหยัดน้ำมันถึง 18.2 กม./ลิตร ได้รับการยกระดับเทคโนโลยี เช่น หัวฉีดแบบหลายรู ช่วยให้ฉีดน้ำมันได้อย่างแม่นยำ ลูกสูบเป็นร่องรูปไข่ที่ช่วยรักษาสภาวะการเผาไหม้ที่สมบูรณ์ ให้อัตราส่วนกำลังอัดต่ำสุดเพียง 14.4:1 มีน้ำหนักเบาและทนทานสูง ได้รับการพัฒนาให้ตัวรถมีน้ำหนักลดลงถึง 10% ปล่อยค่าไอเสียCO2 ลดลงถึง 20% และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 3.เกียร์อัตโนมัติ SKYACTIV-DRIVE แบบ 6 สปีด ถูกออกแบบเพื่อมอบสิ่งที่ดีที่สุดด้วยการรวมข้อดีของเกียร์อัตโนมัติทุกระบบเข้าไว้ด้วยกัน ให้การตอบสนองได้อย่างแม่นยํา การเปลี่ยนเกียร์ที่ราบรื่น ให้อัตราเร่งต่อเนื่อง และประหยัดน้ำมันในทุกรอบความเร็ว ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์เบนซินหรือดีเซลแรงบิดสูง ขณะออกตัวแรงเปลี่ยนเกียร์ได้รวดเร็ว และเร่งแซงได้อย่างนุ่มนวล 4.โครงสร้างตัวถัง SKYACTIV BODY ผลิตจากเหล็กกล้าคุณภาพสูง (High Tensile Steel) น้ำหนักเบา แข็งแกร่ง และทนต่อแรงบิดมากขึ้น มีความปลอดภัยขั้นสูงสุดหากเกิดการชนปะทะ ให้การควบคุมรถที่มั่นคงช่วยลดแรงสะเทือนจากถนนและกระจายแรงปะทะที่จะเข้าสู่ห้องโดยสารในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ รวมถึงช่วยประหยัดน้ำมันมากยิ่งขึ้น 5.ช่วงล่างและระบบบังคับเลี้ยว SKYACTIV-CHASSIS เทคโนโลยีช่วงล่างและระบบบังคับเลี้ยวเจเนอเรชั่นใหม่ที่พัฒนาให้มีน้ำหนักลดลง แต่ให้ความแข็งแกร่งและคล่องตัว ให้การควบคุมที่ดีในทุกช่วงความเร็ว ด้วยระบบบังคับเลี้ยวเจเนอเรชั่นใหม่ด้วยพลังงานไฟฟ้าช่วยให้ควบคุมได้ดั่งใจ รองรับแรงสั่นสะเทือนได้ดียิ่งขึ้น เพิ่มสมรรถนะในการขับขี่และรักษาสเถียรภาพในการทรงตัวได้อย่างเหนือชั้น รวมถึงช่วยเพิ่มประสบการณ์การขับขี่แบบ Jinba-ittai ที่ผสานความเป็นหนึ่งเดียวระหว่างผู้ขับขี่กับรถได้ดียิ่งขึ้น 6.ระบบควบคุมสมรรถนะการขับขี่อัฉริยะขั้นสูง G-Vectoring Control Plus (GVC Plus) มาสด้า CX-5 ได้รับการติดตั้งเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด G-Vectoring Control Plus ซึ่งเป็นหนึ่งในเทคโนโลยี SKYACTIV-VEHICLE DYNAMICS ที่พัฒนาต่อจากระบบ GVC ช่วยควบคุมสมรรถนะการขับขี่ให้แม่นยำและสมดุล โดยเฉพาะการเข้าโค้งและสถานการณ์ฉุกเฉินได้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้ผู้ขับขี่สัมผัสถึงความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างคนกับรถได้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น 7.ระบบ i-ACTIVSENSE ได้รับการพัฒนาให้มีความปลอดภัยระดับโลก ความปลอดภัยเชิงป้องกัน Mazda Proactive Safety เป็นวิธีการอันเข้มข้นในการเพิ่มสภาวะที่ผู้ขับขี่สามารถขับรถได้อย่างปลอดภัยให้ได้มากที่สุดและมั่นใจยิ่งขึ้น มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เกิดความสุขในการขับขี่ที่แท้จริงสำหรับลูกค้าทุกคน ฟังก์ชั่นและคุณลักษณะความปลอดภัยก่อนเกิดเหตุที่เพิ่มขึ้นใหม่ ทำให้เทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูงของมาสด้าช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถระบุความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นก่อน และลดโอกาสที่จะเกิดความเสียหายหรือการบาดเจ็บ รวมถึงการเริ่มนำเอาเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้เพื่อสนับสนุนการรับรู้และการขับขี่ที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น 8.KODO design ความสวยงามอันละเอียดอ่อนที่แสดงถึงความแข็งแกร่งอันประณีต การพัฒนา CX-5 มุ่งเป้าไปที่การกระตุ้นอารมณ์และความมีชีวิตชีวาอันทรงพลังภายใต้แนวคิด “Kodo design” Soul of Motion หรือจิตวิญญาณแห่งการเคลื่อนไหว มาต่อยอดไปสู่ระดับที่สูงขึ้นด้วยการสร้างความรู้สึกถึงความงามอย่างสดชื่นที่ดึงดูดความรู้สึกอ่อนไหว ด้วยความมุ่งมั่นในการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่บรรจงสรรสร้างขึ้น ทีมออกแบบมุ่งเน้นไปที่สุนทรียศาสตร์แบบญี่ปุ่นเริ่มต้นด้วยรูปแบบที่เรียบง่ายปราศจากชิ้นส่วนที่ไม่จำเป็นเฉกเช่นเดียวกับที่ใช้ในงานหัตถกรรมสไตล์ญี่ปุ่น โดยนำแนวคิด “ความแข็งแกร่งอันประณีต” มาใช้เป็นแกนหลัก ได้แก่ “รูปทรงที่ใหญ่โต” “รูปแบบที่สง่างาม” และ “ความลงตัวและงานตกแต่งที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด” เป็นแกนหลักในการออกแบบภายนอกและภายใน 9.เอกสิทธิ์เฉพาะมาสด้ากับสีแดง Soul Red Crystal มาสด้าได้สร้างสีสันของตัวถังให้สดใสและความลึกที่บริสุทธิ์ เพื่อสร้างความประทับใจเสมือนหนึ่งว่าได้ชาร์จพลังงานมาอย่างเต็มที่ด้วยสี Soul Red Crystal ด้วยความเชื่อที่ว่าสีคือองค์ประกอบสำคัญของการออกแบบ มาสด้าได้พัฒนาคุณลักษณะนี้อีกครั้งเพื่อให้เห็นถึงความสวยงามและคุณภาพของรูปทรงของตัวถังตาม Kodo design ด้วยการเพิ่มระดับความสว่างและเพิ่มความลึกของสีให้ดูมีมิติมากขึ้น ใช้การเคลือบสีสามชั้น ได้แก่ชั้นสะท้อนแสง ชั้นโปร่งแสง และเคลือบใสด้านบน เป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญของเทคโนโลยีการพ่นสี TAKUMINURI เพื่อให้ได้สีแดงที่สดใสขึ้น ชั้นโปร่งแสงใช้เม็ดสีที่มีความเข้มสูง พัฒนาขึ้นโดยพิจารณาถึงลักษณะทางกายภาพของแสงชั้นสะท้อนแสงเป็นทินเนอร์และใช้เกล็ดอลูมิเนียมขนาดเล็กที่มีความสว่างสูง ตลอดจนเกล็ดที่ดูดซับแสงบนพื้นผิวของตัวถัง ผลลัพธ์ที่ได้คือการสะท้อนที่ก่อให้เกิดไฮไลท์ของแสงและเงาที่สดใสดูมีมิติ นอกจากคุณภาพที่อัดแน่นจากเทคโนโลยีสกายแอคทีฟแล้ว ยังมีองค์ประกอบอื่นที่สนับสนุนให้ CX-5 ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบที่เรียบง่ายแต่งดงาม เทคโนโลยีความปลอดภัยระดับโลก สมรรถนะการขับขี่ที่ทั้งแรงและประหยัดน้ำมัน อุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายครบครัน เทคโนโลยีการติดต่อสื่อสาร Mazda Connect ที่ช่วยให้ไม่พลาดทุกการสื่อสาร จึงทำให้ CX-5 สามารถครองใจลูกค้าจากทั่วทุกมุมทั่วโลกมาจนถึงทุกวันนี้ ตลอดจนการคว้ารางวัลการันตีความสำเร็จมาแล้วมากมายจากเวทีระดับนานาชาติรวมถึงในประเทศไทยด้วยเช่นกัน  

 
Read More
Visit Us On FacebookVisit Us On TwitterVisit Us On YoutubeCheck Our Feed