เอ็ม เอ เอ็น ทรัค แอนด์ บัส ประเทศไทย ผู้นำนวัตกรรมด้านยานยนต์เพื่อการพาณิชย์ชั้นนำจากประเทศเยอรมนี เอ็น เผยความสำเร็จของแบรนด์ในการขยายตลาดรวมถึงยอดขายรถบรรทุกในประเทศไทยที่เติบโตขึ้นกว่า 81% ในช่วงครึ่งปีแรกของ 2564 แม้เกิดวิฤตโควิด-19 โดยที่ผ่านมา เอ็ม เอ เอ็น ได้รับกระแสตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่องจากลูกค้าผู้ประกอบการไทยหลังจากเปิดตัวรถบรรทุกหัวลากเรือธงทั้ง 3 รุ่น รุ่น TGS 6×4 360 แรงม้า TGS 6×4 400 แรงม้า และ TGS 6×4 440 แรงม้า พร้อมเผยเป้าหมายสร้างยอดขาย 100 คัน ภายในปี 2564 และแผนดำเนินการธุรกิจที่มุ่งมอบบริการหลังการขายแบบครบครันด้วยมาตรฐานระดับโลก เร่งเดินหน้าขยายโชว์รูมและศูนย์บริการทั่วประเทศไทย เพื่อส่งเสริมธุรกิจของผู้ประกอบการและรองรับอนาคตการเติบโตของ เอ็ม เอ เอ็น และตลาดรถบรรทุกในประเทศไทย เอ็ม เอ เอ็นได้เข้ามาตีตลาดในประเทศไทยและส่งมอบรถบรรทุกสัญชาติเยอรมันให้กับผู้ประกอบการไทยครั้งแรกในปี 2550 ซึ่งเอ็ม เอ เอ็นได้เดินหน้าสร้างธุรกิจและขยายฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในช่วงต้นปี 2564 นี้ เอ็ม เอ เอ็นเติบโตและประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยปัจจุบันเอ็ม เอ เอ็น มีส่วนแบ่งทางการตลาดรถบรรทุกยุโรปในประเทศไทยกว่า 21% นอกจากนี้ เอ็ม เอ เอ็น ได้สร้างช่องทางในการอัพเดทข่าวสารและสื่อสารกับลูกค้าและคนรักรถบรรทุกเอ็ม เอ เอ็นอย่างต่อเนื่อง ผ่านเพจเฟซบุ๊ก MAN Truck & Bus Thailand จนปัจจุบันมีจำนวนผู้ติดตามกว่าหมื่นคน รวมถึงมีช่องทางสื่อสารอื่นๆ ได้แก่ เว็บไซต์, YouTube และ อินสตาแกรม
Month: August 2021
เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตรจากฟอร์ด
ฟอร์ด ออกแบบเครื่องยนต์ เพื่อพิชิตทุกเส้นทางสุดท้าทาย แต่ก่อนเมื่อพูดถึงรถกระบะ สมรรถนะและความทนทานคือซึ่งที่ผู้บริโภคมักมองหาเป็นสิ่งแรก แต่ปัจจุบัน สิ่งที่ผู้ซื้อรถและนักขับสายออฟโร้ดต้องการยังรวมถึงอัตราการประหยัดน้ำมันด้วย เครื่องยนต์ขนาดเล็กที่มีประสิทธิภาพสูงจึงเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ และสำหรับฟอร์ด การผสมผสานเครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบคู่ ขนาด 2.0 ลิตร เข้ากับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด คือความลงตัวของสมรรถนะ ความทนทานและการประหยัดน้ำมันในแบบที่ผู้ขับขี่ในวันนี้ต้องการ เครื่องยนต์เทอร์โบคู่ของฟอร์ดประกอบด้วยเทอร์โบชาร์จเจอร์ 2 ตัว ตัวเล็กหนึ่งและตัวใหญ่หนึ่ง เมื่อขับที่รอบเครื่องต่ำ เทอร์โบทั้งสองจะทำงานแบบต่อเนื่องและสอดประสานกัน เพื่อเพิ่มแรงบิดและการตอบสนองของเครื่องยนต์อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อความเร็วรอบเครื่องยนต์สูงขึ้น เทอร์โบแรงดันต่ำที่มีขนาดใหญ่กว่าจะเข้ามาทำงานแทนเทอร์โบแรงดันสูงทั้งหมด ทำให้รถมีพละกำลังมากขึ้น ฟอร์ดนำเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบมาใช้ครั้งแรกในรถกระบะสมรรถนะสูง ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ ที่เปิดตัวครั้งแรกในปี พ.ศ. 2561 เมื่อจับคู่กับระบบเกียรค์อัตโนมัติ 10 สปีด ให้พละกำลังสูงสุด 210 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ที่รอบต่ำเพียง 1750 รอบต่อนาที นี่จึงเป็นระบบส่งกำลังที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยนำมาใช้ในรถกระบะฟอร์ด เรนเจอร์ รวมถึงรถยนต์นั่งแบบอเนกประสงค์ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ รวมถึงรถฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ X รุ่นล่าสุดที่ฟอร์ดเพิ่งเปิดตัวในประเทศไทยเมื่อตอนต้นเดือนกรกฎาคม นอกจากพละกำลังแรงแล้ว ความทนทานในการใช้งานยังสำคัญไม่แพ้กัน เครื่องยนต์แบบเทอร์โบคู่ของฟอร์ด ได้รับการออกแบบให้รองรับการใช้สุดโหดมาตั้งแต่แรก โดยวิศวกรของฟอร์ดได้ทดสอบเครื่องยนต์เทอร์โบคู่นี้เป็นระยะทางรวมถึง 5.5 ล้านกิโลเมตร ซึ่งเทียบเท่ากับการขับรถจากพื้นโลกไปยังดวงจันทร์ถึง 14 รอบ ฟอร์ดยังนำระบบคอมพิวเตอร์ช่วยงานด้านวิศวกรรมมาใช้ในทุกขั้นตอนของการพัฒนา และวิเคราะห์เครื่องยนต์อย่างละเอียดทั้งจากการทดสอบในห้องปฏิบัติการและบนสนามทดสอบรถยนต์ของฟอร์ดทั่วโลก หนึ่งตัวอย่างของการทดสอบสุดโหดคือการทดสอบการต้านทานต่อความร้อน ด้วยการเพิ่มความร้อนให้เทอร์โบทั้งคู่จนถึงระดับร้อนจัดเป็นเวลาต่อเนื่อง 200 ชั่วโมง ชิ้นส่วนของเทอร์โบและท่อร่วมไอเสียทำจากโลหะผสมคุณภาพเยี่ยมซึ่งเป็นวัสดุเดียวกันกับที่ใช้ในเครื่องยนต์ของจรวด ได้รับการออกแบบให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดที่อุณหภูมิสูงถึง 860 องศาเซลเซียส ซึ่งร้อนกว่าการใช้งานจริงอย่างมาก โดยมีน้ำช่วยระบายความร้อนตลับลูกปืนเทอร์โบและเทอร์โบแรงดันต่ำขนาดใหญ่เพื่อลดอุณหภูมิและปกป้องชิ้นส่วนต่างๆ แล้วเพราะอะไรฟอร์ดถึงเลือกออกแบบเครื่องยนต์แบบเทอร์โบคู่? คำตอบง่ายๆ คือ การทำงานเป็นชุดของเทอร์โบขนาดต่างกันสองตัว ทำให้ได้แรงดันเทอร์โบเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ ส่งผลให้ได้สมรรถนะที่ดีทั้งในความเร็วต่ำและความเร็วสูง ขณะเดียวกันก็มอบอัตราการประหยัดน้ำมันและความรู้สึกในการขับขี่ที่ดี การใช้งานเทอร์โบคู่จึงเป็นการลดขนาดของเครื่องยนต์ลงโดยไม่ลดทอนประสิทธิภาพการใช้งาน เครื่องยนต์เทอร์โบคู่ของฟอร์ดยังได้รับการพัฒนาให้ทำงานร่วมกับระบบเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ที่ผ่านบททดสอบสุดหฤโหดมาไม่น้อยกว่ากัน ด้วยการทดสอบความทนทานในการขับขี่ระยะทางรวมกว่า 6 ล้านกิโลเมตร ผ่านการประเมินโดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์ช่วยงานวิศวกรรมกว่า 800 รูปแบบ เพื่อให้มั่นใจในความแข็งแกร่งและความทนทาน ตลอดจนผ่านการทดสอบบนไดนาโมมิเตอร์และการทดสอบอีกหลายรูปแบบ ระบบควบคุมการทำงานของระบบส่งกำลังแบบอิเล็กทรอนิกส์ที่พัฒนาขึ้นสำหรับเกียร์นี้มีอัลกอริธึมควบคุมการเปลี่ยนเกียร์แบบเรียลไทม์ เพื่อช่วยให้มั่นใจได้ว่ารถจะอยู่ในเกียร์ที่ถูกต้องในเวลาที่เหมาะสมเสมอ อัตราทดของเกียร์ 10 สปีด ที่มีช่วงทดชิดกันช่วยให้ส่งกำลังได้สม่ำเสมอ การเว้นระยะระหว่างการเปลี่ยนเกียร์ให้น้อยที่สุดทำให้จังหวะเร่งความเร็วเป็นไปได้อย่างราบรื่น ตอบสนองต่อการเร่ง ไม่ว่าคุณจะอยู่บนทางหลวง ขับขึ้นทางสูงชัน หรือลากจูง ช่องว่างระหว่างช่วงทดที่น้อยลงยังช่วยให้รถมีสมรรถนะที่ดีเยี่ยมที่รอบต่ำ การออกแบบ พัฒนา และทดสอบเครื่องยนต์เทอร์โบคู่ รวมถึงเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีดอัจฉริยะ ช่วยให้ผู้ขับขี่มั่นใจได้ว่าฟอร์ด เรนเจอร์, ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ เอ็กซ์ และฟอร์ด เอเวอเรสต์ จะมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ตอบสนองทุกรูปการใช้งาน ไม่ว่าคุณจะอยู่บนถนนเส้นทางวิบาก ลากจูงรถพ่วง หรือการใช้งานในเมือง อีกสิ่งที่โดดเด่นของเครื่องยนต์ดีเซล ขนาด 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ และเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด คือ ประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิง ด้วยอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต่ำสุดถึง 6.9 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ขึ้นอยู่กับรุ่นย่อยของรถ นั่นหมายความว่า นอกจากคุณจะได้เครื่องยนต์ที่แข็งแกร่งและทนทานแล้ว ยังได้รถคู่ใจที่พร้อมลุยไปทุกที่กับคุณแบบสบายกระเป๋าด้วย
โตโยต้า แสดงความยินดี “น้องเทนนิส”
นางสาวพาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ คว้าเหรียญทองประวัติศาสตร์ให้วงการเทควันโด เหรียญทองแรกของทัพนักกีฬาไทยในโอลิมปิกเกมส์ โตเกียว 2020 บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ร่วมแสดงความยินดีกับ “น้องเทนนิส” พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ ที่สามารถคว้าเหรียญทองจากการแข่งขันเทควันโดหญิง รุ่นน้ำหนักไม่เกิน 49 กิโลกรัม ในมหกรรมกีฬาโอลิมปิกเกมส์ โตเกียว 2020 สร้างประวัติศาสตร์ให้กับวงการกีฬาเทควันโด มอบความสุขให้กับคนไทย และเป็นขวัญกำลังใจให้กับทัพนักกีฬาไทยทุกคน คุณสุรศักดิ์ สุทองวัน รองกรรมการผู้จัดใหญ่ เปิดเผยว่า “ภายใต้ความตั้งใจที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนารากฐานของวงการกีฬาไทยให้เข้มแข็ง และพัฒนาศักยภาพนักกีฬาทีมชาติไทยให้สามารถก้าวเข้าสู่การแข่งขันระดับโลก ในวันนี้โตโยต้ามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จของนักกีฬาเทควันโดทีมชาติไทย “น้องเทนนิส” พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ ที่ประสบความสำเร็จคว้าเหรียญทองแรกในมหกรรมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเกมส์ โตเกียว 2020 พร้อมสร้างประวัติศาสตร์ให้กับวงการกีฬาเทควันโดของประเทศ” น้องเทนนิส” พาณิภัค เป็นหนึ่งในสองนักกีฬาไทย ในโครงการ Global Team Toyota Athletes (GTTA) ที่ได้รับการสนับสนุนจาก บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นโครงการที่จัดตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนตัวแทนนักกีฬาจากทั่วโลกให้ไปถึงจุดหมาย สามารถคว้าชัยในการแข่งขันครั้งนี้ สอดคล้องกับแนวคิดขององค์กรโตโยต้า “START YOUR IMPOSSIBLE” ที่สนับสนุนนักกีฬาผู้เป็นต้นแบบที่มุ่งมั่นในการทำในสิ่งที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้…ให้เป็นไปได้ นายสุรศักดิ์ สุทองวัน รองกรรมการผู้จัดใหญ่ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ผมขอร่วมแสดงความยินดีและขอบคุณฮีโร่นักกีฬาหญิง“น้องเทนนิส” พาณิภัค ที่ได้มอบความสุข และความภาคภูมิใจ เป็นของขวัญให้กับคนไทยทุกคน ท่ามกลางสถานการณ์อันยากลำบากในขณะนี้ นอกจากนี้ยังเป็นแบบอย่างที่ดีในการสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนไทย ผ่านความมุ่งมั่นเพื่อทำความฝันของตนเองให้เป็นจริง ด้วยปณิธานอันแน่วแน่สู่การเป็นนักกีฬาเทควันโดที่ประสบความสำเร็จและได้รับการยอมรับในระดับสากล เรามาร่วมกันส่งแรงใจเชียร์ทัพนักกีฬาไทยให้คว้าเหรียญรางวัลจากการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกส์ครั้งนี้ให้ได้มากที่สุด”
เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประกาศปรับกลยุทธ์การตลาด
เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ประกาศปรับกลยุทธ์เพิ่มประสิทธิภาพในการขาย (retail optimization strategy) เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจอย่างต่อเนื่อง และเตรียมความพร้อมให้ศูนย์บริการสำหรับการกำหนดกลยุทธ์ใหม่รับการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต ภายใต้ความมุ่งมั่นที่จะให้บริการผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ พร้อมนำเสนอซับแบรนด์ที่หลากหลายให้ผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ผ่านการผสานช่องทางการขายทั้งออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน ทั้งนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างความร่วมมือและให้การสนับสนุนด้านกลยุทธ์แก่ผู้จำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์อย่างเป็นทางการทั่วประเทศผ่านกลยุทธ์ใหม่นี้ มร.โรลันด์ โฟล์เกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส–เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ไม่ว่าจะมีสถานการณ์โควิด-19 หรือไม่ ต้องยอมรับว่าอุตสาหกรรมยานยนต์เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นมากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วทั่วโลก ทุกวันนี้ผู้บริโภคสามารถค้นหาข้อมูลผลิตภัณฑ์ทุกอย่างได้ทางออนไลน์ นี่จึงเป็นที่มาให้เมอร์เซเดส-เบนซ์ตัดสินใจประกาศจุดยืนเพื่อการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีดิจิทัลมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ทั้งนี้ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการปรับทิศทางการทำธุรกิจในรูปแบบของการเพิ่มความหลากหลายทางการขายและการบริการ เมอร์เซเดส-เบนซ์สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้บริโภคและขั้นตอนการซื้อรถยนต์ของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง จากการวิจัยของเรา ลูกค้ามากถึง 97% เลือกค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับรถยนต์ผ่านช่องทางออนไลน์ก่อนมาที่โชว์รูม และลูกค้าจำนวน 50% ยังเลือกสำรวจรายละเอียดของรถยนต์แบบดิจิทัล (digital navigation) ก่อนมาชมรถยนต์คันจริง นั่นหมายความว่า การสื่อสารอย่างใกล้ชิดกับลูกค้าผ่านช่องทางออนไลน์ก่อนที่จะเชื่อมต่อลูกค้ามายังศูนย์บริการเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับเมอร์เซเดส-เบนซ์ ซึ่งด้วยแรงผลักดันจากความเปลี่ยนแปลงในเรื่องพฤติกรรมของลูกค้า การเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัล และการฟื้นตัวหลังสถานการณ์โควิด-19 เมอร์เซเดส-เบนซ์จึงวางเป้าหมายที่จะรีเซ็ตเครือข่ายของเราเพื่อรองรับการขายในรูปแบบใหม่ และเพราะความกล้าในการก้าวข้ามขีดจำกัดเป็นส่วนหนึ่งในดีเอ็นเอของเมอร์เซเดส-เบนซ์มาตลอดอยู่แล้ว ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของเราที่จะกล้าลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลง เพื่อเตรียมความพร้อมในการดำเนิน กลยุทธ์การขายใหม่ในครั้งนี้” เมอร์เซเดส-เบนซ์ตั้งเป้าเพิ่มความหลากหลายของการขายและการบริการภายใต้หลักการของความยั่งยืน เพื่อขับเคลื่อนวิธีการดำเนินธุรกิจรูปแบบใหม่ใน 5 ส่วน ได้แก่ –การคิดและทำในสไตล์แบรนด์ลักชัวรี – ด้วยพฤติกรรมการซื้อและการเป็นเจ้าของแบรนด์ลักชัวรีของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เมอร์เซเดส-เบนซ์จึงพร้อมเสนอแนวทางใหม่ในการทำธุรกิจเพื่อตอบรับความคาดหวังของผู้บริโภคให้ดียิ่งขึ้น –มุ่งเน้นไปที่การเติบโตอย่างมีกำไร – ด้วยความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัล ทั้งในส่วนของการขาย การวางแผนการผลิต และการจัดการด้านลอจิสติกส์ ช่วยให้เมอร์เซเดส-เบนซ์พร้อมสำหรับแผนการเติบโตรูปแบบใหม่ –ขยายฐานลูกค้าด้วยการขยายซับแบรนด์ – ด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลายในพอร์ตโฟลิโอของเรา โดยเฉพาะรถยนต์พลังงานไฟฟ้าทั้งรุ่น EV และ PHEV เมอร์เซเดส-เบนซ์จะโฟกัสไปที่การสื่อสารกับผู้บริโภคอย่างใกล้ชิดมากขึ้นและเตรียมทั้งผลิตภัณฑ์และอะไหล่ไว้รองรับความต้องการให้เพียงพอ –รักษาฐานลูกค้าพร้อมเพิ่มรายได้ – การสร้างความใกล้ชิดกับลูกค้าผ่านช่องทางออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 นับว่าประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยม เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังพร้อมสานต่อการขายและการบริการสู่ช่องทางออฟไลน์ที่ศูนย์บริการได้อย่างต่อเนื่องและราบรื่น ภายใต้ความร่วมมือกับเครือข่ายผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการทั่วประเทศ –ปรับฐานต้นทุนให้ต่ำลงแต่ช่วยยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ – ซึ่งนำไปสู่นโยบายการเพิ่มประสิทธิภาพในการขายของโชว์รูมพร้อมมาตรการสนับสนุน ภายใต้กลยุทธ์การเพิ่มประสิทธิภาพการขายและการบริการแบบใหม่ สิ่งที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ตั้งเป้าหมายไว้คือการเพิ่มปริมาณการขายต่อจุดขายและบุคลากร ตลอดจนการเพิ่มการเติบโตของธุรกิจผ่านช่องทางออนไลน์ควบคู่ไปกับการเติบโตของศูนย์บริการ เมอร์เซเดส-เบนซ์พร้อมเพิ่มความหลากหลายในรูปแบบการขาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพิ่มศูนย์บริการเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น อันเป็นผลมาจากการเติบโตของยอดขายรถยนต์ใหม่อย่างต่อเนื่อง เมอร์เซเดส-เบนซ์ยืนยันว่า โชว์รูมและศูนย์บริการจะยังคงเป็นส่วนสำคัญของธุรกิจ แต่เราต้องปรับบทบาทใหม่ โดยเปลี่ยนโชว์รูมให้กลาย touchpoint ที่ช่วย “เติมเต็มประสบการณ์” และให้ลูกค้า “สามารถกำหนดทุกอย่างได้ตามความต้องการ” ซึ่งภายใต้ทิศทางใหม่นี้ ลูกค้าจะสามารถเชื่อมต่อกับแบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้ก่อนผ่านช่องทางออนไลน์ ก่อนที่แบรนด์จะพาลูกค้าเชื่อมต่อไปยังช่องทางออฟไลน์ที่โชว์รูมและศูนย์บริการได้อย่างไร้รอยต่อ ซึ่งนี่คือวิธีการที่เมอร์เซเดส-เบนซ์สามารถบริหารงานได้อย่างมีความยืดหยุ่นและสะดวกขึ้นสำหรับลูกค้า ทั้งยังเป็นการบริหารงานที่มีความยั่งยืนมากขึ้นสำหรับพันธมิตรในระยะยาว
Freedom Stories
การออกทริปมอเตอร์ไซค์ครั้งแรกของคุณได้หรือไม่ ครั้งแรกที่คุณได้พารถมอเตอร์ไซค์ฮาร์ลีย์-เดวิดสันคู่ใจออกไปผจญโลกกว้าง ฮาร์ลีย์-เดวิดสันเอเชีย ขอเชิญชวนเหล่านักขับขี่มาร่วมแชร์ประสบการณ์การผจญภัยไปกับโครงการFreedom Stories Asia 2.0 ของเรา Freedom Stories Asia 2.0 นำเสนอเรื่องราวสร้างแรงบันดาลใจของนักขับขี่จากทั่วทุกมุมโลกที่รักอิสรภาพ เปิดตัวพร้อมกับแคมเปญทางโซเชียลมีเดีย ภายใต้ชื่อ #HDFreedomStoriesAsia มุ่งเฟ้นหาผู้มีใจรักในอิสรภาพและการผจญภัยเพื่อมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในวิดีโอของเรา เพียงแค่คุณร่วมลงทะเบียนแสดงความสนใจ และเล่าเรื่องราวการผจญภัยของคุณให้เราฟัง คุณก็มีโอกาสที่จะได้รับเลือกเป็น 1 ใน 5 เรื่องราวที่จะถูกนำไปสร้างเป็นวิดีโอสารคดี และเก็บความทรงจำนั้นไว้เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงอิสภาพในตัวคุณ เพื่อให้กิจกรรมนี้เป็นประสบการณ์สุดล้ำค่า นักขี่ที่ได้รับเลือกจะได้รับอุปกรณ์เครื่องแต่งกายของฮาร์ลีย์-เดวิดสันโดยตลอดการเดินทางและการผจญภัยเพื่อมุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายที่พวกเขาชื่นชอบ จะถูกบันทึกภาพไว้โดยทีมงานมืออาชีพซึ่งวิดีโอการเดินทางเหล่านั้นจะถูกแชร์ผ่านช่องทางต่าง ๆ ของ ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับกลุ่มนักขับขี่และเหล่านักเดินทางผู้รักเรื่องราวอิสรภาพรุ่นต่อไป นอกจากนี้ ผู้โชคดีอีก 5 ท่านที่ได้รับเลือก จะได้รับโอกาสไปปรากฏตัวอยู่ในวิดีโอเหล่านี้ พร้อมกับรับอุปกรณ์ต่าง ๆจากฮาร์ลีย์-เดวิดสันรวมมูลค่ากว่า 6,500 บาท ท่านสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเข้าร่วมโครงการและการลงทะเบียน ได้ที่ลิ้งค์นี้: https://bit.ly/HDFreedomStoriesFB_AP โดยท่านสามารถส่งเรื่องราวเพื่อเข้าร่วมกิจกรรมได้ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ 9 สิงหาคม 2564 #HDFreedomStoriesAsia
StarParts
เมอร์เซเดส-เบนซ์ เปิดตัว “StarParts” อะไหล่รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ใหม่ที่ได้รับการพัฒนาและทดสอบตามมาตรฐานของเมอร์เซเดส-เบนซ์เพื่อให้เป็นทางเลือกใหม่สำหรับลูกค้าเมอร์เซเดส-เบนซ์ทั่วประเทศในการบำรุงรักษารถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ที่มีอายุ 5 ปีขึ้นไป ด้วยอะไหล่คุณภาพสูงในราคาที่ต่ำลงกว่าเดิมสูงสุด 55% คุณพุทธิ ตุลยธัญ รองประธานบริหารฝ่ายบริการลูกค้า บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า“ด้วยความมุ่งมั่นของเมอร์เซเดส-เบนซ์ที่จะมอบการบริการที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าเมอร์เซเดส-เบนซ์ทั่วประเทศไทย นอกเหนือจากการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ พร้อมที่สุดของนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่จะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการขับขี่ให้กับลูกค้าในทุกเส้นทางแล้ว การบำรุงรักษารถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ให้ใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และยืดอายุการใช้งานให้กับรถยนต์แต่ละคันก็เป็นเรื่องที่เมอร์เซเดส-เบนซ์คำนึงถึง เราจึงไม่หยุดนิ่งที่จะยกระดับการบริการหลังการขายให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเป็นที่มาให้เราเปิดตัว “StarParts” อะไหล่รถยนต์คุณภาพสำหรับรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์อายุ 5 ปีขึ้นไปให้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับลูกค้าในการบำรุงรักษารถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ครอบคลุมทั้งรถยนต์ในกลุ่มคอมแพ็ค รถยนต์นั่งระดับกลาง รถยนต์เอสยูวี และรถยนต์สปอร์ต ในราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ช่วยมอบความสะดวกสบายในการใช้งานรถยนต์คันโปรดของคุณได้อย่างยาวนานขึ้นด้วย นอกจากนี้ StarParts ยังเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้กับดีลเลอร์ในการรักษาลูกค้า และสร้างยอดขาย ด้านอะไหล่และบริการได้ ” Mercedes-Benz StarParts คืออะไหล่รถยนต์ใหม่ที่ได้รับการพัฒนา ทดสอบ และอนุมัติตามมาตรฐานที่เข้มงวดทั้งของเมอร์เซเดส-เบนซ์และสถาบันทดสอบอิสระ ยืนยันได้ถึงคุณภาพและประสิทธิภาพที่แตกต่างระหว่างอะไหล่ StarParts และอะไหล่ทั่วไปในท้องตลาด โดย StarParts ผลิตขึ้นมาสำหรับใช้ในรถยนต์ เมอร์เซเดส-เบนซ์อายุ 5 ปีขึ้นไป โดยเมอร์เซเดส-เบนซ์นำเสนอให้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการบำรุงรักษารถยนต์และการเปลี่ยนเพื่อทดแทนอะไหล่ที่หมดอายุการใช้งาน ด้วยราคาเฉลี่ยต่ำกว่าเดิมสูงสุด 55% และ ผลิตมาสำหรับรถยนต์รุ่นต่าง ๆ ได้แก่ A-Class (169/176), GLA (156), B-Class (245/246), C-Class (203/204), CLK-Class (209), E-Class (211/212), CLS-Class (218/219), ML-Class (164/166) และ SLK-Class (170/171) Mercedes-Benz StarParts ประกอบด้วยอะไหล่ประเภทต่าง ๆ ได้แก่ แบตเตอรี่สตาร์ท, ผ้าเบรก/ดิสก์เบรก, ไส้กรองอากาศสำหรับเครื่องยนต์, ไส้กรองน้ำมันเครื่อง, ไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิง, ไส้กรองน้ำมันเกียร์, ใบปัดน้ำฝน, ไส้กรองสำหรับห้องโดยสาร และหัวเทียน ทั้งนี้ เงื่อนไขการรับประกันอะไหล่รถยนต์ StarParts เหมือนการรับประกันอะไหล่รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ทุกประการ ลูกค้าเมอร์เซเดส-เบนซ์สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับอะไหล่ StarParts ได้ที่ผู้จำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์และศูนย์บริการอย่างเป็นทางการทั่วประเทศ
รอยัล เอนฟิลด์ เผยโฉมคอลเลคชั่นเสื้อผ้า
รอยัล เอนฟิลด์ ผู้นำในกลุ่มรถจักรยานยนต์ขนาดกลางระดับโลก ประกาศเปิดตัวคอลเลคชั่นเครื่องแต่งกายเอ็กซ์คลูซีฟเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ผู้ที่ชื่นชอบการขับขี่รถจักรยานยนต์ และผู้บริโภคทั่วไปสามารถเลือกซื้อสินค้าระดับพรีเมียมจากคอลเลคชั่น เช่น เสื้อยืด อุปกรณ์สำหรับขับรถ แก้วมัค อุปกรณ์ป้องกันศีรษะ และกระเป๋าสำหรับเดินทาง ได้แล้ววันนี้บนลาซาด้า (Lazada) แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การเปิดตัวคอลเลคชั่นเอ็กซ์คลูซีฟนี้ในประเทศไทย แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของรอยัล เอนฟิลด์ที่จะยกระดับประสบการณ์การขับขี่รถจักรยานยนต์ให้ผู้ขับขี่ชาวไทย พร้อมส่งเสริมให้แฟน ๆ รอยัล เอนฟิลด์แสดงออกถึงความชื่นชอบในแบรนด์ตามสไตล์ของตัวเอง โดยนอกจากเสื้อผ้าทั้งหมดจะผ่านการออกแบบมาให้เข้ากับรสนิยมของผู้บริโภคชาวไทยแล้ว ยังสะท้อนให้เห็นถึงจิตวิญญาณของรอยัล เอนฟิลด์ด้วยในขณะเดียวกัน
ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ เอ็กซ์ ปรับโฉมเพิ่มความดุดัน
โฉมใหม่ สไตล์สปอร์ต ยกระดับนิยามกระบะออฟโรดสมรรถนะสูง ภายใต้ชื่อ ฟอร์ด เรนเจอร์แร็พเตอร์ เอ็กซ์ ภายนอกโดดเด่นยิ่งขึ้นด้วยสติกเกอร์กราฟฟิกสไตล์ ‘Over the Top’ รอบคัน เพิ่มความดุดันด้วยชุดแต่งสีดำพร้อมโรลบาร์แบบยาว ชุดหูลากหน้ารถสีแดงสไตล์สปอร์ต และโลโก้ฟอร์ดสีดำบนฝาท้ายกระบะ ภายในสไตล์สปอร์ตพร้อมลุยเต็มขั้น ปรับโฉมด้วยตะเข็บด้ายสีแดงบนพวงมาลัยและแผงคอนโซล วัสดุตกแต่งแผงคอนโซลและแผงประตูลายไฮโดรกราฟิก และตกแต่งมือจับประตูภายในสีดำ แบล็ก แอลลีย์ มาพร้อมข้อเสนอสุดเร้าใจด้วยราคา 1,729,000 บาท พร้อมฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Ford Ensure และเพิ่มความอุ่นใจให้แก่ผู้ขับขี่ ด้วยการรับประกันเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังนาน 10 ปี หรือ 150,000 กม. แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน ฟอร์ด ประเทศไทย เปิดตัวฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ เอ็กซ์ กระบะออฟโรดสมรรถนะสูงที่ได้รับการปรับโฉมใหม่ทั้งภายนอกและภายใน เพิ่มความโฉบเฉี่ยว ดุดัน สไตล์สปอร์ต สะกดทุกสายตายิ่งกว่าเดิม คุณวิชิต ว่องวัฒนาการ กรรมการผู้จัดการ ฟอร์ด ประเทศไทย กล่าวว่า “ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ เป็นมากกว่ารถกระบะ ด้วยความแตกต่างอย่างโดดเด่น ตั้งแต่การออกแบบไปจนถึงการมอบประสบการณ์การขับขี่ที่สนุกเร้าใจและสมรรถนะที่สามารถลุยได้ทุกเส้นทาง ทั้งการขับขี่แบบออฟโรดและการใช้งานในชีวิตประจำวันฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์เอ็กซ์ ได้รับการพัฒนาไปอีกขั้นด้วยการออกแบบที่โฉบเฉี่ยว ดุดันมากขึ้นทั้งภายในและภายนอก โดยยังคงเอกลักษณ์ทางดีเอ็นเอของฟอร์ด เพอร์ฟอร์แมนซ์ ไว้อย่างครบถ้วนทั้งด้านการออกแบบและสมรรถนะการขับขี่ที่ไม่มีใครเหมือน” ดีไซน์ดุดันสไตล์สปอร์ต ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ เอ็กซ์ มาพร้อบการปรับโฉมใหม่ให้โดดเด่นยิ่งขึ้นด้วยสติกเกอร์กราฟฟิกสไตล์ ‘Over the Top’ รอบคัน ตั้งแต่ฝากระโปรงหน้า หลังคา ไปจนถึงฝาท้ายกระบะ และด้านข้างรอบตัวรถ เพิ่มความดุดันสไตล์สปอร์ตด้วยชุดแต่งสีดำ ตั้งแต่กระจังหน้า กันชนหน้า มือจับประตูภายนอก ฝาครอบกระจกมองข้าง กันชนหลัง มือจับฝาท้าย คิ้วล้อ และฝาครอบล้อ ยกระดับความเท่ด้วยล้ออัลลอยวัสดุสีดำ แอสฟอล์ต แบล็ก (Ashphalt Black) โรลบาร์แบบยาวตลอดท้ายกระบะ ชุดหูลากหน้ารถสีแดงสไตล์สปอร์ต และโลโก้ฟอร์ดสีดำบนฝากระบะท้าย สะกดทุกสายตา การตกแต่งภายในฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ เอ็กซ์ ได้รับแรงบันดาลใจจากดีไซน์ภายนอก ไม่ว่าจะเป็นพวงมาลัยและแผงคอนโซลเดินตะเข็บด้ายสีแดงแทนการเดินตะเข็บด้ายสีน้ำเงิน ผสานกับการตกแต่งแผงคอนโซลและแผงประตูด้วยลายไฮโดรกราฟิก (Hydrographic) และการใช้วัสดุสีดำ แบล็ก แอลลีย์ (Black Alley) อย่างลงตัว สุดยอดกระบะสมรรถนะสูง ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ เอ็กซ์ ยังสานต่อตำแหน่งสุดยอดรถกระบะออฟโรดสมรรถนะสูง โดยใช้ระบบส่งกำลังเดียวกันกับฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ รวมถึงโหมดการขับขี่ ระบบกันสะเทือน ระบบเบรก และล้อที่ออกแบบโดยเฉพาะ มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบคู่ ขนาด 2.0 ลิตร ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด มอบพละกำลังสูงสุด 213 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร เครื่องยนต์เทอร์โบคู่นี้ได้รับการออกแบบเพื่อพิชิตทุกเส้นทางสุดท้าทาย ผ่านการทดสอบสุดหฤโหด ซึ่งรวมถึงการทดสอบการต้านทานความร้อน ด้วยการทำให้เทอร์โบทั้ง 2 ลูกร้อนจัด จนกลายเป็นสีแดงนาน 200 ชั่วโมงติดต่อกัน ขณะที่ตัวเครื่องยนต์เทอร์โบผลิตจากอัลลอยคุณภาพสูง ทำให้มั่นใจได้ว่าจะสามารถทนความร้อนได้สูงสุดถึง 860 องศาเซลเซียส ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ เอ็กซ์ เหนือชั้นด้วยระบบ Terrain Management System (TMS) ที่มีโหมดการขับขี่ทั้งหมด6 รูปแบบ เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่หลากหลาย รวมถึงโหมดบาฮา (Baja) อันเป็นเอกลักษณ์ของฟอร์ด เรนเจอร์แร็พเตอร์ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการแข่งแรลลี่กลางทะเลทรายบาฮาอันเลื่องชื่อ บาฮา เดสเสิร์ท แรลลี่ ประเทศเม็กซิโก เรนเจอร์ แร็พเตอร์ เอ็กซ์ ยังมาพร้อมโช้คอัพแบบ Position Sensitive Damping (PSD) ที่ผลิตขึ้นมาเป็นพิเศษโดยFOX และระบบกันสะเทือนหลังวัตต์ลิงค์ ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่พิชิตเส้นทางหฤโหดด้วยความเร็วสูง ในขณะที่ยังสามารถควบคุมรถและคงความสะดวกสบาย เพื่อส่งมอบประสบการณ์การขับขี่อันเหนือชั้นทั้งบนทางเรียบและออฟโรด ส่วนยางBFGoodrich All-Terrain KO2 ขนาด 285/70 R17 ในเรนเจอร์ แร็พเตอร์ เอ็กซ์ ยิ่งช่วยให้คนรักการผจญภัยลุยได้ทุกเส้นทางด้วยความมั่นใจ แม้บนสภาพพื้นผิวที่เปียกลื่น โคลน ทราย หรือหิมะ ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ เอ็กซ์ อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีช่วยขับขี่อัจฉริยะมากมาย เพื่อยกระดับความปลอดภัยและประสบการณ์การขับขี่เหนือชั้น เช่น ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน (AEB) ระบบเตือนการชนด้านหน้า (Forward Collision Warning System) และระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง (Lane Keeping System) เป็นต้น
เมอร์เซเดส-เบนซ์ เตรียมพร้อมก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเต็มตัว
โดยนโยบายของ เมอร์เซเดส รถยนต์รุ่นที่เปิดตัวใหม่ทั้งหมดตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไปจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น ส่วนในปี 2568 เมอร์เซเดส–เบนซ์จะเปิดตัวโครงสร้างรถยนต์ไฟฟ้าใหม่ 3 แบบ เมอร์เซเดส–เบนซ์พร้อมก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเต็มตัวปลายทศวรรษนี้ ในช่วงเวลาที่สภาวะตลาดเอื้ออำนวย เมอร์เซเดส–เบนซ์ เตรียมผลิตแบตเตอรี่ความจุมากกว่า 200 กิกะวัตต์ชั่วโมงร่วมกับพันธมิตร พร้อมวางแผนขยายโรงงานผลิตแบตเตอรี่ 8 แห่ง และจับมือพันธมิตรใหม่เพื่อพัฒนาและผลิตเซลล์แบตเตอรี่ในยุโรป พัฒนาประสิทธิภาพของระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าผ่านการบูรณาการในแนวดิ่งและการเข้าซื้อกิจการของ YASA ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านมอเตอร์แกนฟลักซ์ที่มีประสิทธิภาพสูงพิเศษ รวมถึง Plug & Charge เตรียมแนะนำการชาร์จที่ราบรื่นโดยไม่ต้องมีขั้นตอนเพิ่มเติมในการตรวจสอบและการชำระเงินMercedes me Charge จะมีจุดชาร์จไฟฟ้ากระแสสลับและกระแสตรงมากกว่า 530,000 จุดทั่วโลก แถมด้วยนโบบายการเร่งการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในการจัดสรรเงินลงทุน และเมอร์เซเดส–เบนซ์มีความมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายในการทำกำไร พร้อมกับเป้าหมายในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า เมอร์เซเดส-เบนซ์เตรียมความพร้อมก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเต็มตัวภายในทศวรรษนี้ ในช่วงเวลาที่สภาวะตลาดเอื้ออำนวย โดยปรับกลยุทธ์จาก “รถยนต์ไฟฟ้านำ” (electric-first) เป็น “รถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น” (electric-only) โดยเมอร์เซเดส-เบนซ์ ในฐานะบริษัทรถยนต์ระดับลักชัวรีแถวหน้าของโลก พร้อมเดินหน้าสู่โลกที่ปราศจากการปล่อยมลพิษและอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยซอฟต์แวร์ ทั้งนี้ ภายในปี 2565 เมอร์เซเดส-เบนซ์จะมีรถยนต์ไฟฟ้าแบบใช้แบตเตอรี่ (BEV) ในทุกเซกเมนต์รถยนต์ของบริษัทและนับตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป รถยนต์รุ่นใหม่ที่เปิดตัวออกมาทั้งหมดจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น โดยลูกค้าจะสามารถเลือกรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าได้ทุกรุ่นที่บริษัทผลิตขึ้น ซึ่งเมอร์เซเดส-เบนซ์มีความตั้งใจที่จะเร่งความเร็วในการปรับกลยุทธ์โดยยังคงเป้าหมายเดิมในการทำกำไร
GT Auto Exclusive Service
จีที ออโต้ ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์วอลโว่รายใหญ่ของประเทศไทย ทุ่มงบกว่า 150 ล้านบาทขยายสาขา เปิดโชว์รูมและศูนย์บริการ Volvo แห่งใหม่ในนาม วอลโว่ จีที ออโต้ สาขาพัทยา ที่จังหวัดชลบุรี รองรับการเติบโตของตลาดภาคตะวันออก คุณดนัย จันทรงาม ผู้จัดการทั่วไป บริษัท จีที ออโต้ จำกัด กล่าวว่า “บริษัทได้เล็งเห็นศักยภาพของภาคตะวันออกโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นจุดเชื่อมและรองรับการขยายตัวของพื้นที่เขตส่งเสริมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่มีการเติบโตทั้งด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งตามสโลแกนของบริษัทBeyond The Ordinary จีที ออโต้ ให้ความสำคัญกับการมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า เราจึงต้องการให้โชว์รูมและศูนย์บริการแห่งใหม่นี้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างคลอบคลุม โดยโชว์รูมแห่งนี้ได้รับการออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ Volvo Retail Experience (VRE) มุ่งเน้นที่พื้นฐานของ แบรนด์และบริการให้แก่ลูกค้าทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ 1. Contemporary Luxury Experience 2. Understanding 3. Interaction 4. Wellbeing สำหรับ วอลโว่ พัทยาตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิท–นาเกลือ ห่างจากสถานีตำรวจภูธรบางละมุง เพียง300 เมตร ง่ายต่อผู้ที่เดินทางมาจากทั้งชลบุรี และระยอง ในส่วนของโชว์รูมมีพื้นที่กว้างขวาง ขนาดกว่า500 ตรม. พร้อมด้วย Customer Lounge, Coffee bar ที่พร้อมเสิร์ฟอาหารว่างและเครื่องดื่ม รวมทั้งMeeting Room และ Car Delivery Room ส่วนศูนย์บริการพร้อมที่จะมอบบริการให้ลูกค้าด้วยทีมช่างผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์ที่ได้รับการอบรม และฝึกทักษะเฉพาะด้านภายใต้มาตรฐานของวอลโว่ คาร์ประเทศไทย โดยก่อนหน้านี้ จีที ออโต้ ได้มีการออกโปรแกรมบริการ GT Auto Exclusive Service ซึ่งเป็นบริการพิเศษที่มอบให้กับลูกค้า GT Auto เพื่อให้มั่นใจว่า ลูกค้าทุกท่านจะได้รับการอำนวยความสะดวกสบายจากบริการพิเศษ และรถของลูกค้าจะได้รับการดูแลที่ดีที่สุด ประกอบด้วย 1.GT Auto Test Drive Delivery บริการพิเศษ นำรถไปให้ทดลองขับถึงที่ ไม่ว่าจะเป็น บ้าน คอนโด ออฟฟิศ หรือ แม้กระทั่งห้างสรรพสินค้า 2.GT Auto Exclusive Pick up-Delivery Service บริการพิเศษ ในการอำนวยความสะดวกสบายให้กับลูกค้าที่ต้องการนำรถเข้าศูนย์บริการ ด้วยการรับ-ส่งรถของลูกค้ามาเข้าซ่อมที่ศูนย์บริการ GT Auto 3.GT Auto Limo Service บริการพิเศษ สำหรับลูกค้าที่นำรถเข้าซ่อม แล้วต้องการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆใจกลางเมือง 4.GT Auto Personal Assistant บริการพิเศษ เสมือนมีผู้ช่วยส่วนตัว เพื่อให้มั่นใจว่า รถของลูกค้าจะได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด ซึ่งบริการ GT Auto Exclusive Service มีส่วนสำคัญที่ทำให้ยอดขายในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2021 เติบโตกว่า70% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ จีที ออโต้ ตั้งเป้าอัตราการเติบโตของรายได้ปี 2021 ไว้ที่ 90% สำหรับในโอกาสพิเศษฉลองเปิดโชว์รูมและศูนย์บริการวอลโว่แห่งใหม่ล่าสุด จีที ออโต้ ขอมอบแคมเปญพิเศษสำหรับรถใหม่ “GT Auto Celebration Offer” ที่สุดแห่งข้อเสนอฉลองเปิดสาขาใหม่และแคมเปญบริการหลังการขาย “Welcome To GT Auto” กับข้อเสนอ Service สุดพิเศษ 9 ต่อเงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด…