“ยามาฮ่า” สวนกระแส ปีที่ผ่านมา ยามาฮ่า ครองส่วนแบ่งการตลาด 16.5% พร้อมส่ง 4 รุ่นใหม่สานต่อความสำเร็จ ตอบโจทย์แฟนยามาฮ่าทุกเซกเมนต์ ชู “รับประกัน 5 ปี หรือ 50,000 กม.” ตอกย้ำแบรนด์สินค้า ล็อกเป้า 287,000 คัน ครองแชร์ 17.5% บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า ประกาศเดินเกมรุกตลาดรถจักรยานยนต์เมืองไทยในปี 2565 หลังชิงส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มเป็น 16.5% ได้สำเร็จในปีที่ผ่านมา ตอกย้ำคุณภาพสินค้ารับประกัน 5 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร สร้างความเชื่อมั่นในตราสินค้าและคุณภาพบริการหลังการขาย เสริมสินค้าใหม่ 4 รุ่น ครอบคลุมทุกการใช้งาน รุกตลาดตั้งเป้า 287,000 คัน หวังขยับส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 17.5% ในปีนี้ พร้อมเดินหน้าปรับโฉมใหม่โชว์รูมจำหน่ายรถจักรยานยนต์ เพื่อสร้างความแตกต่างให้กับตราสินค้า มร.ทัตสึยะ โนซากิ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด กล่าวถึงความสำเร็จของยามาฮ่าในปีที่ผ่านมาว่า “จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบอย่างหนัก ในทุกธุรกิจทั่วโลก แต่ตลาดรถจักรยานยนต์ยังคงแข็งแกร่งและมีแนวโน้มในการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว สำหรับการเติบโตของยามาฮ่าอย่างต่อเนื่องนั้น เป็นผลจากการทำงานร่วมกันอย่างเต็มที่ของร้าน ผู้จำหน่ายรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า และพันธมิตรทางธุรกิจทุกๆ ท่าน โดยยามาฮ่ายังคงมุ่งเน้นไปที่การสร้างตราสินค้าให้มีความแข็งแกร่ง และสร้างความผูกพันระหว่างยามาฮ่ากับลูกค้าให้มีความมั่นคงและคงอยู่ตลอดไป สำหรับประเด็นสินค้าที่ยังไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาดเรายังคงมุ่งมั่นทำงานหนักร่วมกับยามาฮ่ามอเตอร์ ประเทศญี่ปุ่น รวมถึงพันธมิตรที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้น ในปีที่ผ่านมา ยามาฮ่าได้ทำการเปิดตัวโชว์รูมยามาฮ่ารูปแบบใหม่เป็นครั้งแรก ซึ่งเราเชื่อว่า จะสามารถยกระดับคุณภาพทั้งด้านการขาย บริการ และอะไหล่ที่ดีขึ้น เพื่อส่งมอบประสบการณ์อันยอดเยี่ยม เหนือความคาดหวังให้กับลูกค้าของเราได้มากยิ่งขึ้น” คุณพงศธร เอื้อมงคลชัย รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด กล่าวว่า“สำหรับตลาดรถจักรยานยนต์ในปี 2564 ที่ผ่านมา ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 พอสมควรแต่ยามาฮ่าสามารถปรับตัวและทำกลยุทธ์การตลาดให้เข้ากับสถานการณ์การแพร่ระบาดได้เป็นอย่างดี ทำให้ตลาดรถจักรยานยนต์ยังคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยยอดจดทะเบียนรวมปิดตัวเลขอยู่ที่ 1.61 ล้านคันเติบโตจากปีที่ผ่านมา 6% โดยเป็นยอดจดทะเบียนของรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าทั้งสิ้น 266,000 คัน เพิ่มขึ้นถึง 11% เมื่อเทียบกับปี 2563 ซึ่งเป็นอัตราการเติบโต ที่เหนือกว่าภาพรวมของตลาด ทั้งยังสามารถขยับส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 16.5% ซึ่งการเติบโตขึ้นของยามาฮ่าเป็นผลจากการเดินหน้านโยบายด้านการขายและการทำตลาดอย่างเข้มข้นนั่นเอง สำหรับในปี 2565 นี้ คาดการณ์ว่าภาพรวมของตลาดรถจักรยานยนต์จะเพิ่มขึ้นจากปี 2564 อยู่ที่ประมาณ 2% หรือประมาณ 1.64 ล้านคัน ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีจากการคาดการณ์การลงทุนของภาครัฐ ที่เพิ่มขึ้นการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มีความรุนแรงลดลง รวมทั้งระบบเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวฟื้นตัว โดยยามาฮ่าได้ตั้งเป้าหมายยอดขายไว้ที่ 287,000 คัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 8% เมื่อเทียบจากปีที่ผ่านมา และจะขยับส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 17.5% โดยมุ่งเน้นกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ รวมถึงกลยุทธ์ การขายและการตลาด เพื่อที่จะสร้างความแข็งแกร่ง และทำให้ส่วนแบ่งการตลาดเติบโตเพิ่มขึ้น” ยามาฮ่า มุ่งเน้นที่จะพัฒนาภาพลักษณ์ของตราสินค้าผ่านหลักปรัชญา KANDO “วิถีอันเป็นเอกลักษณ์ของยามาฮ่า” พร้อมกับ Brand Slogan “Revs your Heart” เร่งชีวิตให้เร้าใจ พร้อมรุกตลาดอย่างต่อเนื่องด้วย 5 กลยุทธ์หลักในการสร้างแบรนด์ ได้แก่ 1.การพัฒนาและการเปิดตัวสินค้าใหม่ ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ ภายใต้เทคโนโลยีล้ำสมัยและดีไซน์ที่สร้างความแตกต่าง ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้น ทั้ง R-SERIES, SPORT HERITAGE, MAX SERIESและ FASHION AUTOMATIC รวมทั้งแอปพลิเคชัน Y-Connect ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสื่อสารกับลูกค้า 2.มุ่งสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพสินค้าด้วยการรับประกัน 5 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร ในรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าทุกรุ่นที่มีขนาดเครื่องยนต์ไม่เกิน 500 ซีซี 3.ยกระดับและพัฒนาโชว์รูมยามาฮ่ารูปแบบใหม่ทั่วประเทศ พร้อมทั้งเสริมความแข็งแกร่งของ การบริการหลังการขายด้วยระบบ Pro Care และยกระดับการให้บริการในระดับพรีเมียม มาตรฐานเดียวกับ Yamaha Premium Service พร้อมทั้งการขยายและพัฒนาโชว์รูมรูปแบบใหม่เพิ่มขึ้นอีก 60 แห่ง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและสร้างCustomer Community ตอบสนอง ความต้องการของลูกค้าด้วยมาตรฐานที่สูงขึ้น 4.เน้นการสร้างภาพลักษณ์ตราสินค้าที่แข็งแกร่ง เพื่อความยั่งยืนของธุรกิจ รวมถึงการสร้าง Yamaha Lifetime Customers โดยยกระดับคุณภาพทั้งในเรื่องสินค้า การบริการ และกิจกรรมการตลาด ที่พร้อมจะส่งมอบประสบการณ์ชั้นยอด สร้างความแตกต่าง ตอบโจทย์ในทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้า เพื่อให้สินค้าและบริการของยามาฮ่าเป็นที่หนึ่งในใจของลูกค้า และทำให้ลูกค้ากลับมาใช้สินค้าและบริการของยามาฮ่าเสมอ 5.การจัดกิจกรรมฉลองครบรอบ 67 ปี ยามาฮ่า โดยเป็นกิจกรรมเพื่อให้ลูกค้าได้มีส่วนร่วม ในการสร้างจิตสำนึกและความรับผิดชอบต่อสังคมร่วมกับยามาฮ่า” ทั้งนี้ โชว์รูมยามาฮ่ารูปแบบใหม่จะสามารถตอบสนองและสร้าง Customer Experience ที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้า พร้อมทั้งสร้างความสัมพันธ์ของลูกค้าในแต่ละพื้นที่ด้วยกิจกรรมทางการตลาดและมุ่งเน้นการบริการหลังการขายในระดับพรีเมียมให้กับลูกค้าของยามาฮ่า พร้อมกันนี้ ยามาฮ่าเดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งของกลยุทธ์การตลาดโดยมุ่งเน้นในกลุ่มประเภทสินค้าต่างๆ ดังนี้ 1.กลยุทธ์การตลาดของกลุ่มรถออโตเมติกยังคงเน้นการสร้างความเป็นผู้นำด้านออโตเมติก โดยในส่วนของแฟชั่นออโตเมติกนั้น เน้นการออกแบบให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าเป็นหลัก สำหรับพรีเมียมออโตเมติกเน้นภาพลักษณ์และส่งเสริมความเป็น MAX Series ให้แข็งแกร่งมากขึ้น และสปอร์ตออโตเมติกจะเน้นในการสร้างและขยายฐานลูกค้าให้ไปยังหัวเมืองใหญ่ 2.กลยุทธ์การตลาดของกลุ่มรถสปอร์ตที่ยามาฮ่ายังคงรักษาความเป็นรถสปอร์ตยอดนิยมอันดับ 1 ในคลาส150 ซีซี ได้อย่างเหนียวแน่น เน้นการเข้าถึงและตอบสนองไลฟ์สไตล์ ที่ออกแบบ มาโดยเฉพาะและเหมาะสมกับลูกค้าในแต่ละกลุ่ม ทั้งกลุ่มสปอร์ต กลุ่มเนคเกต กลุ่มสปอร์ตเฮอริเทจ กลุ่มเอ็นดูโร่ เพื่อความแข็งแกร่งสมกับเป็นเบอร์ 1 3.กลยุทธ์การตลาดของกลุ่มรถครอบครัว พร้อมกระตุ้นและส่งเสริมกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง ด้วย การรับประกันทุกชิ้นส่วนยาวนาน 5 ปี โดยไม่จำกัดระยะทางและเน้นหนักเรื่องการส่งเสริมภาพลักษณ์ความทันสมัยในรถครอบครัว โดยเน้นกิจกรรมการตลาดทุกพื้นที่ทั่วประเทศ 4.สร้างความผูกพันกับลูกค้าให้มากขึ้น โดยการนำความต้องการและไลฟ์สไตล์ของลูกค้า …
Category: Social
กลุ่มอีซูซุมอบชุดอุปกรณ์การฝึกอบรม
มูลนิธิกลุ่มอีซูซุ และสถาบันฝึกอบรมตรีเพชรอีซูซุ โดยคุณโสภณ ตั้งฐานทรัพย์ ผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไป มอบชุดอุปกรณ์การฝึกอบรมมูลค่า 200,000 บาท ให้แก่ ศูนย์เทคโนโลยียานยนต์ โดยความร่วมมือระหว่างคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และกลุ่มอีซูซุ โดยมีวัตถุประสงค์ในการสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรด้านวิศวกรรมศาสตร์ยานยนต์ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศต่อไป โดยมี รศ.ดร.ธีร เจียศิริพงษ์กุล คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ เป็นผู้รับมอบ
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ครองความสำเร็จต่อเนื่องสองปีซ้อน
การรักษาตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งของ BMW ในตลาดรถยนต์พรีเมียมไทย เดินหน้าสู่ยนตรกรรมไฟฟ้า และการสร้างความพึงพอใจแก่ผู้บริโภค พร้อมเผยโฉมรถยนต์ทั้งบีเอ็มดับเบิลยู มินิ และมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด รวม10 รุ่น เน้นย้ำการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกในรูปแบบของ Gran Coupe ด้วยบีเอ็มดับเบิลยูi4 รุ่นใหม่ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เดินหน้าฉลองความสำเร็จต่อเนื่อง ครองตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดรถยนต์พรีเมียม 2 ปีซ้อน ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดของบีเอ็มดับเบิลยู และมินิ 45.5% เพิ่มจากปี 2563 ซึ่งอยู่ที่44.6% และอัตราการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้า MINI Electric เพิ่มขึ้นถึง 263% เมื่อเทียบปีต่อปี พร้อมเปิดตัวยนตรกรรมใหม่ถึง 10 รุ่นมาครบทั้งบีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด มุ่งให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า พร้อมขับเคลื่อนการพัฒนานวัตกรรมและส่งเสริมการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าในไทย ร่วมสนับสนุนประเทศไทยให้พร้อมสำหรับอนาคตแห่งยานยนต์ไฟฟ้า ปีแห่งความเป็นผู้นำของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ทั้งในด้านตลาดรถยนต์ระดับพรีเมียม ด้านนวัตกรรม และด้านความพึงพอใจของลูกค้า มร.อเล็กซานเดอร์ บารากา ประธานและซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เผยว่า “ในขณะที่เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของการขับเคลื่อนแห่งอนาคต บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังคงมุ่งมั่นดำเนินงานตามเป้าหมายด้วยการส่งมอบความพึงพอใจในการขับขี่ พร้อมเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย และแนวคิดพลังแห่งทางเลือก (Power of Choice) ให้กับลูกค้า ส่งผลให้คะแนนความพึงพอใจของผู้บริโภค (NPS Score) ขึ้นสูงสุดทั้งด้านการขายและการให้บริการ เราตระหนักดีว่าลูกค้าทุกคนมีความต้องการที่แตกต่างกัน เราจึงสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านโซลูชันส์ที่หลากหลาย เพื่อมอบความพึงพอใจสูงสุดและความสุขให้แก่ลูกค้าตลอดเส้นทางแห่งการเดินทางของพวกเขา สิ่งที่ทำให้เรามีความโดดเด่นและทำให้เป็นองค์กรเช่นที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ คือการที่เราผสานปรัชญาด้านนวัตกรรมที่มีมาอย่างยาวนานกับพลังแห่งทางเลือกให้แก่ลูกค้า เรายังสร้างสรรค์นวัตกรรมไปสู่การเปิดตัวเทคโนโลยีผู้ช่วยขับขี่อันล้ำสมัยในตลาดไทย ส่งผลให้เราเป็นหนึ่งในผู้นำของอุตสาหกรรมนี้ เราได้สร้างสรรค์อนาคตแห่งยนตรกรรมที่พร้อมทั้งดิจิทัลและมีความเฉพาะตัวมากยิ่งขึ้น โดยผสมผสานทั้งดีไซน์ พลังงานไฟฟ้า การเชื่อมต่อ และความยั่งยืนเข้าไว้ด้วยกัน เราพร้อมจะก้าวต่อไปข้างหน้าด้วยนวัตกรรมและการพัฒนาอย่างไม่มีวันสิ้นสุด ด้วยเป้าหมายที่ชัดเจนแห่งอนาคต และมุ่งหมายที่จะจุดกระแสแนวทางแห่งการขับเคลื่อนด้วยยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อมอบประสบการณ์ที่เป็นเลิศให้แก่ผู้ขับขี่ทุกท่าน ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้งานเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ยานยนต์ระบบปลั๊กอินไฮบริด(PHEV) และโดยเฉพาะยานยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ (BEV) ในขณะที่เราก้าวเข้าสู่ปี 2565” อย่างไรก็ตาม บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ทำลายสถิติเป็นประวัติการณ์ด้านการผลิต และคำมั่นสัญญาด้านความยั่งยืน มร.เอริค รูเก้ กรรมการผู้จัดการ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่งประเทศไทย กล่าวว่า “ปี 2564 เป็นปีแห่งประวัติการณ์ของการผลิตของเรา โดยจำนวนรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู และมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ถูกผลิตไปทั้งหมด 33,428 คัน รวมการผลิตทั้งหมดกว่า 250,000 คัน นับตั้งแต่เปิดโรงงาน การผลิตในปี พ.ศ. 2543 และเรายังคงสามารถปรับเปลี่ยนไลน์การผลิต ให้มีความยืดหยุ่นสอดคล้องกับความต้องการแต่ละช่วง ซึ่งการผลิดรถยนต์นั้นได้เพิ่มขึ้นกว่า 17.8% รวมถึงการผลิตเพื่อการส่งออกได้เพิ่มขึ้น 11.6% เช่นกัน เรายังมุ่งมั่นในเรื่องความยั่งยืนภายใต้แนวคิดการกำจัดขยะโดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม(zero-waste-to-landfill) โดยในด้านการผลิตนั้น เราสามารถลดปริมาณขยะในการผลิตแต่ละโมเดล ได้ถึง 35.6% นำปริมาณของขยะสะสมไปรีไซเคิล และนำกลับมาใช้ใหม่ได้ถึง 27,208 ตัน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 เรายังมุ่งมั่นในด้านความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon-neutral) หรืองดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ ชั้นบรรยากาศ โดยมีการใช้พลังงานสะอาดจากแผงโซล่าเซลล์ในบางส่วนที่โรงงานระยอง และพลังงานบางส่วนมาจากเครือข่ายการจ่ายไฟฟ้า(grid) ซึ่งได้รับการรับรองเรื่องการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน สำหรับด้านการสนับสนุนบุคลากรรุ่นใหม่อย่างยั่งยืน ผ่านโครงการ BMW Service Apprentice Program นั้น มีนักศึกษาทั้งที่กำลังศึกษาอยู่ในโครงการฯ และนักเรียนที่สำเร็จการศึกษารวม 223 คน และในจำนวนนี้ ได้เข้าทำงานกับผู้จำหน่ายรวม 186 คน ในขณะที่โครงการการศึกษาระบบทวิภาคีด้านแมคคาทรอนิกส์ที่โรงงานบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ซึ่งมอบทุนการศึกษาเต็มจำนวนและเบี้ยเลี้ยงตลอดระยะเวลาโครงการ มีนักศึกษาลงทะเบียน 102 คน และทำงานในโรงงานที่ระยอง 33 คน” อนึ่ง บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทยเดินหน้าโครงการด้านดิจิทัล และนวัตกรรม เพื่อมอบประสบการณ์อันดีแก่ลูกค้า มร.บียอร์น แอนทอนส์สัน ประธานกรรมการบริหาร บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียลเซอร์วิส ประเทศไทย กล่าวว่า “ถึงแม้ปีที่ผ่านมา เรายังต้องเผชิญกับความท้าทายในสถานการณ์โควิด แต่ยอดสินเชื่อของธุรกิจใหม่นั้นเติบโต ขึ้นถึง 13% โดยสองในสามของลูกค้าบีเอ็มดับเบิลยู ให้ความมั่นใจทำธุรกรรมกับบีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิสในปี 2564 ส่งผลให้ยอดรวมของสินเชื่อใหม่คิดเป็นมูลค่า 19,000 ล้านบาท โดยยอดสินเชื่อรวมในพอร์ตของบริษัทฯ ในขณะนี้เท่ากับ 52,000 ล้านบาท เราได้มองเห็นเทรนด์ของตลาดในเรื่องที่ลูกค้าให้ความสนใจด้านผลิตภัณฑ์ที่การันตีมูลค่าในอนาคต (Guaranteed Future Value) ผ่านโปรแกรมทางการเงินFreedom Choice ในการมอบทางเลือกและอิสระสูงสุด ซึ่งเติบโตขึ้นถึงสองเท่า และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ20 ปีของบีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส กับการดำเนินงานอันยาวนานในประเทศไทย ร่วมกับผู้จำหน่ายอันทรงเกียรติและพันธมิตรอย่างเป็นทางการ ทางบริษัทฯ จึงมอบรางวัลพิเศษให้แก่ลูกค้าผู้โชคดีที่ซื้อบีเอ็มดับเบิลยูมินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด พร้อมทำสัญญาทางการเงินกับบีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิสไปแล้ว รวมมูลค่า 2.6 ล้านบาท ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยยังคงมีรางวัลใหญ่ ได้แก่ รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 2 Gran Coupe จำนวน 1 คัน รถยนต์ไฟฟ้า มินิ คูเปอร์ เอสอี จำนวน 1 คัน และมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู C 400 GT จำนวน 1 คัน ที่เตรียมมอบในช่วงท้ายของแคมเปญในปีนี้อีกด้วยและนอกเหนือจากแคมเปญนี้ เรายังคงสนับสนุนแบรนด์ของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ปทั้งหมดร่วมกับแคมเปญต่าง ๆ ที่ยังคงมีให้ลูกค้าทุกท่านอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะมุ่งเน้นสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าของเราทุกท่าน ในปี 2564 บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทยได้ให้สัญญาในเรื่องการส่งมอบเทคโนโลยีโดยมีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง เช่น การมอบความสะดวกสบายด้วยการขอสินเชื่อผ่านช่องทางออนไลน์ ให้เชื่อมต่อกับช่องทางการจองผ่านออนไลน์ของบีเอ็มดับเบิลยู ทั้งนี้เส้นทางของการเพิ่มประสบการณ์แก่ลูกค้านั้นไม่ได้หยุดเพียงเท่านี้ แต่ยังจะเพิ่มเติมต่อเนื่องในปี 2565 ซึ่งจะเป็นการเพิ่มเทคโนโลยีใหม่ต่าง ๆ เช่น การบริการด้านไฟแนนซ์ อย่างเต็มรูปแบบ หรือ “MyBMW Finance” เพื่อให้ลูกค้าสามารถจัดการด้านไฟแนนซ์ของตนเองได้อย่างง่ายดาย ผ่านทางแพลตฟอร์มในการตรวจสอบตัวตนด้วยระบบ เนชั่นแนลดิจิทัลไอดี เพื่อเป็นการเพิ่มประสบการณ์อันดีให้แก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่องในอนาคต” ด้านยอดจดทะเบียนของบีเอ็มดับเบิลยูและมินิในส่วนของรถยนต์ไฟฟ้า ขึ้นแท่นอันดับหนึ่งในส่วนของรถยนต์พรีเมียมไฟฟ้าด้วยส่วนแบ่งทางการตลาด 32.9% ร่วมกับการขยาย ChargeNow ตามพื้นที่ต่างๆ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ได้ครองตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งในเซกเมนต์รถยนต์พรีเมียมไฟฟ้าด้วยส่วนแบ่งทางการตลาด 32.9% และได้ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนพลังงานสะอาดอย่างยั่งยืนในประเทศไทยมาโดยตลอด ด้วยการนำเสนอยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้าทั้งในรูปแบบรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดและรถยนต์พลังงานไฟฟ้า100% หลากหลายรุ่นให้แก่ผู้ขับขี่ในประเทศไทย และยังร่วมมือกับพันธมิตรในการขยายเครือข่ายสถานีอัดประจุไฟฟ้าสาธารณะ ChargeNow เพื่อส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 ซึ่งเปิดกว้างให้แก่ผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้าทุกรุ่นทุกยี่ห้อ พร้อมติดตั้งหัวจ่าย ChargeNow ไปแล้วทั้งหมด 130 หัวจ่าย ใน 48 สถานีทั่วประเทศไทย นอกจากนั้น ยังมีการติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าที่ผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการของบีเอ็มดับเบิลยูและมินิ รวมถึงสำนักงานใหญ่ของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ที่กรุงเทพฯ พร้อมติดตั้งหัวจ่ายทั้งสิ้น183 หัวจ่าย ดังนั้น เจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าสามารถใช้บริการ ChargeNow ได้อย่างสะดวกสบายภายใต้เครือข่ายบีเอ็มดับเบิลยูและมินิ รวมทั้งสิ้น 313 หัวจ่าย พร้อมทั้งมีการส่งมอบเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าบีเอ็มดับเบิลยูและมินิWallbox แก่ลูกค้าทั่วประเทศจำนวนทั้งสิ้นราว 2,000 เครื่อง ทั้งนี้ จากเครือข่ายความร่วมมือระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยและบริษัท อีโวลท์ เทคโนโลยีจำกัด ลูกค้าบีเอ็มดับเบิลยูและมินิยังสามารถเข้าถึงสถานีอัดประจุไฟฟ้ากว่า 300 หัวจ่าย ดังนั้น เมื่อรวมจำนวนสถานีอัดประจุไฟฟ้าที่มีให้บริการในโครงการ ChargeNow ผู้จำหน่ายของบีเอ็มดับเบิลยู และพาร์ตเนอร์ทั้งหมด ลูกค้าบีเอ็มดับเบิลยูและมินิจะสามารถเข้าถึงสถานีอัดประจุไฟฟ้าได้ทั้งหมดกว่า 600 หัวจ่าย นอกจากนั้น ภายในไตรมาสที่ 2 ของปี พ.ศ. 2565 นี้ เจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าบีเอ็มดับเบิลยูและมินิสามารถใช้บริการผ่านแอปพลิเคชันEVolt ได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้บัตรเพื่อใช้บริการสถานี ChargeNow
ซูบารุดูแลลูกค้ารถเลขไมล์สูง
การมอบแคมเปญฟรีน้ำมันเครื่องแถมลุ้นแพ็กเกจบำรุงรักษา 1 ปี โดย บริษัท ทีซี ซูบารุ(ประเทศไทย) จำกัด ประกาศแคมเปญพิเศษสำหรับเจ้าของรถซูบารุ ปี MY2013-2018 รับน้ำมันเครื่อง MI-Tech 1 ลิตรฟรี ที่ศูนย์บริการซูบารุทั่วประเทศ ผู้ใช้งานรถยนต์ซูบารุปี MY2013 – MY2018 สามารถรับน้ำมันเครื่องฟรีหนึ่งลิตรโดยส่ง SMS ต่อไปนี้ไปที่เบอร์0982810246 [“ SBR ” ตามด้วยหมายเลขตัวถัง 6 หลัก** เช่น ‘ SBR123456 ‘] รหัสสิทธิพิเศษ Privilege Code แบบใช้ครั้งเดียวจะถูกส่งไปยังหมายเลขโทรศัพท์ของลูกค้าที่เป็นเจ้าของรถยนต์ซูบารุปี MY2013 – MY2018 สามารถแสดงรหัสสิทธิพิเศษ Privilege Code ต่อเจ้าหน้าที่เพื่อรับน้ำมันเครื่อง MI-Tech ฟรี 1 ลิตร เมื่อลูกค้าเข้ารับบริการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องที่ศูนย์บริการซูบารุทั่วประเทศ นอกจากนี้ลูกค้ายังมีโอกาสลุ้นรับแพ็กเกจบำรุงรักษาฟรี 1 ปี รางวัลครอบคลุมน้ำมันหล่อลื่นและชิ้นส่วนสำหรับการบำรุงรักษาสองครั้ง (มูลค่าสูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท) และสินค้าลิขสิทธิ์ซูบารุ ประกาศรายชื่อผู้โชคดีบนแฟนเพจผู้โชคดีทางแฟนเพจ Subaru Asia www.facebook.com/subaruasiath ในวันที่15 ของทุกเดือน ผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมแคมเปญ Keep your Subaru performing AT ITS BEST ได้ถึง 30 มิถุนายน2565 ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรถยนต์ซูบารุรุ่นต่างๆ ได้ที่ www.subaru.asia หรือติดตามแคมเปญส่งเสริมการขายและข่าวสารล่าสุดได้ที่ www.facebook.com/subatuasiath
BMW ร่วมกับ EVme
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ร่วมกับ EVme มอบประสบการณ์เช่าและเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้า มินิ คูเปอร์ เอสอี และบีเอ็มดับเบิลยู iX3 แบบครบวงจร พร้อมขับเคลื่อนเทรนด์การเดินทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ร่วมกับ บริษัท อีวี มี พลัส จำกัด ผู้ให้บริการเช่ารวมไปถึงการเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจรผ่านแพลตฟอร์ม EVme (อีวี มี) พร้อมนำเสนอประสบการณ์แบบครอบคลุมกับ มินิ คูเปอร์ เอสอี รถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นแรกจากมินิ และบีเอ็มดับเบิลยู iX3 รถยนต์พลังงานไฟฟ้าสปอร์ตอเนกประสงค์ เพื่อให้ผู้ขับขี่รถยนต์ในพื้นที่กรุงเทพฯ ได้สัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษและเพลิดเพลินกับไลฟ์สไตล์การขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้าผ่านบริการจาก EVme พร้อมทดลองใช้ชีวิตกับรถยนต์ไฟฟ้าแบบที่กำหนดได้เอง ซึ่งลูกค้าจะได้รับประสบการณ์เกี่ยวกับการขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าล้วนอย่างเต็มรูปแบบ ช่วยให้ตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างรอบคอบยิ่งขึ้น โดยในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 นี้ รถยนต์มินิ คูเปอร์ เอสอี และบีเอ็มดับเบิลยู iX3 จะพร้อมให้ทดลองเป็นเจ้าของแล้วผ่านแอปพลิเคชัน EVme บนโทรศัพท์มือถือ
ดีพร้อม มอเตอร์ โชว์
เกรท วอลล์ มอเตอร์ จับมือกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมและสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ขนทัพรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (xEV) ที่อัดแน่นด้วยนวัตกรรมยานยนต์แห่งอนาคต ร่วมจัดแสดงในงาน ดีพร้อม มอเตอร์ โชว์ (DIPROM MOTOR SHOW 2022) ซึ่งจะจัดขึ้น ณ อาคารศูนย์ประชุมและแสดงสินค้าอุตสาหกรรมภาคเหนือ จังหวัดลำปาง ระหว่างวันที่ 9-16กุมภาพันธ์ 2565 โดยเกรท วอลล์ มอเตอร์ นำรถยนต์พลังงานไฟฟ้าไปร่วมงานครบทั้ง 3 รุ่น ทั้ง All New HAVAL H6 Hybrid SUV รถยนต์คอมแพคเอสยูวียอดนิยมที่ครองยอดขายอันดับ 1ถึง 3 เดือนซ้อน (เดือนสิงหาคมถึงตุลาคม 2564) และอยู่ในกลุ่มผู้นำตลาดมาจนถึงปัจจุบัน ORA Good Cat เจ้าเหมียวไฟฟ้า 100% ขวัญใจผู้บริโภคชาวไทย และ All New HAVAL JOLION Hybrid SUV เจ้าสิงโตอารมณ์ดีซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีตั้งแต่เปิดตัวเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา พร้อมกิจกรรมที่น่าสนใจให้ผู้บริโภคชาวลำปางและจังหวัดใกล้เคียงในพื้นที่ภาคเหนือได้สัมผัสอย่างใกล้ชิด สร้างการรับรู้และตอบรับกระแสรถยนต์ไฟฟ้า ตอบรับนโยบายการผลักดันประเทศไทยสู่สังคมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างยั่งยืนของภาครัฐ หวังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท่ามกลางการระบาดของโรคโควิด-19 เกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นและได้สร้างความคึกคักให้กับวงการยานยนต์อย่างต่อเนื่องหลังจากเปิดตัวแบรนด์อย่างเป็นทางการในประเทศไทยไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2564 โดยได้ปักธงผู้นำด้าน xEV ด้วยยอดขายในประเทศรวมทั้งสิ้น 3,702คันในปีที่ผ่านมา ประกาศความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ในปีแรกของการเข้ามาดำเนินธุรกิจอย่างเป็นทางการในประเทศไทยและเปิดตัวพร้อมจำหน่ายรถยนต์ 3 รุ่น ในระยะเวลาเพียง 6เดือน สำหรับรถยนต์ที่ เกรท วอลล์ มอเตอร์ นำมาจัดแสดงในงาน ดีพร้อม มอเตอร์ โชว์ มีทั้งหมด 3 รุ่น ได้แก่ All…
ฮอนด้า คว้า 6 รางวัล
บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศความสำเร็จจากการคว้า 6 รางวัลด้านความปลอดภัย ในงานฉลองครบรอบ 10 ปี ASEAN NCAP (New Car Assessment Program for Southeast Asian) โดยเป็นแบรนด์ผู้ผลิตรถยนต์ที่ได้รับรางวัลมากที่สุดภายในงาน สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์และนำเสนอยนตรกรรมคุณภาพที่มาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยสูงสุดในหลากหลายเซกเมนต์ ตอกย้ำเจตนารมณ์ในการสร้างสังคมปลอดอุบัติเหตุอย่างยั่งยืน ที่พร้อมมอบความมั่นใจและความสุขสำหรับผู้ใช้รถใช้ถนนทุกคนในทุกเส้นทาง สำหรับงานฉลองครบรอบ 10 ปีของ ASEAN NCAP จัดขึ้นเพื่อมอบรางวัลยานยนต์ปลอดภัยแห่งทศวรรษ (Decade of Vehicle Awards) ให้กับแบรนด์ผู้ผลิตรถยนต์ที่ได้พัฒนาและนำเสนอยนตรกรรมคุณภาพควบคู่กับความปลอดภัย โดยฮอนด้า ถือเป็นแบรนด์ผู้ผลิตรถยนต์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในฐานะแบรนด์ที่ได้รับรางวัลมากที่สุดภายในงาน ซึ่งได้รับรางวัลมาตรฐานความปลอดภัยรวมทั้งหมด 6 รางวัล ได้แก่ รางวัล ผู้ชนะ การป้องกันผู้โดยสารที่เป็นเด็กที่ดีที่สุด ในส่วนการทดสอบการชนจากด้านหน้า ระหว่างปี 2017 – 2020(Best Forward Facing Child Occupant Protection 2017-2020) ฮอนด้า แอคคอร์ด เทคโนโลยีด้านความปลอดภัย (Safety Technology Award) ฮอนด้า ซีวิค (เจเนอเรชันที่ 11) – ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ สำหรับรถจักรยานยนต์ (Autonomous Emergency Braking (AEB) for Motorcycle) อาเซียน เอ็นแคป ยอดเยี่ยม – การรักษามาตรฐานความปลอดภัยระดับ 5 ดาวต่อเนื่อง (Excellent Award – Consistent 5-Star) ฮอนด้า ซิตี้ (เจเนอเรชันที่ 3 – เจเนอเรชันที่ 5) ฮอนด้า ซีวิค…
ฮอนด้า ชวนลูกค้าเข้ารับบริการ
เพื่อการรับสิทธิ์ลดหย่อนภาษี โครงการ “ช้อปดีมีคืน 2565” ณ โชว์รูมและศูนย์บริการทั่วประเทศ 229 แห่ง ของฮอนด้า ตั้งแต่ 1 ม.ค.- 15 ก.พ. 2565นี้ ซึ่ง บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) ชวนลูกค้าฮอนด้าเข้ารับบริการเพื่อรับสิทธิ์ลดหย่อนภาษี โครงการ “ช้อปดีมีคืน 2565” ณ โชว์รูมและศูนย์บริการฮอนด้า 229 แห่งทั่วประเทศ โดยลูกค้าสามารถนำใบเสร็จรับเงินหรือใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบจากยอดค่าใช้จ่ายจริง สูงสุด 30,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 15 กุมภาพันธ์ 2565 มาใช้ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษี 2565 ซึ่งค่าใช้จ่ายงานบริการที่เข้าร่วมเงื่อนไขในโครงการ “ช้อปดีมีคืน”* ได้แก่ งานตรวจเช็กตามระยะทาง (PM) งานซ่อมทั่วไป (GR) และงานซ่อมตัวถังและสี (BP) ประเภทลูกค้าเป็นผู้ชำระเงิน รวมถึงค่าใช้จ่ายในการซื้อชุดอุปกรณ์ตกแต่งที่โชว์รูมและศูนย์บริการอีกด้วย ลูกค้าสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โชว์รูมและศูนย์บริการฮอนด้าทั่วประเทศ หรือศูนย์บริการข้อมูลฮอนด้า 24 ชั่วโมง (Honda Call Center) โทร. 0 2341 7777 หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมของการบริการต่าง ๆ และเลือกการบริการที่ใช่สำหรับคุณได้ที่ www.honda.co.th/service
นิสสัน ร่วมมือกับ ภัทรลิสซิ่ง
นิสสัน ประเทศไทย ร่วมมือกับ บมจ.ภัทรลิสซิ่ง ร่วมสนับสนุนการขับเคลื่อนแบบไร้มลพิษจากยานยนต์พลังงานไฟฟ้า โดยได้มีการส่งมอบนิสสัน ลีฟ ล็อตแรกให้แก่ บริษัท ภัทรลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมนวัตกรรมรักษ์โลก ลดการปล่อยมลพิษผ่านการใช้รถยนต์พลังงานทางเลือก และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ภายใต้คอนเซป “พลังงานทางเลือก เพื่อโลกของเรา” ณ ศูนย์การเรียนรู้ด้านยานยนต์ไฟฟ้า (Nissan Electrification Experience Center) โรงงานผลิตรถยนต์นิสสัน บางนา กม.21 จังหวัดสมุทรปราการ คุณพิภพ กุนาศล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ภัทรลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “บริษัทมีความยินดีเปิดประสบการณ์ใหม่ในการใช้รถยนต์ไฟฟ้าแบบง่าย ๆ โดยนำรถยนต์ไฟฟ้า นิสสัน ลีฟ มาให้บริการเช่าแบบลิสซิ่ง ทั้งเช่าระยะสั้น 1 ปี และระยะยาวไม่เกิน 5 ปี หากลูกค้าสนใจเช่ารถยนต์นิสสัน ลีฟ สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่ฝ่ายการตลาด 02-290-7575 ต่อ 422,425 การร่วมมือกับนิสสันครั้งนี้ ภัทรลิสซิ่งใช้แนวทางการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อมเสมอมา เพื่อเป็นการส่งเสริมการลดมลพิษทางอากาศควบคู่กับการตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมเรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับภัทรลิสซิ่ง ในการเลือกใช้นิสสัน ลีฟ ความร่วมมือดังกล่าวสะท้อนถึงความมุ่งมั่นต่อวิสัยทัศน์ระยะยาว Ambition 2030 ของนิสสัน ซึ่งเป็นแผนกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเป็นหัวใจหลัก เพื่อยกระดับประสบการณ์การเดินทางของลูกค้าและสังคม พร้อมเปิดประสบการณ์การเดินทางแบบไร้มลพิษด้วยนิสสัน ลีฟ รถยนต์ไฟฟ้า 100%” นิสสัน ลีฟ ได้รับเลือกในฐานะรถยนต์ไฟฟ้าไร้มลพิษสมรรถนะสูงด้วยซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับโลก โดยจำหน่ายใน 59 ประเทศทั่วโลกและในปี 2564 มียอดขายมากกว่า 500,000 คันทั่วโลก* นิสสัน ลีฟ มาพร้อมระบบขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้า ขนาดความจุ 40 กิโลวัตต์ชั่วโมง (kWh) มีกำลังเครื่องยนต์สูงสุด 110 กิโลวัตต์ (kW) และแรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตร ให้อัตราเร่งที่ดีขึ้น จาก 0 ถึง 100 กม./ชม. ภายในเวลาเพียง 7.9 วินาที เมื่อชาร์จแบตเตอรี่เต็ม 100% สามารถขับขี่ได้ระยะทางสูงสุดถึง 311 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC (New European Driving Cycle) นอกจากนี้ ลีฟ ยังรองรับการชาร์จไฟแบบเร็ว (Quick Charge) เป็นการชาร์จไฟฟ้ากระแสตรง DC Charging ผ่านสถานีอัดประจุไฟฟ้า ตามสถานีชาร์จไฟฟ้าสาธารณะ (EV Charging Station) โดยจะจ่ายไฟฟ้ากระแสตรงเข้าสู่แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าโดยตรง โดยใช้เวลาชาร์จไฟ 40 นาที (จาก 0 จนถึง 80% ของความจุ) (ขึ้นอยู่กับความจุพลังงานแบตเตอรี่ กิโลวัตต์-ชั่วโมง) ความสามารถในการชาร์จแบบสองทางของลีฟที่เป็นได้มากกว่ายานพาหนะ เป็นคุณสมบัติมาตรฐานมากับตัวรถตั้งแต่เปิดตัวเมื่อปี 2010 โดยไม่เพียงแต่ลีฟจะสามารถดึงพลังงานออกมาชาร์จแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูง แต่ยังสามารถป้อนพลังงานกลับไปยังระบบโครงข่าย หรือ กริด (grid) ผ่านเทคโนโลยี วี-ทู-กริด (V2G-Vehicle-to-Grid) หรือส่งไปยังเครื่องใช้ไฟฟ้าโดยตรงผ่านระบบ วี-ทู-เอเวอรี่ติง (V2X-Vehicle-to-everything) ลูกค้าที่สนใจทดลองขับรถยนต์นิสสันรุ่นต่าง ๆ หรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเยี่ยมชมโชว์รูมและศูนย์บริการใน 77 จังหวัดทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลได้ที่ Call Center ที่ 02 401 9600 หรือเยี่ยมชม เว็บไซต์ นิสสัน ประเทศไทย
ยอดขายมอเตอร์ไซค์ ฮอนด้า ยังเป็นอันดับหนึ่ง
รถจักรยานยนต์ฮอนด้า ครองยอดขายอันดับ 1 ในไทย 33 ปีซ้อน ด้วยตัวเลข 1.236 ล้านคัน คว้ายอดจำหน่ายสูงสุดทั้งรถครอบครัว-เอ.ที.-สปอร์ต คาดปี 2022 ตลาดเติบโตต่อเนื่อง ตั้งเป้าโต 5% ชูศักยภาพฐานผลิตและส่งออกรถจักรยานยนต์และเครื่องยนต์อเนกประสงค์ที่สำคัญของฮอนด้าสู่ตลาดโลก ไทยฮอนด้า ประกาศตัวเลขยอดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้าในประเทศไทย ประจำปี 2021ทำได้รวม 1.236 ล้านคัน คว้าแชมป์ยอดขายอันดับหนึ่งในไทยต่อเนื่องถึง 33 ปีซ้อน พร้อมครองตำแหน่งรุ่นรถยอดนิยมอันดับที่ 1 ทุกเซกเม้นต์ คาดตลาดรวมในปีนี้จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ไทยฮอนด้าพร้อมเดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งด้วยผลิตภัณฑ์และบริการหลังการขายที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ตั้งเป้าเติบโต 5% ในปี 2022 มร.ชิเกโตะ คิมูระ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยฮอนด้า แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด กล่าวว่า “ภาพรวมตลาดรถจักรยานยนต์ไทยในปี 2021 ที่ผ่านมา มีทิศทางการเติบโตที่ดีขึ้น โดยฮอนด้าสามารถรักษาความเป็นผู้นำตลาดไว้ได้อย่างต่อเนื่อง ครองแชมป์ยอดขายอันดับหนึ่งเป็นปีที่ 33 ติดต่อกัน ด้วยยอดจดทะเบียน 1,236,476 คัน จากยอดรวมของประเทศ อยู่ที่ 1,611,078 คัน เมื่อมองตัวเลขในแต่ละเซกเม้นต์ เราพบว่ารถครอบครัวยังคงเป็นกลุ่มที่ได้รับความนิยมมากที่สุด มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 52% โดยมี Honda Wave110i ครองอันดับหนึ่ง ด้วยยอดจำหน่ายสูงสุดในตลาด อยู่ที่ 530,408 คัน ในขณะที่กลุ่มรถ เอ.ที. มีการเติบโตขึ้นมาจนมีส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นอีก 1% แตะระดับ 43% โดยมี Honda Scoopy ที่ทำยอดจำหน่ายสูงที่สุดในกลุ่มนี้ ด้วยยอดขาย 180,914 คัน ส่วนกลุ่มรถสปอร์ตมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 5% โดยมี Honda CRF300L เป็นรุ่นรถสปอร์ตอันดับที่ 1 ด้วยยอดขาย 6,944 คัน ตลาดรถจักรยานยนต์ไทยในปีที่ผ่านมา ถือว่าเป็นไปในทิศทางที่ดี…