SUZUKI SWIFT GL PLUS อัพเกรด

SUZUKI SWIFT GL PLUS กับชุดแต่งรอบคัน เวอร์ชันพิเศษ เติมความแตกต่าง สุดทุกอารมณ์แห่งความสปอร์ตเร้าใจ คุ้มค่าในราคาเพียง 567,000 บาท มร.มิโนรุ อามาโนะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “สำหรับ SUZUKI SWIFT นับเป็นรถยนต์สปอร์ตแฮทช์แบ็กอีโคคาร์ ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดรุ่นหนึ่งในกลุ่มผู้บริโภค โดยนับตั้งแต่ที่ซูซูกิเข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทย SUZUKI SWIFT เป็นรุ่นรถยนต์ที่สร้างยอดขายได้มากที่สุดของซูซูกิ จากการแนะนำรุ่นแรกออกสู่ตลาดในปี 2553 จนถึงปัจุบันมียอดขายรวมสูงถึง 139,477 คัน ซึ่งต้องขอขอบคุณลูกค้าชาวไทยทุกท่านที่ต่างยอมรับ และให้การสนับสนุนผลิตภัณฑ์ของเราเป็นอย่างดีมาโดยตลอด ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่นั่งอยู่ในใจของลูกค้าชาวไทย สิ่งหนึ่งที่เราให้ความสำคัญคือ การพัฒนาและปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้สอดรับกับความต้องการของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ซูซูกิจึงขอแนะนำSUZUKI SWIFT GL PLUS ออกสู่ตลาดอีโคคาร์ ซึ่งจะเป็นรุ่นพิเศษ อัพเกรดความสปอร์ตเร้าใจให้มากขึ้นกว่าเดิมพร้อมทั้งสานต่อความสำเร็จของ SUZUKI SWIFT GL MAX EDITION ที่เปิดตัวไปในปี 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งได้การตอบรับอย่างดีจากกลุ่มลูกค้าที่นิยมรถแต่งที่เป็นไปได้มากกว่ารถยนต์ทั่วไป และเรามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าจะเข้ามาเป็นตัวช่วยเสริมทัพอีโคคาร์ของซูซูกิให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นในปีนี้” คุณวัลลภ ตรีฤกษ์งาม กรรมการบริหารด้านการขายและการตลาด บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา (เดือนมกราคม-กรกฎาคม 2564) SUZUKI SWIFT สามารถสร้างยอดขายรวมไปได้แล้วทั้งสิ้น3,901คัน ล่าสุด เพื่อตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในการนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพที่ดีต่อลูกค้า ซูซูกิจึงได้แนะนำ SUZUKI SWIFT GL PLUS รุ่นตกแต่งพิเศษออกสู่ตลาดประเทศไทย โดยยังคงนำเสนอรูปลักษณ์อันแสนสปอร์ตเร้าใจ มอบทุกความแตกต่างที่ไม่ซ้ำใคร เดินหน้าเพื่อสานต่อความสำเร็จของรถยนต์สปอร์ตแฮทช์แบ็ก อีโคคาร์ รุ่นยอดนิยม” สำหรับ SUZUKI SWIFT GL PLUS รุ่นตกแต่งพิเศษ มาภายใต้แนวคิด “เร้าใจเต็มสปีด สุดขีดสไตล์พลัส”พร้อมเข้ามาเติมเต็มความต้องการของกลุ่มลูกค้าให้มากยิ่งขึ้น โดยถูกพัฒนามาจากรุ่น SWIFT GL ด้วยการยกระดับความสปอร์ตเร้าใจให้เหนือขึ้นไปอีกขั้นกับชุดแต่งที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษรอบคันเพื่อลูกค้าซูซูกิทุกท่าน SUZUKI SWIFT GL PLUS ตกแต่งด้วยชุดแต่งดีไซน์ใหม่ กับชุดสเกิร์ตรอบคันพร้อมด้วยสปอยเลอร์หลังเติมเต็มความสปอร์ตให้มากขึ้นไปอีกขั้น เสาอากาศครีบฉลาม ซุ้มล้อสีดำ บ่งบอกถึงความพิเศษและเป็นเอกลักษณ์ด้วยชุดสติกเกอร์ลายใหม่ที่จะถ่ายทอดทุกความเร้าใจที่เป็นคุณ   ทั้งนี้ SUZUKI SWIFT GL PLUS ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์อันโดดเด่น ดีไซน์ภายนอก สปอร์ต ปราดเปรียว ภายในทันสมัย ตกแต่งด้วยวัสดุสีเงินสไตล์สปอร์ต กว้างสบายรองรับการใช้งานได้หลากหลาย พร้อมพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันทรงD-Shape เพิ่มพื้นที่วางขาและปรับระดับได้ 4 ทิศทาง เบาะนั่งทรงสปอร์ตโอบกระชับสรีระ เร้าใจไปกับเครื่องยนต์รหัสK12M แบบเบนซิน 4 สูบ ขนาด 1.2 ลิตร หัวฉีดคู่หรือ DUALJET ซึ่งเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ด้วยกำลังสูงสุด 83 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 108 นิวตันเมตร ที่ 4,400 รอบต่อนาที เกียร์อัตโนมัติ CVT พร้อมรองรับน้ำมันเชื้อเพลิงประเภท E20 ประหยัดเชื้อเพลิงโดยเฉลี่ยกว่า 23 กิโลเมตร/ลิตร ปลอดภัยอย่างเหนือชั้น ด้วยแพลตฟอร์ม HEARTECT เทคโนโลยีเฉพาะของซูซูกิที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อช่วยเสริมให้รถมีน้ำหนักน้อยลงแต่คงความแข็งแกร่งและประหยัดน้ำมันมากขึ้น รวมถึงโครงสร้างตัวถังแบบ TECT ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของตัวรถ พร้อมระบบ NVH ช่วยกันการสั่นสะเทือน และลดเสียงรบกวนจากภายนอก พร้อมระบบ TCS ช่วยในการควบคุมรถขณะขับขี่บนถนนลื่นหรือในทางโค้ง พร้อมระบบเบรก ABS และ EBD ระบบควบคุมเสถียรภาพตัวรถESP ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชันและยังเหมาะกับการขับในเมืองด้วยระบบ IDLING STOP ที่ช่วยลดการสิ้นเปลืองน้ำมันขณะรถหยุดนิ่ง ขับขี่อย่างมั่นใจในทุกเส้นทางด้วยระบบ Hill Hold Control  ช่วยออกตัวบนทางลาดชัน และปลอดภัยมากขึ้นด้วยถุงลมนิรภัย SRS คู่หน้า SUZUKI SWIFT GL PLUS มีให้เลือกทั้งหมด 6 สี ได้แก่ สีแดง Ablaze Red Pearl, สีเทา Star Silver Metallic, Mineral สีเทาเข้ม Gray Metallic, สีดำ Super Black Pearl สีน้ำเงิน Speedy Blue Metallic จำหน่ายในราคาเพียง 567,000 บาท และ สีขาว Pure White Pearl จำหน่ายในราคาเพียง 572,000 บาท ทั้งนี้ ยังมาพร้อมแคมเปญสุดพิเศษเพื่อให้คุณสามารถเป็นเจ้าของรถยนต์สปอร์ตแฮทช์แบ็กอีโคคาร์รุ่นนี้ได้ง่ายมากยิ่งขึ้น สำหรับผู้ที่จอง SUZUKI SWIFT GL PLUS เร้าใจเต็มสปีด สุดขีดสไตล์พลัส ซูซูกิพร้อมจะมอบสุดยอดความคุ้มค่าให้ผู้ที่สนใจได้เป็นเจ้าของ SUZUKI SWIFT ได้ง่ายยิ่งขึ้นกับโปรโมชั่นพิเศษ โดยสามารถเลือกรับข้อเสนอผ่อนเริ่มต้นเดือนละ 3,333 บาท หรือเลือกรับดอกเบี้ยพิเศษ 1.99% พร้อมส่วนลดอุปกรณ์ตกแต่ง 15,000 บาท ฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่งและบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน โดยช่องทางการติดต่อ www.suzuki.co.th  www.facebook.com/officialsuzukimotorthailand หรือ SUZUKI…

 
Read More

NISSAN PPV

นิสสัน เทอร์ร่า ใหม่ รถอเนกประสงค์ที่สมบูรณ์แบบสำหรับครอบครัวเปิดตัวแล้ววันนี้ด้วยราคาเริ่มต้น 1,199,000 บาท นิสสัน เทอร์ร่า ใหม่ จัดสเปคครบครันเพื่อทุกคนในครอบครัว ทั้งเทคโนโลยีความปลอดภัยความบันเทิง ทั้ง ดีไซน์ใหม่ และสมรรถนะการขับขี่ ที่ใช้งานง่ายทั้งในเมืองและนอกเมือง นิสสัน ประเทศไทย เปิดตัว 
เทอร์ร่า ใหม่ รถยนต์เอสยูวีสำหรับทุกคนในครอบครัวที่มีจุดเด่นด้านความปลอดภัยความบันเทิง และความเอนกประสงค์ที่ตอบสนองทุกการใช้งานของครอบครัว ในราคาเริ่มต้นที่ 1,199,000 บาท โดยการเปิดตัวผ่านสื่อออนไลน์ครั้งนี้ให้ความสำคัญกับไลฟ์สไตล์ของทุกคนในครอบครัวผ่านเรื่องราวการส่งมอบนิสสัน เทอร์ร่าใหม่ โดย มร.อิซาโอะ เซคิกุจิ ประธาน นิสสัน ประเทศไทย ด้วยความภาคภูมิใจในศักยภาพการเป็นศูนย์การผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของนิสสันในภูมิภาคอาเซียน กล่าวว่า “สิ่งที่ลูกค้าต้องการคือเป้าหมายของนิสสัน โดย เทอร์ร่า ใหม่พัฒนาตามเสียงตอบรับของลูกค้าในไทย ซึ่งให้ความสำคัญกับความปลอดภัย และความบันเทิงในรถ แต่ยังคงคำนึงถึงความพรีเมี่ยมและ
ความอเนกประสงค์ ซึ่งเราภูมิใจที่นิสสัน เทอร์ร่า ใหม่ พร้อมสำหรับลูกค้าทุกคนตั้งแต่วันนี้” อิซาโอะกล่าว การเปิดตัวครั้งนี้จะถ่ายทอดให้เห็นถึงการใช้งานจริง ทั้งเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ครอบคลุม ระบบความบันเทิงจาก Bose หน้าจอขนาด 11 นิ้วพร้อม Smart TV stick สำหรับผู้โดยสารแถวสอง และสาม ชาร์จเจอร์ไร้สาย เทคโนโลยีNissanConnect และการเชื่อมต่อผ่าน Android Auto และ Apple CarPlay แบบไร้สาย ที่เป็นครั้งแรกในรถยนต์ระดับเดียวกัน รวมถึงดีไซน์ภายนอกและภายในที่ปรับให้มีความพรีเมี่ยมมากยิ่งขึ้น” การดีไซน์ใหม่ที่อัปเกรดมากขึ้นอย่างน่าประทับใจ ทั้งภายในและภายนอก การออกแบบ นิสสัน เทอร์ร่า ใหม่สอดคล้องกับปรัชญาการออกแบบ “Unbreakable Design” ดีไซน์
ไฟหน้า Quad LED รูปตัวซีอันเป็นเอกลักษณ์ 4 ดวงในแต่ละด้าน ที่สว่างมากขึ้น 34% และออกแบบท้ายรถใหม่ทั้งหมด พร้อมล้ออัลลอยลายใหม่ขนาด 18 นิ้ว การออกแบบภายในแบบใหม่พร้อมเพิ่มเทคโนโลยีที่ทันสมัย และปรับให้เบาะนั่งสบายขึ้น รวมถึงสามารถปรับรูปแบบที่นั่งแถวที่สองและสามได้หลากหลาย เพียงกดปุ่ม 1-touch remote fold & tumble ที่คอนโซลกลาง และฝาประตูท้ายระบบไฟฟ้าและเซนเซอร์ด้านใต้กันชนหลัง** มาพร้อมสีให้เลือก ได้แก่ สีขาว ไวท์ เพิร์ล, สีเงิน บริลเลียนท์ ซิลเวอร์, สีดำ แบล็ค สตาร์ และสีเทา ทไวไลท์ เกรย์  รวมถึงสีพิเศษสำหรับรุ่น VL ได้แก่ สีแดง คูลีส์ และสีทองแดง ฟอร์จ 
คอปเปอร์ รวมถึงทางเลือกในการตกแต่งภายในห้องโดยสารแบบทูโทน ทั้งโทนสีดำ-แดงเบอร์กันดี หรือโทนสีดำ-เบจ ความปลอดภัยสูงสุดเพื่อสมาชิกทุกคนในครอบครัว นิสสัน เทอร์ร่า ใหม่ ให้การปกป้องรอบด้านด้วย 360 degree Safety Shield ทั้งเทคโนโลยีช่วยเบรกฉุกเฉินและแจ้งเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนอัจฉริยะหรือเมื่อรถออกนอกช่องทางเทคโนโลยีเตือนรถในมุมอับ เทคโนโลยีกล้องมองภาพรอบทิศทางที่ทำงานร่วมกับเทคโนโลยีเตือนวัตถุเคลื่อนไหวรอบคัน เทคโนโลยีตรวจจับวัตถุด้านหลังขณะถอย เทคโนโลยีเตือนผู้ขับขี่เมื่อขาดสมาธิหรือเหนื่อยล้า และเทคโนโลยีกระจกมองหลังอัจฉริยะ เอกลักษณ์เฉพาะที่จะแสดงภาพความละเอียดสูงผ่านกระจกมองหลังเพื่อเพิ่มทัศนวิสัย การเข้าถึงทุกความบันเทิงที่ทุกคนชื่นชอบ ด้วยเทคโนโลยีเพื่อความบันเทิงตลอดเส้นทาง ทั้งระบบเสียง Bose Premium Audio System จากลำโพง 8 ตำแหน่ง และแอมพลิฟายเออร์ การเพิ่มฉนวนลดเสียงรบกวนและ Acoustic Glass เพื่อคุณภาพเสียงที่ดี หน้าจอสัมผัส WXGA ขนาด 9 นิ้ว และเทคโนโลยี NissanConnect ที่เชื่อมต่อสมาร์ทโฟนผ่านAndroid Auto* และ Apple CarPlay แบบไร้สายซึ่งเป็นครั้งแรกในรถยนต์ระดับเดียวกัน ทำให้เข้าถึงระบบนำทางและทุกแอปพลิเคชันได้อย่างง่ายดาย พร้อมระบบสั่งงานด้วยเสียงอัจฉริยะและที่ชาร์จแบบไร้สายบริเวณคอนโซลหน้า รวมถึงช่องชาร์จไฟ USB (ประเภท A และ C) 5 จุด บริเวณคอนโซลหน้า คอนโซลกลาง และแถวที่สาม นอกจากนี้ผู้โดยสารในแถวสองและสามสามารถรับชมความบันเทิงผ่านหน้าจอขนาด 11 นิ้ว ที่เชื่อมต่อผ่านช่อง HDMI หรือ Smart TV stick  สมรรถนะการขับเคลื่อนและอัตราเร่งที่ดีที่สุดในกลุ่มรถยนต์อเนกประสงค์เครื่องยนต์ดีเซล YS23DDTT ขนาด 2.3 ลิตร ทวินเทอร์โบ ให้การขับขี่นุ่มนวลแต่ทรงพลัง ด้วยกำลังสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร และเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด และสามารถเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนจากสองล้อเป็นสี่ล้อได้อย่างง่ายดาย ลูกค้าทุกท่านสามารถสั่งจองนิสสัน เทอร์ร่า ใหม่ในรุ่นที่ชื่นชอบได้แล้วตั้งแต่วันนี้ ด้วยราคาเปิดตัวที่ 1,199,000 บาท สำหรับรุ่น 2.3 E 2WD 7AT 1,449,000 บาท สำหรับรุ่น 2.3 VL 2WD 7AT และ 1,499,000 บาท สำหรับรุ่น 2.3 VL 4WD 7AT สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ผู้จำหน่ายนิสสัน รวมถึงโชว์รูมนิสสันใกล้บ้านท่านใน 77 จังหวัด ทั่วประเทศ หรือติดต่อศูนย์บริการลูกค้านิสสัน โทร. 02 401 9600 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ของ นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย  

 
Read More

ฮอนด้า เปิดแคมเปญ “5 ข้อดี ขับขี่ปลอดภัยไม่เสี่ยง”

ฮอนด้า แนะวิธีขับขี่ปลอดภัยผ่านสื่อแบบครบวงจร ศูนย์ฝึกขับขี่ปลอดภัยฮอนด้า ห่วงใยผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์และผู้ใช้ท้องถนนในเมืองไทย เปิดแคมเปญ “5 ข้อดี ขับขี่ปลอดภัยไม่เสี่ยง” ยกระดับการให้ความรู้รูปแบบใหม่ที่เข้าใจง่ายและขยายสู่กลุ่มคนรุ่นใหม่อย่างครบวงจร พร้อมสนับสนุนให้องค์กรและหน่วยงานต่าง ๆ นำไปใช้ประชาสัมพันธ์ให้กับบุคลากรภายใน หวังช่วยกันปลูกจิตสำนึกด้านความปลอดภัยให้กับสังคมในวงกว้างต่อไป สำหรับแคมเปญ “5 ข้อดี ขับขี่ปลอดภัยไม่เสี่ยง” เป็นการนำเสนอข้อปฏิบัติเพื่อลดความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดอุบัติเหตุ ต่อยอดจากผลสำรวจโครงการวิจัยเพื่อเมืองไทยไร้อุบัติเหตุ พบว่าส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมของผู้ขับขี่เป็นหลัก พร้อมกับใช้แนวคิดรูปแบบการ์ตูนสไตล์ญี่ปุ่นหรือมังงะ (MANGA)ผนวกกับคำที่อยู่ในกระแสนิยมมาดึงดูดความสนใจ โดยนำเสนอหลักปฏิบัติ 5 ข้อที่เข้าใจง่าย ๆ ได้แก่ 1.สวมหมวกกันน็อก ล็อกใจเธอ 2.ไม่ซิ่งก็ขิงได้ 3.เปิดไฟก่อนเลี้ยว เฟี้ยวได้ใจ 4.ขี่ห่าง…ไว้ ใจไม่ห่างเธอ 5.ขี่ไม่ดื่ม แฟนปลื้มเวอร์ ทั้งนี้ ศูนย์ฝึกขับขี่ปลอดภัยฮอนด้า ได้จัดทำสื่อการประชาสัมพันธ์ “5 ข้อดี ขับขี่ปลอดภัยไม่เสี่ยง” ผ่านสื่อแบบครบวงจรทั้งออฟไลน์และออนไลน์ อาทิ โปสเตอร์ เต๊นท์การ์ด และวีดีโอ เผยแพร่ผ่านร้านผู้จำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้าทั่วประเทศ รวมถึงแอปพลิเคชัน : My Honda Moto , ยูทูบ : HondaMotorcycleTHA , เว็บไซต์ : hondasafety.thaihonda.co.th และเฟซบุ๊ก : facebook.com/HondaSafetyThailand โดยหน่วยงานที่สนใจ สามารถติดต่อรับสื่อเพื่อใช้รณรงค์ภายในองค์กรได้ที่ คุณนภาพร วัฒนาดิลกกุล ส่วนงานส่งเสริมการขับขี่ปลอดภัย บริษัท ไทยฮอนด้า แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด โทร 027576111 ต่อ 3002 ภายในวันที่ 30 กันยายน 2564…

 
Read More

BMW ยืนยันผลประกอบการเป็นบวก

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังครองผลประกอบการบวกในไตรมาสที่สองต่อเนื่อง ตอกย้ำความมุ่งมั่นของการดำเนินธุรกิจระยะยาวในตลาดไทย พร้อมร่วมกับผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการสนับสนุนบุคลากรทางแพทย์และคนไทยผ่านหลากหลายโครงการเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง –ยอดขายของบีเอ็มดับเบิลยูยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยจำนวนส่งมอบของบีเอ็มดับเบิลยู 
5,037 คัน มินิ 536 คัน และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด 623 คัน โตขึ้น 33% 40% และ 1% ตามลำดับ จากปีก่อนหน้า –บีเอ็มดับเบิลยู และมินิ มีสถิติยอดส่งมอบสูงกว่าตลาดรถยนต์นั่งในภาพรวมช่วงครึ่งปีแรกที่ 120,351 คัน คิดเป็นการเติบโตที่ 0.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า –บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย มีสถิติการผลิตรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูในช่วงครึ่งปีแรกเพิ่มขึ้น31.4% เทียบกับปี 2562 และ 35.5% เทียบกับปี 2563  –การลงทุนเพิ่มในบีเอ็มดับเบิลยู พาร์ทส์ แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ช่วยขยายเครือข่ายการผลิตในประเทศ –จำนวนผู้จำหน่ายบีเอ็มดับเบิลยูและมินิอย่างเป็นทางการ ที่ได้รับการรับรองด้านความปลอดภัยและสุขอนามัย(SHA) มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการยกระดับด้านมาตรการความปลอดภัยอย่างต่อเนื่องของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทยและผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ 
 –ด้วยความมุ่งมั่นที่จะต่อสู้กับโควิด-19 บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ร่วมกับผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการทั่วประเทศ ดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมมากมาย เช่น การบริจาคน้ำและอาหารโดยผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ การจัดให้บริการรถรับ-ส่งให้แก่บุคลากรทางการแพทย์และประชาชนทั่วไป เพื่อเดินทางไปรับบริการฉีดวัคซีน โดยบีเอ็มดับเบิลยูและมินิ ผ่านแอปพลิเคชัน HAUP แคมเปญร่วมบริจาคสองต่อเพื่อสนับสนุนกองทุนชัยพัฒนาสู้ภัยโควิด-19 การสนับสนุนด้านยานยนต์ให้แก่ชมรมแพทย์ชนบท โดยความร่วมมือระหว่างบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย และพันธมิตรต่าง ๆ  และกิจกรรมระดมทุนการกุศล “We Care, We Share” โดยมูลนิธิแคร์ ฟอร์ วอเตอร์ ทั้งนี้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังคงครองผลการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่งต่อเนื่องในตลาดรถยนต์พรีเมียมของไทย สำหรับไตรมาสที่สองของปี 2564 ด้วยจำนวนส่งมอบทั้งบีเอ็มดับเบิลยู และมินิ จนถึงปัจจุบันอยู่ที่  5,573 คัน โตขึ้น 34% ส่งผลให้มีอัตราการเติบโตสูงกว่าตลาดรถยนต์นั่งโดยรวม ซึ่งมีการเติบโตอยู่ที่ 0.5% ด้วยยอดส่งมอบ120,351 คัน แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ที่มีต่อตลาดรถยนต์พรีเมียมไทยในระยะยาวรวมถึงความเชื่อมั่นของลูกค้าไทยทั่วประเทศที่มีต่อทั้งสามแบรนด์ สำหรับช่วงครึ่งแรกของปี 2564 บีเอ็มดับเบิลยูและมินิมียอดส่งมอบรถ 5,037 คัน และ 536 คัน โตขึ้น 33% และ 40% ตามลำดับ ในขณะที่บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ก็มียอดส่งมอบ 623 คัน เพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา ในด้านการผลิต บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ยังสามารถเพิ่มการผลิตรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูได้ถึง 31.4% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในระหว่างเดือนมกราคมถีงมิถุนายน ปี 2562 และเพิ่มขึ้น 35.5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในระหว่างเดือนมกราคมถึงมิถุนายนปี 2563 แม้จะมีความผันผวนทางเศรษฐกิจในปี 2563 และ 2564 ซึ่งเป็นผลจากจำนวนการสั่งจองอย่างต่อเนื่อง พร้อมความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับการส่งออก เพื่อสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังตอกย้ำความมุ่งมั่นของการดำเนินธุรกิจในไทยในระยะยาว ผ่านการลงทุนใน บีเอ็มดับเบิลยู พาร์ทส์ แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย โดยการขยายเครือข่ายการผลิตภายในประเทศครั้งนี้ รวมถึงการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในตลาดกลยุทธ์หลักของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคจะทำให้บริษัทสามารถเสริมประสิทธิภาพในด้านปฏิบัติการได้อย่างสูงสุด และช่วยให้กระบวนการด้านโลจิสติคส์มีความคล่องตัวยิ่งขึ้น ซึ่งส่งผลต่อการพัฒนาศักยภาพด้านทรัพยากรบุคคล โอกาสในการจ้างงาน การถ่ายทอดองค์ความรู้ และการพัฒนาทักษะแรงงาน มร.อเล็กซานเดอร์ บารากา ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า “ในไตรมาสที่สองของ
ปี 2564 บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ได้แสดงถึงความมุ่งมั่นที่ไม่ได้มีเพียงด้านการผลิตและการขายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเติบโตในระยะยาว ความใส่ใจที่มีต่อลูกค้าและสังคม ทีมงานยังแสดงถึงการยืนหยัดและไม่ยอมแพ้กับความท้าทายช่วงวิกฤติโควิด-19 โดยได้ปรับและเปลี่ยนแปลงธุรกิจให้เป็นไปตามความต้องการช่วงนิวนอร์มัลนี้ การปรับตัวของเราทำให้ยังคงเชื่อมต่อกับผู้จำหน่ายและลูกค้า เพื่อมอบโซลูชั่นที่พร้อมด้วยนวัตกรรมต่าง ๆ และตัวเลือกในผลิตภัณฑ์และบริการที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น นอกจากจะเป็นการสร้างความมั่นใจในการมอบความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าแล้ว เรายังทุ่มเทความมุ่งมั่นของเราในการสนับสนุนสังคมโดยรวมในหลาย ๆ ด้านเพื่อช่วยเสริมสร้างสุขภาวะทั้งทางกายและจิตใจในช่วงที่สถานการณ์ต่างๆ มีความไม่แน่นอนนี้” จากผลกระทบที่รุนแรงของสถานการณ์ระบาดที่มีต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ การให้บริการของ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ปประเทศไทย มีการปรับเปลี่ยนในด้านดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบมากขึ้น ในระหว่างไตรมาสที่สอง บีเอ็ม
ดับเบิลยู กรุ๊ปประเทศไทยยังคงนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้อย่างต่อเนื่อง ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ใน
การจัดกิจกรรมต่าง ๆ รวมถึงการขาย การเปิดตัวผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ ๆ และงานอีเว้นต์ต่างๆ การปรับเปลี่ยนดังกล่าวได้รับการตอบรับที่ดี เช่นที่เห็นได้จากงานบีเอ็มดับเบิลยู พรีเมียม ซีเล็คชั่น ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย ยังเพิ่มโอกาสในการเป็นเจ้าของรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูด้วยข้อเสนอพิเศษ พร้อมผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น บีเอ็มดับเบิลยูX1 พร้อมขยายระยะเวลาสำหรับแพคเกจ BSI นานถึง 10 ปี บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 2 GC Sport ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.99 ล้านบาทเท่านั้น และข้อเสนอสำหรับการไม่ต้องจ่ายเงินดาวน์สําหรับรถยนต์ทุกรุ่น นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ปประเทศไทย ยังได้ปรับรูปแบบการให้บริการเพื่อให้เป็นไปตามข้อปฏิบัติในยุคนิวนอร์มัลนี้ ไม่ว่าจะเป็นการบริการให้ทดสอบรถถึงที่บ้านของลูกค้า บริการส่งและรับรถที่มีความยืดหยุ่นยิ่งขึ้น ตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไป ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อเป็นการมอบมาตรฐานด้านความปลอดภัยสูงสุดให้แก่ลูกค้าจาก บรรดาผู้จำหน่ายบีเอ็มดับเบิลยูและมินิอย่างเป็นทางการยั ทั้งยัง ได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย (Safety and Health Administration (SHA)) ซึ่งยังมีผู้จำหน่ายอีกหลายรายในหลายสาขาที่กำลังทยอยได้รับการอนุมัติมาตรฐานดังกล่าว ทั้งนี้ เพื่อมอบความมั่นใจและสบายใจให้แก่ลูกค้าในเวลาที่เข้ารับบริการ ในช่วงไตรมาสที่สอง บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังคงดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม ผ่านการสนับสนุนแก่ส่วนรวมในด้านต่าง ๆ เพื่อต่อสู้กับโควิด-19 “บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย และ ผู้จำหน่ายมุ่งมั่นให้ความช่วยเหลือผู้คนในช่วงการระบาดของโควิด-19 นี้ เราได้ร่วมมือกับหลากหลายองค์กรในการระดมทุนผ่านหลายโครงการพร้อมบริการต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมสุขภาพและความปลอดภัยให้แก่คนไทยทุกคน เราเชื่อมั่นว่า ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรสำหรับช่วงเวลาที่เหลือของปี 2564 นี้ เราก็ยังพร้อมที่จะสู้ ปรับเปลี่ยนและพัฒนาธุรกิจและการให้บริการของเราต่อไป เพื่อให้ความช่วยเหลือและนำเสนอทางออกแก่คนไทยทุกคน” มร. บารากาสรุป  

 
Read More

StarFest 2021

เมอร์เซเดส–เบนซ์ จัดแคมเปญ StarFest 2021: Season of the ultimate offers ยกทัพเมอร์เซเดส–เบนซ์และเมอร์เซเดส–เอเอ็มจี มอบสิทธิประโยชน์มากมาย ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม – 30 กันยายนนี้เท่านั้น เมอร์เซเดส-เบนซ์ ส่งโปรแรง “Season of the ultimate offers” มอบข้อเสนอสุดเร้าใจของรถยนต์ เมอร์เซเดส-เบนซ์ทั้งในกลุ่ม Compact car, Contemporary Luxury, Dream Cars รวมถึงแบรนด์รถสปอร์ตสมรรถนะสูงอย่าง “เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี” ให้ลูกค้ารับข้อเสนอไปแบบเต็มพิกัด ไม่ว่าจะเป็น –รับฟรี “เมอร์เซเดส-เบนซ์ เซอร์วิสพลัส” โปรแกรมการบำรุงรักษารถยนต์ตามข้อกำหนด MBSP Compact เป็นเวลา5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง ทั้งนี้เฉพาะรถยนต์ใหม่รุ่นที่ร่วมรายการ ได้แก่ รุ่น C-Class, C Coupé, E-Class, GLC, GLC Coupé, V-Class, Mercedes-AMG C 43 4MATIC Coupé และ Mercedes-AMG CLS 53 4MATIC+   –รับสิทธิส่วนลด เพื่อซื้อ Mercedes-Benz Collection ชุดสินค้าบำรุงรักษารถยนต์ (Car Care) หรือกล้องติดรถยนต์ เมอร์เซเดส-เบนซ์ มูลค่า 10,000 บาท สำหรับลูกค้าที่ซื้อรถยนต์ Mercedes-Benz และ Mercedes-AMG ทุกรุ่น โดยไม่รวมรถในโปรแกรมฟลีท –พิเศษรับเพิ่ม! สำหรับลูกค้าเมอร์เซเดส-เบนซ์ ลีสซิ่ง -ฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่ง Mercedes-Benz Protection นาน 2 ปี เมื่อทำสัญญามายสตาร์ หรือสัญญาเช่าทางการเงิน ทั้งนี้เฉพาะรถยนต์ใหม่รุ่นที่ร่วมรายการ ได้แก่  รุ่น C-Class, C Coupé, E-Class, GLC และ GLC Coupé  ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ผู้จำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์และผู้จำหน่ายรถยนต์    เมอร์เซเดส-เอเอ็มจีอย่างเป็นทางการทั่วประเทศ โดยแคมเปญพิเศษนี้เริ่มต้นตั้งแต่วันนี้จนถึง 30 กันยายนนี้เท่านั้น สิทธิพิเศษนี้เฉพาะลูกค้าที่รับมอบรถยนต์ และเริ่มต้นสัญญาทางการเงินกับบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ ลิสซิ่ง(ประเทศไทย) ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 – 30 กันยายน 2564 เท่านั้น ที่ผู้จำหน่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์อย่างเป็นทางการทั่วประเทศ  

 
Read More

ฟอร์ดระดมทุนต้านภัยโควิด

ฟอร์ด ประเทศไทย ร่วมสนับสนุนการดำเนินงานโครงการ COVID Relief Bangkok ของพันธมิตรศูนย์การเรียนรู้ฟอร์ดเพื่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม หรือ ศูนย์ FREC กรุงเทพฯ ผ่านการระดมทุนจากพนักงานฟอร์ดและผู้ที่สนใจตลอดเดือนกรกฎาคม เนื่องในโอกาสครบรอบ 25 ปี ฟอร์ด ประเทศไทย ตอกย้ำความมุ่งมั่นของฟอร์ดในการส่งมอบความช่วยเหลือให้แก่สังคมในยามวิกฤต การร่วมระดมทุนครั้งนี้ช่วยให้โครงการ COVID Relief Bangkok มียอดบริจาครวมทุกช่องทางสูงถึง419,021 บาท ในเดือนกรกฎาคม โดยโครงการจะนำเงินบริจาคที่ได้รับไปจัดเตรียมสิ่งของจำเป็นและอาหารนำไปส่งมอบให้กับชุมชนต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19  คุณวิชิต ว่องวัฒนาการ กรรมการผู้จัดการ ฟอร์ด ประเทศไทย กล่าวว่า “ฟอร์ดภาคภูมิใจที่พนักงานของเราได้มีส่วนร่วมแสดงพลังน้ำใจช่วยเหลือสังคมในโอกาสที่ฟอร์ด ประเทศไทยครบรอบ 25 ปี เงินที่ระดมทุนจากโครงการนี้จะช่วยให้พันธมิตรศูนย์ FREC กรุงเทพฯ ได้นำไปสานต่อการลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ที่กำลังได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ในชุมชนเปราะบางได้อย่างทันท่วงทีสอดคล้องกับพันธกิจที่เรายึดมั่นมาโดยตลอด” กลุ่มองค์กรพันธมิตรศูนย์ FREC ได้กลับมาสานต่อโครงการ COVID Relief Bangkok ตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 โดยตั้งเป้ามอบความช่วยเหลือกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้มีรายได้ต่ำในชุมชนที่เปราะบาง รวมถึงแรงงานข้ามชาติในชุมชนก่อสร้างที่กำลังได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เบื้องต้นกว่า 10,000 ครอบครัว โดยในปี 2563 โครงการCOVID Relief Bangkok ได้นำความช่วยเหลือจากการระดมทุน พลังของอาสาสมัคร และสิ่งของที่ได้รับบริจาคจากประชาชนและบริษัทต่างๆ ไปส่งมอบให้แก่ครอบครัว จำนวนกว่า 32,000 ครอบครัว คิดเป็นมื้ออาหารถึง 1 ล้านมื้อ โดยชุดสิ่งของจำเป็นและอาหารที่นำไปส่งมอบให้แก่ชุมชนประกอบด้วย อุปกรณ์สุขอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด หน้ากากอนามัยข้าวสาร ปลากระป๋อง และน้ำดื่ม โดยฟอร์ดได้ร่วมสนับสนุนรถฟอร์ด เรนเจอร์ และฟอร์ด เอเวอเรสต์เพื่อให้ทีมงานนำไปใช้ในการปฏิบัติภารกิจขนส่งสิ่งของจำเป็นให้แก่ชุมชนด้วย โครงการ COVID Relief Bangkok ยังคงเปิดรับการบริจาคอย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยเยียวยาและบรรเทาผลกระทบท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดที่เกิดขึ้น ผู้ที่สนใจสามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งมอบความช่วยเหลือและสนับสนุนการดำเนินการ ได้ทาง https://socialgiver.com/th/give/covid-relief-bangkok-phase-3?utm_source=project&utm_medium=30&utm_content=covidreliefbkk-ford  

 
Read More

ศูนย์วอลโว่ เอ็มดับบลิววัน ส่งมอบรถยนต์

The New Volvo XC40 Recharge Pure Electric  รถยนต์เอสยูวีพลังงานไฟฟ้า 100% คันแรกของศูนย์ฯ โดย คุณวรศักดิ์ ชาญไพบูลย์รัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มดับบลิว มอเตอร์วัน จำกัด ศูนย์รถยนต์วอลโว่ เอ็มดับบลิววัน (VOLVO MWOne) ผู้จัดจำหน่ายและศูนย์บริการรถยนต์วอลโว่แห่งเดียวในนนทบุรี พร้อมทีมผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ ร่วมแสดงความยินดีและส่งมอบรถยนต์วอลโว่ The New Volvo XC40 Recharge Pure Electric เอสยูวีพลังงานไฟฟ้า100% รุ่นแรกของแบรนด์และเป็นคันแรกของศูนย์ให้กับ คุณจันทร์นภา สายสมร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสูงสุด และ คุณจันดา สายสมร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เทคโนเซล (เฟรย์) จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายฟิล์มกรองแสงลามิน่าฟิล์มลูมาร์ ฟิล์มนิรภัยติดกระจกด้านนอกรถเบรย์ ฯลฯ โดยรถยนต์ The New Volvo XC40 Recharge Pure Electric เป็นความสำเร็จก้าวแรกของวอลโล่ ในการเดินหน้าสู่อนาคตแห่งพลังงานสะอาดอย่างเต็มตัว ผู้สนใจสามารถนัดหมายทดลองขับได้แล้ววันนี้ที่โชว์รูมและศูนย์บริการ VOLVO MWOne พร้อมรับแคมเปญพิเศษฟรีบริการหลังการขาย รับประกันคุณภาพ 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร (แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน) บริการบำรุงรักษา 5 ปี หรือ100,000 กิโลเมตร (แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน) และบริการให้ความช่วยเหลือ 24 ชม.ระยะเวลา 5 ปี ฟรีประกันภัยรถยนต์ ชั้น 1 เป็นเวลา 3 ปี* ฟรีเครื่องชาร์จไฟแบตเตอรี่แรงดันสูงแบบติดผนังและฟรีบริการตรวจสภาพระบบไฟฟ้าและติดตั้ง ฟรีค่าชาร์จไฟด้วย EA Anywhere application และบริการประกันคุณภาพแบตเตอรี่แรงดันสูงเป็นระยะเวลา 8 ปี หรือ 150,000 (แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน) ทั้งนี้ ศูนย์บริการรถยนต์วอลโว่ เอ็มดับบลิววัน (VOLVO MWOne) พร้อมให้ความมั่นใจด้วยมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ด้วยการฉีดพ่นสเปรย์และทำความสะอาด เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสทั้งภายในห้องโดยสารภายนอกตัวรถของรถยนต์ทุกคัน และบริเวณโชว์รูมทั้งหมด สร้างความมั่นใจและปลอดภัยให้กับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการตลอดจนศูนย์มีจุดคัดกรองและดำเนินการตามนโยบายการสวมหน้ากากอนามัยและเว้นระยะห่างระหว่างบุคคลอย่างเคร่งครัด สำหรับลูกค้าที่จองวันนี้กับ VOLVO MWOne รับโปรโมชั่นและสิทธิพิเศษ โทร. 099 444 9399 หรือ ข้อมูลเพิ่มเติมwww.swedencar-mw.com  

 
Read More

Toyota Stay With You

โตโยต้า ร่วมกับ ชมรมผู้แทนจำหน่ายทั่วประเทศ ผนึกกำลังสู้วิกฤติโควิด-19 ส่งความช่วยเหลือสู่ชุมชนทุกจังหวัด ภายใต้โครงการ Toyota Stay with you สนับสนุนข้าวสาร 100 ตัน รถยนต์ 236 คันบรรเทาทุกข์คนไทยทั่วประเทศ          มร.โนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ นายสุรศักดิ์ สุทองวัน และ         นายสุรภูมิ อุดมวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ร่วมกับชมรมผู้แทนจำหน่ายฯ สานต่อโครงการ “โตโยต้าเคียงคู่ไทย สู้ภัย COVID-19” หรือ ” Toyota Stay With You” สนับสนุนข้าวสารรัชมงคล 100 ตัน พร้อมรถกระบะ    ไฮลักซ์ รีโว่ดับเบิ้ลแค็บ 155 คัน และรถเอนกประสงค์ ฟอร์จูนเนอร์ 81 คัน รวมทั้งสิ้น 236 คัน เพื่อสนับสนุนภารกิจในการบรรเทาทุกข์แก่คนไทยทั่วประเทศ โดยมี นายคาร์ล ออพเพนบอร์น ประธานชมรมผู้แทนจำหน่ายโตโยต้า ร่วมส่งมอบ เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2564           จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่
ทั่วประเทศ ส่งผลต่อเศรษฐกิจ และการดำเนินชีวิตของคนไทยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลากรทางการแพทย์ที่เป็นด่านหน้า ซึ่งต้องทุ่มเททำงานอย่างหนัก ขณะที่ทุกภาคส่วนต่างระดมความช่วยเหลืออย่างเต็มกำลังความสามารถเพื่อให้ประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤติในครั้งนี้  ในวันที่ประเทศกำลังเผชิญกับวิกฤติ พลังแห่งความร่วมมือคือสิ่งสำคัญยิ่งในการช่วยเหลือเกื้อกูล บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด มีความห่วงใย และตั้งใจในการร่วมเติมเต็มความช่วยเหลือ ภายใต้โครงการ“โตโยต้าเคียงคู่ไทยสู้ภัย COVID-19” หรือ “Toyota Stay With You” อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 ผ่านหลากหลายกิจกรรม อาทิ การสนับสนุนรถยนต์แก่กระทรวงมหาดไทย กรุงเทพมหานคร และกระทรวงสาธารณสุข เพื่อใช้สนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานภาครัฐ จำนวนทั้งสิ้น 415 คัน การสนับสนุนพัฒนาหุ่นยนต์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ป่วย แก่โรงพยาบาลรามาธิบดี เพื่อสนับสนุนการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ นอกจากนี้ยังได้ร่วมกับผู้แทนจำหน่ายทั่วประเทศให้บริการทำความสะอาด และพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ โควิด-19 ในห้องโดยสารรถยนต์ โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ให้แก่ลูกค้ารถยนต์ทุกยี่ห้อไปแล้วกว่า 1,300,000 คัน ในครั้งนี้ เราพร้อมที่จะสนับสนุน และมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือคนไทย ให้ก้าวผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกันโดยเร็วที่สุด จึงได้ร่วมมือกับชมรมผู้แทนจำหน่ายโตโยต้าทั่วประเทศสานต่อโครงการ “Toyota Stay With You” ปันน้ำใจสู่ชุมชน ผ่านการบูรณาการความร่วมมือกับเครือข่ายผู้แทนจำหน่ายโตโยต้าที่ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยสนับสนุนข้าวสารรัชมงคลจำนวน 100 ตัน เพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับประชาชนที่เดือดร้อนในพื้นที่แต่ละอำเภอ ชุมชนที่อยู่ละแวกใกล้เคียงกับผู้แทนจำหน่ายฯ ตลอดจนส่งมอบรถกระบะ โตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่ ดับเบิ้ลแค็บ จำนวน 155 คัน และ รถเอนกประสงค์ ฟอร์จูนเนอร์จำนวน 81 คัน รวมทั้งสิ้น 236 คัน เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจของเจ้าหน้าที่ด่านหน้า ในการแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19  เช่น การรับ-ส่งบุคคลากรทางการแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพยาบาล รวมทั้งขนส่งเวชภัณฑ์ที่จำเป็นในการรักษาผู้ป่วย และการรับ-ส่งผู้ป่วยโควิด ตลอดจนใช้ในการติดต่อประสานงานการค้นหา ติดตามตลอดจนการเฝ้าระวังสถานการณ์การแพร่ระบาด รวมถึงคัดกรอง และภารกิจจำเป็นเร่งด่วนต่างๆ เพื่อจำกัดวงจรการแพร่ระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้ทุกภาคส่วนของสังคมไทยก้าวพ้นช่วงเวลาอันยากลำบากนี้ไปด้วยกัน          บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด รวมถึงเครือข่ายผู้แทนจำหน่ายโตโยต้าทั่วประเทศ ขอยืนหยัดพันธกิจในการสนับสนุน และเคียงข้างคนไทยในทุกสถานการณ์ เพื่อให้ประชาชนชาวไทยทุกคนมีขวัญ และกำลังใจ ร่วมฟันฝ่าทุกอุปสรรคไปได้อย่างปลอดภัย  

 
Read More

ฮอนด้า แอคคอร์ด ตัวเริ่มต้นราคาแค่ 1,499,000 บาท เองน่ะ

ฮอนด้า แอคคอร์ด มาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ Honda SENSING เป็นมาตรฐานความปลอดภัยในทุกรุ่นย่อย สมรรถนะการขับขี่ที่ตอบโจทย์ทุกการใช้งานด้วย 2 ขุมพลังการขับเคลื่อนทั้ง VTEC TURBO และฟูลไฮบริด Sport Hybrid i-MMD ซึ่งมาพร้อมชื่อใหม่ e:HEV ทั้งยัง เพิ่มฟังก์ชันการใช้งานระดับพรีเมียม ครบครันด้วยเทคโนโลยีเพื่อความสะดวกสบายในรุ่น EL อาทิ ไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED  อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย  กระจกมองหลังปรับลดแสงอัตโนมัติ  ม่านบังแดดกระจกข้างด้านหลัง  ช่องเชื่อมต่อ USB ด้านหลัง 2 ตำแหน่ง  และ เทคโนโลยีที่เชื่อมต่อเพื่อการสื่อสารระหว่างผู้ขับขี่และรถยนต์ Honda CONNECT บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เสริมความคุ้มค่าให้ ฮอนด้า แอคคอร์ด ตอกย้ำเส้นทางแห่งผู้นำด้านยนตรกรรมที่เปี่ยมด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัย ทั้งด้านการขับเคลื่อน ขุมพลังเทอร์โบและฟูลไฮบริด และด้านความปลอดภัย มอบความมั่นใจในทุกการเดินทางด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) ซึ่งได้ติดตั้งเป็นมาตรฐานในทุกรุ่นย่อย อีกทั้งเพิ่มฟังก์ชันการใช้งานระดับพรีเมียมและเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกสบายที่ครบครัน ครอบคลุมทุกรุ่นย่อย อาทิ ไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย กระจกมองหลังปรับลดแสงอัตโนมัติ ม่านบังแดดกระจกข้างด้านหลัง ช่องเชื่อมต่อ USB ด้านหลัง 2 ตำแหน่ง และเทคโนโลยีที่เชื่อมต่อเพื่อการสื่อสารระหว่างผู้ขับขี่และรถยนต์ Honda CONNECT พร้อมตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย เติมเต็มความต้องการของลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์แบบในราคาที่คุ้มค่า เริ่มต้นที่ 1,499,000 บาท ใน แอคคอร์ด รุ่น EL อนึ่ง ฮอนด้า แนะนำ แอคคอร์ด e:HEV ที่มาพร้อมเอกลักษณ์ของยนตรกรรมไฮบริดด้วยโลโก้ H Mark ตกแต่งกรอบสีฟ้า และสัญลักษณ์ e:HEV มอบอากาศบริสุทธิ์ด้วยเทคโนโลยีระบบฟอกอากาศในห้องโดยสาร พลาสม่าคลัสเตอร์ (Plasmacluster Technology) โดยราคาจำหน่ายรุ่น e:HEV EL+ 1,639,000 บาท และรุ่น e:HEV TECH 1,799,000 บาท หมดกังวลด้านการบำรุงรักษา การันตีความมั่นใจในการใช้งานด้วยการรับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ไฮบริดถึง 10 ปี และรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง* ฟรีค่าแรงในการเช็กระยะเป็นเวลา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร* (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) พร้อมด้วยโปรแกรมการให้บริการพิเศษด้านคุณภาพรถยนต์ฮอนด้า อัลติเมท แคร์* (Honda Ultimate Care) และบริการช่วยเหลือฉุกเฉินนอกสถานที่ 24ชั่วโมง (Honda 24hr Roadside Assistance) ฮอนด้า แอคคอร์ด ทุกรุ่นย่อย มาพร้อมมาตรฐานความปลอดภัยอันล้ำสมัยกับเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้าเซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) ซึ่งเป็นการผสานการทำงานของเรดาร์และกล้องด้านหน้า ในการตรวจจับสภาวะแวดล้อมบนท้องถนนและช่วยแจ้งเตือนผู้ขับขี่รวมทั้งควบคุมรถ มอบความมั่นใจในทุกการเดินทาง ได้แก่ -ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS) -ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ(Adaptive Cruise Control with Low-Speed Follow: ACC with LSF) -ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning: RDM with LDW) -ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS) -ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB) เสริมด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยระดับพรีเมียมในรุ่น e:HEV TECH อาทิ ระบบเตือนเมื่อมีรถเคลื่อนผ่านขณะถอย (Cross…

 
Read More

กลุ่มตรีเพชรเดินหน้ารุกธุรกิจใหม่

สำหรับ Truck2Hand.com ตลาดซื้อ-ขายรถบรรทุกมือสองออนไลน์ใหญ่ที่สุด ตอบสนองผู้ประกอบการยุค “ชีวิตวิถีใหม่” โดย กลุ่มตรีเพชร ผู้นำด้านธุรกิจรถยนต์ครบวงจรในประเทศไทย ประกาศลุยตลาดซื้อ-ขายรถบรรทุกมือสองออนไลน์ ภายใต้แบรนด์ “Truck2Hand (ทรัคทูแฮนด์)” ซึ่งเป็นศูนย์รวมขนาดใหญ่และครบวงจรที่สุดของรถบรรทุกมือสอง อีกทั้งยังมีรถเพื่อการพาณิชย์ รถประเภทอื่นๆ และเครื่องจักรกลมือสองทุกยี่ห้อ  เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ประกอบการ ในยุคโควิดที่ต้องใส่ใจเรื่องการลดต้นทุน และคุณภาพของสินค้าควบคู่กัน ในการสร้างความสำเร็จให้กับธุรกิจ ภายใต้แนวคิด “สะดวก ทันใจ ได้ราคาดี”               กลุ่มตรีเพชรโดย มร.โทชิอากิ มาเอคาวะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด เผยว่า “จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในขณะนี้เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีดิจิตัล (Digital Disruption) ให้เร็วยิ่งขึ้น ซึ่งส่งผลต่อพฤติกรรมการซื้อ-ขายของผู้บริโภคที่ต้องเปิดรับและเข้าสู่โลกดิจิตัลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สถานการณ์ดังกล่าวยังส่งผลให้ผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลางมองหารถมือสองคุณภาพดี ราคาเหมาะสม เพื่อใช้ในการดำเนินธุรกิจ ทำให้ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์มือสองมีอนาคตสดใส กลุ่มตรีเพชรเล็งเห็นถึงศักยภาพของตลาดประกอบกับความพร้อมของกลุ่มในฐานะผู้นำด้านธุรกิจรถยนต์ครบวงจรในประเทศไทย ที่มีประสบการณ์ในการสร้างแบรนด์ “อีซูซุ” ให้ประสบความสำเร็จเป็นผู้นำตลาดรถเพื่อการพาณิชย์มายาวนานตลอด 64 ปี จึงตัดสินใจเปิดธุรกิจใหม่ภายใต้แบรนด์ “Truck2Hand” ตลาดซื้อ-ขายออนไลน์สำหรับรถบรรทุกมือสอง รวมทั้งรถเพื่อการพาณิชย์ รถประเภทอื่นๆ และเครื่องจักรกลมือสองทุกยี่ห้อ  ภายใต้การบริหารงานโดย บริษัท ออโต้เทคนิค (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทหนึ่งในกลุ่มตรีเพชร ปัจจุบันเว็บไซต์ www.truck2hand.com  มียอดผู้ใช้เกือบ 800,000 ราย และมีผู้ติดตามทางเฟสบุคเพจ www.facebook.com/truck2hand  มากกว่า 190,000 ราย ถือเป็นแพลตฟอร์มขายรถบรรทุกมือสองออนไลน์ที่มีผู้ติดตามสูงที่สุดเป็นอันดับ 1 เหนือกว่าออนไลน์รายอื่นๆที่ขายสินค้าประเภทเดียวกันหลายเท่า รวมถึงยังมียอดการเข้าชมเว็บไซต์กว่า 3 ล้านครั้งต่อเดือน ซึ่งเป็นสถิติสูงที่สุดเช่นกัน” จุดเด่นหลักของ Truck2Hand ที่ทำให้ผู้ใช้บริการจำนวนมากวางใจคือ 1.สินค้าคุณภาพให้เลือกหลากหลายเกือบ 250,000 รายการ มากกว่าตลาดรายอื่นหลายเท่า นอกจากรถบรรทุกมือสองแล้ว Truck2Hand ยังมีรถใช้งานประเภทอื่นๆ ที่เป็นที่นิยมในกลุ่มเครื่องจักรก่อสร้าง เช่น รถเครนมือสอง แบคโฮมือสอง รถตักดินมือสอง เป็นต้น โดยมีสถิติการลงประกาศสินค้ากลุ่มนี้ประมาณ 2,000 รายการต่อเดือน ซึ่งตอบโจทย์ลูกค้าผู้รับเหมาก่อสร้างที่สนใจการซื้อเครื่องจักรก่อสร้างมือสองที่มีคุณภาพในราคาที่พอใจอีกด้วย 2.ในอนาคต Truck2Hand ยังวางแผนที่จะพัฒนาตลาดสินค้าที่เกี่ยวข้องอื่นๆ เช่น รถไถมือสอง รถตัดอ้อยมือสองรถเก๋งมือสอง รถตู้มือสอง หรือแม้กระทั่ง เรือมือสอง เพื่อสร้างความคึกคักให้เหมือนกับรถบรรทุกมือสองและเครื่องจักรก่อสร้าง มือสองเช่นเดียวกัน    3.ในการ “บริการฝากขาย” โดยทีมงานมืออาชีพของ Truck2Hand จะช่วยให้เจ้าของรถที่ไม่มีประสบการณ์ในตลาดมือสอง ทั้งเรื่องการตั้งราคา การจดทะเบียน ในการดำเนินการช่วยหาผู้ซื้อ ทั้งการซื้อใหม่ หรือการขายเพื่อลดภาระด้านการเงิน ในช่วงที่เศรษฐกิจผันผวน…

 
Read More
Visit Us On FacebookVisit Us On TwitterVisit Us On YoutubeCheck Our Feed