ล่าสุดกับ “Refine Your Journey” สุนทรียภาพใหม่แห่งการเดินทาง LEXUS ES มาพร้อมกันหลายรุ่น ตอกย้ำความเป็นผู้นำรถหรูเอกสิทธิ์เฉพาะ เลกซัสประเทศไทย แนะนำเลกซัส ES ใหม่ ตอกย้ำภาพลักษณ์ยนตรกรรมซีดานหรูสำหรับผู้บริหาร มาพร้อมกับการออกแบบรายละเอียดของกระจังหน้า Spindle Grille ดีไซน์ใหม่ และเทคโนโลยีปรับไฟสูง-ต่ำอัจฉริยะ Blade Scan Adaptive High-beam System ที่ช่วยกระจายแสงไฟด้านหน้ารถได้อย่างแม่นยำและละเอียดมากยิ่งขึ้น ภายในโดดเด่นด้วยหน้าจอขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว ควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ได้อย่างสะดวกและง่ายดายเพียงปลายนิ้วสัมผัส ตลอดจนเทคโนโลยีความปลอดภัยเหนือระดับ Lexus Safety System Plus เจเนอเรชันที่ 2 ความสมบูรณ์แบบที่เหนือกว่าเดิมในทุกมิติ พร้อมเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าที่ชื่นชอบสไตล์สปอร์ต เท่ห์ โฉบเฉี่ยว ขยายขีดจำกัดของ ES ให้มากกว่าแค่ความนุ่มสบาย ด้วยการแนะนำ Lexus ES F SPORT เป็นครั้งแรก เลกซัส ES (Executive Sedan) ยนตรกรรมซีดานหรูขนาดกลาง ได้ถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับการเปิดตัวแบรนด์เลกซัสคู่กับเลกซัส LS เมื่อปีพ.ศ. 2532 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา นับจากนั้นเป็นต้นมาเลกซัส ES ก็ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง จากความโดดเด่นเรื่องความนุ่มนวลในการขับขี่และความเงียบภายในห้องโดยสารที่เป็นเอกลักษณ์ตามแบบฉบับของเลกซัส แตกต่างจากรถยนต์หรูทั่วไป จากความนิยมดังกล่าวทำให้เลกซัส ES เดินทางมาสู่ เจเนอเรชั่นที่ 7 ด้วยยอดขายสะสมทั่วโลกมากถึง 2.65 ล้านคัน คุณสุรศักดิ์ สุทองวัน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่เลกซัสกรุ๊ป บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัดเปิดเผยว่า “เลกซัสประเทศไทย ขอแนะนำเลกซัส ES ใหม่ ที่มาพร้อมกับการออกแบบ ที่ลงตัวมากยิ่งขึ้นด้วยไฟหน้าดีไซน์ใหม่รับกับกระจังหน้า Spindle Grille ดีไซน์ใหม่ เส้นสายที่ดูสปอร์ตเร้าใจ เสริมความเฉียบคมให้เข้ากับความหรูหราอย่างลงตัวไฟหน้าแบบ 3-eye LED Headlamps มาพร้อมกับเทคโนโลยี Blade Scan Adaptive High-beam System ที่จะทำหน้าที่ปรับไฟสูง–ต่ำอัจฉริยะ ช่วยกระจายแสงไฟด้านหน้ารถได้อย่างแม่นยำและละเอียดมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ภายในห้องโดยสารของของเลกซัส ES ใหม่ ยังคงไว้ซึ่งความประณีตพิถีพิถันในทุกรายละเอียด ควบคู่กับความกว้างขวางของที่นั่งด้านหลังและความเงียบภายในห้องโดยสารอันเป็นเอกลักษณ์ของเลกซัส ES โดดเด่นด้วยหน้าจอขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว ควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ได้อย่างสะดวกและง่ายดายเพียงปลายนิ้วสัมผัส เพียบพร้อมไปด้วยสมรรถนะการขับขี่อันสมบูรณ์แบบจากสถาปัตยกรรมโครงสร้างตัวถังใหม่ GA-K (Global Architecture-K Platform) ที่มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ ทรงตัวเยี่ยมและควบคุมได้ดั่งใจ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ระบบไฮบริดเจเนอเรชั่นล่าสุด มั่นใจตลอดการเดินทางด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยเหนือระดับและครบครันอย่าง Lexus Safety System Plus เจเนอเรชันที่ 2 พร้อมระบบช่วยเบรกอัตโนมัติขณะถอยจอด (Parking Support Brake : PKSB) เพิ่มความปลอดภัยขณะถอยจอด โดยระบบจะทำการเบรกโดยอัตโนมัติทันที หากระบบประเมินว่าอาจเกิดการชน และยิ่งไปกว่านั้น เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าที่ชื่นชอบรถสไตล์สปอร์ต เท่ห์โฉบเฉี่ยว ขยายขีดจำกัดของ ES ให้มากกว่าแค่ความนุ่มสบาย ผมขอแนะนำ ES 300h F SPORT เป็นครั้งแรก ซึ่งมาพร้อมกับความดุดัน เร้าใจ และสมรรถนะแบบสปอร์ตที่ยอดเยี่ยม” Lexus ES F SPORT ครั้งแรกในประเทศไทย ด้วยการเติมความจัดจ้านเร้าใจ ขยายขีดจำกัดของ ES ที่มากกว่าแค่ความนุ่มสบาย บ่งบอกความเป็น F SPORT ด้วยกระจังหน้า Spindle Grille ดีไซน์พิเศษสีดำ พร้อมล้ออัลลอยด์ขนาดใหญ่ 19 นิ้วที่มีเฉพาะในรุ่น F SPORT เท่านั้น เสริมบุุคลิกของรถให้ดุุดัน ภายในห้องโดยสารตกแต่งให้สร้างความเร้าใจได้ตั้งแต่แรกสัมผัส ด้วยเบาะนั่งด้านหน้าแบบ F SPORT ดีไซน์เฉพาะตัว ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากเบาะของรถสปอร์ตคูเป้อย่างเลกซัส LC โดยวัสดุที่ใช้จะเป็นโฟมขึ้นรูปที่เหมาะกับสรีระ โอบกระชับร่างกายได้อย่างพอดี ให้ความสบายตามมาตรฐานเลกซัส ให้ความเพลิดเพลินกับสมรรถนะแบบสปอร์ตของรถได้อย่างเต็มที่ เลกซัส ES F SPORT มาพร้อมช่วงล่างที่ได้รับการพัฒนาขึ้นเป็นพิเศษเพื่อให้การตอบสนองที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งการควบคุมพวงมาลัยได้อย่างเฉียบคม เข้าโค้งได้อย่างแม่นยำและยังคงนุ่มนวลในทุุกการขับขี่ ซึ่งเป็นผลมาจากการนำ Performance Dampers ที่ทำหน้าที่เป็นตัวช่วยซับแรงสั่นสะเทือนจากทั้งด้านหน้าและด้านหลังมาใช้ ช่วยในการควบคุมรถได้อย่างดีเยี่ยม และระบบช่วงล่างแปรผัน (Adaptive Variable Suspension : AVS) ที่ปรับระดับความนุ่มนวลและสปอร์ตได้ 650 ระดับโดยอัติโนมัติ ตอบสนองต่อการควบคุมของผู้ขับขี่และสภาพพื้นผิวถนนได้อย่างเหมาะสม รวมถึงรายละเอียดอีกมากมายที่ซ่อนอยู่ในรถ ที่ช่วยให้เลกซัส ES F SPORT เป็นรถที่น่าประทับใจในทุุกการขับขี่อย่างแท้จริง สามารถเลือกเป็นเจ้าของยนตรกรรมหรู The New…
Author: GIANT Autosawasdee
ทีทีบีไดรฟ์ พร้อมช่วยให้คนไทยก้าวไปต่อ
ทีทีบีไดรฟ์ (ttb DRIVE) พร้อมขับเคลื่อนให้คนไทยเดินหน้าต่อ ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจชะลอตัว โดยลูกค้าที่มีความจำเป็น หรือต้องการออกรถ ไม่ว่าจะรถยนต์ใหม่ หรือรถยนต์ใช้แล้ว เมื่อสมัครสินเชื่อรถยนต์ใหม่ หรือ สินเชื่อรถยนต์ใช้แล้ว ทีทีบีไดรฟ์ ตั้งแต่วันนี้ ถึง 30 กันยายน 2564 และเกิดสัญญาออกรถยนต์ภายใน 31 ตุลาคม 2564 รับสิทธิ์ขับฟรีสูงสุด90 วัน พร้อมรับดอกเบี้ยต่ำ วงเงินสูง อนุมัติไว สำหรับสินเชื่อรถยนต์ใหม่ ลูกค้าบุคคลทั่วไปสามารถใช้สิทธิ์ได้กับรถยนต์ยี่ห้อ TOYOTA, ISUZU, MG, MITSUBISHI, MAZDA และ FORD ทั่วประเทศ จะได้รับสิทธิพิเศษขับรถฟรีสูงสุด 90 วัน โดยต้องชำระค่างวด งวดแรกภายใน 90 วันนับจากวันที่เกิดสัญญา ช่วยให้ลูกค้าสามารถนำเงินที่ต้องชำระค่างวด ไปใช้หมุนเวียนเสริมสภาพคล่อง สำหรับค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่จำเป็นในชีวิตประจำวันได้ก่อน โดยลูกค้าที่สนใจ สามารถสมัครได้ที่โชว์รูมรถยนต์ยี่ห้อที่เข้าร่วมโครงการ ส่วน สินเชื่อรถยนต์ใช้แล้ว ลูกค้าบุคคลทั่วไปสามารถใช้สิทธิ์ได้กับรถยนต์ทุกรุ่น ทุกยี่ห้อ ทั่วประเทศ ซึ่งจะได้รับสิทธิพิเศษขับรถฟรีสูงสุด 90 วันเช่นกัน โดยธนาคารจะจัดส่งหนังสือสัญญาเช่าซื้อให้กับลูกค้า ซึ่งมีรายละเอียดระบุวันที่ที่ลูกค้าจะต้องชำระค่างวด งวดแรกภายใน 90 วันนับจากวันที่เกิดสัญญา พร้อมสิทธิพิเศษ รับอัตราดอกเบี้ยต่ำ เริ่มต้นเพียง 2.79% ให้วงเงินสูงสุด 100% จากราคาประเมินของธนาคาร ผ่อนสบายสูงสุด 84 เดือนโดยลูกค้าที่สนใจสามารถสมัครผ่านทางเว็บไซต์ของธนาคารได้ที่ https://www.ttbbank.com/th/promotion/detail/ttb-drive-90days ttb DRIVE ในฐานะผู้นำตลาดสินเชื่อรถยนต์ ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้เหมาะกับทุกช่วงเวลาของชีวิต เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยคนไทยเดินหน้าสู่เป้าหมายการสร้างชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น ทั้งวันนี้และอนาคต สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ ttb contact center โทร. 1428
โตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่ จีอาร์ สปอร์ต
GR Sport เปิดตัวครั้งแรกของเอเชียที่ประเทศไทย รถกระบะยอดนิยม สายพันธุ์สปอร์ตฝีมือคนไทย จาก โตโยต้า มร.โนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และคุณสุรศักดิ์ สุทองวัน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด พร้อมด้วย ดร.จุฬชาติ จงอยู่สุข และ คุณอัญญารัตน์สุทธิเบญจกุล หัวหน้าวิศวกรระดับภูมิภาค บริษัท โตโยต้า ไดฮัทสุ เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ แมนูแฟคเจอริ่งจำกัด ร่วมเปิดตัว โตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่ GR Sport รถกระบะยอดนิยม สายพันธุ์สปอร์ตฝีมือคนไทย ครั้งแรกของเอเชียที่ประเทศไทย พร้อมรุ่นปรับปรุงใหม่ปี 2564 บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เริ่มต้นสายการผลิตรถกระบะขนาด 1 ตัน ออกจำหน่ายครั้งแรกในปีพ.ศ.2511 โดยใช้ชื่อทางการค้าว่า “ไฮลักซ์” ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าในระยะเวลาอันรวดเร็ว ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่สวยงาม ห้องโดยสารกว้างขวาง สมรรถนะเครื่องยนต์อันทรงพลัง ประหยัดน้ำมันเป็นเยี่ยม มีความทนทาน อัตราการดูแลรักษาต่ำ และรองรับทุกรูปแบบการใช้งาน และในปี พ.ศ.2547 ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของโตโยต้าประเทศไทยที่ได้รับความไว้วางใจจากโตโยต้าสำนักงานใหญ่ ประเทศญี่ปุ่น ให้เป็นฐานการผลิตรถกระบะและรถอเนกประสงค์ประเทศแรกนอกประเทศญี่ปุ่น เพื่อทำการผลิตและจำหน่าย ทั้งภายในประเทศ รวมทั้งส่งออกจำหน่ายในทุกภูมิภาคทั่วโลก ภายใต้ โครงการ IMV ซึ่งมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “Innovative International Multi-purpose Vehicle” ตลอดระยะเวลากว่า 5 ทศวรรษของโตโยต้า แห่งความมุ่งมั่น ทุ่มเท ค้นคว้า วิจัยและพัฒนาอย่างหนัก เพื่อให้ได้สุดยอดรถกระบะ ที่ตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้าในทุกภูมิภาคทั่วโลก ส่งผลให้รถกระบะ “ไฮลักซ์” เป็นรถกระบะยอดนิยมของคนไทย โดยมีลูกค้าครอบครองเป็นเจ้าของแล้ว จำนวนทั้งสิ้นมากกว่า 2.5 ล้านคัน มร.โนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เปิดเผยว่า “ก่อนอื่นในนามของ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ประเทศไทย จำกัด ผมขอแสดงความขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์ ที่เป็นด่านหน้าทุ่มเททำงานอย่างหนัก ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา และขอแสดงความห่วงใยคนไทยทุกคน ในช่วงเวลาอันยากลำบากนี้ โตโยต้า ยังคงยืนหยัดเคียงข้างคนไทยทุกคน เพื่อร่วมก้าวผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกัน ตามที่ทราบดีว่า เป้าหมายของโตโยต้า คือ การส่งมอบความสุขให้กับคนไทยทุกคน และเราไม่เคยหยุดที่จะสร้าง “ยนตรกรรมที่ดียิ่งกว่า” โดยในเดือนมิถุนายนปีที่ผ่านมา เราได้ทำการแนะนำไฮลักซ์ รีโว่ ใหม่ ซึ่งขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ “GD Super Power Engine” เจเนอเรชันที่ 2 และระบบช่วงล่างใหม่“Superflex” พร้อมด้วย ดีไซน์ใหม่ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีนอกจากนี้ เรายังตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างรวดเร็วด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เช่น การเพิ่ม Wide Body ในรุ่น Lo-Floor และการเพิ่มเกียร์อัตโนมัติ ในรุ่นเริ่มต้นของตัว Lo-Floor ในโอกาสนี้ผมขอขอบคุณลูกค้าชาวไทยทุกท่าน ที่ให้การตอบรับผลิตภัณฑ์ของเราเป็นอย่างดี ในวันนี้ผมมีความยินดีที่จะแนะนำ ไฮลักซ์ รีโว่ GR Sport และไฮลักซ์ รีโว่ รุ่นปรับปรุงใหม่เป็นครั้งแรกของเอเชีย ซึ่งพัฒนาโดยหัวหน้าวิศวกรชาวไทย ดร.จุฬชาติ จงอยู่สุข และ คุณอัญญารัตน์ สุทธิเบญจกุลโดย ไฮลักซ์ รีโว่ GR Sport นับเป็นผลิตภัณฑ์ GR รุ่นที่ 4 ที่แนะนำสู่ลูกค้าชาวไทย ต่อจาก Corolla GR Sport, GR Supra และGR Yaris และเป็นรถกระบะในซีรีย์ GR รุ่นแรก ที่ผลิตในประเทศไทย โดยมี DNA ของมอเตอร์สปอร์ตภายใต้แนวคิดของGazoo Racing ที่ว่า “จากสนามแข่ง สู่ท้องถนน” โดย ไฮลักซ์ รีโว่ GR Sport นับเป็นอีกหนึ่งผลผลิตจากแรงบันดาลใจ ในการสร้าง ”ยนตรกรรมที่ดียิ่งกว่า” รถรุ่นนี้มาพร้อมการออกแบบ ที่เน้นอารมณ์สปอร์ตทั้งภายนอกและภายใน จากชุดแต่งพิเศษรอบคันที่เสริมประสิทธิภาพการขับขี่ตามหลักอากาศพลศาสตร์ ผู้ขับขี่จะสัมผัสได้ถึงประสิทธิภาพการเกาะถนนและความคล่องตัวที่ดียิ่งขึ้นจากการทำงานของพร้อมกับโช้คอัพแบบโมโนทูบ (Monotube Shock Absorber) ในรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ นอกจากนี้ในรุ่น Hi-floor เราได้เพิ่มอุปกรณ์อำนวยความสะดวก และระบบความปลอดภัยที่ล้ำสมัย อาทิ กล้องมอบรอบคัน ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ และในรุ่น Lo-Floor มีการติดตั้งชุดไฟ LED ทั้งด้านหน้าและด้านหลังเป็นอุปกรณ์มาตรฐานจากโรงงาน ในรุ่น Mid เพื่อปรับปรุงรูปลักษณ์ให้โดนใจกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบการแต่งรถ สุดท้ายกับการแนะนำเครื่องยนต์ใหม่ 2.8 ลิตร “GD Super Power” ในรุ่นมาตรฐาน(B-CAB) เพิ่มสมรรถนะที่ดียิ่งขึ้น เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ที่เน้นการบรรทุกหนัก หรือกลุ่มรับจ้างขนของในราคาที่น่าดึงดูดใจ พร้อมด้วยระบบ T-Connect ที่มอบการเชื่อมต่อระหว่างคนและรถได้อย่างสมบูรณ์แบบ” ดร.จุฬชาติ จงอยู่สุข หัวหน้าวิศวกรระดับภูมิภาค กล่าวว่า “หลังจากที่ได้เปิดตัวโตโยต้าไฮลักซ์ รีโว่ และฟอร์จูนเนอร์ใหม่ ในปีที่ผ่านมาเราได้ทำการสำรวจถึงความคิดเห็นของผู้แทนจำหน่าย พนักงานขายและลูกค้าผู้ใช้จริงทั่วประเทศกว่า1,000 ตัวอย่าง เพื่อให้เข้าใจทั้งจุดเด่นและจุดที่ต้องปรับปรุงเพื่อให้ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ โดยได้นำผลสำรวจดังกล่าวมาใช้สำหรับการพัฒนาสู่รุ่นปรับปรุงใหม่ปี 2564 นี้ โดยมีการปรับปรุงให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้น ในทุก ๆ รุ่น –ไฮลักซ์ รีโว่ รุ่นมาตรฐาน (B-CAB) เพิ่มความแรงด้วยเครื่องยนต์ 2.8 ลิตร ในรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ ให้มีสมรรถนะทรงพลังมากยิ่งขึ้น มอบกำลังสูงสุดถึง 204 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 420 นิวตันเมตร มาพร้อมกับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่มองหาเครื่องยนต์กำลังสูง เหมาะสำหรับกลุ่มที่ต้องใช้บรรทุกของหนักหรือใช้ในธุรกิจด้านLogistics ที่มีความแรง ทนทาน สามารถพาไปได้ทุกที่ –ไฮลักซ์ รีโว่ รุ่น Z-Edition หรือ ตัวเตี้ย เพิ่มความโฉบเฉี่ยวด้วยไฟหน้า Bi-Beam LED พร้อมระบบควบคุมการเปิด–ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ พร้อมระบบ Follow-Me-Home และไฟท้ายแบบ LED Light Guiding ในรุ่น Mid เพิ่มความสปอร์ตในทุกมุมมอง ให้ดูน่าดึงดูดสายตามากยิ่งขึ้นสอดรับกับโป่งล้อ Wide Body ได้เป็นอย่างดี –ไฮลักซ์ รีโว่ รุ่นยกสูงหรือ Prerunner และขับเคลื่อน 4 ล้อ เพิ่มฟังก์ชั่นความปลอดภัย ให้ความมั่นใจในการขับขี่อย่างเต็มพิกัดด้วยกล้องมองรอบคัน (Panoramic View Monitor) ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ (Rear Cross Traffic Alert) และ ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง (Blind Spot Monitor) และระบบปรับอากาศอัตโนมัติ ปรับอิสระแยกซ้าย–ขวา คุณอัญญารัตน์ สุทธิเบญจกุล หัวหน้าวิศวกรระดับภูมิภาค กล่าวเพิ่มเติมว่า “สำหรับไฮลักซ์ รีโว่ รุ่น GR Sport ถือเป็นอีกหนึ่งรุ่นในตระกูล Gazoo Racing ซึ่งมีที่มาจากการที่โตโยต้าได้เข้าร่วมการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตเพื่อทดสอบสมรรถนะยานยนต์ในสนามแข่งขันทั่วโลก ผ่านทีม Toyota Gazoo Racing เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของรถยนต์ที่ใช้งานธรรมดา ให้สามารถวิ่งบนถนนที่ไม่ธรรมดาและมีอุปสรรคมากมาย เพื่อให้ได้มาซึ่งยานยนต์ที่มีสมรรถนะพิเศษ โดยเราได้นำความรู้และประสบการณ์ที่ได้จากการแข่งขัน มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนารถยนต์รุ่น GR เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการประสบการณ์ในการขับขี่แบบมืออาชีพที่ไม่เหมือนใคร โดยดีไซน์ของ GR คือการผสมผสานระหว่างฟังก์ชั่นการใช้งานและรูปลักษณ์ (Functional Beauty) ภายนอกโดดเด่นด้วยดีไซน์สปอร์ต โดยถูกออกแบบให้รองรับการขับขี่ตามหลักอากาศพลศาสตร์ เพิ่มประสิทธิภาพ มีการขับขี่อันยอดเยี่ยม ภายในเน้นความเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์รถแข่งระดับโลกToyota Gazoo Racing ได้เป็นอย่างดี พร้อมด้วยฟังก์ชั่นการใช้งานที่ครบครัน ช่วยส่งเสริมสมรรถนะในการขับขี่ได้อย่างยอดเยี่ยม” ไฮลักซ์ รีโว่ รุ่น GR Sport ได้รับการพัฒนาพิเศษจำนวน 2 รุ่น –ไฮลักซ์ รีโว่ GR Sport ขับเคลื่อน 4 ล้อ -แนวคิดในการพัฒนารถกระบะไฮลักซ์ รีโว่ GR-Sport ขับเคลื่อน 4 ล้อ ได้รับแรงบันดาลใจจากรถแข่งระดับโลกที่เข้าร่วมการแข่งขันในรายการ World Rally Championship (WRC) ซึ่งถือได้ว่าเป็นรายการแข่งขันรถยนต์อันดับต้นๆ ของโลกโดยรถรุ่นนี้เหมาะสำหรับที่ลูกค้า ที่มีความชื่นชอบรถกระบะดีไซน์ GR…
บริดจสโตน ร่วมกับค็อกพิท จัดแคมเปญ Together We’re Safe
บริษัท บริดจสโตนเซลส์ (ประเทศไทย) จํากัด ร่วมกับศูนย์บริการค็อกพิท และ เอ.ซี.ที ทั่วประเทศ ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งเพื่อช่วยเหลือบุคลากรด่านหน้า ในแคมเปญ Together We’re Safe มอบสิทธิพิเศษสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงรถพยาบาล รถกู้ชีพ-กู้ภัย และรถฉุกเฉิน ร่วมสู้ภัยโควิด-19 ด้วยการจัดโปรโมชั่นซื้อยางบริดจสโตน 3 เส้น ทุกรุ่น ทุกขนาดแถมฟรี 1 เส้น* และสำหรับลูกค้าทั่วไป บริดจสโตนมอบข้อเสนอพิเศษเพียงลงทะเบียนรับสิทธิ์ผ่านทาง LINE @bridgestoneth จะได้รับส่วนลดมูลค่า 1,000 บาท ทาง SMS สำหรับการเปลี่ยนยาง บริดจสโตน 4 เส้น โดยแคมเปญTogether We’re Safe จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม – 31 ตุลาคม 2564 มร.เคอิจิ ชูมะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บริดจสโตนเซลส์ (ประเทศไทย) จํากัด เผยว่า “หลังจากเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา บริดจสโตน ประเทศไทย ได้ร่วมกันบริจาคเงิน จำนวน 5 แสนกว่าบาท เพื่อสมทบทุนในการจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ สนับสนุนการทำงานของบุคลากร และอาสาสมัครในทุกภาคส่วนที่ปฏิบัติหน้าที่ในการรับมือกับวิกฤตของการแพร่ระบาดโควิด-19 โดยครั้งนี้ในนามของ บริดจสโตนเซลส์ ประเทศไทย ตั้งใจที่จะสานต่อความช่วยเหลือเพื่อบุคลากรด่านหน้าในสถานการณ์โควิด-19 ในปัจจุบัน ด้วยการจัดแคมเปญพิเศษ “Together We’re Safe” สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ทุกตำแหน่ง รวมถึงรถพยาบาล รถกู้ชีพ–กู้ภัย และรถฉุกเฉิน ร่วมสู้ภัยโควิด ด้วยการจัดโปรโมชั่นซื้อยางบริดจสโตน 3 เส้น ทุกรุ่น ทุกขนาด แถมฟรี 1 เส้น (ยางที่แถมต้องเป็นรุ่นและขนาดเดียวกัน) ระหว่างวันที่ 25 สิงหาคม – 31 ตุลาคม นี้ และสำหรับลูกค้าทั่วไปจะมีข้อเสนอพิเศษเมื่อลงทะเบียนรับสิทธิ์ส่วนลดผ่านทาง LINE @bridgestoneth จะได้รับSMS ส่วนลด 1,000 บาท ทันทีสำหรับการเปลี่ยนยางบริดจสโตน 4 เส้น โดยลูกค้าทุกท่านสามารถลงทะเบียนไว้ก่อนตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม – 31 ตุลาคม และสามารถใช้สิทธิ์เปลี่ยนยางในช่วงเวลาที่สะดวกถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 ที่ศูนย์บริการค็อกพิท และเอ.ซี.ที ทั่วประเทศ โดยแคมเปญพิเศษนี้เป็นไปตามแนวทางที่บริดจสโตนวางไว้ คือ ขอร่วมเดินทางเคียงข้างคนไทยอย่างปลอดภัยร่วมฝ่าวิกฤตโควิด-19 ไปด้วยกัน” สำหรับรายละเอียดและเงื่อนไขต่าง ๆ ของแคมเปญ สามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่https://www.facebook.com/BridgestoneTH/ หรือ โทร. 02-626-1555 หรือสอบถามได้ที่ศูนย์บริการค็อกพิท และเอ.ซี.ที ทั่วประเทศ
TTC Motor มอบข้อเสนอสุด WOW!!
TTC 5 Stars Offers ข้อเสนอสุด WOW!! ที่ให้คุณได้เป็นเจ้าของรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ แบบสบายๆ ได้ถึง 5 ต่อต่อที่ 1 ผ่อนสบายๆกับ mySTAR ต่อที่ 2 ฟรี! ประกันภัยชั้นหนึ่ง 5 ปี ต่อที่ 3 Warranty 5 ปี ต่อที่ 4 เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องฟรี! 5 ปีและ บริการรับ-ส่งรถเพื่อเข้าบริการที่ TTC Motor ฟรี! ตลอด 5 ปี พร้อมร่วมทำบุญครั้งยิ่งใหญ่ เมื่อลูกค้าออกรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ 1 คัน TTC Motor บริจาค 10,000 บาท เพื่อ “กองทุนชัยพัฒนาสู่ภัยโควิด-19” , “เพจเราต้องรอด” , “โครงการเรื่องเล่าเช้านี้ช่วยเหลือผู้ประสบภัยโควิด” วันนี้– 30 กันยายนนี้ คุณอัครินทร์ ตั้งทวีสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีทีซี มอเตอร์ จำกัด ผู้จำหน่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์ และเมอร์เซเดส-เอเอ็มจี (Mercedes-Benz / Mercedes-AMG) อย่างเป็นทางการ เปิดเผยว่า “แม้ว่าเศรษฐกิจโดยรวมในทุกมิติของประเทศยังคงได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19อย่างต่อเนื่อง หากแต่ผู้ประกอบการจำเป็นต้องขับเคลื่อนธุรกิจให้ดำเนินต่อไป สำหรับ TTC Motor ตระหนักถึงวิกฤตการณ์ครั้งนี้ดี และประสงค์ที่จะแบ่งเบาภาระให้กับผู้บริโภค ที่ต้องการเป็นเจ้าของรถยนต์ในภาวะนี้ ด้วยจัดแคมเปญที่มอบข้อเสนอสุด WOW แก่ลูกค้า นอกจากนี้ความพิเศษของแคมเปญที่สุด WOW แล้ว ลูกค้ายังจะได้ร่วมทำบุญครั้งยิ่งใหญ่กับ TTC Motor!! เมื่อลูกค้าออกรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ 1 คัน เราจะนำเงิน 10,000 บาท ไปบริจาคในนามของลูกค้าแต่ละท่าน เพื่อสมทบทุนกับหน่วยงานต่างๆ เช่น “กองทุนชัยพัฒนาสู้ภัยโควิด-19 (และโรคระบาดต่างๆ) ในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี” , “เพจเราต้องรอด”และ “โครงการเรื่องเล่าเช้านี้ช่วยเหลือผู้ประสบภัยโควิด” เพื่อซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ และอุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับช่วยเหลือผู้ที่ติดเชื้อ Covid-19 อาทิ ถังออกซิเจน เครื่องผลิตออกซิเจน, ชุด PPE สำหรับแพทย์เป็นต้น” สำหรับแคมเปญ TTC 5 Stars Offers ที่ TTC Motor รับข้อเสนอ โดยมีความพิเศษมากมายถึง 5 ต่อด้วยกันคือ • ต่อที่ 1 ผ่อนสบายกับ mySTAR C-Class เริ่มต้นเพียง 24,990 บาท/เดือน • ต่อที่ 2 ฟรี 5 ปี ประกันภัยชั้นหนึ่ง • ต่อที่ 3 ฟรี 5 ปี Warranty (Warranty 3 ปี + myWarranty เพิ่มฟรี 2 ปี) • ต่อที่ 4 ฟรี 5 ปี เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง Genuine Mercedes-Benz Engine Oil • ต่อที่ 5 ฟรี 5 ปี บริการรับ-ส่งเพื่อนำรถเข้ามารับบริการที่ TTC Motor ทั้งนี้แคมเปญ TTC 5 Stars Offers เริ่มในวันนี้– 30 กันยายน 2564 นี้ เฉพาะที่ TTC Motor ทุกสาขา
HONDA CR-V BLACK EDITION
บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ตอกย้ำกระแสความนิยมและตำแหน่งผู้นำในกลุ่มรถสปอร์ตอเนกประสงค์ขนาดใหญ่ (L-SUV) ของ ฮอนด้า ซีอาร์-วี ที่ครองส่วนแบ่งการตลาดในเซกเมนต์ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 กว่า 60.1% ด้วยการยกระดับความสปอร์ตอีกขั้นของพรีเมียมเอสยูวีไอคอน แนะนำ “ฮอนด้า ซีอาร์-วี BLACK EDITION ใหม่” เผยตัวตนความสปอร์ตเข้มเต็มสไตล์ ดีไซน์ภายนอกโทนสีดำแบบเอกซ์คลูซีฟรอบคัน ครั้งแรกกับราวหลังคาสีดำใหม่ (Roof Rail) แข็งแกร่งในทุกมิติด้วยล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว สีดำแบบสปอร์ต กระจังหน้าโครเมียมรมดำ กันชนหน้าสีดำแบบสปอร์ตพร้อมคิ้วตกแต่งโครเมียมรมดำ และกันชนหลังสีดำแบบสปอร์ต เสริมเอกลักษณ์ความแกร่งด้วยสัญลักษณ์พิเศษ BLACK EDITION เปิดมุมมองใหม่ด้วยหลังคาซันรูฟไฟฟ้าแบบพาโนรามา (Panoramic Sunroof) มาพร้อมสีภายนอก สีดำคริสตัล (มุก) ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง โดดเด่นด้วยเอกลักษณ์ความเรียบหรูในดีไซน์โทนสีดำ มาพร้อมแผงคอนโซลขนาดใหญ่ตกแต่งด้วยวัสดุลายไม้สีดำและสีดำ Piano Black ตอกย้ำความพิเศษด้วยเบาะหนังปักโลโก้ BLACK EDITION มาพร้อมเบาะโดยสารแบบ 2 แถว 5 ที่นั่ง ครบครันด้วยฟังก์ชันระดับพรีเมียม อาทิ อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย(Wireless Charger) ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การใช้งาน ขับเคลื่อนอย่างทรงพลังด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 2.4 ลิตร DOHC i-VTEC พร้อมเกียร์อัตโนมัติ CVT ด้วยระบบขับเคลื่อนสองล้อ (2WD) โดยรุ่น 2.4 BLACK EDITION ราคา 1,467,000 บาท รวมค่าสีภายนอก สีดำคริสตัล (มุก) มาพร้อมข้อเสนอพิเศษ ดอกเบี้ย 1.99% หรือข้อเสนอ Double Smile ดาวน์ 0 บาทหรือผ่อนเริ่มต้นเพียงเดือนละ 20,000 บาท พร้อมให้สัมผัสได้ที่โชว์รูมฮอนด้า ดีไซน์ภายนอกสปอร์ตเข้มเหนือระดับ สะกดทุกสายตาในสไตล์สีดำแบบเอกซ์คลูซีฟรอบคัน -ครั้งแรกกับราวหลังคาสีดำแบบสปอร์ต (Roof Rail) ที่ติดตั้งมากับตัวรถ –เผยมุมมองใหม่ด้วยหลังคาซันรูฟไฟฟ้าแบบพาโนรามา (Panoramic Sunroof) พร้อมระบบเปิดปิดแบบ One-Touch -เสริมความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นด้วยกระจังหน้าโครเมียมรมดำ กันชนหน้าสีดำแบบสปอร์ตพร้อมคิ้วตกแต่งโครเมียมรมดำและกันชนหลังสีดำแบบสปอร์ต –ไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบสปอร์ต มาพร้อมไฟหน้าแบบ Full LED และไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบLED ไฟเลี้ยวด้านหน้าแบบ LED Sequential และไฟท้ายแบบ Full LED –คิ้วตกแต่งประตูข้างแบบโครเมียมรมดำ –กระจกมองข้างสีดำแบบสปอร์ต –เติมความสปอร์ตเข้มเต็มสไตล์ ด้วยล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว สีดำแบบสปอร์ต –ตอกย้ำความเอกซ์คลูซีฟด้วยสัญลักษณ์ BLACK EDITION ที่ด้านท้าย –สีภายนอก สีดำคริสตัล (มุก) ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง เติมเต็มอารมณ์ความสปอร์ตเข้มด้วยดีไซน์โทนสีดำ ครบครันด้วยฟังก์ชันระดับพรีเมียม -ดีไซน์ภายในห้องโดยสารเรียบหรู มาพร้อมแผงคอนโซลขนาดใหญ่ที่ตกแต่งด้วยวัสดุลายไม้สีดำและ สีดำ Piano Black -เสริมเอกลักษณ์ความพิเศษของเบาะโดยสารคู่หน้าด้วยเบาะหนังพร้อมสัญลักษณ์พิเศษ BLACK EDITION มาพร้อมเบาะโดยสารแบบ 2 แถว 5 ที่นั่ง มอบพื้นที่เก็บสัมภาระท้ายที่กว้างขวาง –อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย (Wireless Charger) มอบความสะดวกสบายในการใช้งาน –พร้อมตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์การใช้งาน ด้วยฝากระโปรงท้ายเปิด-ปิดอัตโนมัติด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมระบบแฮนด์ฟรี(Hands-free Power Tailgate) –เชื่อมต่ออย่างสะดวกสบายในทุกการเดินทาง ด้วยระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และระบบสั่งการด้วยเสียง Siri นอกจากนี้ ยังครบครันด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยอันล้ำสมัย อาทิ ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch) ระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake) และระบบ Auto Brake Hold ระบบช่วยเตือนความเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (Driver Attention Monitor) ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock) อีกทั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายระดับพรีเมียม อาทิ ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบปรับอุณหภูมิแยกอิสระซ้าย-ขวา กระจกมองข้างแบบพับเก็บอัตโนมัติ (ควบคุมด้วยรีโมท) (Auto Foldable Side Door Mirror) กระจกมองหลังปรับลดแสงอัตโนมัติ (Auto Dimming…
Vespa Primavera S 150 i-Get ABS Touring
เวสป้าไฟกลมสุดคลาสสิกกับลุคทัวร์ริ่งใหม่ โดดเด่น พร้อมตอบทุกบริบทแห่งการเดินทาง เพราะทุกรูปแบบของการเดินทาง พร้อมที่จะบอกเล่าทุกความหมายของตัวคุณ เวสป้าพาคุณเดินทางครั้งใหม่ไปกับ Vespa Primavera S 150 i-Get ABS Touring สกู๊ตเตอร์เอกลักษณ์ไฟหน้าทรงกลมสุดคลาสสิกที่ปรับลุคใหม่ นำเสนอดีไซน์สไตล์ทัวร์ริ่งที่ปราดเปรียว เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การขับขี่ทั้งในและนอกเมือง มาพร้อมกับ 3 เฉดสี ทั้ง สีเขียวมิ้นท์ (Green Relax) ที่พร้อมพาคุณ โลดแล่นไปกับอารมณ์อิสระแห่งสีสันสดใส สีเทา (Grey Delicato) กับลุคโมเดิร์นสุดคลาสสิกและสีดำ (Black Vulcano) เติมเต็มอารมณ์สปอร์ตแฝงความเรียบหรู โดยทุกเฉดสีพร้อมเพิ่มอรรถรสให้ทุก การเดินทางน่าจดจำมากยิ่งขึ้น Vespa Primavera S 150 i-Get ABS Touring คันนี้ ยังโดดเด่นด้วยการนำเอาสีเทา (Dust Grey) มาตกแต่งส่วนต่างๆ ของตัวรถ ทั้งคิ้วตัวถังด้านหน้า บังแตร ล้อแม็กสไตล์สปอร์ต และบังโคลนหน้า พร้อมเพิ่มมิติด้านหน้าตัวรถด้วยความพรีเมี่ยมของชุดแต่งชิลด์สั้นสีใสและตะแกรงหน้า ตัวรถยังมาพร้อมเบาะนั่งที่รองรับสรีระของทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้เป็นอย่างดี Vespa Primavera S 150 i-Get ABS Touring และความพิเศษแห่งสีสันประจำรุ่น ดังนี้ Vespa Primavera S 150 i-Get ABS Touring สีเขียวมิ้นท์(Green Relax) เฉดสีที่บ่งบอกถึงความผ่อนคลายจรรโลงใจ ในขณะเดียวกันเต็มไปด้วยความสดใสที่พร้อมจะพาคุณไปสนุก และเพิ่มสีสันให้กับทุกเส้นทางการขับขี่ Vespa Primavera S 150 i-Get ABS Touring สีเทา (Grey Delicato)เฉดสีที่แสดงถึงตัวตนของผู้ขับขี่ที่รักความเป็นอิสระ เรียบง่าย มีบุคลิกที่สุขุมนุ่มลึก แฝงความคลาสสิก ตอบโจทย์ผู้ที่กำลังมองหาความเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความน่าค้นหา Vespa Primavera S 150 i-Get ABS Touring สีดำ (Black Vulcano) อีกหนึ่งสียอดนิยมที่ผู้ขับขี่ส่วนใหญ่ต่างหลงรัก เพราะเป็นเฉดสีที่ช่วยเติมเต็มความสปอร์ต ที่แฝงไว้ด้วยความเรียบหรู และยังเป็นสีที่แสดงถึงบุคลิกที่มีความดุดัน แข็งแกร่งอีกด้วย สำหรับ Vespa Primavera S 150 i-Get ABS Touring ทั้ง 3 เฉดสี มาในราคา 135,900 บาท ราคานี้เป็นราคา ON THE ROAD PRICE ที่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ค่าจดทะเบียน พ.ร.บ. ประกันรถหายและ Welcome kit อีก 4 ความโดดเด่นพิเศษจาก Vespa Primavera S 150 i-Get ABS…
บริดจสโตน…นำทัพชวนส่งพลังใจเชียร์ 4 นักกีฬาพาราลิมปิก
บริษัท ไทยบริดจสโตน จำกัด เชิญชวนคนไทยร่วมส่งต่อแรงเชียร์ให้ 4 นักกีฬา พาราลิมปิกทีมชาติไทย ตัวแทนทีมบริดจสโตน ประเทศไทย ในฐานะพนักงานไทยบริดจสโตน สำหรับภารกิจไล่ล่าความฝันครั้งสำคัญ ลุ้นเหรียญทองในการแข่งขัน “โตเกียว 2020 พาราลิมปิกเกมส์” ผ่านแคมเปญ “1 กำลังใจให้ยกกำลัง 10” โดยทุก 1 ข้อความให้กำลังใจ พร้อมติดแฮชแท็ก #BridgestoneChaseYourDreamTH บริดจสโตนจะร่วมสมทบทุนบริจาค 10 บาท* ต่อยอดให้เป็นพลังยิ่งใหญ่สู่สังคมมอบให้กับมูลนิธิเมาไม่ขับ เริ่มตั้งแต่วันนี้ – 5 กันยายน 2564 แคมเปญพิเศษ “1 กำลังใจให้ยกกำลัง 10” จัดขึ้นเพื่อต้องการให้คนไทยร่วมส่งแรงใจผ่านข้อความให้แก่ 4 ตัวแทนนักกีฬาคนพิการทีมชาติไทยจากสังกัดทีมบริดจสโตน ประเทศไทย ได้แก่ บีม-ชัยวัฒน์ รัตนะ นักกรีฑาวีลแชร์เรซซิ่ง ทีมชาติไทย เจมส์-วรวุฒิ แสงอำภา นักกีฬาบอคเซียทีมชาติไทย สร-จ่าเอกอนุสรณ์ ไชยชำนาญ นักกีฬายิงปืนคนพิการทีมชาติไทย และ เจน-เจนจิรา ปัญญาทิพย์ นักกรีฑาคนพิการกระโดดไกลหญิงทีมชาติไทย ที่จะเข้าร่วมการแข่งขัน “โตเกียว 2020 พาราลิมปิกเกมส์” ระหว่างวันที่ 24 สิงหาคม – 4 กันยายน นี้ ณ ประเทศญี่ปุ่น ให้มีพลังฮึดสู้ในการไล่ล่าฝันเพื่อคว้าเหรียญรางวัล และสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย โดยทุก ๆ หนึ่งข้อความเชียร์ที่ผ่านทางช่องทางwww.bridgestonechaseyourdream.com บริดจสโตนจะสมทบทุนข้อความละ 10 บาท* และส่งต่อพลังไล่ล่าความฝันนี้ แปรเปลี่ยนเป็นพลังยิ่งใหญ่สู่ผู้ด้อยโอกาสในสังคมไทย มอบให้แก่ “มูลนิธิเมาไม่ขับ” ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลที่มุ่งเน้นการสนับสนุนผู้พิการที่ได้รับผลกระทบจากการประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ให้มีกำลังสู้ชีวิต และได้มีโอกาสทำตามฝันให้สำเร็จตามความหมายของ “Chase Your Dream” เช่นเดียวกับนักกีฬาพาราลิมปิกทั้ง 4 ท่าน โดยจะเริ่มโครงการตั้งแต่วันนี้ – 5 กันยายนนี้ และสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารการแข่งขันเพิ่มเติมได้ทาง www.facebook.com/BridgestoneTH/ มร.เคอิจิ ชูมะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทย บริดจสโตน จำกัด กล่าวว่า “เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด–19 ทำให้การแข่งขันโตเกียว 2020 พาราลิมปิกเกมส์ เป็นการแข่งขับแบบไม่มีผู้ชมในสนาม และนักกีฬาจะถูกจำกัดบริเวณเพื่อป้องกันการติดเชื้อซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะกดดัน ดังนั้นเพื่อเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้กับ 4 นักกีฬา ทีมบริดจสโตน ประเทศไทยให้ประสบความสำเร็จในการไล่ล่าความฝันครั้งสำคัญในฐานะตัวแทนของประเทศไทย จึงขอเชิญชวนแฟนกีฬาชาวไทยร่วมส่งข้อความให้กำลังใจพร้อมติดแฮชแท็ก #BridgestoneChaseYourDreamTH ผ่านแคมเปญ “1 กำลังใจให้ยกกำลัง 10” เพื่อส่งต่อพลังใจอันยิ่งใหญ่นำไปสู่การส่งต่อกำลังใจสู่สังคมไทยจากการสมทบทุนบริจาคของบริดจสโตนด้วยครับ”
รอยัล เอนฟิลด์ ฉลอง 120 ปี
ด้วยจิตวิญญาณแห่งประสบการณ์การขับขี่ที่แท้จริง รอยัล เอนฟิลด์ ฉลอง 120 ปี Made like a Gun มาตั้งแต่ปีค.ศ 1901 ตลอดเวลา 120 ปี แห่งการโลดแล่นบนเส้นทางแห่งความเปลี่ยนแปลง เพื่อสร้างมอเตอร์ไซค์คลาสสิกที่อยู่เหนือกาลเวลา และทนทานต่อทุกสภาพถนน เพื่อการขับขี่ไปด้วยกัน และทาง รอยัล เอนฟิลด์ เตรียมจัดงานฉลองความสำเร็จ 120 ปีในปีนี้ รอยัล เอนฟิลด์ แบรนด์รถมอเตอร์ไซค์ที่มีสายการผลิตต่อเนื่องยาวนานที่สุดในโลก เติบโตจากการเริ่มต้นเล็ก ๆ ที่โรงงานเรดดิชย์ ในสหราชอาณาจักร เมื่อปีค.ศ. 1901 (พ.ศ. 2444) มาเป็นตำนานมอเตอร์ไซค์คลาสสิกขนานแท้ที่มีเอกลักษณ์เรียบง่าย รอยัล เอนฟิลด์มุ่งมั่นเอาชนะเส้นทางสุดหฤโหดต่าง ๆ ของโลก เพื่อสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำ และตำนานแห่งการขับขี่ โดยยึดหลักการออกแบบที่เรียบง่าย ด้วยความมุ่งหมายให้มอเตอร์ไซค์รอยัล เอนฟิลด์เป็นตำนานที่สง่างามเหนือกาลเวลา รอยัล เอนฟิลด์เตรียมตัวฉลอง 120 ปีแห่งเอกลักษณ์อันโดดเด่น ก้าวไปข้างหน้าอย่างไร้ขีดจำกัด และปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย เพื่อสานต่อประสบการณ์การขับขี่ที่แท้จริง การสร้างแรงบันดาลใจ การปลุกเร้าความกระตือรือร้น และการไขว้ขว้าการผจญภัยที่เริ่มมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1901 รอยัล เอนฟิลด์เตรียมจัดงานทั่วโลกตลอดปีค.ศ. 2021 (พ.ศ. 2564) เพื่อเฉลิมฉลองความยิ่งใหญ่ของตำนาน และความสำเร็จของการเดินทางของมอเตอร์ไซค์ร่วมกับผู้ชื่นชอบรอยัล เอนฟิลด์ และสังคมนักขับขี่ของแบรนด์ รอยัล เอนฟิลด์ คือแบรนด์รถมอเตอร์ไซค์ที่มีสายการผลิตต่อเนื่องยาวนานที่สุดในโลก ที่แสดงให้เห็นถึงความคิดริเริ่ม การปรับตัว ความอดทน และการเป็นส่วนหนึ่งในทุกเจนเนอร์เรชัน ด้วยอุดมการณ์ซึ่งต้องการให้แบรนด์มีความยืดหยุ่น ยึดโยงผู้คน และเข้าถึงได้ รอยัล เอนฟิลด์ไม่ได้เป็นเพียงแบรนด์ที่เป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตในตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างวัฒนธรรมการขับขี่อีกด้วย คุณสิทธัตถะ ลาล, ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร, บริษัท ไอเชอร์ มอเตอร์ส ลิมิเต็ด บริษัทแม่ของรอยัล เอนฟิลด์ กล่าวถึงความสำเร็จ ในวาระครบ 120 ปี ของรอยัล เอนฟิลด์ว่า “120 ปี เป็นตำนานที่ยาวนานของแบรนด์ และเราภาคภูมิใจที่ได้ใช้เวลาอย่างคุ้มค่า รอยัล เอนฟิลด์เป็นมากกว่าแบรนด์มอเตอร์ไซค์ แต่เป็นสัญลักษณ์แห่งการก้าวข้ามยุคสมัย และการผจญภัย เราประสบความสำเร็จในการสร้างวัฒนธรรมการขับขี่ทั่วโลก เราทุ่มเทรักษาแก่นแท้ของแบรนด์ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ทำให้ยังสามารถคงความมีเอกลักษณ์ และความแตกต่างได้ เรายังได้ริเริ่มการขับขี่มอเตอร์ไซค์เพื่อการพักผ่อน ซึ่งทั้งเข้าถึงได้ คลอบคลุม และสนุกสนาน เป้าหมายของเราคือ การทำให้รอยัล เอนฟิลด์เป็นแบรนด์ระดับโลกและเราจะท้าทายตัวเองต่อไป เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ และประสบการณ์ที่จะทำให้ทุกความฝันไปได้ไกลกว่าเดิม ไปสู่ประสบการณ์ใหม่บนพรมแดนที่ยังไม่มีใครไปถึง” รอยัล เอนฟิลด์ เป็นแบรนด์ที่ร่ำรวยด้วยมรดกทางวัฒนธรรมข้ามขอบเขตระหว่างประเทศ รถมอเตอร์ไซค์คลาสสิกเหล่านี้ได้ผ่านการทดสอบของกาลเวลา และช่วยสร้างประวัติศาสตร์และความทรงจำในการขับขี่รถมอเตอร์ไซค์มากมายหนึ่งในตัวอย่างที่สำคัญคือ วินี่เฟร็ด เวลส์ ผู้หญิงที่เป็นตำนานรุ่นบุกเบิกแห่งวงการมอเตอร์ไซค์ของรอยัล เอนฟิลด์ ในปีค.ศ. 1950 (พ.ศ. 2493) เธอได้เดินทางด้วยรถมอเตอร์ไซค์รอยัล เอนฟิลด์ บุลเล็ต 350 ไป-กลับ เพิร์ธ-ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย รวมระยะทางกว่า 5,500 ไมล์ โดยใช้เวลาเพียง 22 วัน และอีก 2 ปีหลังจากนั้นวินี่เฟร็ด ก็เริ่มการเดินทางครั้งใหม่พร้อมกับพ่อของเธอโดยขี่มอเตอร์ไซค์วนรอบประเทศออสเตรเลียที่มีระยะทางเกือบ 10,000 ไมล์กินเวลากว่า 65 วันภายใต้สภาพอากาศที่ร้อนถึง 44 องศาเซลเซียส สำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รอยัล เอนฟิลด์ ไม่ถือเป็นแบรนด์น้องใหม่ เพราะรอยัล เอนฟิลด์ได้มีตัวแทนจำหน่ายอยู่ในประเทศสิงคโปร์ตั้งแต่ก่อน และหลังสงครามโลกครั้งที่สองแล้ว แบรนด์ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงทศวรรษที่ 1950 โดยมีสิงคโปร์เป็นศูนย์กลางการกระจายสินค้าภายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด จะเห็นได้จากในปีค.ศ. 1947 (พ.ศ. 2490) ลูกค้าคนหนึ่งซึ่งเป็นนักขับขี่ผาดโผน ชื่อว่า ลาน เซน ฟุค ได้ซื้อรอยัล เอนฟิลด์ 350 ซีซี โมเดล จี จากตัวแทนจำหน่ายในสิงคโปร์ และได้ถ่ายทอดความประทับใจที่มีต่อมอเตอร์ไซค์คันนี้ว่า “ฉันไม่เคยขี่อะไรที่ดีไปกว่านี้เลย เครื่องยนต์แทบไม่มีการสั่นสะเทือนเมื่อขับด้วยความเร็วสูง มันมั่นคง และขับหักมุมได้ดี” สิ่งเหล่านี้คือคุณสมบัติที่สำคัญทั้งหมด หากคุณสนุกกับการขับรถปล่อยมือที่ความเร็ว 30 ไมล์ต่อชั่วโมง ขณะที่ยืนบนถังน้ำมัน คุณวิมัล ซุมบ์ลี, หัวหน้าฝ่ายธุรกิจประจำภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก, รอยัล เอนฟิลด์ กล่าวว่า “นับเป็นช่วงเวลาแห่งความภาคภูมิใจของรอยัล เอนฟิลด์ ที่ได้บรรลุความสำเร็จในเหตุการณ์สำคัญของการครบรอบ 120 ปีแห่งมรดกที่ไม่เสื่อมคลาย มีแบรนด์จำนวนไม่มากที่ผ่านการทดสอบแห่งการเวลา และได้ดื่มด่ำกับการเดินทางสุดพิเศษที่มีมานานกว่าศตวรรษถือเป็นช่วงเวลาแห่งความภาคภูมิใจสำหรับเราทุกคนที่รอยัล เอนฟิลด์ ตลอดจนผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแบรนด์ เราโชคดีที่ได้รับการสนับสนุน ส่งเสริม และได้รับกำลังใจจากทั้งลูกค้า คู่ค้า และที่สำคัญที่สุดคือ ชุมชนนักขับขี่ของเรา ด้วยการเดินทางและการผจญภัยของพวกเขาจึงทำให้แบรนด์รอยัล เอนฟิลด์กลายเป็นตำนาน สำหรับปีนี้ ในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก เราจะมีการจัดกิจกรรมที่น่าสนใจมากมายสำหรับชุมชนนักขับขี่ของเรา เพื่อเป็นการสรรเสริญแรงสนับสนุนของพวกเขาที่ทำให้เราก้าวไปสู่ความสำเร็จครั้งสำคัญครั้งนี้” ตลอดระยะเวลา 120 ปี นับเป็นการเดินทางแห่งการปรับตัวที่ไม่มีวันสิ้นสุด รอยัล เอนฟิลด์ยังคงยึดมั่นในหลักการสำคัญของการสร้างรถมอเตอร์ไซค์ที่เรียบง่าย เข้าถึงได้ และให้ผู้ขับขี่มีส่วนร่วมกับมอเตอร์ไซค์ การขับขี่ผ่านสงครามโลกถึงสองครั้ง รอดจากการปิดตัวลงในปีค.ศ. 1967 (พ.ศ. 2510) และค.ศ. 1977 (พ.ศ. 2520) และขว้าชัยชนะของการขับขี่ที่ผ่านบททดสอบความทนทานของทั้งคนและเครื่องจักร ทำให้รอยัล เอนฟิลด์ ยังคงเป็นที่ต้องการมาตลอดหลายยุคหลายสมัย ปัจจุบัน รอยัล เอนฟิลด์ ถือเป็นผู้นำในตลาดรถมอเตอร์ไซค์ขนาดกลาง (250-750 ซีซี) ซึ่งมุ่งมั่นที่จะเติบโต และขยายตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่แข็งแกร่งและหลากหลาย ตลอดจนสร้างชุมชนสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการขับขี่ที่มีอยู่มากกว่า 10 ล้านคนทั่วโลก รอยัล เอนฟิลด์ ปีนี้มีอายุครบ 120 ปี แล้ว และนี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น
เอ็ม เอ เอ็น สร้างยอดจดทะเบียนรถบรรทุกสูงสุดรอบ 9 ปี
ในตลาดประเทศไทย เอ็ม เอ เอ็น ทรัค แอนด์ บัส ประเทศไทย ผู้นำนวัตกรรมด้านยานยนต์เพื่อการพาณิชย์ชั้นนำจากประเทศเยอรมนี ประกาศความสำเร็จยอดจดทะเบียนรถบรรทุกเติบโตสูงสุดในรอบ 9 ปี โดยมียอดรถจดทะเบียนเดือนมกราคมถึงเดือนกรกฎาคม ปี 2564 เติบโดขึ้นกว่า 97% จากปี 2563 โดยรถบรรทุกเอ็ม เอ เอ็น ได้รับกระแสตอบรับและความนิยมในกลุ่มผู้ประกอบการขนส่งดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากเริ่มเข้ามาตีตลาดประเทศไทยครั้งแรกในปี 2555 และตอกย้ำความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ประกอบการอีกครั้งด้วยการเข้ามาทำการตลาดในประเทศไทยอย่างเป็นทางการเมื่อปลายปี 2562 พร้อมมอบบริการหลังการขายที่ครอบคลุมและอำนวยความสะดวกให้เจ้าของรถบรรทุกเอ็ม เอ เอ็น อย่างเหนือระดับทำให้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คุณจักรพงษ์ ศานติรัตน์ ผู้อำนวยการ เอ็ม เอ เอ็น ทรัค แอนด์ บัส ประเทศไทย กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีและภูมิใจในความสำเร็จในครั้งนี้ของเอ็ม เอ เอ็น อย่างมาก และขอขอบคุณลูกค้าเอ็ม เอ เอ็น ทั้งผู้ประกอบการและคนขับทุกท่านที่ให้การตอบรับและไว้วางใจในรถบรรทุกของเอ็ม เอ เอ็น โดยที่ผ่านมาเราใส่ใจและให้ความสำคัญกับคุณภาพมาตรฐานของรถบรรทุก ตั้งแต่กระบวนการผลิต พัฒนา การนำเข้าทั้งคันแบบ CBU 100% จากประเทศเยอรมนี ไปจนถึงการส่งรถบรรทุกถึงมือลูกค้าทุกคน และนอกจากนี้เรายังยึดมั่นในมาตรฐานบริการหลังการขาย เพื่อมอบความอุ่นใจให้กับลูกค้าเพราะเราเชื่อว่ารถบรรทุกคุณภาพสูงของ เอ็ม เอ เอ็น ซึ่งมาพร้อมกับบริการหลังการขายที่ครอบคลุมเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างและขยายธุรกิจขนส่งของลูกค้าผู้ประกอบการ พร้อมไปกับการช่วยยกระดับความปลอดภัยบนท้องถนนให้กับคนขับระหว่างเดินทางขนส่งสินค้า และเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอ็ม เอ เอ็น จะได้เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนธุรกิจของลูกค้าผู้ประกอบการทุกท่านสู่ความสำเร็จต่อไป” ปัจจุบันเอ็ม เอ เอ็น มีผลิตภัณฑ์รถบรรทุกหัวลากที่จำหน่ายในประเทศไทยทั้งหมด 3 รุ่น ได้แก่ MAN TGS 6×4 360 แรงม้า TGS 6×4 400 แรงม้า และ TGS 6×4 440 แรงม้า โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 4.2 ล้านบาท และมีแผนในอนาคตที่จะนำเข้ารถบรรทุกหัวลากรุ่นอื่นๆจากเยอรมนี เพื่อขยายไลน์รถบรรทุกและเป็นตัวเลือกให้ผู้ประกอบการไทยได้เลือกสรรรถบรรทุกคุณภาพสูงมาตรฐานยุโรปเพื่อตอบโจทย์การใช้งานทางธุรกิจและขยายกิจการ นอกจากนี้เอ็ม เอ เอ็น ยังตอบโจทย์ประสบการณ์การใช้งานรถบรรทุกให้แก่ลูกค้าเอ็ม เอ เอ็น ด้วยบริการดีๆมากมาย อาทิ MAN PROFIDRIVE บริการฝึกอบรมเพิ่มทักษะการขับขี่ให้กับคนขับรถบรรทุกเพื่อสร้างความมั่นใจและสามารถใช้งานรถบรรทุกเอ็ม เอ เอ็น ได้อย่างประหยัด คุ้มค่า เต็มประสิทธิภาพ รวมถึง บริการหลังการขายที่ครอบคลุมและครบวงจรต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น ฟรีสัญญาบริการบำรุงรักษา COMFORT เป็นระยะเวลา 3 ปี หรือ 300,000 กิโลเมตร ซึ่งมาพร้อมกับ บริการ Onsite Service ซ่อมบำรุงรักษาตามสัญญาบริการให้ถึงที่ทั่วประเทศไทย โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมและบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน Roadside Assistance ตลอด 24 ชั่วโมง เป็นระยะเวลา 24 เดือนไม่จำกัดระยะทาง สามารถติดตามข้อมูลและข่าวสารอื่นๆ ของ เอ็ม เอ เอ็น ทรัค แอนด์ บัส ประเทศไทย ได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก MAN Truck and Bus Thailand