VESPA เสนอ “3 เฉดสีใหม่” จากสกู๊ตเตอร์ตระกูล GTS

VESPA ให้คุณใช้ชีวิตอย่างไร้ขีดจำกัดไปกับสีสันที่คุณหลงใหล ไปกับ “เวสป้า” กับ 75 ปีแห่งการเป็นเพื่อนคู่หูที่เปี่ยมด้วยสีสัน ครั้งนี้เวสป้าพร้อมบอกเล่าเรื่องราวแห่งสไตล์กับ 3 เฉดสีใหม่ จากสกู๊ตเตอร์เฟรมใหญ่ตระกูลจีทีเอส(GTS) หนึ่งในรุ่นยอดนิยมตลอดกาล ด้วย 3 รุ่น 3 สไตล์ กับ VESPA GTS SUPER 150 i-Get ABS สีเขียวมิ้นท์ Green Relax, VESPA GTS SUPER SPORT 300 HPE สีเทาเข้ม Grey Materia และ VESPA GTS SUPER TECH 300 HPE สีเทา Grey Delicato ให้คุณใช้ชีวิตอย่างไร้ขีดจำกัดไปกับสีสันที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจบนเฟรมเหล็ก เอกลักษณ์เฉพาะแบรนด์ เริ่มต้นกับไฮไลท์ประจำซีรีส์ครั้งนี้กับ VESPA GTS SUPER 150 i-Get ABS สีเขียวมิ้นท์ Green Relax ครั้งแรกกับการนำเอาเฉดสีสันสดใส 
มาไว้บนเวสป้าตระกูลจีทีเอส ที่บ่งบอกถึงความคลาสสิกและให้ความรู้สึก
เหนือกาลเวลาในทุกรายละเอียด โดยสีเขียวมิ้นท์ Green Relax นี้ 
ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของมิ้นท์ไซรัปและนม 
หรือรู้จักกันในอิตาลีว่า “latte e menta” ทำให้รถรุ่นนี้ยกระดับความรู้สึก
สดใหม่ สะท้อนรสนิยมเท่อย่างเรียบง่าย พร้อมเติมเต็มไลฟ์สไตล์ในทุกๆ วัน
ของการขับขี่ในเมืองให้สมกับฉายา Urban Sport ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์
การขับขี่ในเมืองที่ต้องการความคล่องตัว สกู๊ตเตอร์รุ่นนี้เป็นตัวแทนที่
สมบูรณ์แบบของพลังแห่งคนรุ่นใหม่ที่มีจิตวิญญาณแห่งอารมณ์ที่สมดุลและแฝงด้วยกลิ่นอายแฟชั่นแบบเรโทร-โมเดิร์นไว้เป็นอย่างดี สำหรับสกู๊ตเตอร์รุ่นนี้ราคา 157,900 บาท ราคานี้เป็นราคา ON THE ROAD PRICE ที่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ค่าจดทะเบียน พ.ร.บ. ประกันรถหาย
และ Welcome kit ต่อกันที่ VESPA GTS SUPER SPORT 300 HPE สีเทาเข้ม Grey Materia ที่สุดแห่งความสปอร์ตของสกู๊ตเตอร์มาพร้อมกับเครื่องยนต์ทรงสมรรถนะ HPE (High Performance Engine) ที่มอบอัตราเร่งยอดเยี่ยม พร้อมพาคุณโลดแล่นดั่งใจ ขับเน้นบุคลิกมาดมั่นด้วย สีเทาเข้ม Grey Materia สัญลักษณ์ของจิตวิญญาณแห่งความมั่นคงและแข็งแกร่ง 
สะท้อนความสปอร์ตอีกขั้นด้วยดีไซน์ลายกราฟิกสีแดงด้านข้างที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ทั้งหมดในปี 2021 ซึ่งสอดรับกับบังแตรในเฉดสีเดียวกัน 
พร้อมตอบสนองความต้องการของหนุ่มๆ ที่อยากอัปเกรดอินเนอร์ความสปอร์ตในตนเอง สำหรับสกู๊ตเตอร์รุ่นนี้ราคา 215,900 บาท ราคานี้เป็นราคา ON THE ROAD PRICE ที่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ค่าจดทะเบียน พ.ร.บ. ประกันรถหาย Welcome kit และ Servizio Package (แพ็คเกจเช็คระยะ ฟรี 3 ปี หรือ 30,000 กม.) และสุดท้ายกับการพุ่งทะยานอย่างไร้ขีดจำกัดกับ VESPA GTS SUPER TECH 300 HPE การผสมผสานเทคโนโลยีล้ำสมัยเข้ากับการออกแบบ
ที่หรูหราตามแบบฉบับของเวสป้า ด้วยดีไซน์โมเดิร์นคลาสสิกที่พร้อมยกระดับให้ตัวรถโดดเด่นสะดุดตาตั้งแต่แรกเห็นด้วยสีเทา Grey Delicato เฉดสีที่จะตอกย้ำถึงความสง่างามและความทันสมัย มาพร้อมกับสุดยอดสมรรถนะจากเครื่องยนต์ HPE (High Performance Engine) 
ขนาด 300 ซีซี อัดแน่นไปด้วยขีดสุดแห่งเทคโนโลยีจากทางเวสป้า
ที่รวมฟีเจอร์เด็ดมาไว้บนสกู๊ตเตอร์รุ่นนี้ อาทิ จอแสดงผลแบบ TFT 
(Full-Colour TFT Display) ขนาด 4.3 นิ้ว เรือนไมล์ดิจิตอล มาตรวัดและการแสดงผลความเร็ว ระยะทางขับขี่รวมและระยะทางขับขี่ที่ตั้งไว้ 
อุณหภูมิแวดล้อม และระดับน้ำมันเชื้อเพลิง เพิ่มความสุนทรีย์ในการเดินทางอีกขั้นกับระบบอัจฉริยะ VESPA MIA ช่วยให้คุณสามารถเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนเข้ากับรถเวสป้าคันนี้ได้
ผ่านบลูทูธ มอบฟังก์ชั่นการใช้งานที่จะทำให้ประสบการณ์ขับขี่มีความสนุกสนานและน่าประทับใจยิ่งขึ้น พร้อมระบบนำทางเนวิเกชั่นในตัวทำให้เวสป้าคันนี้คือเพื่อนร่วมทางที่ดีที่สุดของสุภาพบุรุษทุกคน สำหรับสกู๊ตเตอร์รุ่นนี้ราคา 234,900 บาท ราคานี้เป็นราคา ON THE ROAD PRICE ที่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ค่าจดทะเบียน พ.ร.บ. ประกันรถหาย Welcome…

 
Read More

YAMAHA PREMIUM SERVICE

ยามาฮ่าจัดหนักแจก 933 รางวัล ผ่าน แคมเปญ “อะไหล่แท้ แจกจริง ปีที่ 9” รวมมูลค่ากว่า 1 ล้านบาท คุณมิตรชัย คงกิตติกุล (คนกลาง) ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายอะไหล่ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ร่วมกันจับรางวัลผู้โชคดีจากแคมเปญ “อะไหล่แท้ แจกจริง ปีที่ 9” ครั้งที่ 1 โดยมีร้อยตำรวจโทจักรกฤษ  พุชพงษ์ รองสารวัตรกองกำกับการสืบสวน 2 กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 7 และสื่อมวลชนชั้นนำร่วมเป็นสักขีพยานในการจับรางวัล ยามาฮ่ามอบโชคให้กับร้านซ่อมรถจักรยานยนต์อิสระที่ใช้สินค้า น้ำมันเครื่องยามาลู้ป, อุปกรณ์ตกแต่ง รวมถึงอะไหล่ของแท้จากยามาฮ่า ลุ้นรางวัลรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า FINN จำนวน 3 คัน, สร้อยคอทองคำหนัก 2 สลึง จำนวน 30 รางวัล, เสื้อแจ็คเก็ตยามาลู้ป, เสื้อโปโลสีดำยามาลู้ป รวมของรางวัลตลอดรายการ จำนวน 933  รางวัล มูลค่ากว่า 1 ล้านบาท ผ่าน แคมเปญ “อะไหล่แท้ แจกจริง ปีที่ 9” โดยการจับรางวัลผู้โชคดีผ่านแคมเปญ “อะไหล่แท้ แจกจริง ปีที่ 9” สำหรับร้านซ่อมรถจักรยานยนต์อิสระในครั้งนี้มีขึ้น ณ YAMAHA PREMIUM SERVICE สามารถตรวจสอบรายชื่อผู้โชคดีในการจับรางวัลครั้งที่ 1 ได้ที่https://snsh.biz/vpo1d8 โดยจะมีการจับรางวัลครั้งที่ 2  ในวันที่ 1 กันยายน 2564  

 
Read More

Lexus NX

ตลอดระยะเวลาหลายปี ที่รถยนต์ในเครือของ โตโยต้า อย่าง เลคซัส เข้ามามีชื่อเสียง ในฐานะรถหรูในประเทศไทย หลายคนยังคงคิดว่า เบนซ์ คือ รถหรูที่ตนเองต้องการมากที่สุด รองลงไป จะเป็น บีเอ็มดับเบิลยู อาวดี้ วอลโว่ แต่อย่างไรก็ตาม เลคซัส กลายเป็นแบรนด์รถหรู ทางเลือก ที่เหล่าบรรดา ผู้มีตังส์ทั้งหลาย ไม่ต้องการซ้ำใคร จึงเลือกยี่ห้อ ที่มีสัญลักษณ์ รูปตัว แอลเอียง          เลคซัส มีรถยนต์หลากหลายรุ่น แต่ละรุ่น ล้วนเป็นรถยนต์ที่เน้นเรื่องความสวยงาม ภายในหรูหรา อำนวยอรรถประโยชน์ ชนิดว่าไม่ต้องเรียกหาที่ไหนอีก และสุดท้าย กับเทคโนโลยี อัจฉริยะ ทั้งด้านเครื่องยนต์ทรงพลัง และช่วงล่างที่นั่งก็สบาย ขับก็สนุก ล่าสุด Lexus NX ใหม่ยังเป็นสัญญาณของอุปกรณ์ไฮเทคและความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในแบรนด์หัวลูกศร ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นระบุว่า NX จะเป็นผลิตภัณฑ์ยานยนต์ครอสโอเวอร์ที่ถูกพัฒนาให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น นอกเหนือจากการออกแบบสไตล์ภายนอกที่เหนียวแน่นของ Lexus ยังมีการปรับปรุงทุกจุดอย่างละเอียด การควบคุมการขับขี่ระบบอากาศพลศาสตร์พวกแอร์โรไดนามิก ในขณะเดียวกันก็ยังลดน้ำหนักโดยรวมของรถลงอีกด้วย มิติตัวถังของ Lexus NX มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม โดยมีความยาวอยู่ที่ 4,660 มิลลิเมตร เพิ่มขึ้น 20 มิลลิเมตรกว้าง 1,865 มิลลิเมตร กว้างขึ้น 20 มิลลิเมตร สัดส่วนความสูงอยู่ที่ 1,640 มิลลิเมตร สูงขึ้น 5 มิลลิเมตร ความยาวฐานล้อ2,690 มิลลิเมตร ฐานล้อยาวขึ้น 30 มิลลิเมตร โครงสร้างและแชสซีพัฒนาขึ้นจากแพลตฟอร์ม GA-K ระบบรองรับ ช่วงล่างด้านหน้าแบบแมคเฟอร์สันสตรัท สปริง โช้คอัพและกันโคลง ด้านหลังแบบดัชเบิลวิชโบนปีกนกคู่ ขณะที่รุ่น F Sport ใช้โช้คอัพไฟฟ้าปรับการทำงานได้แบบอัตโนมัติ AVS Adaptive Variable Suspension เครื่องยนต์รุ่นใหม่ใน Lexus NX เริ่มจาก NX350 AWD เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบแบบแถวเรียง 4 กระบอกสูบขนาด 2.4 ลิตร กำลัง 275 แรงม้า แรงบิด 370 นิวตันเมตร ที่พัฒนาขึ้นใหม่ทั้งหมด เช่นเดียวกับเครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตรแบบไม่มีระบบอัดอากาศ (คล้ายเครื่อง 2.5 ลิตร ไฮบริดของ Camry) และรุ่นไฮบริดปกติ (ไม่มีปลั๊กอิน) รุ่นปลั๊กอินไฮบริด PHEV Lexus NX 450h+ AWD และ 2.4 turbo AWD ติดตั้งระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ในขณะที่รุ่น 2.5 ลิตรและไฮบริดสามารถเลือกได้ทั้งรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ AWD หรือระบบขับเคลื่อนล้อหน้า สำหรับชุดส่งกำลัง ใช้เกียร์อัตโนมัติ Direct Shift-8AT  Lexus NX เปิดตัวฟีเจอร์ช่วยเหลือผู้ขับขี่ใหม่ที่น่าสนใจ ซึ่งรวมถึงระบบล็อกประตูแบบอิเล็กทรอนิกส์ระบบแรกของโลก ซึ่งจับคู่กับ Blind Spot Monitor เพื่อป้องกันไม่ให้ประตูเปิด เช่น มีนักปั่นจักรยานเข้ามาจากด้านหลัง Lexus NX สามารถจอดด้วยระบบอัตโนมัติได้ด้วยรีโมตคอนโทรล อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ภายในได้รับการยกเครื่องใหม่หมด โดยระบบควบคุมทัชแพดแบบเดิมถูกแทนที่ด้วยฟังก์ชันหน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ยักษ์ถึง 14 นิ้ว เช่นเดียวกับรถระดับพรีเมียมที่ดี Lexus…

 
Read More

SUZUKI XL7 ครอสโอเวอร์ยอดนิยม

บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัว SUZUKI XL7 เจาะตลาดเซกเมนท์ใหม่ในประเทศไทย ชูความเป็นรถสปอร์ตครอสโอเวอร์ ขนาด 7 ที่นั่ง ที่มาพร้อมกับความคุ้มค่า คุ้มราคา นำเสนอแก่ลูกค้าที่นิยมความแตกต่าง ขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่รวมไปได้มากกว่า 4,117 คัน พร้อมเดินหน้าสร้างประประสบการณ์ “THINK XL คิดได้เกินคาด ไปได้เกินใคร” คุณวัลลภ ตรีฤกษ์งาม กรรมการบริหารด้านการขายและการตลาด บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า  “จากการแนะนำ ALL NEW SUZUKI XL7, Multi-Dynamic Crossover ออกสู่ตลาดประเทศไทย นับตั้งแต่ช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2563 ที่ผ่านมา ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ของซูซูกิที่ผู้บริโภคให้การตอบรับเป็นอย่างดีมาโดยตลอด SUZUKI XL7 ถูกออกแบบและพัฒนา ด้วยแนวคิด THINK XL คิดได้เกินคาด ไปได้เกินใคร เพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของชีวิตคำนึงถึงทุกฟังก์ชันการใช้งานอย่างครบครัน นำเสนอประสบการณ์การขับขี่ที่แตกต่าง โดยจุดเด่นสำคัญ คือ เป็นรถยนต์ครอสโอเวอร์ขนาด 7 ที่นั่ง ที่สามารถใช้งานได้จริงในทุกพื้นที่โดยสาร ตัวรถถูกออกแบบให้มีความสูงขึ้นเพื่อให้สามารถเดินทางไปได้หลากหลายเส้นทางเหมาะกับสภาพถนนเมืองไทย ตอบโจทย์การขับขี่ได้ทั้งในเมืองและนอกเมืองเป็นอย่างดี ครบครันด้วยฟังก์ชั่นการใช้งานเหนือระดับ ในราคาที่ผู้บริโภคตัดสินใจเป็นเจ้าของได้ง่าย โดยหากดูในช่วงไตรมาสแรก (เดือนมกราคม – มีนาคม) ของปี 2564 ภาพรวมของกลุ่มรถยนต์อเนกประสงค์ขนาดเล็ก สร้างตัวเลขยอดขายรวมอยู่ที่ 2,373 คัน สำหรับ SUZUKI XL7 มียอดขายรวมอยู่ที่ 981 คัน ขึ้นแท่นครองอันดับ 1 ในเซกเมนท์ ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดถึง 41.3% ที่ผ่านมา SUZUKI XL7 ได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าที่มองหารถยนต์ที่มอบความแตกต่างและเพียบพร้อมไปด้วยความโดดเด่น ทั้งดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ สปอร์ตเข้ม ดุดัน ทันสมัย ไปจนถึงเรื่องของความคุ้มค่าคุ้มราคา จนสามารถสร้างยอดขายรวมพร้อมส่งมอบนับตั้งแต่เปิดตัว จนถึง เดือนพฤษภาคม 2564 ไปแล้วกว่า 4,117 คันซึ่งปรากฎการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า SUZUKI XL7 สามารถตอบโจทย์ และสะท้อนภาพลักษณ์ของผู้ใช้งานได้อย่างลงตัว สิ่งสำคัญที่แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจน คือ เป็นรถที่มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี จนสามารถสร้างยอดขายอย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมามียอดเฉลี่ยอยู่ที่ 300-400 คันต่อเดือน อย่างไรก็ตาม แม้ในช่วงไตรมาส 2 ของปี ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยจะได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก จากวิกฤติการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จนส่งผลต่อยอดขายรถยนต์ที่ปรับตัวลดลง แต่ความนิยมของผู้บริโภคที่มีต่อ SUZUKI XL7 จึงสามารถสร้างยอดจองเข้ามาได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งทางบริษัทฯ พร้อมเร่งรัดดำเนินการส่งมอบรถทุกคัน เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้าทุกรายของซูซูกิ” ทั้งนี้ SUZUKI XL7 ทรงพลังกับเครื่องยนต์ K15B ขนาด 1.5 ลิตร มอบกำลังสูงสุดถึง 105 แรงม้า/6,000 รอบต่อนาที แรงบิดที่ 138 นิวตันเมตรที่ 4,400 รอบต่อนาที พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด  ปรับตั้งประสิทธิภาพเครื่องยนต์และอัตราทดเกียร์ให้เหมาะกับการขับขี่อย่างลงตัว ผสานกับแพลตฟอร์ม HEARTECT เทคโนโลยีอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของซูซูกิซึ่งช่วยเสริมสมรรถนะในการขับเคลื่อนเป็นไปอย่างคล่องตัว สนุกสนาน ปลอดภัย และประหยัดน้ำมันมากยิ่งขึ้น ดีไซน์ภายในบริเวณคอนโซลด้านหน้าสไตล์สปอร์ต ตกแต่งวัสดุด้วยลาย Carbon Fiber พร้อมคิ้วโครเมียม อุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่พร้อมรองรับการใช้งานอย่างครบครัน อาทิ มาตรวัดพร้อมจอ LCD แสดงผลแจ้งสถานะข้อมูลสำคัญของตัวรถ เช่น Driving G-Force อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง อัตราแรงบิด กำลังของเครื่องยนต์ และข้อมูลอื่นๆ ที่ช่วยให้ขับขี่ได้อย่างมั่นใจและสนุกในทุกสภาวะถนน ทั้งยังเชื่อมต่อกับความบันเทิงในทุกเส้นทางด้วยหน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่10 นิ้ว มาพร้อมระบบปรับแต่งเสียงและประมวลผลในแบบดิจิทัล (Digital Sound Processor) เพิ่มมิติและความสุนทรีย์ให้กับเสียงเพลง พร้อมฟังก์ชันเชื่อมต่อ Bluetooth การเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน Apple CarPlay, Android Auto รวมไปถึงช่องเชื่อมต่อ USB และ HDMI  ที่บริเวณคอนโซลหน้า อีกทั้งช่องจ่ายไฟสำรอง 12V มากถึง 3 ตำแหน่ง เพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้อย่างลงตัว ระบบช่วงล่างได้รับการออกแบบและปรับแต่งอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้ตอบสนองการขับขี่ได้อย่างดี สร้างความมั่นใจในทุกสภาวะถนนกับเหล็กกันโคลงด้านหน้า (Front Stabilizer) ขนาดใหญ่พิเศษลดอาการโคลงของตัวรถและเพิ่มการยึดเกาะถนนที่ดีเยี่ยม ด้านความปลอดภัยมาพร้อมกับระบบถุงลมนิรภัย SRS คู่หน้า ระบบเบรก ABS ช่วยป้องกันล้อล็อกขณะเบรกกระทันหัน พร้อมระบบ EBD ช่วยกระจายแรงเบรกได้อย่างสมดุล เสริมด้วยระบบควบคุมเสถียรภาพในการทรงตัว ESPและการปรับแต่ง module ในพวงมาลัยที่เพิ่มสมรรถนะในการขับขี่ให้เข้าโค้งได้แม่นยำ รวมทั้งระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (Hill Hold Control), จุดยึดเบาะสำหรับเด็ก ISOFIX และ Top tether, กล้องมองภาพพร้อมเซ็นเซอร์ที่กะระยะในขณะถอยหลังได้อย่างแม่นยำ ปลอดภัยยิ่งขึ้นด้วยการป้องกันการโจรกรรมด้วยระบบกุญแจนิรภัย Immobilizer SUZUKI XL7, Multi-Dynamic Crossover มีให้เลือกทั้งหมด 4 สี ได้แก่ สีส้ม Rising Orange Pearl Metallic (ZZY), สีเทา Metallic Magma Gray (ZYZ), สีขาว Pearl Snow White (ZQZ) และสีดำCool Black Metallic (ZBD) ซูซูกิพร้อมจะมอบสุดยอดความคุ้มค่าให้ผู้ที่สนใจได้เป็นเจ้าของ  SUZUKI XL7 ได้ง่ายยิ่งขึ้นกับราคา  779,000 บาท (สีขาวเพิ่ม 5,000 บาท) พร้อมแคมเปญพิเศษสุดตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน – 31 กรกฎาคม 2564 นี้ รับข้อเสนอดอกเบี้ยพิเศษ 1.99% (ดาวน์ 25% ผ่อน 48 งวด) ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่งปีแรก และบริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24ชั่วโมง เป็นระยะเวลา 3 ปี  

 
Read More

BMW iX และ iX3

บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย สร้างปรากฏการณ์ครั้งใหม่ในวงการยานยนต์ไทยเปิดตัวบีเอ็มดับเบิลยู iX และ iX3 รถยนต์ SAV พลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นแรก ก้าวสู่อนาคตแห่งยนตรกรรมไฟฟ้า เปิดจองออนไลน์ตั้งแต่วันที่ 21 มิถุนายน เวลา 14:00 น. เป็นต้นไปทาง shop.bmw.co.th บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ก้าวสู่ยุคใหม่แห่งยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้า เปิดตัวบีเอ็มดับเบิลยู iX และบีเอ็มดับเบิลยู iX3 รถยนต์อเนกประสงค์ Sports Activity Vehicle (SAV) ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% ที่จะมาสร้างนิยามใหม่ให้แก่ประสบการณ์การขับขี่ด้วยพลังงานสะอาดในประเทศไทย สำหรับการเปิดตัวครั้งแรกของบีเอ็มดับเบิลยูiX นี้ มาในรุ่นบีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive50 Sport สร้างสุนทรียภาพการขับขี่แบบไร้มลพิษ พร้อมความคล่องตัวสไตล์สปอร์ต และดีไซน์สุดล้ำที่สื่อถึงความยั่งยืนในทุกอณู ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังไฟฟ้าพร้อมเทคโนโลยี BMW eDrive และเทคโนโลยีเซลล์แบตเตอรี่รุ่นใหม่ล่าสุด สามารถขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้าได้ไกลถึง 630 กิโลเมตร ขณะที่บีเอ็มดับเบิลยู iX3M Sport เปิดตัวเป็นครั้งแรกในประเทศไทยด้วยความโดดเด่นจากตระกูล X3 ที่ผสานความปราดเปรียวโฉบเฉี่ยวเข้ากับสมรรถนะอันทรงพลังของ BMW eDrive เจเนอเรชั่นที่ห้า สำหรับลูกค้าในประเทศไทย สามารถจองบีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive50 Sport ซึ่งมาในจำนวนจำกัดเพียง 20 คัน และบีเอ็มดับเบิลยู iX3 M Sport ที่มาให้ลูกค้าชาวไทยเป็นเจ้าของในจำนวนจำกัด ได้ตั้งแต่วันที่ 21 มิถุนายน 2564 เวลา 14:00 น. เป็นต้นไป ผ่านช่องทางออนไลน์ทาง shop.bmw.co.th มร.อเล็กซานเดอร์ บารากา ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า “วันนี้เราตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่ได้เห็นวิสัยทัศน์ด้านยนตรกรรมไฟฟ้าของบีเอ็มดับเบิลยูเป็นจริงด้วยการเปิดตัวครั้งแรกของบีเอ็มดับเบิลยู iX โดยตลอดหลายปีที่ผ่านมา รถยนต์ในตระกูลบีเอ็มดับเบิลยู i เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนนวัตกรรมล้ำยุคของบีเอ็มดับเบิลยูกรุ๊ป ซึ่งบีเอ็มดับเบิลยู i8 และ i3 ที่เราได้เปิดตัวในประเทศไทยไปแล้วนั้น เปรียบเสมือนจุดเริ่มต้นก้าวสำคัญเพื่อปูทางสู่นวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียม และในวันนี้ เราได้สร้างปรากฏการณ์ครั้งใหม่ด้วยบีเอ็มดับเบิลยู iX ยนตรกรรมที่ออกแบบมาเพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่พลังงานไฟฟ้าที่สมบูรณ์แบบ พร้อมเบิกทางสู่นวัตกรรมแห่งอนาคตและบริการดิจิทัลต่าง ๆ การพัฒนาบีเอ็มดับเบิลยู iX นั้น สอดแทรกปรัชญาด้วยความยั่งยืนของเราไว้ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การคัดสรรชิ้นส่วนต่าง ๆ ไปจนถึงรูปลักษณ์การดีไซน์ ในขณะเดียวกัน เอกลักษณ์การขับขี่สไตล์สปอร์ตปราดเปรียวของบีเอ็มดับเบิลยูนั้นก็ยังคงเป็นหนึ่งในหัวใจหลักของบีเอ็มดับเบิลยู iX ซึ่งเป็นยนตรกรรมที่บุกเบิกเทคโนโลยีการขับขี่ล้ำยุคอีกมากมายจึงนับเป็นอีกหนึ่งวันสำคัญของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ที่จะได้เปิดตัวรถยนต์ระดับเรือธงเช่นนี้แก่ลูกค้าชาวไทย” “นอกจากบีเอ็มดับเบิลยู iX แล้ว วันนี้เรายังเปิดตัวบีเอ็มดับเบิลยู iX3 M Sport เป็นครั้งแรก สมาชิกใหม่ในตระกูล X3 รุ่นนี้จะเข้ามาเติมเต็มกลยุทธ์ Power of Choice ของเราให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น โดยนับจากนี้ไป บีเอ็มดับเบิลยู X3 จะเป็นยนตรกรรมที่พร้อมนำเสนอระบบขับเคลื่อนทั้งแบบเครื่องยนต์สันดาปภายใน ปลั๊กอินไฮบริด และพลังงานไฟฟ้าล้วน ซึ่งแม้ว่าจะขับขี่ด้วยพลังงานสะอาด แต่ยังคงเอกลักษณ์ความคล่องตัวแบบ SAV ไว้ได้อย่างเต็มเปี่ยม เราเชื่อว่ารถยนต์ทั้งสองรุ่นใหม่นี้ จะเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญในการเดินหน้าสู่อนาคตแห่งยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทย และเป็นอีกหนึ่งก้าวสู่การสรรสร้างวิสัยทัศน์ของเราให้เป็นจริง” บีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive50 Sport ใหม่ราคาจำหน่าย: 5,999,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม แพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard นาน 4 ปี และแท่นชาร์จ BMW i Wallbox สำหรับ 20 คันแรกเท่านั้น) บีเอ็มดับเบิลยู iX มาพร้อมเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าใหม่ล่าสุด พร้อมความล้ำยุคด้านเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติและการเชื่อมต่ออีกมากมาย เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคยิ่งขึ้น มาพร้อมเทคโนโลยี BMW eDrive และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบไฟฟ้า ซึ่งทำงานร่วมกันเพื่อสร้างสมรรถนะการขับขี่ในระยะยาวไกลยิ่งขึ้นและอัตราเร่งที่ทรงพลัง บีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive50 Sport ส่งพละกำลังรวมสูงสุด 385 กิโลวัตต์/523 แรงม้าระบบ BMW eDrive เจเนอเรชั่นที่ห้านี้ยังทำงานพร้อมเทคโนโลยีเซลล์แบตเตอรี่ล่าสุด มอบระยะทางขับเคลื่อนตามมาตรฐาน WLTP สูงสุดถึง 630 กิโลเมตร สร้างแรงบิดรวมได้สูงสุดถึง 765 นิวตันเมตร ระบบป้องกันการลื่นไถลของล้อ(Near-actuator wheel slip limitation) ได้รับการติดตั้งควบคู่กับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อเป็นครั้งแรก ช่วยป้องกันการลื่นไถลของล้อและเพิ่มความเสถียรภาพในการควบคุมรถยิ่งขึ้นอีกระดับ จึงโลดแล่นด้วยความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 4.6 วินาที แบตเตอรี่แรงดันสูงในบีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive50 Sport มีความจุพลังงานรวม 111.5 กิโลวัตต์ชั่วโมง หัวชาร์จแบบ Combined Charging Unit (CCU) ได้รับการออกแบบมาเพื่อมอบการชาร์จที่ยืดหยุ่น รองรับการชาร์จแบบ DC ได้สูงสุด 200 กิโลวัตต์ และสำหรับการชาร์จจากเครื่องชาร์จ 100 กิโลวัตต์นั้น จะใช้เวลาราว 56 นาที ในการชาร์จจาก 10% ถึง 80% ระบบการนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่แบบแปรผัน (Adaptive recuperation) ช่วยเสริมประสิทธิภาพและระยะการขับขี่ของบีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive50 Sport ด้วยการดึงพลังงานจากระบบเบรกกลับมาใช้ใหม่ให้เหมาะสมกับสภาวะการขับขี่โดยใช้ข้อมูลจากระบบนำทางและเซนเซอร์จากระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อรถเข้าใกล้ทางแยก ระดับการดึงพลังงานกลับมาใช้ใหม่จะเพิ่มสูงขึ้น เพื่อเติมพลังงานไฟฟ้ากลับเข้าสู่แบตเตอรี่แรงดันสูง ในขณะเดียวกันก็จะทำให้ความเร็วการขับขี่ลดลง และจะทำงานสลับกับฟังก์ชั่น Coasting ขณะขับขี่บนท้องถนน ซึ่งช่วยให้รถเคลื่อนที่ได้โดยไม่ต้องใช้พลังงานเมื่อผู้ขับขี่ยกเท้าออกจากแป้นคันเร่ง ผู้ขับขี่สามารถเลือกระดับการนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่ได้ตามต้องการระหว่างระดับสูง ปานกลาง และต่ำ โดยเมื่อเลือกขับขี่ด้วยเกียร์ B ระบบ Recuperation จะทำงานที่ระดับสูงสุดโดยอัตโนมัติเพื่อสร้างประสบการณ์ในการขับขี่แบบ one-pedal feeling โครงสร้างตัวถัง ปรัชญาการดีไซน์ และการออกแบบแชสซีของบีเอ็มดับเบิลยู iX ได้รับการพัฒนาเพื่อหลอมรวมความสะดวกสบายเหนือระดับในการขับขี่และการควบคุมที่โฉบเฉี่ยวสไตล์สปอร์ต โครงสร้างของบีเอ็มดับเบิลยู iX มาในวัสดุอลูมิเนียมแบบ spaceframe ส่วนหลังคามาในโครงสร้าง Carbon Cage ซึ่งประกอบด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์บริเวณด้านข้างและด้านหลัง ผสานการใช้วัสดุสองประเภทเข้าไว้ด้วยกันเพื่อเสริมทั้งความแข็งแกร่งและลดน้ำหนักให้เบาลงได้อย่างชาญฉลาด ส่วนค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ (Drag Coefficient) ที่ต่ำเพียง 0.25 จากองค์ประกอบด้านอากาศพลศาสตร์ต่าง ๆ ยังช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องยนต์และระยะการขับขี่ด้วยเช่นกัน แบตเตอรี่แรงดันสูงในบีเอ็มดับเบิลยู iX ที่ติดตั้งอยู่ใต้ท้องรถ ช่วยลดจุดศูนย์ถ่วงให้ต่ำลง เมื่อประสานเข้ากับการกระจายน้ำหนักอย่างสมดุลจึงทำให้ตอบสนองต่อการควบคุมได้ฉับไวยิ่งขึ้น นอกจากนี้ รูปแบบการขับขี่ที่มีความสมดุลของบีเอ็มดับเบิลยู iX ยังช่วยเพิ่มความมั่นคงและความสบายขณะขับขี่ ขณะที่ยังคงความคล่องตัวไว้ได้อย่างดีเยี่ยม เทคโนโลยีแชสซีที่ใช้ในการพัฒนาบีเอ็มดับเบิลยู iX ประกอบด้วย เพลาหน้าแบบปีกนกคู่ เพลาหลังแบบ five-link ช่วงล่างแบบปรับระดับได้ และระบบพวงมาลัยไฟฟ้าที่ปรับน้ำหนักตามความเร็วรถขณะขับขี่ (Servotronic) แปรผันตามการหมุนและความเร็ว มาพร้อมระบบช่วงล่างแบบถุงลมที่ควบคุมด้วยไฟฟ้า ระบบปรับองศาของล้อหลังเพื่อการเข้าโค้งหรือเลี้ยว (Integral Active Steering) ล้อ aerodynamic ขนาด 22 นิ้ว แบบสลับสี ขัดเงาสามมิติ เสริมด้วยยางล้อลดเสียงรบกวนที่มีชั้นโฟมบริเวณพื้นผิวด้านในเพื่อลดการเกิดเสียงได้รับการติดตั้งมาเป็นมาตรฐาน อีกหนึ่งเอกลักษณ์ใหม่ที่ไม่ซ้ำใครของบีเอ็มดับเบิลยู iX คือดีไซน์ภายนอกที่มีเส้นสายในการออกแบบชัดเจนทรงพลัง แต่ยังมีความเรียบง่าย และคงความบึกบึนสไตล์ SAV รายละเอียดขององค์ประกอบต่าง ๆ สื่อถึงความประณีตและความหรูหราล้ำยุค โดดเด่นสะดุดตาด้วยกระจังหน้าทรงไตคู่ที่เกือบปิดทึบ สะท้อนถึงนวัตกรรมการผลิตที่ล้ำสมัย ส่วนกล้องและเรดาร์เซนเซอร์ฝังอยู่ภายใต้พื้นผิวของกระจังหน้า โดดเด่นด้วยไฟหน้าและไฟท้ายที่เรียวยาวที่สุดของบีเอ็มดับเบิลยู มือจับประตูที่เปิดด้วยการกดปุ่ม หน้าต่างไร้ขอบ และประตูท้ายสอดประสานกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวตั้งแต่หน้ารถจรดท้ายรถโดยไม่มีช่องว่าง การออกแบบภายในห้องโดยสารมุ่งนำเสนอแนวคิดของการใช้ชีวิตที่เปี่ยมด้วยคุณภาพ มาพร้อมพื้นที่กว้างขวางและเบาะที่นั่งแบบใหม่พร้อมพนักพิงศีรษะเสริมความหรูหรายิ่งขึ้น มีพื้นที่วางขามากขึ้นเนื่องจากไม่ต้องมีท่อส่งน้ำมันกลางตัวรถ ซึ่งยังช่วยเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระ คอนโซลกลางมาในดีไซน์เฉียบไม่แพ้เฟอร์นิเจอร์หรู ปุ่มควบคุมระบบสัมผัสและระบบเปลี่ยนเกียร์แบบ rocker switch เติมเต็มความทันสมัยยิ่งขึ้นภายในห้องโดยสาร พร้อมเน้นย้ำถึงการออกแบบห้องโดยสารเพื่อผู้ขับขี่ด้วยจอ BMW Curved Display พวงมาลัยทรงหกเหลี่ยมและจอ Head-Up Display    ระบบปรับอากาศอัตโนมัติมาพร้อมฟิลเตอร์นาโนไฟเบอร์ที่สามารถกรองอากาศบริสุทธิ์ ควบคุมผ่านจอระบบสัมผัสแบบใหม่ ซึ่งใช้ควบคุมการหมุนเวียนของอากาศภายในห้องโดยสาร รวมถึงระบบทำความร้อนที่เบาะนั่งและพวงมาลัย มาพร้อมตัวเลือกอุปกรณ์เสริมคุณภาพเสียงทรงพลังยิ่งขึ้น อย่างระบบเสียงรอบทิศทางคุณภาพสูง Bowers & Wilkins Diamond Surround Sound System ที่ฝังอยู่ในพนักพิงศีรษะ และระบบเสียงแบบ 4D ที่มีฟังก์ชั่นสั่นตามเสียงเบสในเบาะหน้า นอกจากระบบการจำลองเสียงเพื่อเตือนคนเดินถนน บีเอ็มดับเบิลยู iX ยังมาพร้อมเสียงประกอบการขับขี่ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ เติมเต็มความเร้าใจในการขับขี่ทุกครั้งที่เร่งความเร็ว ฟังก์ชั่นจำลองเสียงเครื่องยนต์ BMW IconicSounds Electric ที่ติดตั้งมาเป็นมาตรฐาน ยังมาพร้อมตัวเลือกเสียงใหม่ล่าสุดจากนักแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ชื่อดังระดับโลกอย่าง Hans…

 
Read More

SUZUKI XL7 ครอสโอเวอร์ยอดนิยม

บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัว SUZUKI XL7 เจาะตลาดเซกเมนท์ใหม่ในประเทศไทย ชูความเป็นรถสปอร์ตครอสโอเวอร์ ขนาด 7 ที่นั่ง ที่มาพร้อมกับความคุ้มค่า คุ้มราคา นำเสนอแก่ลูกค้าที่นิยมความแตกต่าง ขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่รวมไปได้มากกว่า 4,117 คัน พร้อมเดินหน้าสร้างประประสบการณ์ “THINK XL คิดได้เกินคาด ไปได้เกินใคร” คุณวัลลภ ตรีฤกษ์งาม กรรมการบริหารด้านการขายและการตลาด บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า  “จากการแนะนำ ALL NEW SUZUKI XL7, Multi-Dynamic Crossover ออกสู่ตลาดประเทศไทย นับตั้งแต่ช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2563 ที่ผ่านมา ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ของซูซูกิที่ผู้บริโภคให้การตอบรับเป็นอย่างดีมาโดยตลอด SUZUKI XL7 ถูกออกแบบและพัฒนา ด้วยแนวคิด THINK XL คิดได้เกินคาด ไปได้เกินใคร เพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของชีวิตคำนึงถึงทุกฟังก์ชันการใช้งานอย่างครบครัน นำเสนอประสบการณ์การขับขี่ที่แตกต่าง โดยจุดเด่นสำคัญ คือ เป็นรถยนต์ครอสโอเวอร์ขนาด 7 ที่นั่ง ที่สามารถใช้งานได้จริงในทุกพื้นที่โดยสาร ตัวรถถูกออกแบบให้มีความสูงขึ้นเพื่อให้สามารถเดินทางไปได้หลากหลายเส้นทางเหมาะกับสภาพถนนเมืองไทย ตอบโจทย์การขับขี่ได้ทั้งในเมืองและนอกเมืองเป็นอย่างดี ครบครันด้วยฟังก์ชั่นการใช้งานเหนือระดับ ในราคาที่ผู้บริโภคตัดสินใจเป็นเจ้าของได้ง่าย โดยหากดูในช่วงไตรมาสแรก (เดือนมกราคม – มีนาคม) ของปี 2564 ภาพรวมของกลุ่มรถยนต์อเนกประสงค์ขนาดเล็ก สร้างตัวเลขยอดขายรวมอยู่ที่ 2,373 คัน สำหรับ SUZUKI XL7 มียอดขายรวมอยู่ที่ 981 คัน ขึ้นแท่นครองอันดับ 1 ในเซกเมนท์ ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดถึง 41.3% ที่ผ่านมา SUZUKI XL7 ได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าที่มองหารถยนต์ที่มอบความแตกต่างและเพียบพร้อมไปด้วยความโดดเด่น ทั้งดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ สปอร์ตเข้ม ดุดัน ทันสมัย ไปจนถึงเรื่องของความคุ้มค่าคุ้มราคา จนสามารถสร้างยอดขายรวมพร้อมส่งมอบนับตั้งแต่เปิดตัว จนถึง เดือนพฤษภาคม 2564 ไปแล้วกว่า 4,117 คันซึ่งปรากฎการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า SUZUKI XL7 สามารถตอบโจทย์ และสะท้อนภาพลักษณ์ของผู้ใช้งานได้อย่างลงตัว สิ่งสำคัญที่แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจน คือ เป็นรถที่มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี จนสามารถสร้างยอดขายอย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมามียอดเฉลี่ยอยู่ที่ 300-400 คันต่อเดือน อย่างไรก็ตาม แม้ในช่วงไตรมาส 2 ของปี ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยจะได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก จากวิกฤติการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จนส่งผลต่อยอดขายรถยนต์ที่ปรับตัวลดลง แต่ความนิยมของผู้บริโภคที่มีต่อ SUZUKI XL7 จึงสามารถสร้างยอดจองเข้ามาได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งทางบริษัทฯ พร้อมเร่งรัดดำเนินการส่งมอบรถทุกคัน เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้าทุกรายของซูซูกิ” ทั้งนี้ SUZUKI XL7 ทรงพลังกับเครื่องยนต์ K15B ขนาด 1.5 ลิตร มอบกำลังสูงสุดถึง 105 แรงม้า/6,000 รอบต่อนาที แรงบิดที่ 138 นิวตันเมตรที่ 4,400 รอบต่อนาที พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด  ปรับตั้งประสิทธิภาพเครื่องยนต์และอัตราทดเกียร์ให้เหมาะกับการขับขี่อย่างลงตัว ผสานกับแพลตฟอร์ม HEARTECT เทคโนโลยีอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของซูซูกิซึ่งช่วยเสริมสมรรถนะในการขับเคลื่อนเป็นไปอย่างคล่องตัว สนุกสนาน ปลอดภัย และประหยัดน้ำมันมากยิ่งขึ้น ดีไซน์ภายในบริเวณคอนโซลด้านหน้าสไตล์สปอร์ต ตกแต่งวัสดุด้วยลาย Carbon Fiber พร้อมคิ้วโครเมียม อุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่พร้อมรองรับการใช้งานอย่างครบครัน อาทิ มาตรวัดพร้อมจอ LCD แสดงผลแจ้งสถานะข้อมูลสำคัญของตัวรถ เช่น Driving G-Force อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง อัตราแรงบิด กำลังของเครื่องยนต์ และข้อมูลอื่นๆ ที่ช่วยให้ขับขี่ได้อย่างมั่นใจและสนุกในทุกสภาวะถนน ทั้งยังเชื่อมต่อกับความบันเทิงในทุกเส้นทางด้วยหน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่10 นิ้ว มาพร้อมระบบปรับแต่งเสียงและประมวลผลในแบบดิจิทัล (Digital Sound Processor) เพิ่มมิติและความสุนทรีย์ให้กับเสียงเพลง พร้อมฟังก์ชันเชื่อมต่อ Bluetooth การเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน Apple CarPlay, Android Auto รวมไปถึงช่องเชื่อมต่อ USB และ HDMI  ที่บริเวณคอนโซลหน้า อีกทั้งช่องจ่ายไฟสำรอง 12V มากถึง 3 ตำแหน่ง เพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้อย่างลงตัว ระบบช่วงล่างได้รับการออกแบบและปรับแต่งอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้ตอบสนองการขับขี่ได้อย่างดี สร้างความมั่นใจในทุกสภาวะถนนกับเหล็กกันโคลงด้านหน้า (Front Stabilizer) ขนาดใหญ่พิเศษลดอาการโคลงของตัวรถและเพิ่มการยึดเกาะถนนที่ดีเยี่ยม ด้านความปลอดภัยมาพร้อมกับระบบถุงลมนิรภัย SRS คู่หน้า ระบบเบรก ABS ช่วยป้องกันล้อล็อกขณะเบรกกระทันหัน พร้อมระบบ EBD ช่วยกระจายแรงเบรกได้อย่างสมดุล เสริมด้วยระบบควบคุมเสถียรภาพในการทรงตัว ESPและการปรับแต่ง module ในพวงมาลัยที่เพิ่มสมรรถนะในการขับขี่ให้เข้าโค้งได้แม่นยำ รวมทั้งระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (Hill Hold Control), จุดยึดเบาะสำหรับเด็ก ISOFIX และ Top tether, กล้องมองภาพพร้อมเซ็นเซอร์ที่กะระยะในขณะถอยหลังได้อย่างแม่นยำ ปลอดภัยยิ่งขึ้นด้วยการป้องกันการโจรกรรมด้วยระบบกุญแจนิรภัย Immobilizer SUZUKI XL7, Multi-Dynamic Crossover มีให้เลือกทั้งหมด 4 สี ได้แก่ สีส้ม Rising Orange Pearl Metallic (ZZY), สีเทา Metallic Magma Gray (ZYZ), สีขาว Pearl Snow White (ZQZ) และสีดำCool Black Metallic (ZBD) ซูซูกิพร้อมจะมอบสุดยอดความคุ้มค่าให้ผู้ที่สนใจได้เป็นเจ้าของ  SUZUKI XL7 ได้ง่ายยิ่งขึ้นกับราคา  779,000 บาท (สีขาวเพิ่ม 5,000 บาท) พร้อมแคมเปญพิเศษสุดตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน – 31 กรกฎาคม 2564 นี้ รับข้อเสนอดอกเบี้ยพิเศษ 1.99% (ดาวน์ 25% ผ่อน 48 งวด) ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่งปีแรก และบริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24ชั่วโมง เป็นระยะเวลา 3 ปี  

 
Read More

ควิกเลนฉลองเปิดสาขาที่ 18

“ควิกเลน แหลมฉบัง” เปิดแล้ว พร้อมโปรโมชั่นสุดร้อนแรงตลอดเดือนมิถุนายน ทุกสาขาทั่วประเทศ โดยควิกเลน ศูนย์บริการยางและรถยนต์ประเภทเร่งด่วน ฉลองเปิดสาขาใหม่ “ควิกเลน แหลมฉบัง” เป็นสาขาที่ 18 พร้อมให้บริการบำรุงรักษารถยนต์ทุกรุ่น ทุกยี่ห้อ ด้วยมาตรฐานคุณภาพระดับโลกที่สะดวกรวดเร็วได้แล้ววันนี้ กับโปรโมชั่นสุดพิเศษจัดเต็มเอาใจคนรักรถที่ควิกเลนทุกสาขา ทั่วประเทศจนถึง 30 มิถุนายน ควิกเลนตอกย้ำพันธกิจระดับโลกที่จะส่งมอบบริการฟาสต์ฟิตคุณภาพที่ลูกค้าไว้วางใจ และเข้าถึงได้อย่างสะดวกสบาย จึงมุ่งมั่นเดินหน้าขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง โดย ควิกเลน แหลมฉบัง เป็นสาขาล่าสุดของประเทศไทยและเป็นสาขาที่2 ในจังหวัดชลบุรี เพื่อรองรับความต้องการซ่อมบำรุงรักษารถยนต์ทุกรุ่น ทุกยี่ห้อ ของผู้ใช้รถในย่านนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง ตลอดจนพื้นที่อำเภอบางละมุง ครอบคลุมทั้งจังหวัดชลบุรี สามารถรองรับรถเข้าซ่อมได้มากกว่า 1,400 คันต่อเดือน ลูกค้าสามารถเข้ารับบริการตรวจเช็กสภาพรถฟรี 30 รายการ เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและไส้กรอง เปลี่ยนยางรถยนต์ ตรวจซ่อมระบบเบรค โช๊คอัพและระบบช่วงล่างจนถึงแบตเตอรี่รถยนต์และบริการอื่นๆ ครอบคลุมกว่า 14 กลุ่มโดยช่างเทคนิคผู้เชี่ยวชาญและทีมงานมากประสบการณ์ที่ได้ผ่านการอบรมและผ่านมาตรฐานระดับโลก พร้อมอะไหล่คุณภาพเยี่ยมอย่างอะไหล่ออมนิคราฟท์ (Omnicraft) ที่มากับการรับประกันที่ยาวนาน ได้ที่ศูนย์บริการควิกเลนทั่วประเทศทั้ง 18 สาขา 9 สาขาในกรุงเทพและปริมณฑล และอีก 9 สาขาในต่างจังหวัด พิเศษโปรโมชั่นสุดเร้าใจ เฉพาะที่สาขา “ควิกเลน แหลมฉบัง” กับยางยี่ห้อชั้นนำ “ซื้อ 1 แถม 1” หรือ “ซื้อ 3 แถม1” ระหว่างวันที่ 18-24 มิ.ย. นี้เท่านั้น นอกจากนี้ ควิกเลนยังขยายเวลาโปรโมชั่นสุดพิเศษ ควิกเลนจัดให้ ไม่ต้องคิดเยอะ แก่ลูกค้าที่เข้ารับบริการทุกสาขาทั่วประเทศ จนถึง 30 มิถุนายน ดังต่อไปนี้ ฟรี พ่นน้ำยาฆ่าเชื้อไวรัสโควิด-19  มูลค่า 390 บาท พร้อมตรวจสภาพรถฟรี 30 รายการ เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องพร้อมไส้กรอง 1 ครั้งแถมฟรี 1 ครั้งด้วยแพคเกจน้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ 100%  SuperSave  ราคาเริ่มต้นเพียง 896 บาท ซื้อยางรถยนต์แอตลาส 4 เส้น แถมฟรี ชุดแพคเกจเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ 100% SuperSave 2 ครั้ง ผ่อนยาง 0% ทุกรุ่นทุกยี่ห้อ นานสูงสุด 15 เดือนกับบัตรเครดิตชั้นนำ พร้อมฟรีบริการรับและส่งคืนรถจากบ้าน แบตเตอรี่ Omnicraft ลด 50% ฟรีค่าแรง พร้อมการรับประกันสูงสุดถึง 2 ปี / 40,000 กม. เปลี่ยนโช๊คอัพ Omnicraft 4 ตัวแต่จ่ายเพียง 3 ตัว พร้อมฟรีค่าแรง และผ่อน 0%  ควิกเลนทั้ง 18 สาขาเปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00-20.00 น. ไม่มีวันหยุด โดยลูกค้าสามารถเข้ารับบริการได้โดยไม่จำเป็นต้องนัดล่วงหน้า ผู้ที่สนใจเข้ารับบริการสามารถสอบถามข้อมูลสินค้า ราคาและโปรโมชั่น ได้ที่ศูนย์บริการข้อมูลลูกค้าสัมพันธ์ควิกเลน ที่หมายเลข 02-039-5798 หรือที่ https://www.facebook.com/QuickLaneThailand  

 
Read More

GOODYEAR แต่งตั้งผู้บริหารใหม่

บริษัท กู๊ดเยียร์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประกาศการแต่งตั้ง คุณแรนดีพ ซิง กานวา (Mr. Randeep Singh Kanwar) เป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัท กู๊ดเยียร์ ประเทศไทย มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2564 เป็นต้นไป คุณแรนดีพ. จะเข้ามาดำรงตำแหน่งต่อจากนายลูก้า เครปาโชลี่ (Mr. Luca Crepaccioli) ซึ่งจะย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปกลุ่มผลิตภัณฑ์ยางสมรรถนะสูง UUHP ของ
กู๊ดเยียร์ ประจำภาคพื้นยุโรป ตะวันออกกลางและแอฟริกา (EMEA)  อนึ่ง แรนดีพ. มีประสบการณ์การบริหารงานในอุตสาหกรรมต่าง ๆ มาร่วม 22 ปี ได้เข้ามาร่วมงานกับกู๊ดเยียร์ประเทศอินเดียในปี 2551 ดูแลด้านการขายผลิตภัณฑ์ยางสำหรับรถโดยสารทั่วไปและรถบรรทุกขนาดเล็ก ต่อมาในปี 2556 ได้ย้ายไปประจำที่ประเทศมาเลเซีย เพื่อดูแลผลิตภัณฑ์ยางสำหรับผู้บริโภคในกลุ่มอาเซียน จากนั้นในปี 2560 จึงไปประจำที่นครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อดูแลกู๊ดเยียร์ เอเชียแปซิฟิก ในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาตลาดและการค้าผลิตภัณฑ์ยางติดรถยนต์ หลังจากนั้น ในปี 2561 ได้ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ กู๊ดเยียร์ ประเทศอินโดนีเซีย ก่อนที่จะมารับตำแหน่งในประเทศไทย คุณแรนดีพ มีความเชี่ยวชาญในการบริหารหลากหลายด้าน ครอบคลุมสายปฏิบัติการ 
การขาย การตลาด กลยุทธ์และการพัฒนาธุรกิจโดยรักษาสมดุลด้านการทำกำไร มีผลงานที่     โดดเด่นในการวางแผนพัฒนาการเติบโตของผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของกู๊ดเยียร์  การเข้ามารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการของกู๊ดเยียร์ ประเทศไทย ของนายแรนดีพในครั้งนี้ จะเป็นการเสริมทัพของกู๊ดเยียร์ ประเทศไทยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ทั้งกลุ่มงานเพื่อการพาณิชย์ การบริการลูกค้า ยางติดรถยนต์ และการส่งออก รวมทั้งบริหารองค์กรในด้านต่าง ๆ ให้เจริญก้าวหน้าต่อไป  

 
Read More

German Auto Pop Up Showroom แห่งแรก

เยอรมัน ออโต้ ผู้จำหน่ายรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู มินิ และมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด อย่างเป็นทางการเปิดตัว German Auto Pop Up Showroom โชว์รูมครบวงจรแบบชั่วคราวเป็นครั้งแรก ณ ศูนย์การค้าเมกาบางนา พร้อมเสนอประสบการณ์รูปแบบใหม่ในการเลือกซื้อยนตรกรรมหรูรุ่นล่าสุด และการบริการหลังการขายที่ลูกค้าให้ความไว้วางใจได้อย่างสะดวกสบายยิ่งกว่า เปิดให้บริการแล้วตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 4 มกราคม 2565 ที่บริเวณทางเข้าอิเกีย ชั้น 1ศูนย์การค้าเมกาบางนา มร.ราล์ฟ บิสซินเกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เยอรมัน ออโต้ จำกัด กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลา 14 ปีที่ผ่านมาเยอรมัน ออโต้ ได้พัฒนาการให้บริการเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ด้วยการนำเสนอยนตรกรรมหรูหลากหลายรุ่นจากแบรนด์บีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด พร้อมบริการหลังการขายที่
ครบวงจรจากทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่เปี่ยมประสบการณ์กว่าหลายสิบปี ทั้งยังได้ขยายสาขาครอบคลุมพื้นที่ย่านบางนาและแจ้งวัฒนะ ไปจนถึงสาขาพัทยา และในครั้งนี้นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของ เยอรมัน ออโต้ ที่พร้อมเสนอโชว์รูมรูปแบบใหม่เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ได้มากยิ่งขึ้น” คุณปิยวิทย์ เขมะรังสรรค์ ประธานกรรมการ บริษัท เยอรมัน ออโต้ จำกัด กล่าวว่า “เยอรมัน ออโต้ พร้อมแล้วที่จะให้บริการเลือกซื้อยนตรกรรมแบบครบวงจรผ่าน Pop Up Showroom ที่จะทำให้การเลือกซื้อยนตรกรรมหรูสะดวกสบายยิ่งกว่าเคย และเพื่อเตรียมรองรับกลุ่มลูกค้าเดิมในพื้นที่ เนื่องจากการปรับโฉมโชว์รูมเยอรมัน ออโต้ สาขาบางนา ครั้งใหญ่ในรอบสิบปีที่จะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ เพื่อพัฒนาการให้บริการให้มีความทันสมัยยิ่งกว่าเดิม” German Auto Pop Up Showroom เปิดให้บริการแล้ววันนี้ ที่บริเวณทางเข้าอิเกีย ชั้น 1 ศูนย์การค้าเมกาบางนา นำเสนอบริการเลือกซื้อยนตรกรรมแบบครบวงจร จัดแสดงรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู 5 คัน รถยนต์มินิ 2 คัน และมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด อีก 1 คัน พร้อมยกขบวนรถยนต์ทั้งบีเอ็มดับเบิลยูและมินิหลากหลายรุ่นมาให้ลูกค้าทดลองขับถึงเมกาบางนา เติมเต็มประสบการณ์แบบ Pop Up Showroom ได้อย่างครบถ้วน ทั้งยังอุ่นใจได้กับมาตรการรักษาความสะอาด ด้วยการเช็ดทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรครถยนต์ทั้งก่อนและหลังลูกค้าใช้บริการ ทั้งที่จัดแสดงและทดลองขับ เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของลูกค้า นอกจากนี้ลูกค้าที่เป็นเจ้าของรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูและมินิ ยังจะได้รับสิทธิพิเศษ กับBMW & MINI Privilege Parking บริเวณชั้น 1 อาคารจอดรถอิเกีย ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกและประหยัดเวลาในการจอดรถสำหรับลูกค้าอีกด้วย สัมผัสความหรูหราของยนตรกรรมเหนือระดับที่ German Auto Pop Up Showroom ได้แล้ววันนี้ถึงวันที่ 4 มกราคม2565 ณ ชั้น 1 บริเวณทางเข้าอิเกีย ศูนย์การค้าเมกาบางนา หรือติดต่อรับบริการจากโชว์รูมเยอรมัน ออโต้ ทั้ง 3 สาขาได้แก่ สาขาบางนา โทร 02-396-1199, สาขาแจ้งวัฒนะ โทร 02-119-0999, และสาขาพัทยา โทร 038-235-600  

 
Read More

FORD เผย 5 เคล็ดลับ

การขับออฟโรดบนเส้นทางออฟโรดสุดโหดต้องใช้ทั้งความรู้ ทักษะ และความมั่นใจในการเดินทาง นักขับบางคนจึงอาจรู้สึกไม่มั่นใจว่าตนเองพร้อมสำหรับการขับรถออกนอกเส้นทางอันสะดวกสบายและทางเรียบที่คุ้นเคย แม้จะมีรถที่ขับเคลื่อน 4 ล้ออยู่ในครอบครองแล้วก็ตาม   อนึ่ง กุญแจสำคัญในการปลดล็อกประสบการณ์การขับขี่ออฟโรด พร้อมตะลุยในสภาพแวดล้อม​สมบุกสมบันอย่างปลอดภัยคือการเตรียมตัวและความเข้าใจในยานพาหนะและศักยภาพของยานพาหนะอย่างถ่องแท้ โดยรถกระบะอย่างเช่น ฟอร์ด เรนเจอร์ ได้รับการออกแบบมาโดยคำนึงถึงการใช้งานบนเส้นทางออฟโรดเป็นสำคัญ ด้วยความสูงจากพื้นถนนและมุมเงย มุมจาก ที่ออกแบบมาให้เอื้ออำนวยต่อการตะลุยผ่านสิ่งกีดขวาง รวมถึงระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออันทรงพลังพร้อมตอบโจทย์การใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ในทุกด้าน ด้วยคุณสมบัติข้างต้นประกอบกับสมรรถนะที่จะช่วยให้คุณบรรทุก ลากจูง หรือขับรถออกผจญภัยบนเส้นทางสุดโหด จึงทำให้ฟอร์ด เรนเจอร์ กลายเป็นเพื่อนคู่ใจของคอออฟโรดให้บุกตะลุยไปทุกที่ได้อย่างสนุกสนานและมั่นใจ คุณนิดา ชัชวรัตน์ ผู้จัดการแบรนด์รถกระบะ ฟอร์ด ประเทศไทย กล่าวว่า “การขับรถบนเส้นทางออฟโรดเป็นการเปิดประสบการณ์ให้เราได้ค้นพบสิ่งเราไม่เคยรู้มาก่อน เมื่อมีรถกระบะอย่างฟอร์ด เรนเจอร์ ที่พร้อมตะลุยไปกับเราได้ในทุกเส้นทางแล้ว เราก็พร้อมเดินทางสร้างประสบการณ์ใหม่ๆได้อย่างสะดวกสบายและมั่นใจมากขึ้น” สำหรับผู้ที่เพิ่งเป็นเจ้าของรถขับเคลื่อน 4 ล้อ การทำความเข้าใจว่าเมื่อไหร่ควรใช้อัตราทดความเร็วสูงหรือต่ำ หรือการทำความรู้จักระบบล็อกเฟืองท้ายว่ามีวิธีการใช้งานอย่างไรนั้น อาจไม่ใช่เรื่องง่าย ฟอร์ดจึงขอแบ่งปันเคล็ด (ไม่) ลับง่าย ๆ 5 ข้อที่จะช่วยให้คุณดึงศักยภาพของฟอร์ด เรนเจอร์ ออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่ในการขับขี่แบบออฟโรด 1.ทำความเข้าใจการใช้อัตราทดความเร็วสูงและต่ำ (High and Low Range) ฟอร์ด เรนเจอร์ มีระบบส่งกำลัง 2 ชุดด้วยกัน ทำให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกใช้ระบบขับเคลื่อนสองล้ออัตราทดความเร็วสูง (2H) ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัตราทดความเร็วสูง (4H) หรือระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัตราทดความเร็วต่ำ  (4L) ให้เหมาะสมกับสภาพเส้นทาง เมื่ออยู่ในระบบ 2H รถจะขับเคลื่อนด้วยล้อหลังเท่านั้น ซึ่งถือเป็นโหมดการขับเคลื่อนปกติบนพื้นผิวเรียบ แต่เมื่อขับบนเส้นทางลูกรัง หรือบนพื้นผิวถนนที่ลื่น เช่นหลังฝนตก การเลือกระบบขับเคลื่อนแบบสี่ล้อจะช่วยให้รถยึดเกาะถนนได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ ฟอร์ดเรนเจอร์ ยังมาพร้อมระบบ Shift on the fly ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนจากแบบสองล้อ (2H) เป็น 4H ได้โดยไม่ต้องหยุดรถ อย่างไรก็ดี เมื่อผู้ขับขี่ต้องเดินทางผ่านเส้นทางที่ท้าทายมากขึ้น การเปลี่ยนมาใช้ระบบเกียร์แบบ 4L จะเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้รถค่อยๆ ขับเคลื่อนผ่านพื้นผิวขรุขระได้ดีกว่าด้วยอัตราทดเกียร์ต่ำที่ช่วยเพิ่มกำลังและแรงบิดมากขึ้น 2.เลือกโอกาสในการใช้อัตราทดความเร็วต่ำ การเลือกใช้อัตราทดความเร็วต่ำเป็นกุญแจสำคัญของการขับบนพื้นที่ลาดชัน ทรายลึก หิน หรือโคลนลึก เนื่องจากการใช้อัตราทดความเร็วต่ำหมายถึงการใช้งานที่เกียร์ต่ำ จึงเหมาะกับการขับบนทางขรุขระที่ใช้ความเร็วน้อยกว่าการขับบนพื้นผิวเรียบ หรือที่ความเร็วต่ำกว่า 40 กม. ต่อชั่วโมง ในการเลือกระบบ 4L ให้จอดรถนิ่งสนิทแล้วขึงเปลี่ยนเกียร์ไปที่ N ก่อน จากนั้นจึงหมุนปุ่มเพื่อเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนซึ่งติดตั้งอยู่บริเวณส่วนล่างของกระปุกเกียร์ (สัญลักษณ์ 2H, 4H และ 4L) เมื่อมีไฟสัญญาณ 4L ขึ้นที่หน้าปัดควบคุมหลังพวงมาลัยแล้วจึงเปลี่ยนเกียร์ไปที่ D แล้วออกรถอย่างช้าๆ 3.ใช้ระบบล็อคเฟืองท้ายแบบ Rear Differential Lock เมื่อไหร่ เฟืองท้ายช่วยให้ล้อรถแต่ละล้อหมุนด้วยความเร็วที่ต่างกันได้เมื่อเข้าโค้ง โดยล้อฝั่งด้านนอกโค้งจะใช้วงเลี้ยวกว้างกว่าล้อที่อยู่ด้านในโค้ง แต่เมื่อขับบนทางออฟโรด เฟืองท้ายทั่วไปอาจเป็นปัญหาในการขับขึ้นเนินหรือข้ามสิ่งกีดขวาง เนื่องจากเมื่อล้อยกลอยจากพื้นแล้ว เฟืองท้ายจะให้ความสำคัญกับล้อที่ลอยอยู่ ทำให้ล้อนั้นหมุนไปเรื่อยๆ อย่างไร้ประโยชน์ ส่วนล้อที่อยู่บนพื้นก็ไม่มีแรงพอที่จะขับเคลื่อนต่อไปได้ระบบล็อคเฟืองท้ายแบบ Rear Differential Lock ของฟอร์ด เรนเจอร์ คือตัวช่วยล็อคล้อหลังทั้งสองด้านให้ได้รับแรงขับเคลื่อนเท่ากัน ดังนั้น เมื่อมีล้อใดล้อหนึ่งลอยอยู่ ล้ออีกข้างจะยังช่วยขับเคลื่อนให้รถเดินหน้าต่อไปได้ อย่างไรก็ตาม การใช้ระบบล็อกเฟืองท้ายอาจไม่เหมาะในบางสถานการณ์ เช่น เมื่อต้องใช้วงเลี้ยวแคบๆ หรือเมื่อทั้งสี่ล้อสามารถรับน้ำหนักได้เท่ากัน รวมถึงการขับด้วยความเร็วสูงขึ้น และเมื่อขับบนทางลาดเอียง 4.ใช้ระบบควบคุมความเร็วขณะลงเขา (Hill Descent Control: HDC) เมื่อไหร่ เมื่อต้องขับลงเนินลาดชัน เราขอแนะนำให้คุณเลือกใช้ระบบควบคุมความเร็วขณะลงเขาของฟอร์ด เรนเจอร์ (ปุ่มที่มีสัญลักษณ์รถขับลงเนิน) โดยผู้ขับขี่ต้องจอดรถและเปลี่ยนเกียร์ไปที่ P ก่อนเปิดใช้งาน จากนั้นจึงเปลี่ยนเกียร์ไปที่ D แล้วค่อย ๆ ยกเท้าขึ้นจากแป้นเบรก ปล่อยให้รถคลานลงเนินช้าๆ แล้วเน้นใช้พวงมาลัยควบคุมทิศทางของรถ หากต้องการปรับความเร็ว ให้ใช้ปุ่ม Cruise Control (+/-) เพื่อเพิ่มหรือลดความเร็ว โดยระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชันจะเหมาะสำหรับการขับขี่ด้วยความเร็วที่ไม่สูงนัก ที่ความเร็ว 5-32 กม. ต่อ ชม.  5.การลดแรงดันลมยาง หนึ่งในวิธีที่ง่ายที่สุดในการเพิ่มความสามารถในการขับบนเส้นทางออฟโรด และเพิ่มความนุ่มสบายภายในห้องโดยสารคือการลดแรงดันลมยาง โดยปริมาณลมยางที่จะปล่อยออกมานั้นขึ้นอยู่กับเส้นทางที่ขับ เราจึงแนะนำให้ผู้ขับขี่ตรวจสอบค่าแรงดันลมที่เหมาะสมกับเส้นทาง โดยข้อดีของการลดแรงดันลมยาง คือ พื้นผิวของล้อจะสัมผัสพื้นดินมากขึ้น ช่วยให้เกิดการกระจายน้ำหนักอย่างเท่าเทียมและทั่วถึงมากขึ้น เหมาะกับการขับบนพื้นทรายหรือพื้นโคลน พื้นผิวยางดูดซับแรงกระแทกได้ดีขึ้น ช่วยป้องกันล้อและส่วนต่างๆ ของล้อเมื่อขับบนพื้นที่ที่เป็นหินขรุขระ ช่วยมอบประสบการณ์การขับขี่ที่นุ่มนวลและสะดวกสบายมากขึ้นเมื่อขับบนเส้นทางออฟโรด ยางที่อ่อนลงเล็กน้อยจะยึดเกาะพื้นผิวขรุขระเล็กๆ ได้ดีกว่า และลดแรงกระแทกภายในห้องโดยสารได้ หากคุณมีแผนจะปล่อยลมยางเพื่อขับบนเส้นทางออฟโรด อย่าลืมนำเครื่องเติมลมยางติดไปด้วยเพื่อเติมลมยางก่อนกลับมาขับบนถนนทางเรียบ การขับรถบนทางเรียบด้วยลมยางต่ำจะทำให้ควบคุมรถได้ยากทำให้ไม่ปลอดภัย อีกทั้งยังลดอายุการใช้งานของยางและส่งผลต่ออัตราการประหยัดน้ำมันอีกด้วย  

 
Read More
Visit Us On FacebookVisit Us On TwitterVisit Us On YoutubeCheck Our Feed